โทษของกาม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปุณบพิธ, 5 มีนาคม 2012.

  1. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ผู้ใดเห็นโทษของกาม ในทางปฏิบัติแล้วบ้างครับ รบกวนแลกเปลี่ยนกัน เป็นวิทยาทานสักหน่อยครับ ขอในทางปฏิบัตินะครับ เอาตามที่เห็น ที่กระทบสภาวะของเราเลย
     
  2. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    ผมเห็นโทษของกามแล้วครับ

    แต่ยังละไม่ได้ครับ เพราะมันยังหอมหวานอยู่ อิอิ
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    ผมว่าคงรู้กันหมดทุกคนครับ แต่ว่าการหลีกหนีมันยากมาก ยังมีความหลง และยึดติดกับมันอยู่ ตราบที่ยังมีลมหายใจกันอยู่ แต่ว่าการหาวิธีหลีก หนี ผมว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย ซึ่งแต่ละคนคงมีกลอุบายหลอกจิตตัวเองแตกต่างกันไป เพื่อให้มันเพลาๆลงไปได้ ถ้ากิเลสมันน้อยกว่ามรรค ป่านนี้ผู้คนก็ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขไปแล้ว

    ขออนุโมทนาบุญ แด่ผู้ที่ใฝ่ในธรรมมะทุกๆท่าน ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ผู้ที่เห็นโทษของกามจริงๆ ก็พระอนาคามี ขึ้นไป คือละกามได้สิ้นแล้ว

    ถ้าพูดถึงปัญญาในการเห็นโทษของกาม แบ่งเป็น 3 ขั้น
    คือสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา

    อย่างเราๆท่านยังไม่เห็นโทษของกามจริงๆหรอก เพราะถ้าเห็นจริงโทษจริงมันต้องละขาดแล้วเป็นภาวนามยปัญญา
    อย่างพวกเรารู้โทษของกามได้ด้วยปัญญา สุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา ยังไม่ได้ขั้น ภาวนามยปัญญา

    เช่น รู้ว่ากามมีโทษทำให้จิตเศร้าหมอง ทำให้เกิดยึดติดในอารมณ์นั้นๆ ทำให้ขาดสติ
    ทำให้ตกจากสมาธิ ทำให้ศีลมัวหมอง ถ้าผิดทำนองคลองธรรมก็กลายเป็นศีลทะลุอีก
    แต่เราก็ยังพอใจในกามยังติดข้องต้องเสพด้วยความเคยชิน ด้วยความพอใจ
    ด้วยความหักห้ามความอยากไม่ได้ เพราะธรรมชาติของจิตหนึ่งนั้นไม่ใช่เรา เราต้อง
    เพียรให้ธรรมชาติหนึ่งนั้นเกิดปัญญาให้รู้โทษของกามตามจริงธรรมชาติหนึ่งนั้นถึงเข้าใจ
    และละกามได้เอง แต่ธรรมชาติหนึ่งนั้นเขาเรียนรู้ได้จากการปฏิบัติภาวนาจนเกิดเป็น
    ภาวนามยปัญญา จึงจะรู้ธรรมรู้คุณรู้โทษเรื่องกามนั้นตามจริงได้ เรียนรู้จากการอ่านและฟัง
    เหมือนเราๆท่านๆไม่ได้ ธรรมชาติหนึ่งนั้นเรียนรู้ได้ด้วยประสบการณ์สัมผัสด้วยตนเองจริงๆ
    เท่านั้น ด้วยการปฏิบัติภาวนาสมถวิปัสสนากรรมฐาน

    บทความประกอบการพิจารณาเรื่องปัญญา และกามคุณ5
    ขั้นแรก เรียกว่า สุตมยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการได้ฟังและการได้อ่านซึ่งเป็นการเรียน
    รู้เรื่องราวจากผู้อื่น โดยความรู้ที่ได้ จะเป็นประโยชน์มากในการนำมากำหนดแนวคิดของเรา
    เอง อย่างไรก็ตาม สุตมยปัญญาก็ไม่อาจช่วยให้เราหลุดพ้นไปได้ เพราะเรื่องที่เราเรียนรู้มา
    จากผู้อื่น จนเกิดความเชื่อขึ้นมา ว่าเป็นความจริงนั้น บางทีอาจจะเป็นความเชื่อที่งมงายหรือ
    เป็นการเชื่อเพราะ ความกลัว เช่นกลัวว่าหากไม่เชื่อ แล้วจะตกนรกหรือบางครั้งก็เชื่ออย่างมี
    อุปาทาน โดยหวังว่าหากเชื่อแล้ว จะได้ขึ้นสวรรค์ซึ่งความเชื่อดังกล่าว เป็นเพราะได้เรียนรู้มา
    จากผู้อื่น หาได้เป็นความคิดเห็นอันเกิดจากปัญญาของตนเองไม่

    ขั้นที่สอง เรียกว่า จินตามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจาก การนำเอาปัญญาในขั้นตอนแรก คือ
    สุตมยปัญญา หรือปัญญาจากการได้ฟังและการได้อ่าน มาพินิจพิจารณา หาว่ามีเหตุผลที่
    สมควรเชื่อถือได้หรือไม่ และสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในทางพ้นทุกข์ได้หรือไม่ ถ้า
    ได้ จึงจะยอมรับในการพัฒนาปัญญานั้น เมื่อมาถึงขั้นจินตามยปัญญาแล้ว หากหยุด ไม่พัฒนา
    ต่อไป ก็อาจจะทำให้คิดว่า ตนเองเป็นคนมีปัญญาแล้ว ซึ่งการมีความคิดเช่นนั้น ก็เท่ากับไปเพิ่ม
    อัตตาให้กับตนเอง และในส่วนนี้ แท้จริงแล้ว ตนเองนั้นยังห่างไกลจากการพ้นทุกข์อยู่อีกมาก
    จึงจำเป็นต้องพิจารณาให้ก้าวหน้าต่อไปในขั้นที่สาม

    ขั้นที่สาม เรียกว่า ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ จนรู้แจ้งเห็นจริงด้วย
    ตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นปัญญาที่แท้จริง การพัฒนาปัญญาที่เริ่มจากขั้นแรก คือ สุตมยปัญญา ซึ่ง
    ได้แก่ การได้ฟังและได้อ่าน จากนั้นจะนำไปสู่การพัฒนาในขั้นที่สอง คือ จินตามยปัญญา ซึ่ง
    ได้แก่ การใช้ความคิด พิจารณาหาเหตุผลในสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ปัญญาทั้งสองนี้จะเป็นประโยชน์
    มาก หากใช้เป็นแรงดลใจ และเป็นแนวทางให้ก้าวมาสู่ปัญญาขั้นที่สาม นั่นคือ ภาวนามยปัญญา
    อย่างไรก็ตามการจะพัฒนาภาวนามยปัญญาขึ้นมาได้ ก็โดยการปฏิบัติเท่านั้น เพราะ

    ภาวนา--มยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดกับตนเอง โดยการปฏิบัติด้วยตนเอง ปัญญา ๓ ขั้นตอน
    ที่ได้อธิบาย ไว้ขั้นต้นนี้ แต่ละขั้น จะมีความแตกต่างกัน แต่เรื่องราวจะต่อเนื่องกัน เพื่อชี้ให้เห็น
    ได้เด่นชัด ถึงความแตกต่างของปัญญาทั้ง ๓ ขั้นนี้ จะขอยกตัวอย่างให้เห็นดังนี้ ผู้ป่วยรายหนึ่ง
    ได้ไปหาแพทย์ เพื่อตรวจรักษาเมื่อแพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายเสร็จ ก็ได้ออกใบสั่งยา เมื่อ
    ผู้ป่วยได้รับใบสั่งยาแล้ว ก็จะจดจำเฉพาะแต่ชื่อยา โดยที่ไม่ได้สนใจสอบถามแพทย์ ถึงสาเหตุ
    ของการเจ็บป่วย และไม่ได้สนใจขอทราบคุณสมบัติของยา ตลอดจนเหตุผลที่แพทย์ได้สั่งให้
    ตนใช้ยาชนิดนี้รับประทาน ผู้ป่วยเป็นแต่เพียงมีความเชื่อถือ และศรัทธาในตัวแพทย์ผู้ให้การ
    ตรวจรักษา จึงเชื่อถือตัวยาที่แพทย์ออกใบสั่งให้ไปด้วย......ความคิดและความเชื่อในขั้นนี้
    เรียกว่า สุตมยปัญญา เมื่อผู้ป่วยรับประทานยาตามใบสั่งแพทย์แล้ว ไม่หายจึงได้ไปหาแพทย์
    อีก เมื่อแพทย์ทำการตรวจ ผู้ป่วยก็จะขอทราบสาเหตุของการเจ็บป่วย รวม ทั้งวิธีการป้องกัน
    และเมื่อแพทย์ออกใบสั่งยาให้ ผู้ป่วยก็ขอคำอธิบายถึง คุณสมบัติของยา รวมทั้งจะขอทราบถึง
    เหตุผล และความจำเป็น ที่ได้เลือกยาประเภทนี้ใช้รักษาตน.... ความคิดและการใช้ปัญญาใน
    การพินิจพิจารณาถึงเหตุและผลในขั้นนี้ เรียกว่า จินตามยปัญญา และเมื่อผู้ป่วยเข้าใจตลอด
    ถึงเหตุและผลของอาการเจ็บป่วยและการใช้ยาแล้ว ก็ได้กลับมารับประทานยา และปฏิบัติตน
    ตามที่แพทย์แนะนำ จนกระทั่งหายจากอาการเจ็บป่วยนั้น

    การปฏิบัติเช่นนี้ เป็นการใช้ปัญญาในขั้นที่สาม ซึ่งเป็นปัญญาในระดับที่พัฒนาความสามารถ
    ควบคุมให้ตนเองกระทำการไปด้วยเหตุ ด้วยผลจนบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเรียกปัญญาขั้นนี้ว่า
    ภาวนามย-ปัญญา

    กามคุณ (อ่านว่า กา-มะ-คุน, กาม-มะ-คุน) ในพระพุทธศาสนาหมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนา ชวนให้รักชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัดยินดี มี 5 ชนิด คือ รูป (สิ่งที่ตามองเห็น) เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กายสัมผัส) กามคุณ 5 นี้เป็นอารมณ์ คือสิ่งที่ยึดดึงใจให้ปรารถนา ให้รักใคร่ เป็นต้น จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กามารมณ์" แปลว่า อารมณ์คือกามคุณ ไม่ได้หมายถึงอารมณ์ทางเพศเพียงอย่างเดียว<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP>
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #cccccc 1px dotted; BORDER-TOP: #cccccc 1px dotted; BORDER-LEFT: #cccccc 1px dotted; WIDTH: auto; BORDER-BOTTOM: #cccccc 1px dotted; POSITION: relative; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ คือ รูป ทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยจักษุ.... เสียงทั้งหลายอันจะถึงรู้แจ้งได้ด้วยโสตะ.... กลิ่นทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยฆานะ.... รสทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยชิวหา.... โผฏฐัพพะทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยกาย อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะอันน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำ หนัด มีอยู่, ภิกษุ ท.! อารมณ์ ๕ อย่างเหล่านี้ หาใช่กามไม่; ห้าอย่างเหล่านี้ เรียกกันในอริยวินัย ว่า กามคุณ.
    </TD><TD style="PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=bottom width=20></TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 2em; FONT-SIZE: 90%; PADDING-BOTTOM: 5px; TEXT-ALIGN: right" vAlign=top colSpan=3>— ฉกฺก. อ. ๒๒/๔๕๗-๔๖๐/๓๓๔.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    จากวิกิพีเดีย
    และ http://www.dhammathai.org/store/vipas/vipas27.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2012
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    รู้รสอร่อย(อัสสาทะ)ของกาม(รูปที่เห็นด้วยตา เสียงที่ฟังด้วยหู กลิ่นที่ดมด้วยจมูก รสที่ลิ้มด้วยลิ้น โผฎฐัพพะที่สัมผัสด้วยกาย ) รู้เพื่อเข้าใจว่าประมาณใด......รู้อาทีนพ(โทษ)ของกามเพื่อเข้าใจว่าที่ว่าโทษโทษของกามนั้นคืออะไร?....รู้นิสรณะ(อุบายนำออก)เพื่อความเป็นอิสระจากกาม.............:cool: สำหรับผม โทษของกามคือความอยากที่จะเสพ จึงต้องแสวงหามาเสพเรื่อยเรื่อยถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์ และ กามเป็นของไม่เที่ยง ตั้งอยูู่ได้เพียงแค่ชั่วครู่.......:cool:ลองพิจารณาดูนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2012
  6. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ขอขอบพระคุณทุกท่านครับ

    คำถามนี้ เน้นหลักไปเฉพาะของกาม ในส่วนของการเสพเมถุน ครับ

    ส่วนตัวของผม ที่ประสบมาคือ การติดในกามนี้ ทำให้สมาธิเสื่อมลง จิตใจฟุ้งซ่านได้ง่ายขึ้น สติน้อยลง เวลาพยายามจะเข้าสมาธิ รู้สึกเหมือนว่า จิตที่จะเป็นสมาธิ มันไม่นิ่ง ไม่เรียบ ผมนิยามสภาพที่เกิดขึ้นนี้ โดยส่วนตัวว่า เหมือนเป็น "เสี้ยน" เหมือนเอามือลูบอะไรสักอย่าง แล้วแทนที่จะลื่นเรียบสนิท มันสากๆ มือ เหมือนกับการดูทีวี ที่มีแต่ภาพสีดำสนิท แต่มีสัญญาณรบกวน โดยสภาวะนี้ ผมรู้สึกว่า มันกระทบสภาวะนอกสมาธิด้วย จิตใจขุ่นมัวง่ายขึ้น เมตตาน้อยลง นอกสมาธิ ครับ

    รอฟังคำตอบดีๆ จากท่าน อิ่มสบาย และท่านอื่นๆ ครับ
     
  7. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ธรรมชาติใส่กิเลสตัณหาให้มนุษย์.. ถ้ารู้เท่าทันธรรมชาติ รู้กลไก รู้ความเป็นเช่นนั้นเอง.. ก็ไม่มีอะไรยาก.. อยู่ที่ว่าคุณปล่อยใจตามความอยากเพราะสันดานที่ฝังอยู่ตามแรงกรรมของแต่ละคนหรือเปล่า.. (บางคนมากผิดปกติ บางคนเป็นธรรมชาติตามความเป็นจริง ทำหน้าที่ของการดำรงเผ่าพันธ์) บางคนเกิดมาเพื่อเสพเอามัน..อย่างเดียว.. ยิ่งผู้หญิงสมัยนี้ด้วยแล้ว อืม..เป็นปัจจัยเสริมอย่างดีทีเดียว ยางอายไม่มี แก้ผ้าโชว์สิ่งที่พระเจ้าให้มาอย่างไร้ค่า ไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิง ล้วนเป็นตัวเร่งให้ผู้ชายทะยานอยาก ผมไม่เข้าใจผู้หญิงแก้ผ้า ถ่างขาหาเงิน..(ต้องขอประทานอภัยที่ต้องพูดตรงๆ) เป็นเพราะกรรมหรือที่ทำให้คุณเธอต้องแก้ผ้าหาเงิน..สมัยก่อนมีอาชีพแบบนี้ป่่าวครับ? ไม่น่าจะใช่เสมอไป อวัยวะบางอย่างไม่ควรออกมาโชว์ต่อหน้าธารกำนัล.. พระเจ้าประทานบางสิ่ง เพื่อทำหน้าที่บางอย่าง แต่ผู้หญิงบางจำพวกไม่รู้หน้าที่ของบางอย่าง งัดออกมาโชว์อย่างกะไม่ใช่สตรีเพศ ถ้าผมมีอำนาจ.. ผมจะจัดการเรื่องอวัยวะของผู้หญิงให้อยู่ถูกที่ถูกทาง..อิอิ.. อบรมการเป็นผุ้หญิงที่ควรเป็น.. ผู้ชายจะได้ลดๆตัณหาลงไปบ้าง ท่าจะดี..และไม่ดูถูกผู้หญิงด้วยไงล่ะครับ..(ผมจึงพอใจในความเป็นผู้ชาย..เฮิ๊กกก)

    ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้วิเศษนะครับ.. เพียงแต่ว่าผมเคารพธรรมชาติเท่านั้นเอง..
    ......................................................................................

    ธรรมชาติให้มี 2เพศ เพื่อดำรงเผ่าพันธ์มนุษย์มิให้สูญหาย ไปจากโลกใบนี้ แต่มนุษย์บางจำพวกกลับผิดธรรมชาติ เสพกามเพื่อตัณหา ราคะ อย่างเดียว.. ในที่สุดก็ต้องโดนธรรมชาติลงโทษ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สังเกตตัวเองกันบ้างไหมครับท่านผู้ชม..อิอิ..

    หากคิดว่าจะละ ลดจริงๆ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ..อย่าดีแต่ปาก เว้นเสียแต่ว่า อยากเวียนเกิด เวียนตายอยู่ทุกภพ ทุกชาติ เพราะติดใจกิเลส ตัณหา ราคะ อันนี้ก็ทางใคร ทางมัน..เฮิ๊กกก
     
  8. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ

    อยากทราบความเห็นของด้านนักปฏิบัติด้วยครับ ว่ากระทบสภาวะธรรมหรือไม่ อย่างไร ครับ
     
  9. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    การมีกามมากเกินไป จะทำให้สมองสติปัญญาเสื่อมโทรม หลงลืมง่ายๆ สมองสติปัญญาไม่พัฒนา แย่ลงกว่าเดิม
    ท่านทั้งหลายอย่าหลงคิดว่า ถ้าอายุมากแล้ว สมองสติปัญญาไม่พัฒนา หรือพัฒนาไม่ได้แล้ว ไม่จริงนะขอรับ
    ยิ่งอายุมาก ถ้าคิดดี รับประทานดี ออกกำลังดี สมองสติปัญญาจะยิ่งพัฒนาไปเรื่อยๆนะขอรับ
     
  10. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ขอบคุณครับ อยากฟังแนวนี้แหละครับ บ้านๆ พื้นๆ แต่ชี้ชัดลงไปเลย ท่าน telwada ทราบเกี่ยวกับผลกระทบในการปฏิบัติ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน และ การทรงอารมณ์เป็นปกติ รบกวนอนุเคราะห์ด้วยครับ
     
  11. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    กระทบสิครับ ถ้าเซ็กซ์นั้นมิชอบธรรม ก็ทำให้จิตไม่สงบ สมาธิไม่รวมตัว ความกลัวตกนรกอีก แต่ถ้าชอบธรรม ก็ยังติดสุข เติมเชื้อให้กิเลสเหนี่ยวรั้งไว้ในโลก ติดใจ อยากได้ ได้แล้วก็อยากได้อีก ได้ขาวแล้วก็อยากลองดำ อยากลองใส่แว่น ประมาณนี้ครับ

    เด็ดขาดครับ ไม่ถูกต้องผิดลูกเมียคนอื่น ของใครใครก็รัก เราก็ต้องวางไว้เลย แบบนี้เราไม่เอาเด็ดขาด

    แบบที่สองการมีเซ็กซ์นี้ถูกต้องชอบธรรม จะมีก็มีได้แต่ก็เติมเชื้อให้กิเลส เราต้องฝึกทานกระแสกำลังกิเลส

    สมถะ
    นี้ไม่มีไรมาก ฌานเพ่งเปลี่ยนจุดรู้ เปลี่ยนเรื่องกดดับอารมณ์ไว้ ถ้ากำลังฌานดี ไม่มีความรู้สึกเกิดนะครับ แต่ความรู้สึกที่ว่านี้ เฮฮาปาร์ตี้ หัวเราะ โมโห มันก็แตกแล้ว

    วิปัสนนา
    1.เข้าสมาธิออกสมาธิพิจารณากายมีความเสื่อม ไม่น่ายินดี นี่ทำเนืองๆ

    2.การมีสติดูความไม่เที่ยง ดูเกิดดับของรูปนาม ตอนอวัยวะอายตนะสัมผัส มีรูปนามเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนี้หล่ะ ทำเนื่องๆ

    การสัมผัส(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)แล้วจะเกิดความต้องอย่างนั้นไม่เกิด จะเป็นผลเกิดขึ้นมาเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...