โลกที่เป็นจริง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คือ~ว่างเปล่า!, 13 ตุลาคม 2008.

  1. คือ~ว่างเปล่า!

    คือ~ว่างเปล่า! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,647
    ค่าพลัง:
    +473
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>ภาวนาวิถี - โลกที่เป็นจริง
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1><CENTER>[​IMG]</CENTER>


    แม้การเกิดแก่ เจ็บ และตาย จะเป็นปรากฏการณ์สามัญ เพื่อยืนยัน "อนิจจลักษณะ" ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ท่ามกลางกระแสแห่งความแปรเปลี่ยนอย่างไม่เที่ยงแท้ และไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ในการอุบัติขึ้น หรือสูญสลาย
    แต่การบาดเจ็บล้มตายของผู้คนที่เกิดขึ้นณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ก็จะยังทิ้งร่องรอย และบาดแผล ตลอดจนบทเรียนต่างๆ เอาไว้ในสังคมศาสนิกชน ที่ผุกร่อนของประเทศไทย ไปอีกนานเท่านาน
    และจะอย่างไรก็ตามเมื่อทุกอย่างยังเชื่อมโยง สัมพันธ์ และพึ่งพิงอิงอาศัย จนส่งผลถึงกันและกัน ระหว่างกันและกัน อย่างซับซ้อน และมิอาจแยกขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปจากกันได้อย่างเป็นอิสระ
    "มนุษย์" ทั้งในฐานะส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งย่อมมิอาจแยกตนออกจากกระบวนการแห่งการเชื่อมร้อยดังกล่าวนั้นได้ ทั้งโลกด้านนอก คือ รูปธรรม ที่เนื่องอยู่กับธรรมชาติทั้งมวล
    และโลกด้านในอันเป็นนามธรรมที่ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ไปได้
    ยิ่งในฐานะสมาชิกในสังคมหรือในชุมชนแห่งความเป็นมนุษย์ด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยในอดีต ซึ่งห่างกันด้วยเวลาและสถานที่ หรือสังคมโลกในปัจจุบัน ที่เชื่อมร้อยเข้าด้วยกันด้วยข่าวสารและข้อมูล ตลอดจนเทคโนโลยีอันหลากหลายก็ตาม
    ด้วยเหตุดังกล่าวถึงแม้ปัจเจกบุคคลจะปฏิเสธโลก (ด้วยตนเอง) หรือถูกปิดกั้น หลอกลวง ตลอดจนหลอกล่อ (ถูกกระทำ) ให้เลือนหลง อยู่กับสมมติสัจจะ จนห่างไกลจาก "ความจริงแท้" หรือปรมัตถสัจจะก็ตาม
    แต่เขา(และเธอ) ทั้งหลาย ก็ย่อมที่จะไม่อาจปฏิเสธ ผลกระทบ และ การเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุ จากสัจธรรมทั้งปวงได้
    กล่าวคือในฐานะ ส่วนหนึ่ง ของสรรพสิ่ง ปัจเจกบุคคล ย่อมตกอยู่ในฐานะทั้งของ เหตุ และ ผล อันซับซ้อนไปพร้อมๆ กัน โดยไม่สามารถปฏิเสธหรือแยกตัวเองออกมาจากการเชื่อมโยงทั้งหลายได้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
    และหากจะกล่าวในแง่ของการปฏิบัติธรรมหรือการเจริญภาวนาด้วยแล้ว คงปฏิเสธไปเสียไม่ได้ว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นของธรรมปฏิบัติ คือ การเปิดใจให้กว้าง เพื่อศึกษา, เข้าใจ และยอมรับต่อความจริงทั้งปวง
    โดยก้าวข้ามความลวงทั้งหลายเพื่อนำไปสู่การกำหนดท่าทีที่เหมาะสมของตนต่อสรรพสิ่ง คือ การยืนอยู่ข้างความถูกต้อง และชอบธรรม
    ในฐานะพระบรมศาสดาพระพุทธองค์ผู้ทรงค้นพบความจริงแท้ ได้ปฏิบัติตนในฐานะลูกไก่ตัวแรก ที่เจาะเปลือกไข่แห่งอวิชชา ก้าวข้ามพรมแดนแห่งความรู้ที่ยังมีข้อจำกัด ไปสู่ความรู้ยิ่ง โดยปราศจากข้อจำกัดใดๆ
    ซึ่งหมายถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้จนสามารถประยุกต์เอาองค์ความรู้ หรือปัญญา อันยิ่งนั้นไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต โดยไม่เนื่องอยู่ด้วยเวลา และสถานที่ด้วยความถูกต้องและชอบธรรม
    แต่ข้อจำกัดหนึ่งของผู้ปฏิบัติธรรมหรือนักภาวนาบนภาวนาวิถี ซึ่งเนื่องอยู่ด้วยกรรม และวิบากกรรม บารมี และอินทรีย์ของแต่ละปัจเจกชน โดยไม่สามารถเชื่อมโยงโลก และชีวิตที่เป็นจริงได้ ก็คือ ในฐานะของผู้เดินทางที่ยังไม่สมบูรณ์ พร้อมทั้งจิตใจและอุปกรณ์ หรือเครื่องช่วย เรามักตัดสินใจไปด้วยการเปรียบเทียบ ที่ปราศจากบรรทัดฐานอันเหมาะควร ทั้งในการยอมรับ และปฏิเสธ ทั้งในการเดินและการหยุด หรือกระทั่งการยินดี และยินร้ายอันปรุงแต่งขึ้นจากความหวั่นไหว และอคติ
    นักภาวนาผู้มาใหม่จึงยังประกอบไปด้วยความรักและความชัง ความถูก และความผิด การยอมรับ หรือปฏิเสธ และความยินดียินร้าย โดยไม่สามารถเข้าถึงแก่นแกนของปรากฏการณ์ที่ตนสัมผัสในระดับเปลือกผิว หรือไม่สามารถเฝ้าดู และพิจารณาแยกแยะ ปรมัตถสัจจะ อันเป็นเนื้อแท้ ออกมาจากสมมติสัจจะ หรือสมมติบัญญัติ ที่ฉาบทา หรือย้อมเคลือบเอาไว้ได้
    ในโลกที่เป็นจริงนักภาวนาจำนวนไม่น้อยจึงกลายเป็นส่วนเกิน หรือต้องตกอยู่ในฐานะผู้แปลกแยกไปจากสังคมรอบข้าง ไม่สามารถดำเนินชีวิต หรือใช้ชีวิต อยู่ร่วม กับเพื่อนร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของตนได้อย่างเหมาะควร มิหนำซ้ำยังตกอยู่ภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อ จนถึงกับยอมรับไปกับความอยุติธรรมทางสังคม โดยมิอาจแยกแยะไปเสียก็มี
    หลายคนติดดี คือ หลงคิด ว่าตนเอง ดีกว่า ผู้คนทั่วไปที่ยังใช้ชีวิตในโลกียวิสัย โดยมิได้อุทิศชีวิตให้แก่การปฏิบัติธรรม ดังที่ตนเองคุ้นชิน โดยหลงลืมไปเสียว่า เป้าหมายสูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ทั้งที่เป็นนักบวชและผู้ครองเรือน ที่มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง ก็คือ การก้าวเดินไปบนเส้นทางสายภาวนา หรือ "ภาวนาวิถี" อย่างปกติสามัญ

    โดยไม่แข่งขันหรือมุ่งเอาชนะ เพื่อดำรงชีวิตให้สมบูรณ์พร้อมในโลกที่เป็นจริง ที่มีความสงบสันตินี้เอง
    พระกิตติศักดิ์กิตติโสภโณ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ----------------
    [​IMG]
    http://www.komchadluek.net/2008/10/13/x_phra_j001_225539.php?news_id=225539
     

แชร์หน้านี้

Loading...