โมฆบุรุษในโลกนี้ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป [สัทธรรมปฏิรูปกสูตร]

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย JitJailove, 19 มิถุนายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128



    <MARQUEE style="WIDTH: 1077px; HEIGHT: 92px">[​IMG] ศึกษาไปเถอะปริยัติ ควบคู่กับปฏิบัติน่ะ ปัญญารอคอยอยู่ข้างหน้า เมื่อถึงเวลานั้น ปัญญาคือแสงสว่าง จะผู้เป็นผู้ส่องทาง จะได้เดินไม่หลงทาง</MARQUEE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2011
  2. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    กราบอนุโมทนาในธรรมทานค่ะ อาแปะ
    อาแปะคือผู้ที่ตรงและระมัดระวังในการให้ธรรมทาน

    คนที่ต่อต้านปริยัติ

    เพราะอกุศลธรรมที่ได้สะสมมามีมากทั้งความไม่รู้ ความเห็นผิด


    และความสำคัญตน เป็นต้น จึงทำให้เป็นผู้ไม่น้อมมาในสิ่งที่ถูกต้อง
     
  3. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    คนส่วนมากจะคิดกันเอาเองโดยไม่ฟัง ไม่ไตร่ตรองให้เข้าใจ มักคิดเองว่า สติ- ปัฏฐานเท่านั้นที่มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ เมื่อวันช่วงบ่ายเป็นช่วงสนทนาปรมัตถสังเขป
    ท่าน อ. อรรณพ ได้ถามกลับให้คิดพิจารณาว่า แล้วอกุศลจิตมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ได้
    ไหม ? ขณะที่เห็นสีสวยๆ ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นอะไร ความติดข้องพอใจก็เกิดแล้ว ขณะ
    ที่เสียงฟ้าผ่าดังๆ ก็ตกใจ อกุศลจิตก็เกิด เด็กทารกเล็กๆ เห็นก็เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ
    ได้ยินเสียง ได้กลิ่น รู้รส รู้เเย็น..อกุศลจิตก็เกิดต่อทันที เด็กก็มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ได้
    แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานก็เช่นกัน ไม่ว่านก ไก่ วัว ควาย ก็มีอารมณ์เป็นปรมัตถ์ได้แต่ด้วย
    จิตที่เป็นอกุศล เพราะไม่มีปัญญารู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น
    การฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจธรรมและสิ่งที่ควรรู้ยิ่งคือสิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังให้เข้าใจสิ่ง
    ที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จนกว่าสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ (ปรมัตถธรรม) จะปรากฏกับสติ
    โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราที่จะไประลึกรู้ เพราะนั่นเป็นตัวตนที่จะไปรู้ และสิ่ง
    สำคัญ สิ่งที่กำลังปรากฏเกิดแล้วดับแล้วอย่างรวดเร็ว ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้สิ่งที่
    กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ สติระลึกสิ่งที่กำลังปรากฏด้วยปัญญาที่เข้า
    ใจถูกเห็นถูก


    โพสท์คุณเมตตา บ้านธัมมะ
     
  4. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741


    ความหนาแน่นเหนียวแน่นของกิเลสมีมากและเกิดอยู่เป็นประจำ
    (อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์)

    ความหนาแน่นเหนียวแน่นของกิเลสมีมากและเกิดอยู่เป็นประจำ

    และคราวก่อนได้เรียนให้ท่านผู้ฟังได้ทราบถึงความหนาแน่น ความเหนียว

    แน่นของกิเลส ซึ่งมีมากและก็เกิดอยู่เป็นประจำว่า ถ้าท่านไม่รู้ความหนาแน่น

    ไม่รู้ความเหนียวแน่นของกิเลส ท่านก็คิดว่ามีวิธีลัด

    หรือมีวิธีย่อที่จะข้ามไป ไม่ระลึก ไม่รู้ก็คงจะได้


    แต่ถ้าท่านเห็นความหนาแน่น เห็นความเหนียวแน่น

    ของกิเลสและกิเลสก็ไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่จิตแต่ละขณะ แต่ละวันนั่นเอง อย่าง

    สราคจิต โลภมูลจิตก็เกิดอยู่เป็นประจำ เป็นกามาสวะ ความยินดีพอใจในรูป

    เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แล้วก็ยังเป็นไปกับความเห็นผิด เพราะเหตุว่า

    ขณะที่จิตเกิดขึ้นดวงหนึ่งๆนั้น จะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่า

    สภาพของสังขารธรรมแล้วที่จะเกิดขึ้นโดยลำพังอย่างเดียว ไม่มี ไม่ว่าจะ

    เป็นนามธรรม ก็ต้องมีนามธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย ที่เป็นรูปธรรมก็มีรูปธรรมอื่น

    เกิดร่วมด้วย


    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สภาพของจิตใจก็ย่อมแล้วแต่สภาพธรรม คือ

    เจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วย ทั้งๆที่เจตสิกธรรมก็มีแต่เพียง ๑๔ ประเภท แต่มี

    กิจการงานที่สะสมหมักดองทำให้เกิดบ่อย และจัดไว้เป็นประเภทๆ ซึ่งถ้าท่าน

    ผู้ฟังจะศึกษาต่อไปก็จะเห็นว่า ถ้าขณะใดที่ท่านหลงลืมสติ ขณะนั้นเป็นเรื่อง

    ของอกุศลธรรมประเภทใดบ้าง


    [​IMG]
    [​IMG]

    จาก...บ้านธัมมะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2011
  5. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741


    เอาโพสท์ของอาจารย์เผดิมบ้านธัมมะมาให้อ่านค่ะ

    ขอยกตัวอย่าง พระยามิลินท์ผู้เป็นพระราชาที่ปราดเปรื่อง ถามปัญหาธรรมกับ
    ท่านพระนาคเสน ผู้เป็นพระอรหันต์และฉลาด ปราดเปรื่องในการแก้ปัญหาธรรมครับ
    พระยามิลินท์ ...ท่านพระนาคเสน ท่านจะเกิด ปฏิสนธิอีกหรือไม่
    พระนาคเสน... มหาบพิตร หากอาตมาภาพมีอุปาทาน(ความยึดถือด้วยกิเลส) ก็ยังต้อง
    เกิด หากอาตามาภาพ ไม่มีอุปาทาน อาตมาภาพก็จะไม่เกิดอีก
    พระยามิลินท์ ...ท่านพยากรณ์โดยชอบแล้ว
     
  6. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    พระอริยบุคคล คือ บุคคลผู้ทำลายข้าศึกคือกิเลสได้ ตามลำดับขั้น เป็นบุคคลผู้

    ประเสริฐ ที่เป็นผู้ประเสริฐได้ก็ด้วยปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับมรรค,

    พระอริยบุคคลมี ๔ ระดับ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระ

    อรหันต์ พระอริยบุคคล ๓ ข้างต้น ยังมีกิเลสเหลืออยู่ จนกว่าจะถึงความเป็นพระ

    อรหันต์ จึงจะสามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ กิเลสที่สะสมมาอย่างเนิ่น

    นานในสังสารวัฏฏ์ไม่เกิดขึ้นอีกเลย กว่าจะดับกิเลสได้ นั้น จะต้องอาศัยการอบรม

    เจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ถ้าไม่ได้อบรม

    เจริญปัญญา จนกระทั่งถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะ

    เป็นพระอริยบุคคลได้
    ไม่ใช่ว่าจะบรรลุกันได้ง่าย ๆ ตามหลักฐานทางพระพุทธ

    ศาสนาแล้ว ยุคนี้เป็นพันปีที่ ๓ (เฉพาะในโลกมนุษย์) ไม่มีพระอรหันต์แล้ว ถ้าจะมี

    ได้ก็มีถึงพระอนาคามีเท่านั้น จะเห็นได้ว่า การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระ

    อริยบุคคลนั้น เป็นผลของการอบรมเจริญปัญญา ถ้าไม่เจริญเหตุ คือ การอบรมเจริญ

    ปัญญา ก็ไม่สามารถถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้

    กิเลสเป็นสิ่งที่ละยากเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะดำรงอยู่ในเพศใด กล่าวคือ เป็น

    บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ก็ตาม ซึ่งเมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่

    ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมแต่ละอย่าง ๆ เท่านั้นจริง ๆ และประการที่สำคัญกิเลสที่

    มีมากสะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ต้องอาศัยปัญญาจึงจะละได้ ถ้าหาก

    ปัญญาไม่เกิด ไม่มีปัญญา ก็ไม่มีทางดับกิเลสใด ๆ ได้เลย [แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธ

    เจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ ก็ด้วยปัญญา ซึ่งได้ทรงบำเพ็ญ

    พระบารมีมาจนถึงพร้อมแล้ว] แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่อบรมเจริญให้มีขึ้น

    จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เมื่อมีความเข้า

    ใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะสามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วยตามกำลังปัญญาของ

    ตนเอง ซึ่งเป็นการให้ในสิ่งที่
    ประเสริฐที่สุด คือ ให้ความเข้าใจธรรม

    ธรรม เป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อได้เริ่มฟังธรรมและเห็นว่าพระธรรมยาก ก็ไม่ควร

    ท้อถอย เมื่อไม่ท้อถอยในการอบรมเจริญปัญญา ฟังบ่อย ๆ เนือง ๆ ให้เวลากับพระ

    ธรรมอยู่เสมอ ๆ สิ่งที่ยากนี้ก็จะค่อย ๆ ง่ายขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งในที่สุดก็

    เป็นปกติและสามารถถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ทุกอย่าง

    สำเร็จได้ แต่ต้องอาศัยกาลเวลา เพราะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในวันนี้แล้ว จะให้

    บรรลุเป็นพระอริยบุคคล เลย เป็นไปไม่ได้ ต้องค่อย ๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไป

    ตามลำดับจริง ๆ ครับ.

    ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...

    โดย อาจารย์คำปัน บ้านธัมมะ
     
  7. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    [​IMG]
    ปู่ฤาษีเณรคำ เกิดวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2522 ปีมะแม อดีตเคยเป็นศิษฐ์อุปฐากหลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัยจังหวัดนครพนม เคยออกจาริกธุดงค์ผ่านป่าเขาลำไพร อายุได้ 18 ปี ได้กลับมายังบ้านเกิดสร้าง วัดป่านาดอกไม้โนนรัง ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร หลังจากสร้างวัดเสร็จได้ไปเรียนวิชาอาคมกับฤาษีวิษณุกรรม ตำหนักพ่อแก่บ้านวังโพน อ.บ้านฝางจ.ขอนแก่น และด้วยบุพกรรมครั้งอดีตเป้นบุญกุศลจึงได้รับเป็นร่างทรงของปู่ฤาษีสิงหดาบมุณีและปู่ฤาษีสิงหดาบสมุณีได้สอนวิชาการต่างๆโดยเฉพาะวิชาการสักยันต์ โดยที่ปู่ฤาษีเณรคำสักยันต์โดยไม่ได้มีการวาดรูปหรือปั๊มรอยใดๆ ซึ่งการสักยันต์ต่างๆนั้นเป็นขึ้นมาเองดังที่ปรากฏในหมู่เหล่าลูกศิษฐ์ที่มาสักยันต์กับปู่ฤาษีเณรคำซึ่งเป็นที่ยอมรับในหมู่ลูกศิษฐ์ที่มาสักยันต์ในความสวยงามของยันต์และความขลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้ประสบกับเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ จากอุบัติเหตุและการถูกรุมทำร้ายจากอาวุธต่างๆ ซึ่งเป็นที่กล่าวขานในหมู่ศิษฐ์ทั้งอำเภอสว่างแดนดินและอำเภอใกล้เคียง กิตติศักดิ์ของปู่ฤาษีเณรคำไม่ได้มีเพียงการสักยันต์เท่านั้นในด้านวิชาอาคมต่างๆ ก็เด่นไม่แพ้กัน ดังเมื่อครั้งครั้งสร้างวัดป่านาดอกไม้ซึ่งพื้นที่เป็นป่าช้าความเฮี้ยนความแรงของป่าช้าเป็นที่รู้กันดีของชาวบ้านซึ่งไม่มีใครกล้าเข้าไปทำอะไรแต่ปู่ฤาษีเณรคำก็สามารถสร้างเป็นวัดขึ้นมาได้ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นให้การยอมรับในตัวปู่ฤาษีเณรคำ เรื่องราวของปู่ฤาษีเณรคำในด้านอิทธิปาฏิหาริย์นั้นยังมีอีกมากมาย ปัจจุบันนี้ปู่ฤาษีเณรคำได้มาอยู่ที่ วัดนาคนิมิต
    บ้านสมสะอาด ตำบลแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร




     
  8. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ศิษย์ตถาคตพึ่งทราบ
    ทรัพย์สินทางโลกตายแล้ว ก็หมดสิทธิความเป็นเจ้าของ
    แต่อริยทรัพย์ประเสริฐสุด
    .....................
    ปิดดีกว่า เดี๋ยวแปะหาอะไรมาให้อีก5555
     
  9. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

    การประพฤติตามพระวินัยบัญญัติสำหรับพระภิกษุ ไม่มีสิทธิพิเศษสำหรับภิกษุรูปใด
    ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ หรือ ภิกษุปุถุชน จะต้องปฏิบัติ พระวินัยบัญญัติทีพรพุทธเจ้า
    ทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดและด้วยความเคารพเพราะพระองค์บัญญัติเพื่อประโยชน์
    กับการอยู่ในคณะสงฆ์อย่างผาสุขและไม่ให้เป็นที่ติเตียนสำหรับชาวบ้าน และจะนำมาซึ่ง
    ความเลื่อมใสกับผู้ประพฤติปฏิบัติตาม และที่สำคัญเป็นไปเพื่อละอาสวะกิเลสประการ
    ต่างๆด้วยครับ ดังนั้นไม่ว่าภิกษุรูปใดก็ตามที่บวชในพระธรรมวินัยนี้จึงต้องประพฤติ
    ปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติครับ
    แม้ในเรื่องจริยา การประพฤติ การแสดงออกภายนอก พระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรง
    แสดงก็เป็นไปเพื่อความสำรวม ระวังกาย วาจาให้เหมาะสม อันเป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
    ของชาวบ้านและสำรวมกาย วาจาของพระภิกษุเองด้วยครับ มีการ สำรวมตา สำรวมกาย
    วาจา เป็นต้น รวมทั้งการปฏิบัติในการโกนศีรษะ การโกนคิ้วก็ต้องเป็นไปตามพระวินัย
    บัญญัติเช่นกัน ไม่มีสิทธิพิเศษสำหรับภิกษุรูปใด แม้พระอริยบุคคลด้วยครับ
    ที่สำคัญที่สุด เมื่อเป็นพะรอริยบุคคลแล้ว ท่านจะไม่ล่วงอาบัติ ด้วยเจตนารู้อยู่แล้วจะ
    ล่วงข้อนั้นไม่ใช่ฐานะที่ท่านจะทำได้เลยครับ แต่ท่านกับจะประพติตามพระวินัยบัญญัติ
    อย่างเคร่งครัดมากขึ้นกว่าการเป็นปุถุชน เพราะอะไร เพราะปัญญาที่เจริญขึ้นนั่นเอง
    ครับ ดังนั้นท่านจะรักษาประพฤติตามพระวินัยบัญญัติ ดังเช่นชีวิตของท่าน ไม่ล่วง
    ละเมิดแม้รู้อยู่เลยครับ นี่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาเจริญขึ้นมากเท่าไหร่ การประพฤติ
    ปฏิบัติตนก็ต้องตรงตามพระธรรมวินัยมากขึ้นเท่านั้นครับ ส่วนในเรื่องพระสารีบุตร
    กระโดดข้าม เพราะเคยเกิดเป็นลิง อันนี้ไม่มีแสดงไว้ในพระไตรปฺฎกและอรรถกถาครับ
    การล่วงละเมิดสิกขาบท แม้รู้อยู่และไม่มีเจตนารักษาพระวินัยบัญญัติ ไม่ต้องกล่าวถึง
    ความเป็นพระอริยบุคคล แม้ภิกษุปุถุชนที่ดียังเป็นไปไม่ไ่ด้เลยครับ ขออนุโมทนา
    อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

    จาก บ้านธัมมะ
     
  10. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741

    ทำใดๆ ก็ไร้ค่าถ้าไม่ใช่ธรรม
    โดย อาจารย์เผดิม บ้านธัมมะ

    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


    ทำใดๆก็ไร้ค่าถ้าไม่ใช่ธรรม ก็เป็นความเห็นหนึ่ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเข้าใจว่าอย่างไรใน
    คำนี้ครับ ก่อนอื่นขอธิบาย สนทนาในคำนี้ก่อนครับว่า
    ธรรมใดๆก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ
    พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง โดยทั่วไป ภาษาไทยนำภาษาบาลีมาใช้ เช่น คำว่า
    ปฏิบัติ ก็หมายถึงว่าจะต้องมีรูปแบบการกรทำอะไรซักอย่าง จึงเป็นการปฏิบัติ เช่น การ
    นั่งสมาธิ หรือ เดินจงกรม นี่คือ การปฏิบัติ เพราะเข้าใจการปฏิบัติว่าจะต้องเป็นการทำ
    ถ้าไม่มีการทำ ไม่ใช่การปฏิบัติ เมื่อไม่ทำก็ไร้ค่า ในสิ่งที่ศึกษามาเพราะไม่ได้ทำ ไม่ได้
    ลงมือปฏิบัติ นี่คือ ความเข้าใจเผินของการศึกษาพระธรรม แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำ
    ว่า ปฏิบัติในภาษบาลี หมายถึง การถึงเฉพาะ ซึ่งต้องมีสิ่งที่ถึงเฉพาะ คือ ปัญญาและ
    สติ ส่วนสิ่งที่ถูกถึงเฉพาะ คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ปฏิบัติ
    (ขณะที่ทำ) คือ ขณะที่สติและปัญญาเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะ
    นี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือ การปฏิบัติ หากปัญญาไม่รู้ความจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไป
    ทำอะไรก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่การปฏิบัติเพราะไม่รู้ความจริง ได้แต่ความนิ่งแต่ปัญญาไม่ได้รู้
    อะไร ดังนั้น ธรรมจึงไร้ค่า สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจ ไมได้เริ่มจากความเห็นถูกคือการฟังพระ
    ธรรมให้เข้าใจก่อนครับ
    ขณะนี้มีธรรมอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ขาดแต่เพียงสติและปัญญาที่จะรู้(ปฏิบัติ)
    ดังนั้นเหตุให้เกิดการปฏิบัติ หรือ สติและปัญญาเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรม คือ การ
    ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในเรื่องของสภาพธรรม เมื่อปัญญาเจริญขึ้นทีละน้อย ขณะ
    นั้นเริ่มอบรมแล้ว จนเหตุปัจจัยพร้อม สะสมมามากแล้ว สติและปัญญาก็รู้ความจริงใน
    ขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ปฏิบัติแล้วในชีวิตประจำวัน ใครปฏิบัติ เรา หรือ ธรรม ต้อง
    เป็นธรรม คือ สติและปัญญา ปฏิบัตินั่นเอง ทำกิจหน้าที่ เพราะมีแต่ธรรมไม่ใช่เรา ตาม
    ความเป็นจริงครับ ธรรมจึงมีค่า สำหรับผู้ที่เข้าใจ และธรรมที่เป็นอสัทธรรมคือธรรมไม่
    ถูกต้อง ไม่มีค่า และมีโทษสำหรับผู้ไม่เข้าใจและทำในสิ่งนั้นครับ

    ทำใดๆก็ไร้ค่าถ้าไม่ใช่ธรรม
    การกระทำใดๆ ย่อมไร้ค่า ถ้าไม่ใช่ธรรม คือ ไม่ใช่ธรรมที่ถูกต้องทีเป็นความเห็นถูกอัน
    เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า การกระทำนั้นที่เกิดจากความเข้าใจผิด คิดว่าการปฏิบัติ
    คือ การทำรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง มีการนั่งสมาธิและจงกรม เป็นต้น การกระทำย่อมไร้
    ค่า คือ ไม่ทำให้ปัญญาเจริญ เพราะปัญญาคือการรู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่
    เรา และที่สำคัญการกระทำใดๆที่เกิดจาความเห็นผิด ไม่ใช่เพียงไร้ค่าเพราะไม่เป็นเหตุ
    ให้เกิดปัญญาแล้ว ย่อมนำมาซึ่งโทษกับผู้ปฏิบัติตามด้วย จึงไร้ค่าเพราะเป็นอกุศล แต่
    นำมาซึ่งโทษคือความเห็นผิดและความไม่รู้ ไม่สามารถพ้นไปจากสังสาวัฏฏ์ได้ครับ
    ส่วนการกระทำใดทีเกิดจากความเห็นถูก โดยเข้าใจว่า การทำคือ การทำหน้าที่ของ
    สติและปัญญาที่รู้ความจริงในขณะนี้ นั่นคือการทำ ปฏิบัติแล้ว การทำด้วยความเห็น
    ถูกอย่างนี้ ย่อมมีค่า เพราะเป็นปัญญาและเป็นกุศล และมีค่า เพราะเป็นธรรม ธรรมอะไร
    ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั่นเองครับ จึงมีค่า และนำมาซึ่งความสุขสำหรับผู้
    เข้าใจและปฏิบัติตาม อันมีความเห็นถูกเป็นพื้นฐาน ว่าการทำ หรื อการปฏิบัติธรรมที่ถูก
    ต้องคืออย่างไรครับ
    ทำใดๆก็ไร้ค่า ถ้าไม่ใช่ ธรรม ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้แสดงไว้และทำด้วยความเข้า
    ใจผิด จึงไร้ค่าและนำมาซึ่งโทษครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
    อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
     
  11. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741

    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอหรันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดใน

    โลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน

    มาก พระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย ดังที่ปรากฏในบทสรรเสริญพระพุทธคุณที่ว่า

    อิติปิ โส ภควา (แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น)

    อรหัง (ทรงเป็นพระอรหันต์ ผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง)

    สัมมาสัมพุทโธ (ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์)

    วิชชาจรณสัมปันโน (ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา(ความรู้แจ้ง) และ จรณะ(จรณะ

    หมายถึง เครื่องดำเนิน มี ๑๕ ประการ คือ ถึงพร้อมด้วยศีล, สำรวมอินทรีย์, มีความ

    เพียร, รู้จักประมาณในโภชนะ, ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการ ได้แก่ ศรัทธา หิริ

    โอตตัปปะ พาหุสัจจะ (สดับตรับฟังพระธรรม) วิริยะ สติ ปัญญา, รูปฌาน ๔) ที่สูง

    สุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย)

    สุคโต (ทรงเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว)

    โลกวิทู (ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ทรงรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง)

    อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ (ทรงเป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึก อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า)

    สัตถา เทวมนุสสานัง (ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย)

    พุทโธ (ทรงเป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว)

    ภควา (ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์)

    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลที่เสมอกับบุคคลที่ไม่มีใคร

    เสมอ นั่นก็คือ ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ การจะอธิบายให้เห็นว่าพระ

    คุณของพระองค์มีมากมากเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่า ในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ ไม่

    ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เพียงอย่างเดียว หนึ่ง

    กัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด

    พระคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อประมวลแล้ว สรุปรวมลงใน ๓ ประการ คือ

    พระบริสุทธิคุณ (ทรงดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ทรงมีความบริสุทธิ์

    ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ)

    พระปัญญาคุณ (ทรงมีพระปัญญาที่รู้สภาพธรรมทุกอย่างไม่มีเหลือ)

    พระมหากรุณาคุณ (ทรงมีพระทัยประกอบด้วยเมตตาเกื้อกูลสัตว์โลก ด้วยการ

    แสดงพระธรรม, ในแต่ละวัน พระองค์ทรงพักผ่อนน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นการ

    บำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกทั้งปวง)

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ [ไม่เพียงพระองค์เดียว แต่หลายแสนพระองค์]

    ล้วนเป็นผู้ทรงอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง

    บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงมีการฟัง มีการ

    ศึกษา สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เมื่อศึกษาเข้าใจความจริงแล้ว ย่อมจะมีความ

    ซาบซึ้งมากขึ้นในพระคุณของพระพุทธองค์ ทั้งพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ

    พระมหากรุณาคุณ ตามปัญญาของตนเอง ผู้ที่ขาดการฟัง ขาดการศึกษา ไม่มี

    ความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ได้เลย

    แม้แต่นิดเดียว ครับ.

    ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...
    โดย อาจารย์
    khampan.a บ้านธัมมะ
     
  12. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    มาลงชื่อไว้ก่อน
    เดี๋ยวกลับมาอ่าน
     
  13. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ขอคำขยายความหน่อย ซิ ท่าน ที่ท่านขีดเส้นใต้ไว้ จะได้เข้าใจได้ถูกต้องไม่ตัดสินคน สุ่มสี่สุ่มห้า
     
  14. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    อาจารย์เผดิม
    บ้านธัมมะ

    วันที่ 6 ก.ย. 2554 17:26






    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

    พระธรรมของพระพุทธเจ้าไม่สาธารณะทั่วไปกับสัตว์โลก ผู้ที่สะสมความเห็นถูก

    สะสมศรัทธามาเท่านั้นที่จะเห็นประโยชน์และเผยแพร่ แนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์ครับ
    ดังนั้นในสังคมปัจจุบันที่ผ่านเลยไป 2500 กว่าปี สัตว์มากไปด้วยกิเลส เมื่ออายุขัยต่ำ
    กว่าร้อยปีตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้สัตว์โลกย่อมยินดีในสิ่งที่เป็นความเห็นผิด
    เผยแพร่ในสิ่งที่ผิดและย่อมนิยม ชมชอบรูป รส กลิ่น เสียง อันเอื้อต่อกิเลส เพราะโลภะ
    ย่อมไหลไปง่ายในที่ต่ำ ในที่ที่สัตว์มากไปด้วยกิเลสครับ จึงเป็นธรรมดาที่ความเห็นถูก
    จะเป็นที่นิยมชมชอบของกิเลสไม่ได้เลยครับ การเผยแพร่จึงเป็นไปได้น้อย เมื่อเทียบ
    กับการเผยแพร่ในสิ่งที่ผิด หรือ สิ่งที่เอื้อต่อกิเลส และเมือไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดย
    ละเอียด และไม่ได้มีความเห็นถูกที่สะสมมา ก็จึงทำให้เข้าใจแม้แต่คำว่า ธรรม คำว่า
    ปฏิบัติผิดไปจากความเป็นจริง เพราะความไม่รู้และความเห็นผิดที่มากในปัจจุบันนั่นเอง
    ครับ เมื่อปัจจุบันมากไปด้วยความเห็นผิด สิ่งที่เผยแพร่นิยมก็ต้องเป็นไปตามกำลังของ
    ชนหมู่มากที่เข้าใจผิดอย่างนั้นครับ จึงไม่ต้องไปจัดการและทำอะไรทั้งสิ้นเพราะสภาพ
    ธรรมเป็นไปอย่างนั้น ตามยุคเสื่อมของคุณธรรมและความเห็นถูก เริ่มจากตัวเราเป็น
    สำคัญที่สุด คือ ความเห็นถูกของเราเองครับ
    ........................................................................



    คงจะพอเป็นคำตอบได้นะค่ะ และหาอ่านย้อนในกระทู้นี้ไป
    ขออนุญาติใส่กุญแจค่ะ
     
  15. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    paderm
    วันที่ 29 ส.ค. 2554 07:11

    ความคิดเห็นที่ 1



    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

    ธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง เพราะเป็นปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จึงไม่ใช่ง่าย

    เลยที่จะเข้าใจ แม้แต่การอบรมปัญญารู้ความจริงของสาพธรรมที่เป็นหนทางดับกิเลส
    ก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ยากต่อการเข้าใจและอาจทำให้เข้าใจผิดได้ครับ ที่สำคัญะสะสมกิเลส
    มามากมายมหาศาล และต้องยอมรับความจริงว่า ยังเป็นปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลส ผู้ที่จะ
    ไม่มีกิเลสอกีเลย ไม่เกิดกิเลสเกิดขึ้น คือ พระอรหันต์เท่านั้นครับ
    ดังนั้นขณะที่ทำงาน ที่กล่าวว่า ทำงาน โดยไม่มีความโลภ โกรธ แฝงอยู่เลย ใน
    ความเป็นจริง ผู้ที่อบรมปัญญา ยิ่งมีปัญญามากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมเห็นกิเลสมากขึ้นเท่า
    นั้นว่ามีมาก แต่ถ้าไม่มีปัญญา เหมือนผู้ที่ไมได้ศึกษาธรรม ก็จะกล่าวว่าเขาดีอยู่แล้ว
    เพราะไม่เห็นกิเลส หรือ ถ้าปัญญาไม่มากก็จะไม่เห็นกิเลสที่มีมากครับ ซึ่งกิเลสเกิดขึ้น
    เป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องกล่าวถึงทำงานเลย ขณะนี้กิเลสเกิดขึ้น
    ไหม ไม่รู้เลยครับ เกิดแล้ว แค่เห็นกิเลสก็เกิดแล้ว ไม่รู้ตัวเลย ยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น
    แม้จะไม่มีความรู้สึกชอบ โสมนัสในสิ่งที่เห็นเลย แต่ก็ติดข้อง ชอบแล้ว เพราะฉะนั้น
    กิเลสจึงมีความละเอียด หลายระดับ ตั้งแต่มีกำลังที่พอจะปรากฏให้รู้ได้ กับที่ไม่รู้สึกตัว
    เลย เพราะกิเลสอย่างละเอียดทีเกิดในชีวิตประจำวัน ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้
    ดังนั้นปัญญาเท่านั้นยิ่งมีมากก็จะเห็นกิเลสมากขึ้น ครับ การทำงานก็คือปกติในชีวิต
    ประจำวัน ขุ่นใจเล็กน้อยไม่รู้ตัวเลย เป็นโทสะแล้ว ติดข้องแม้เพียงแค่เห็นไม่รู้ตัวเลย
    กิเลสเกิดแล้ว และที่สำคัญกิเลสตัวร้าย ความไม่รู้ โมหะ แม้ไม่ติดข้อง ไม่โกรธ แต่ไม่รู้
    สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ก็หลงแล้ว
    แม้การทานอาหารที่ผู้ถามได้กล่าวว่าไม่ติดรสชาติ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะผู้ที่จะไม่
    ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสคือพระอนาคามี แต่เราไม่รู้เองว่ากิเลส
    เกิดแล้ว ในขณะลิ้มรส รวดเร็วโดยไม่รู้ตัวเพราะปัญญายังไม่ละเอียดนั่นเองครับ









    paderm
    วันที่ 29 ส.ค. 2554 07:16

    ความคิดเห็นที่ 2



    ส่วนเรื่องที่ผู้ถามกล่าวถึงการรู้ว่าไม่มีเรา ไม่ใช่ของเรา ธรรมเป็นเรื่องละเอียก ลึกซึ้ง
    แม้พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว ยังน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม เพราะเห็นว่าพระธรรมที่
    พระองค์ตรัสรู้ยากที่สัตว์โลกจะเข้าใจ ดังนั้นความละเอียดของพระธรรมจึงมีมากครับ
    แม้การรู้ว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เรา นั้น การเจริญสติปัฏฐานที่รู้ความจริงของสภาาธรรมที่มี
    จริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่การคิดนึกว่าไม่มีเรา ไม่ใช่รา แต่ที่สำคัญ อะไร
    ที่ไม่ใช่เรา นั่นคือ ธรรม และธรรมอะไรที่ไม่ใช่เรา ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ และอะไรคือ
    ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น..จิต เจตสิก รูป แต่ไม่ใช่การคิดนึกว่า เห็น
    ไม่ใช่เรา สี ไม่ใช่เรา จิต เจตสิก รูปไม่ใช่เรา การรู้ความจริงไม่ใช่การคิดนึกว่าไม่มีเรา
    ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นสติและปัญญาที่รู้ตรงลักษณะครับ ที่กล่าวว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ไม่
    ใช่เรา ขณะนี้เห็นเป็นเพียงสี หรือไม่ หรือยังเห็นเป็นสัตว์ บุคคลอยู่ นี่แสดงความ
    ละเอียดของปัญญาครับ ดังนั้นขอให้เริ่มกลับมาสู่ความเข้าใจเบื้องต้น ถ้าคิดว่าเข้าใจ
    แล้ว ก็จะทำให้หลงทางผิดได้ครับ ดังนั้นการรู้ว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ก็เป็นเพียงความคิด
    นึก ถึงสภาพธรรม ไม่ใช่การรู้ตรงลักษณะขอสภาพธรรมจริงๆครับ ขออนุโมทนา
    อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

    khampan.a
    วันที่ 29 ส.ค. 2554 12:42

    ความคิดเห็นที่ 3



    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้น ตามความเป็นจริง ขณะใดก็ตามที่จิตไม่ได้เป็นไป

    ในกุศล กล่าวคือ ไม่ได้เป็นไปในทาน ไม่ได้เป็นไปในศีล ไม่ได้เป็นไปในการอบรม

    เจริญปัญญาแล้ว ที่เหลือนอกจากนั้น เป็นอกุศลทั้งหมด (ถ้าไม่กล่าวถึง ขณะที่รับ

    ผลของกรรม) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อกุศลจิตย่อมเกิดมากกว่ากุศลจิต จะรู้หรือไม่รู้ก็

    ตาม แต่ส่วนมากมักจะไม่รู้ว่ามีอกุศลจิตเกิดมากกว่า, อกุศล เกิดขึ้น ตามการสะสม

    ของจิตในอดีตที่ได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน โดยเฉพาะโลภะ ซึ่ง

    เป็นความติดข้องยินพอใจในวัตถุต่าง ๆ ติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส

    และ สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งเป็นวัตถุกามในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้น ก็มีความ

    โกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็เป็นอกุศล ไม่พ้นเลย

    จริง ๆ ซึ่งเมื่อมีเหตุมีปัจจัยอกุศลก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เมื่อสะสมมากขึ้น มีกำลัง

    มากขึ้น ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมประการต่าง ๆ ได้ แสดงให้

    เห็นได้ว่า ตราบใดก็ตาม ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ

    กิเลสอกุศล ก็ยังมีอยู่ครบ แม้แต่ในขณะที่รับประทานอาหาร ไม่พ้นไปจากโลภะ ความ

    ติดข้องยินดีพอใจเลย ซึ่งผู้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมเท่านั้น ที่จะ

    เข้าใจได้ว่า อกุศล มีมากเหลือเกิน ติดข้อง อย่างรวดเร็ว ไม่พอใจ อย่างรวดเร็ว

    เป็นปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่

    ส่วน บุคคลผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ถึงแม้

    ว่าตนเองจะยังมีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น อยู่ เมื่อฟังบ่อย ๆ เนือง ๆ ย่อมจะมี

    ความรู้ความเข้าใจถึงโทษภัยของอกุสลประการต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถค่อย ๆ อบรม

    เจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ สามารถรู้ลักษณะของ

    สภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรม ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่

    สัตว์ บุคคล ตัวตน และ ปัญญานี้เองเป็นธรรมที่จะดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด

    “ที่ใดมีปัญญา ที่นั่นจะไม่มีอกุศล หรือ ขณะที่เข้าใจ อกุศลจะอยู่ตรงนั้นไม่ได้”

    การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณา

    ไตร่ตรองพระธรรม ค่อย ๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ อดทนที่จะ

    ฟัง ที่จะศึกษาต่อไปด้วยความไม่ท้อถอย ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระ

    ธรรม ฟังเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพ

    ธรรม มากยิ่งขึ้น ครับ.

    ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...



    จากเวปบ้านธัมมะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...