ใครเป็นผู้ตั้ง"พุทธศักราช"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 27 มิถุนายน 2010.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    จากหลักฐานประวัติทางด้านโบราณคดีที่ได้พบขึ้นใหม่ๆ ในตอนกลางของ
    ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีการค้นพบหลักฐานพวกลูกปัดและสิ่งอื่นๆ ที่แสดง
    ว่า ในอาณาเขตดินแดนสุวรรณภูมิของไทยแห่งนี้ได้มีการติดต่อและเป็นเส้น
    ทางการค้าขาย จากประเทศอินเดีย ไปจนจดประเทศเวียดนาม มาเนิ่นนานแล้ว
    เป็นเวลาร่วม ๓,๐๐๐ ปี ก่อนสมัยพุทธกาลเสียอีก แต่สำหรับตำนานมหา
    อาณาจักรไทยนั้นเพิ่งจะได้เริ่มมีบันทึกเป็นเรื่องราวมาตั้งแต่กลียุคศักราช และ
    เป็นที่เด่นชัดขึ้น ในรัชสมัยแห่งพระเจ้าสิงหนวัติผู้สร้างมหาอาณาจักรโยนก
    นาคพันธุนคร ในดินแดนแห่งสุวรรณโคมคำเดิม ที่ได้ร้างไปตั้งแต่ครั้งศาสนา
    พระพุทธกัสสปะ

    พระเจ้าสิงหนวัติพระโอรสของพระเจ้าเทวกาล ได้ประสูติในกลียุคศักราช ๑ ปี
    ก่อนที่ พระเจ้าสีหตนุราช (หรือ สีหหนุราช – พระราชบิดาของพระเจ้าสุทโธ
    ทน) และพระเจ้าอัญชันราช (พระราชบิดาของพระนางมหามายาและพระนาง
    ปชาบดี) และ พระกาลเทวิฬ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าอัญชันราช (หรือ
    อสิตดาบส ผู้พยากรณ์พระพุทธเจ้า) ทั้งสามพระองค์จะได้ทำการลบศักราชกลี
    ยุคเสีย และได้ตั้ง อัญชันศักราช ขึ้นในกาลียุคศักราช ๒๔๑๑ ปี

    พระเจ้าสิงหนวัติทรงมีพระชนมายุยืนยาวมาก ได้สร้างเมืองโยนกนาคพันธุนคร
    ในปีอัญชันศักราชที่ ๑๗ อาณาเขตแว่นแคว้นดินแดนโยนกนั้นกว้างขวางไป
    โดยลำดับ ประกอบด้วยชนชาติมากมายหลายเผ่าพันธุ์ เช่น พวก ขะแมร์ ลวะ
    ละว้า ขอม กล๋อม ขมุ ส่วย ไทย ฯ พระเจ้าสิงหนวัติทรงครองราชย์สมบัติอยู่
    นานถึง ๑๐๒ ปี จนพระชนมายุได้ ๑๒๐ ปี จึงได้สวรรคต

    ในอาณาเขตแห่งอาณาจักรโยนกนาคพันธุนครนั้น ยังมีแว่นแคว้นเมืองหนึ่งอยู่
    ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่า เมืองอารวีเชียงรุ้ง หรือ “อาฬวี” อันเป็นถิ่น
    ที่อยู่ของชนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า “พวกอาฬวกยักษ์” (ผู้เขียน เข้าใจว่า น่าจะเป็น
    พวกกล๋อม) ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดและจำ
    พรรษา ณ เมือง อารวีเชียงรุ้งแห่งนี้ ในพรรษาที่ ๑๖ เมื่อปีอัญชันศักราชที่
    ๑๑๙ (ก่อนพระเจ้าสิงหนวัติสวรรคต) และพระองค์ได้เสด็จมาเยือนอาณาจักร
    โยนกอีกครั้งหนึ่ง ในปีที่ ๔ สมัยของพระเจ้าคันธกุมาร เมื่อปีอัญชันศักราชที่
    ๑๒๓ และ ได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ตำบลผาเรือและ ตำบลสันทราย
    หลวง โดยได้ตรัสพยากรณ์ดอยตุง (นามเดิม ดอยดินแดงหรือดอยตะยะสะ)
    อันเป็นที่อยู่ของพระกัมโลฤาษี ว่า จะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุใน
    ภายหน้า เสร็จแล้ว พระองค์จึงได้เสด็จต่อไปยังกรุงราชคฤห์ จำพรรษาใน
    พรรษาที่ ๒๐

    พระเจ้าอชุตราช พระนัดดาของพระเจ้าสิงหนวัติ ได้ขึ้นครองราชย์อาณาจักรโย

    นก ในปีอัญชันศักราชที่ ๑๔๘ มะเส็งศก ปีเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรง
    ปรินิพพาน พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทำการลบอัญชันศักราชนั้นเสีย แล้วได้ตั้งพุทธ
    ศักราชขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๓ พระ มหากัสสป ก็ได้นำเอาพระบรมอัฐิธาตุพระ
    รากขวัญเบื้องซ้ายมาถวายแก่พระเจ้าอชุตราช จึงได้มีการก่อสร้างพระสถูปขึ้น
    บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น ที่ดอยตุง ดังพระพุทธทำนาย

    ในกาลสมัยต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๑๘ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ภายหลังจากที่
    ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๓ ที่กรุงปาฏลีบุตรแล้ว พระโมคคลีบุตร
    ติสสเถระ ได้แต่งตั้งคณะสงฆ์ไปดำเนินการประกาศเผยแพร่พระพุทธศาสนา
    หลายคณะ ซึ่งก็ได้มีหลายคณะได้เดินทางเข้ามาในดินแดนสยามประเทศทั้ง
    ตอนทิศเหนือและทิศใต้ กล่าวคือ

    ทางด้านทิศเหนือ ได้มี พระมหารักขิตเถระ กับพระเถรานุเถระอันดับหลายรูปได้
    นำเอาพระพุทธศาสนา พร้อมด้วยพระบรมสารีริกธาตุ ๙ พระองค์ มาสู่
    อาณาจักรโยนกนาคพันธุนคร (หมายเหตุ - ท่าน ผู้รู้บางท่าน เช่น ศจ. ดร. พี.
    วี. บาปัต ว่า น่าจะเป็นไอโอเนียนกรีก แต่ผู้เขียน เห็นว่า ขัดกับหลักฐานแผนที่
    โบราณและตำนานโยนกนคร)

    ทางด้านทิศใต้ ได้มีพระโสณะและพระอุตตรเถระ (ในตำราโหราศาสตร์ไทยว่า
    พระอุตตรามเถระ) กับพระเถรานุเถระอันดับหลายรูปได้นำเอาพระพุทธศาสนา
    เข้าสู่แดนแคว้นสุวรรณภูมิทางตอนใต้อีกทางหนึ่ง

    ในสมัยนี้เองที่ตำราโหราศาสตร์ได้เข้ามาเริ่มแพร่หลายในดินแดนสยาม
    ประเทศ อาทิเช่น ตำราจักรทีปนี, ตำราสุริยยาตร์ ฯลฯ ซึ่งนับเนื่องมาถึง
    ปัจจุบันก็เป็นเวลาสองพันกว่าปีมาแล้ว

    อนึ่ง บรรดาสรรพตำราโหราศาสตร์ภาคคำนวณในครั้งกระโน้น ต่อมาได้เปลี่ยน
    จากกลียุคศักราชมาใช้มหาศักราช ซึ่งพระเจ้าสลิวาหนราช (พระเจ้ากนิษกะ)
    ได้ทรงลบศักราชเดิมและได้ตั้งขึ้นใหม่ เมื่อวันอังคารที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 78
    (พ.ศ. ๖๒๑) มาเป็นมูลคำนวณทั้งสิ้น

    ต่อมา ในปี พ.ศ. ๙๕๖ พระพุทธโฆษะ (ในตำราโหราศาสตร์ไทย เรียกว่า พระ

    พุทธโฆษาจารย์) ชาวเมืองโกศล เมืองสุธรรมาวดี (เมืองทาตัน) ในรามัญ
    ประเทศ (Tailanga – ประเทศพม่าหรือเมียนมาร์ ในปัจจุบัน) ผู้เดิมเป็นศิษย์
    แห่งมหาฤาษีปตัญชลิ แล้วต่อมาได้บวชอยู่ในสำนักของท่านมหาสถวีระ เรวตะ
    และเป็นผู้แต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรคอันเลื่องชื่อ ได้เดินมายังเมือง นครไชยบุรี
    เชียงแสน แคว้นโยนก เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู มหาศักราช ๓๓๕
    พร้อมกับได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุ ๑๖ องค์ มาถวายแก่พระเจ้าพังคราช ซึ่ง
    ได้จัดสร้างพระสถูปเจดีย์ พระธาตุจอมทองและพระธาตุดอย กิติ ขึ้น

    พระพุทธโฆษาจารย์ท่านนี้ เป็นผู้แต่งคัมภีร์อรรถสาลินี (อัฏฐสาลินี) ซึ่งได้
    กล่าวพยากรณ์ ว่าด้วย การโคจรดาววิปริต พักร์ มณฑ์ เสริด ที่ใช้กันอยู่ในตำรา
    โหราศาสตร์ไทยนี่เอง

    จากรายละเอียดที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่า ชนชาติไทยมีความเกี่ยว
    ข้องกับพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เริ่มต้นในครั้งพุทธกาลมาโดยลำดับ และวิชา
    โหราศาสตร์ไทยก็ได้รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เป็นเวลามากกว่า
    สองพันปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยจนได้มีพัฒนาการมาเป็นเอกลักษณ์ของ
    ไทยโดยเฉพาะแล้ว จึงเป็นที่น่าภาคภูมิใจและสมควรที่จะรักษามรดกภูมิปัญญา
    และวัฒนธรรมไทย อันแฝงอยู่ในวิชาโหราศาสตร์ไทยเอาไว้เป็นมรดกแก่ลูก
    หลานไทยสืบไป

    บรรณานุกรม
    พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย (สุตตันตปิฏก) สุตตนิบาต มหาวรรค (๑๑) นาลกสูตร
    พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย (สุตตันตปิฏก) สุตตนิบาต เรื่องที่ ๑๐ อาฬวกสูตร
    คัมภีร์มโนรถปูรณีอรรถกถาอังคุตตรนิกาย
    คัมภีร์อรรถสาลินี
    คัมภีร์ทีปวงศ์ พงศาวดารลังกา
    ตำนานโยนก
    ตำนานพระธาตุดอยตุง และ ตำนานพระธาตุจอมทอง


    http://www.payakorn.com/news_detail.php?q_id=22

    SOSO's space's Blog - Windows Live
     
  2. Jedi Master

    Jedi Master Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +75
    [​IMG]
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: #e7e7e7 1px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 8px" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-RIGHT: 0px" class="lst-td tia" width="100%"><INPUT value=th type=hidden name=hl><INPUT value=1R2ADFA_enTH349 type=hidden name=rlz><INPUT class=lst title=ค้นหา value="พุทธศักราช เริ่มนับเมื่อ" maxLength=2048 size=41 name=q init="true" autocomplete="off"> <TD style="PADDING-RIGHT: 0px" class=lst-td>[​IMG]
    <TD><INPUT class=lsb value=ค้นหา type=submit name=btnG>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <INPUT value=f type=hidden name=aq><INPUT type=hidden name=aqi><INPUT type=hidden name=aql><INPUT value="พุทธศักราช เริ่มนับเมื่อ" type=hidden name=oq><INPUT type=hidden name=gs_rfai>


    การค้นหาขั้นสูง
    ผลการค้นหาประมาณ 2,890,000 รายการ<NOBR> (0.16 วินาที) </NOBR>



    ผลการค้นหา

    1. <LI class="g w0">ศักราช - วิกิพีเดีย

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> พุทธศักราช (พ.ศ.) - เริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อวันเพ็ญ เดือน 6 ปีจอ นิยมใช้ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา โดยเฉพาะไทย และศรีลังกา ...
      <CITE>th.wikipedia.org/wiki/ศักราช</CITE> - แคช - ใกล้เคียง
    2. พุทธกาล - วิกิพีเดีย

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> การกล่าวถึงพุทธกาลในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามักจะหมายถึงระยะเวลา 80 ปีนี้. พุทธศักราช เริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 1 ปี จึงนับเป็น พุทธศักราชที่ 1 ...
      <CITE>th.wikipedia.org/wiki/พุทธกาล</CITE> - แคช - ใกล้เคียง
      แสดงผลการค้นหาเพิ่มเติมจาก th.wikipedia.org



      <LI class="g w0">พุทธศักราช แท้จริงแล้ว ถูกหรือไม่ เริ่มนับกันมาอย่างไร - kalyanamitra webkal.org

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> 1 โพสต์ - 1 ผู้เขียน
      เขาล่วงหน้าเราปีหนึ่ง เพราะการนับเนี่ยมันเริ่มต่างกันอย่างนี้แหละ ว่า พอ<WBR>พระพุทธเจ้าปรินิพพานปั๊บจะนับ พ.ศ. 1 เลยแบบพม่าหรือจะนับเป็น พ.ศ. ...
      <CITE>www.kalyanamitra.org › ... › ธรรมะดีๆ และข่าวสารศาสนา</CITE> - แคช - ใกล้เคียง
      [​IMG]ดูผลการสนทนาเพิ่มเติม
    3. ปี พ.ศ. เริ่มนับจากอะไร - มีคำตอบ - กูรู

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> 24 มี.ค. 2008 ... พ. 2551, 19:54:49 แจ้งการละเมิด. ปี พ.ศ. เริ่มนับจากอะไร. ตอบ, รับการแจ้งทาง<WBR>อีเมลเมื่อได้รับคำตอบใหม่ ... ในประเทศไทยเริ่มพ.ศ. ...
      <CITE>guru.google.co.th › หน้าแรกรายการคำถาม</CITE> - แคช - ใกล้เคียง ทำไมปี พ.ศ. จึงต่างกับปี ค.ศ. เท่ากับ 543 ปี‎ - 23 ก.พ. 2010
      มีกี่ประเทศ ที่ใช้ปี พ.ศ. แบบไทย เห็นส่วนใหญ่ใช้เป็น ค.ศ ...‎ - 9 ม.ค. 2010
      ร.ศ กับ พ.ศ ต่างกันกี่ปี‎ - 6 มิ.ย. 2009
      พ.ศ. และค.ศ.ต่างกันอย่างไร‎ - 21 พ.ย. 2008
      ผลการค้นหาเพิ่มเติมจาก guru.google.co.th »


      <LI class="g w0">ปีใหม่ - วิกิซอร์ซ

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> ช่วงเวลาที่จัดตั้งขึ้นตามการอ้างอิงของช่วงเวลานั้น โดยแบ่งได้ตามการอ้างอิงหรือ<WBR>การเรียก พุทธศักราช (พ.ศ.) - เริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ...
      <CITE>th.wikisource.org/wiki/ปีใหม่</CITE> - แคช - ใกล้เคียง
      <LI class="g w0">อยากทราบว่ารัตนโกสินทร์ศก เริ่มนับตั้งแต่ปีพุทธศักราชที่เท่าไหร่รศ ...

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> จุลศักราช (จ.ศ.) เริ่มนับเมื่อ พ.ศ. ล่วงมาได้ 1181 ปี โดยนับเอาวันที่พระเถระพม่า<WBR>รูปหนึ่งนามว่า "บุพโสระหัน " สึกออกจาก การเป็นพระมาเพื่อชิงราชบัล-ลังก์ ...
      <CITE>guru.sanook.com › ... › ข้อมูล และความรู้ประวัติศาสตร์</CITE> - แคช
      <LI class="g w0">เวลาน่ารู้

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> 21 มิ.ย. 2010 ... รัตนโกสินทร์ศกเป็นการนับศักราชที่ใช้เฉพาะประเทศไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระ<WBR>จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๒ โดยเริ่มนับร.ศ.๑เมื่อปีพ. ...
      <CITE>www.moe.go.th/moe/th/blog/view-blog.php?memberid=850...556</CITE> - แคช
      <LI class="g w0">landdoc - หลักเกณฑ์การเทียบศักราช

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> จุลศักราช (จ.ศ.) เริ่มนับเมื่อ พ.ศ. ผ่านมาได้ 1181 ปี โดยนับเอาวันที่พระเถระพม่า<WBR>รูปหนึ่งนามว่า "บุพโสระหัน" ลึกออกจากการเป็นพระ ...
      <CITE>www.dol.go.th/landdoc/index.php?option=com...id...</CITE> - แคช - ใกล้เคียง
    4. ศักราช - คลังปัญญาไทย

      <BUTTON class=ws title="" type=submit></BUTTON> [แก้ไข] จุลศักราช (จ.ศ.) เป็นการนับเดือนปีเป็นแบบทางจันทรคติ เริ่มนับ จ.ศ. 1 เมื่อปี พ.ศ. 1182 โดยนับเอาวันที่พระบุพโสระหัน ...
      <CITE>www.panyathai.or.th/wiki/index.php/ศักราช</CITE> - แคช - ใกล้เคียง
     
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
  4. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ชนชาติสยามก่อนไม่ใช่เหรอครับ ?

    แล้วถึงมารวมเป็นไทย โดยมีนัยโดยย่อว่า ไทย หมายถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจากหลายชนชาติ ส่วนสยามเป็นเชื้อชาติสยามโดยแท้ ซึ่งจุดนี้ทำให้มีการแบ่งเอกลักษณ์
    ของแต่ละฝ่ายโดยมีนัยแฝง เหมือนสมัยนี้มีการใส่สีเข้าไปด้วย ทำนองเดียวกันเลย
    ลองศึกษาดูนะครับ


    โหราศาสตร์ เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับดวงดาวและการพยากรณ์เป็นหลักการณ์ทางสถิติ ลักษณะเป็นกงจักรเน้นที่ เวลา สถานที่ เป็นสำคัญ
    แต่ในสมัยนี้วิชานี้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นผู้ศึกษาแทน และยังเป็นที่แอบอ้างจากบุคคลและกลุ่มบุคคลหลายๆฝ่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2010
  5. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ได้ความรู้อัดแน่นเลยค่ะ
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** คิดเลข เรื่องศาสนา กับ ๕๐๐๐ ปี ****

    เมื่อ....
    กาลีศักราช ที่ ๒๔๑๑ ... เป็น อัญชันศักราช ที่ ๑
    พระพุทธเจ้าประสูติ...กาลีศักราช ที่ ๒๔๗๘....อัญชันศักราช ที่ ๖๘
    อีก ๓๕ ปี....กาลีศักราช ที่ ๒๕๐๓...อัญชันศักราช ที่๑๐๓ ....ตรัสรู้
    อีก ๔๕ ปี...กาลีศักราช ที่ ๒๕๕๘....อัญชันศักราช ที่๑๔๘ ....ปรินิพพาน...เป็นพุทธศักราช ที่ ๑

    ครบรอบ ๕๐๐๐ ปีตรง กาลีศักราช ที่ ๕๐๐๑....พุทธศักราช ที่ ๒๔๔๔
    ต่อไปอีก ๑๑๑ ปี กาลีศักราช ที่ ๕๑๑๒....พุทธศักราช ที่ ๒๕๕๕...คริสต์ศักราช ที่๒๐๑๒....จะตรงปฏิทินมายาโบราณสิ้นสุดพอดี

    จะอย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนรักษาสัจจะไว้กับตน
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E-%E0%B8%A8-1-%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%9E-%E0%B8%A8-5000-a.209434/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2010
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** คำนวณ ****

    กาลีศักราช ที่ ๕๐๕๙...ตรง พุทธศักราช ที่ ๒๕๐๒
    คือ ช่วงกึ่งพุทธกาล....
    ความหมายของ... หลักสัจจะธรรม กับ สัจจะปฏิบัติ
    ยังไม่ได้ศึกษากันเลย
    เมื่อไม่รับสัจจะ โลกก็เริ่มปรับตัวเข้ายุคพระศีอารย์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
    #10
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** พ.ศ. ๒๕๕๕ ****

    คือ กาลีศักราช ครบ ๕๐๐๐ ปี + ๑๑๑ ปี
    --------------------------------
    = คริสต์ศักราช ๒๐๑๒

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
    #11
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท****

    ศึกประลัยกัลป์...ใกล้เข้ามา
    ใช้ชีวิต....ด้วยสัจจะ ทุกวัน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** ศึกประลัยกัลป์ ****

    เมื่อ...ต้นปี พ.ศ.๒๕๔๙
    ศึก-ประ-ลัย-ยา-กัล ใกล้ตัว....เหลือเพียง ๑ คืบอรหันต์

    ๑ คืบ ของอรหันต์...เท่ากับ ๖ ปี
    เพราะฉะนั้น จะมาถึงตัว ในปี พ.ศ.๒๕๕๕
    ตอนนี้ จึงเหลือเวลาไม่มาก
    ผู้รอดพ้น...คือ ผู้มีสัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    <TABLE id=post3954018 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>วันนี้, 09:17 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#22231 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หนุมาน ผู้นำสาร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3954018", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 10,236
    Groans: 1
    Groaned at 467 Times in 322 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 209
    ได้รับอนุโมทนา 68,021 ครั้ง ใน 9,633 โพส
    พลังการให้คะแนน: 4824 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_3954018 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->*** ชาวมายาน่ารัก ****

    ขุดมาอ่านอีกที

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "


    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ wellrider [​IMG]
    ปฏิทินมายา




    [​IMG]


    วันสุดท้ายของปฏิทินของชาวมายา ว่ากันที่ตัวปฏิทินก่อนว่าทำไมมันจึงสำคัญและมีคนสนใจมันมากนัก...

    ชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล นับเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคจนนักวิชาการต่างๆ พากันส่ายหน้าปวดหัวด้วยความแปลกใจเป็นอันมาก
    กล่าวคือ ชาวมายามีความเป็นเลิศทางด้านการคำนวณและดาราศาสตร์


    สิ่งที่ชาวมายาคิดค้นได้ก็คือ ปฏิทินและการคำนวณบางประการที่ไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้ จะสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สมัยใหม่อย่าพวกเราเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคม ปี พ.ศ.2554 (ซึ่งตามความเชื่อของชาวมายาก็คือ พระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง ก่อนพูดถึงเรื่องอื่นต่อไป อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจกับระบบตัวเลขและแนวคิดของชาวมายากันนิดนึงก่อน เริ่มกันที่เลข 20 อันเป็นเลขที่ชาวมายาเค้าถือกันว่าเป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ คนโบราณพวกนี้มีแนวคิดทางตัวเลขที่น่าสนใจมาก กล่าวคือ มนุษย์ในปัจจุบันนิยมใช้เลขฐานสิบเป็นหลัก โดยยืนพื้นอยู่บนนิ้วมือทั้งสิบ แต่ชาวมายากลับแตกต่างกันไปเพราะพวกเขารวมนิ้วเท้าอีกสิบเข้าไปด้วยเป็นเลข ฐาน 20 พอดิบพอดี ลองมาดูสัญลักษณ์ของชาวมายาที่นับจาก 0-20 กันดีไหม? เลขศูนย์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์วงกลม เลขหนึ่งด้วยหนึ่งจุด เลขสองแทนด้วยจุดตามแนวนอน เลขสามด้วยจุดสามจุด เลขห้าแทนด้วยเส้นแนวขวาง เลขหกแทนด้วยจุดหนึ่งจุดเหนือเส้นแนวขวางและเป็นแบบนั้นไปตามลำดับ เลขสิบเก้าแทนด้วยจุดสี่เหลี่ยมเหนือเส้นแนวขวางสามเส้นที่ซ้อนกันขึ้นไป เลขยี่สิบแทนด้วยสัญลักษณ์คล้ายวงกลมที่มีจุดจุดหนึ่งอยู่ด้านบน

    [​IMG]

    ความสัมพันธ์อีกประการของปฏิทินของชาวมายาก็คือ หนึ่งอุยนัลหรือเดือนของพวกเขามีอยู่ 20 คิน หรือ 20วัน :)

    อาณาจักรมายาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาแต่ครั้งโบราณ ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ประเทศกัวเตมาลา ครั้งหนึ่งอาณาจักรนี้เคยคึกคักรุ่งเรืองเป็นที่สุด เมืองใหญ่ๆเช่น ติกัลหรือพาเลงกอมีประชากรร่วมแสน เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และเป็นเมืองที่มีอิทธิพลทางการค้าเป็นอย่างมาก แต่ด้วยเหตุผลกลใดหาใครทราบ เมืองยุคแรกของชาวมายาเช่นติกัลก็ได้เริ่มเสื่อมสลายทีละน้อยในช่วง ค.ศ. 200-900 นักโบราณคดีรู้สึก ประหลาดใจมากกับหลักฐานที่ว่า ด้วยเหตุผลบางประการชาวมายาได้ละทิ้งเมืองอันรุ่งเรืองของพวกเขาในช่วงเวลา นั้น หยุดชะงักอารยธรรมที่กำลังเติบโตทั้งหลายทั้งมวลคล้ายๆกับว่าจู่ๆพวกเขาหมด กำลังใจในชีวิตกันไปแล้ว

    บางคนอาจนึกถึงการเข้ามาของชาวยุโรปว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อารยธรรมมายาล่ม สลายไป มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ เพราะชาวยุโรปเข้ามายังโลกใหม่เมื่อราวๆศตวรรษที่ 17 ตอนนั้นอารยธรรมมายาเสื่อมสลายลงเกือบหมดแล้วเหลือเพียงชนพื้นเมืองกลุ่ม เล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วคาบสมุทรยูคาทานกับเม็กซิโกตอนใต้เท่านั้น

    มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ชาวมายาหยุดความก้าวหน้าทางอารยธรรมลง เหมือนชนชาติที่เสียแรงกระตุ้น เพราะจู่ๆพวกเขาก็หยุดชะงักเอาเฉยๆหลังจากรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมอันน่าพิศวง สุดขีดมาหลายศตวรรษ อะไรที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น?

    เนื่องจากเป็นเคสที่น่าสนใจจึงมีทฤษฎีว่าด้วยการล่มสลายของอารยธรรมมายาขึ้น มาเพียบ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเกิดจากการที่ทาสกับประชาชนลุกขึ้นมาโค่นล้มชนชั้น ปกครองผู้เผด็จการ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ครับ เพราะอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดนั้น สังคมที่แข็งแกร่งขนาดนั้นไม่น่าจะมาพังพาบง่ายๆกับอีเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่นี้ แถมไม่มีหลักฐานอะไรชี้ชัดเอาเสียเลยว่ามีการแข็งข้อแข็งเมืองเกิดขึ้นใน นครรัฐของชาวมายา การจะเข้าใจอารยธรรมมายาได้อย่างถ่องแถ้นั้นเราต้องเอาใจเราเข้าไปจับใจของ ชาวมายาเสียก่อน

    [​IMG]


    เลิกคิดแบบมนุษย์ปัจจุบัน เลิกยึดติดกับความรุ่งเรืองทางวัตถุแบบ อารยธรรมตะวันตก

    ในสายตาของมนุษย์สมัยใหม่ชาวมายาไม่ได้ต่างอะไรไปเลยจากมนุษย์ถ้ำสมัยหิน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างปิระมิดด้วยศิลาอย่างไร้เหตุผล ไม่มีเทคโนโลยีด้านสกัดแร่หรือถลุงโลหะ ไม่มีอาวุธมากกว่ามีดและหอก

    นักวิชาการหลายคนมองชาวมายาเป็นอัจฉริยะผู้ไร้สติ คือทั้งๆที่พวกเขาเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และสถาปัตยกรรมอันไร้เทียมทาน
    แต่กลับไม่ได้นำมาสร้างสรรค์หรือแผ่ขยายอารยธรรมแต่ประการใดเลย
    นักวิชาการไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอารยธรรมที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาจนรุ่งเรือง ได้ขนาดนั้นจู่ๆกลับเสื่อมสลายลง อัจฉริยะทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชาวมายาหายหัวไปไหนหมด

    พวกเขาส่งผ่านมรดกอะไรให้แก่ชนรุ่นหลังบ้าง ทำไมจึงทิ้งเมืองใหญ่อันโอฬารอย่าง ติกัล อักซมัล พาเลงกอ และชิตเซนอิซาเอาไว้ หลงเหลือแต่เพียงซากปรักหักพังอยู่กลางป่าดงดิบในกัวเตมาลา แล้วก็วาดภาพแกะสลัก ทำเส้นสายด้วยรหัสภาษาที่ไม่มีใครอ่านออกเอาไว้ ทิ้งให้นักโบราณคดีรุ่นหลังตีอกชกหัวกุมขมับปิ้มจะบ้าทำไม...

    เราคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ตราบใดที่ไม่ขจัดปัญหาบางประการออกไปเสียก่อน ปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวมายา แต่อยู่ที่ทฤษฎีของพวกเรา อยู่ที่วิธีวัดความสำเร็จที่มนุษย์ปัจจุบันใช้กับชาวมายานั่นแหละ หลายศตวรรษที่ผ่านมาจนถึทุกวันนี้

    พวกเราวัดความรุ่งเรืองทางอารยธรรมของมนุษยชาติด้วยไม้บรรทัดที่ถือมาตั้ง แต่สมัยเรเนอซองส์ ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีทางวัตถุ นวัตกรรมใหม่ๆอันจะนำเอาความเจริญทางวัตถุมาให้มนุษย์

    ตั้งแต่ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงกระสวยอวกาศ ตั้งแต่ยุคหัวธนูจนถึงขีปนาวุธนิวเคลียร์ ตั้งแต่ยุคหลอดสูญญากาศจนถึงซิลิกอนชิป ชาวมายาล้าหลังจริงๆหากจะมองในแง่นั้น ทฤษฎีต่อไปนี้อาจจะบ้าหลุดโลกสำหรับพวกคุณ แต่ปฏิทินของชาวมายาเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เวลาและตัวเลข ภาพด้านล่างเป็นตัวแทนวันในแต่ละเดือนของพวกเขา ซึ่งในบางครั้งจะถูกผนวกเข้ากับสัญลักษณ์ที่เรียกว่าโซลคินอันเป็นแกนตัวเลข 13 ตัว ถูกออกแบบให้อยู่ในลักษณะของแกนสอดประสาน เพื่อให้ได้มาซึ่งการประสานกันระหว่างจิตใจและแกแล็คซี่

    [​IMG]


    แกนตัวเลขสอดประสานเพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานกันของแกแล็คซี่ นักวิชาการน้อยคนนักที่จะเข้าใจเรื่องนี้ และผู้ที่เข้าใจก็ยากที่จะทำใจรับมันได้เนื่องจากค่อนข้างหลุดโลกเอาการอยู่

    แนวคิดนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ปรากฏการณ์ทางกายภาพ ที่นักโบราณคดีงงเป็นไก่ตาแตกกับอารยธรรมมายาเนื่องจากว่าพวกเขายากที่จะทำ ใจมองข้ามแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์
    หันไปมองแนวคิดทางจิตใจแบบชาวมายาได้ เพราะการมองแต่หลักฐานทางวัตถุนี่แหละ จึงทำให้นักโบราณคดีหลายคนไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า ทำไมชาวมายาจึงพัฒนานครรัฐได้อย่างยิ่งใหญ่ สร้างสถาปัตยกรรมโอฬาริกได้มากมาย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพวกเขาจะประยุกต์นำความรู้นี้ไปใช้ และพัฒนาอารยธรรมของพวกเขาไปในรูปแบบอารยธรรมของชาวตะวันตกอย่างที่ควรจะทำ เช่น การยกระดับความเป็นอยู่ พัฒนาเรื่องการขนส่ง การสื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์

    ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยความก้าวหน้าขนาดคำนวณปฏิทินได้เป็นล้านๆปี รอบรู้เรื่องวงโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆจนถึงขั้นคำนวณปฏิทินของดาวศุกร์ และดวงจันทร์ได้อย่างชาวมายานั้น การจะสร้างอารยธรรมให้ก้าวทันปัจจุบันเห็นจะไม่ใช่เรื่องยาก เพียงกินเวลาไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นดีไม่ดีชาวมายาอาจครองยุโรปและเอเชีย จนถึงขั้นมีนครรัฐมายาแทนสหรัฐอเมริกาจอมเกเรอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ เป็นไปได้ลองย้อนดูอารยธรรมของเราสิ เมื่อ 400 ปีก่อนเรามีเทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีการสื่อสารแค่ขี้ปะติ๋วเท่านั้น แล้วดูตอนนี้สิ สี่ศตวรรษหรือหนึ่งแบ็กทันต่อมา เราพัฒนามาถึงไหนกันแล้วครับ เมื่อร้อยปีก่อนเรายังเคาะโทรเลขก๊อกแก๊กกันอยู่ แต่ตอนนี้เราถึงขั้นสื่อสารแบบไร้สายได้มีโอกาสมา "เธอวางก่อนดิ... ดิ ดิ ดิ..." อย่างง่ายๆราวปาฏิหารย์

    [​IMG]


    พวกเราสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในรอบ 100 ปีได้มากกว่าที่เคยทำได้ในรอบ 1000 ปีเสียด้วยซ้ำ แล้วชาวมายาล่ะครับเขาทำอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรกับความรู้อันสูงส่งของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

    พวกเขาเป็นต้นแบบของนักการเมืองไทยในการถอยหลังลงคลอง ชาวมายาย้อนกลับไปสู่สังคมแบบพริมิทีฟเอามากๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.83 ชาวมายาก็ได้เจริญลงๆ จนกระทั่งถึง ค.ศ. 900 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่ 10
    อารยธรรมอันมหัศจรรย์สมชื่อมายานี้ก็ได้ถึงการเสื่อมสลายลงอย่างสมบูรณ์ คิดแล้วก็น่าเศร้า? แบ็กทันคืออะไรอย่างนั้น?

    แบ็กทันเป็นมาตรวัดเวลาของชาวมายา กินเวลาราว 395 ปีของมนุษย์ปัจจุบัน แนวคิดนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่เชื่อว่าชาว Myth น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่

    แนวคิดนี้มีอยู่ว่า ชาวมายามีวัตถุประสงค์ในการอยู่บนโลกที่แตกต่างออกไป
    พูดง่ายๆคือมีหลักฐานมากพอที่จะชี้ให้เห็นว่าชาวมายามีหน้าที่วางตำแหน่งโลก และระบบสุริยะ ให้สอดคล้องกับประชาคมแกแล็กซี่ที่ใหญ่กว่า โดยได้รับบัญชาจากเทพเจ้าของพวกเขาซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนักบินอวกาศ แห่งโบราณยุค พูดง่ายๆก็คืออาคันตุกะจากดาวดวงอื่นนั่นล่ะ

    ภารกิจหลักของชาวมายามีอะไรบ้างนั้นพวกเรายังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เดาได้เพียงแต่ว่าเมื่อถึงประมาณ ค.ศ.830 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่เก้าชาวมายาก็ได้จากไป บางคนยังหลงเหลือทายาทไว้ที่นี่ในฐานะผู้พิทักษ์หรือการ์เดี้ยน
    ทิ้งรหัสของพวกเขาเอาไว้อันได้แก่โซลคินแกนตัวเลขประสานของชาวมายา
    เพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานแห่งห้วงจักรวาล

    [​IMG]

    เนื่องจากนี่เป็นเพียงข้อสมมติฐานของนักเขียนบางคนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามนะ อันว่าสิ่งที่ชาวมายาทิ้งไว้นั้นเป็นเรื่องท้าทายวงการวิทยาศาสตร์อย่างหนัก เราจำเป็นต้องวางแนวคิดยึดติดวัตถุในรูปแบบเดิมเอาไว้เสียก่อน แล้วลองมามองจักรวาลอย่างที่ชาวมายาเขามองกัน ยกตัวอย่างปฏิทินของชาวมายากันสักเล็กน้อย เช่นเดียวกับพวกเราครับ ชาวมายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเวลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...

    แต่ปฏิทินของชาวมายานั้นแตกต่างออกไปเพราะตั้งอยู่บนค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน

    ส่วนปีของมายาแทนด้วนทันอันประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียว) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ยาวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20

    ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี

    จุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116

    ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830

    ดังนั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงน่าจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไร
    และนี่คือปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายา รอบแบ็กทัน ปฏิทินมายา ปฏิทินเกรเกอเรียน เหตุการณ์สำคัญ

    1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
    2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
    3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
    4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
    5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
    6 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า
    7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
    8 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
    9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
    10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
    11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
    12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
    13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่

    ... เป็นอันว่าเราเกือบครบรอบวงจรใหญ่ของชาวมายากันแล้ว โดยนับจากแบ็กทันแรกถึงแบ็กทันที่สิบสามตามเวลาปฏิทินของมนุษย์ยุคใหม่เรา
    ส่วนการอ่านปฏิทินตัวเลขของชาวมายานั้นให้อ่านแบบนี้ครับ ดูตัวเลขที่เรียกลำดับกัน 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นจะแทนช่วงลำดับเวลา ตามนี้

    แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน
    คิน = 1 วัน
    อุยนัล = 20 คิน
    ทัน = 360 คิน
    คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน)
    แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)

    จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จำนวนวันจริงๆ

    แล้วเอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกประการ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมาเยือนโลก พิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็กซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษอยู่ในใจว่าบ้าไปแล้วแน่ๆ
    มีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง นั่งเรือมาเรอะ?

    หลักฐานการเดินทางล่ะมีไหม เอาล่ะ มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสีย นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม

    คำว่าฮูแน็บ คู หมายถึงผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง

    ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู

    ตามแผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สองดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง

    [​IMG]

    เพ่งรูปนี้กันดีๆ ปากาล โวทาน ผู้นำชาวมายาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
    อาณาจักรมายาคลาสสิคมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคการปกครองของเขา
    ปากาลตายในปี ค.ศ. 683 ภาพนี้คัดลอกมาจากภาพนูนแกะสลักบนฝาหินของเขาที่พบใน ค.ศ. 1952 ในอุโมงค์ฝังศพที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวิหารแห่งคำจารึก (Temple of inscriptions) ที่พาเลงกอในเชียพัส ประเทศเม็กซิโก นักคิดนักเขียนบางคนเรียกปากาลว่าผู้แทนแห่งแกแล็กซี่ ผู้อาศัยคูซาน ซูอัม เพื่อไปถึง ฮูแน็บ คู หลังจากที่ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว

    ...อ่านแล้วก็ขนลุกขนพองตามใช่ไหม ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นว่าทำไมถึงเป็นชาวมายา ไม่ใช่อียิปต์ อินคา หรือ สุเมเรียนที่เป็นอารยชนที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน บอกได้เพียงแต่ชาวมายาก็มีอิทธิพลไม่น้อยในอารยธรรมอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่ามายาเป็นคำศาสนาฮินดูหมายถึงต้นกำเนิดของจักรวาล

    ในภาษาสันสกฤตเป็นคำที่เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจ เวทย์มนตร์คาถาและแม่
    แม้แต่พระมารดาของพระพุทธองค์เองก็มีนามว่าสิริมหามายา ในภาษา อียิปต์คำว่ามาเย็ตหมายถึงระเบียบของจักรวาล ส่วนในตำนานกรีกดาวที่ส่องสว่างที่สุดในกลุ่มดาวลูกไก่และเป็นน้องคนสุดท้อง ก็มีนามว่ามายาขนิษฐาของเฮดีส


    บทความวันนี้ เป็นข้อมูลเก่าแก่ที่ถูกทิ้งไว้นับพันๆ ปีโดยไม่ มีคนสนใจ ข้อมูลที่มีส่วนหนึ่งพ้องจองกับความเห็นและการคาดการณ์ทาง ด้านวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ที่กล่าวมาข้างบนนั้นอย่างน่าแปลกใจ แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นประเด็นทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะการเปลี่ยนย้าย กระบวนทัศน์ของมนุษยชาติและสังคมอย่างน่าสนใจ แม้ว่าอีกส่วนใหญ่ของ ข้อมูลเก่าแก่ที่ว่านี้จะเป็นคำทำนาย (กินเวลายาวนานถึง 64 ล้านปีของอ นาคต) ที่อยู่นอกความรู้ความเข้าใจจนเกินไป จนเป็นเหตุให้ข้อมูลถูกโยน ทิ้งหรือเก็บไว้จนหลงลืมกันไปทั้งหมด กระทั่งมีการรื้อฟื้นนำมาศึกษาติดตาม กันใหม่เมื่อทศวรรษที่แล้วๆ มานี้เอง

    ข้อมูลส่วนหนึ่งที่น่าสนใจดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่นักศึกษาด้าน ความสัมพันธ์ของวิชาความรู้ต่างสาขาน่าจะลองอ่านดู จริงๆ แล้วข้อมูลทั้ง หมดที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นกรณีศึกษาของโครงการรายวิชาของสถาบัน ความสัมพันธ์ทางความรู้ที่คณะหนึ่งของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (California Insitute of Integral Studies) และกำลังเป็นประเด็นร้อนที่พูด กันมากในประเทศตะวันตกในเวลานี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เรียกกันว่ากลุ่ม นิวเอจ (newagers) และกลุ่มวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Cultural Creatives or CC) ด้วย นั่นคือสภาพของความสะท้านสะเทือนระดับโลกที่จะเกิดขึ้น ในปี 2012 และหลังจากนั้น (the shock of 2012) ซึ่งก็เป็นช่วงเวลา เดียวกับช่วงเวลาของการเดินทางของจิตวิญญาณ สู่มิติของธรรมจิตธรรม วิญญาณ (spiritual dimension)

    [​IMG]

    ข้อมูลดังกล่าว ได้มีการบันทึกเอาไว้ในปฏิทินของชาวเผ่า มายาแห่งอเมริกากลาง (Maya Calendar) มาตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของคริสตกาล ชาวมายาเป็นชนเผ่าพันธุ์หนึ่งที่อยู่บริเวณพื้นที่ของกัวเตมาลา และบริเวณที่ เผ่าเซียปาสของเม็กซิโกอาศัยในปัจจุบัน แต่ไม่มีใครรู้ที่มาของชาวมายาว่า มาจากไหน เพราะเป็นชนผิวขาวร่างสูงและจมูกโด่ง มีริมฝีปากบางที่เป็น ตรงกันข้ามกับเผ่าโอลเม็คที่เป็นชนเผ่าเก่าแก่ที่สุดของอเมริกากลาง เป็นตรง กันข้ามในทุกกรณีดังภาพวาดภาพปั้นที่หลงเหลือมาตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนคริสต กาล (อารยธรรม La Venta อาจย้อนหลังไปถึง 800 ปีก่อนคริสตกาล) นักมนุษยศาสตร์และนักโบราณคดีบางคนคิดว่า ชาวมายามีที่มาจากชาวกรี กหรืออียิปต์ในยุคหลังๆ (Jonarthan Leonard ; Ancient America, Time- Life Book, 1968) และที่น่าแปลกอีกก็คือ อยู่ๆ ชาวมายาทั้งเผ่าพันธุ์ก็ สลายหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยหรือหลักฐานทางวิชาการใดๆ หลงเหลือให้นัก โบราณคดีสืบเสาะได้เลย

    ปฏิทินของชาวมายานั้นเป็นผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ ที่แม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินใดๆ การคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ตามที่ บันทึกไว้นั้น (ชาวมายามีปฏิทินหลักหนึ่งปฏิทิน และมีปฏิทินที่คำนวณ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อีก 22 ปฏิทิน) ที่มีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในเวลาปัจจุบันแม้แต่รายการเดียว ดังรายละเอียดบาง อย่างของปฏิทินของชาวมายาที่เอามาลงเพื่อให้ผู้อ่านสนใจจะได้พิจารณา และอาจติดตามต่อไปจากเอกสารอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้

    ชาวมายาสามารถคำนวณเวลาของการโคจรของดาวเคราะห์วิ่ง รอบดวงอาทิตย์ ที่ชาวมายารู้แต่แรกว่าเป็นแกนกลางของระบบสุริยะ ระบบที่เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งของแขน (arm) หนึ่งของกาแล็กซีที่ชาว มายาบอกว่ามีแกนที่เป็นดวงอาทิตย์ศูนย์กลางอีกดวงหนึ่ง (sun alcione เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มไพลเอดส์) ปฏิทินของชาวมายาระบุว่า ดาวศุกร์ใช้เวลา เดินทางไปรอบดวงอาทิตย์ 584 วัน ซึ่งเท่ากับที่เป็นเวลาที่เรารู้กันทุกวันนี้ หรือบันทึกว่าโลกใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบหรือหนึ่งปีเท่ากับ 365.2420 วัน ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันคือ 365.2422 วัน ปฏิทินของชาวมายายังระบุว่า ระบบสุริยะมีวัฏจักรของการเคลื่อนที่ไออยู่ใน ระนาบเดียวกัน (ecliptic) กับระนาบของแกนของแขนกาแล็กซีที่กล่าวมา ข้างต้นในทุกๆ 26,000 ปี โดยมีครึ่งหนึ่งของวัฏจักร จะมีวันที่เรียกว่า อะควิน็อกซ์ หรือวันที่มีเวลากลางวันเท่ากับกลางคืนเปลี่ยนไป (เช่นวันที่ 23 กันยายน คือวันอะควิน็อกซ์ของฤดูใบไม้ผลิของปฏิทินของปัจจุบัน) ระบบสุริยะ (รวมทั้งโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลาย) จะเข้าสู่ระนาบเช่นนั้นใน เดือนธันวาคม ปี 2012 นี้



    หลังจากปี 2012 มีสี่ประการที่จะเกิดขึ้นคือ..

    1.มนุษยชาติจะก้าวล่วงเทคโนโลยีที่เราใช้และรู้จักในขณะนี้ แทบทั้งหมด

    2.มนุษยชาติจะก้าวล่วงรูปแบบของเวลาและเงินในรูปที่ใช้กัน ในขณะนี้

    3.เราจะผ่านเข้าสู่มิติที่ห้าอันเป็นมิติจิตวิญญาณ - จากมิติที่สี่ - วิกฤติที่เจ็บปวด

    4.ระนาบของระบบสุริยะจะอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบของ กาแล็กซี


    ปฏิทินมายาบอกด้วยว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 1987 กระทั่งถึงช่วงปี 2012 เป็นช่วงเวลาระหว่างกลางของมิติที่ 4 สู่มิติที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงอันตราย เพราะเป็นช่วงที่จะมีความล่มสลายในทางธรรมชาติ และจิตวิญญาณของชาวโลกส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีการเปลี่ยน แปลงทางจิตวิญญาณของคนอีกส่วนหนึ่ง (apocalypse แปลว่าการเปิดเผยที่ หมายถึงวิวัฒนาการทางจิตอีกด้วย) น่าแปลกที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวของ เวลาจะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของกระแสแม่เหล็กโลก ที่สะท้อนออกมาตามการหมุนรอบตัวเองของโลก (Schumann Resonance ที่เคยคงที่ที่ความถี่ 7.8 เฮิรตซ์ หรือรอบต่อวินาทีทุกวันนี้ได้สูงขึ้นเป็น 11.8 รอบต่อวินาที)

    โดยปฏิทินของชาวมายา มิติที่ 5 หรือหลังปี 2012 คือช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่วนหนึ่ง จะมีวิวัฒนาการสู่แสงใสกระจ่าง (แปลกอีกที่ใช้คำว่า clear light เช่นเดียวกับในคัมภีร์พีระมิดของอียิปต์ และคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต ที่มีความหมายสู่จิตวิญญาณบริสุทธิ์)

    โศลกหลากหลายในอุปานิษัทบ่งบอกว่าพรหมันหรือปชาบดีที่เดียวดายไร้ความสุขโดย มายาจึงสร้าง "ลีลา" ที่ให้ความหลากหลายของจักรวาลแห่งกายปรากฏการณ์ขึ้นมาในภควัตคีตาที่อาจนับ ได้ว่าเป็นอุปนิษัทเล่มหนึ่ง ได้กล่าวถึงการสร้างจักรวาลและกาลเวลาในศาสนาพราหมณ์ว่า จักรวาลนั้นไม่มีการดับจึงไม่มีการเกิด (นะอันโต นะชาติ - BG XV) แต่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ จึงมีแต่ความสั่นสะเทือน (vibration) ในทุกจุดทุกตำแหน่งตลอดเวลา (ศรีอรพินโธ) สำหรับเรื่องของสรรพสิ่งกับเวลานั้น "ในช่วงเริ่มของวันรูปพรหม (ภาพลักษณ์ของพรหมัณในจักรวาลแห่งปรากฏการณ์) สรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทั้งหลายจะคลี่ขยายออกมาให้เห็น (manifested) จากองค์กรที่ปิดและซ่อนตัวเอง (unmanifested) และในช่วงเริ่มต้นของคืนสรรพสิ่งก็จะรวมตัวกลับไปสู่องค์กรเดิมนั้น" (BG. VIII และ IX) ส่วนเวลานั้นได้กล่าวถึงการสิ้นสุดเฉพาะโลกมนุษย์อาไว้ต่างหากโดยบอกว่า "หนึ่งปีของโลกมนุษย์ (360 วันกับคืน) เท่ากับหนึ่งวันและหนึ่งคืนของเทวดา...และเทวดานั้นมีอายุขัยเท่ากับหนึ่ง ยุค หรือ 12,000 ปีเทวดาซึ่งก็เป็นเพียงหนึ่งในพันของเวลาวันหนึ่ง (กลางวัน) ของรูปพรห์มเท่านั้น" รายละเอียดของกาลเวลาที่โลกแห่งชีวิตสิ้นสุดที่กล่าวไว้ในภควัตคีตาจะเป็น ดังนี้

    หนึ่งวันกับหนึ่งคืนของเทวดาเท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์
    หนึ่งปีเทวดา หรือ 360 วันเทวดาเท่ากับ 360 ปีของโลกมนุษย์
    หนึ่งยุค หรือ 12,000 ปีเทวดาจึงเท่ากับ 12,000x360 ปีของโลกมนุษย์
    หรือเท่ากับ 4,320,000 ปีของโลกมนุษย์
    1,000 ยุคของเทวดาเพียงเท่ากับหนึ่งวัน (กลางวัน) ของรูปพรหมหรือหนึ่งกัป
    หนึ่งกัปหรือหนึ่งกัลป์ของโลกมนุษย์เท่ากับ 1,000x4,320,000 เท่ากับ 4,320 ล้านปี
    ดังนั้น หนึ่งวันของพรหมคือหนึ่งกัป - เวลาที่โลกมนุษย์สิ้นสุดคือ 4,320 ล้านปี
    ในทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์ โลกมนุษย์มีอายุประมาณ 4,500 ล้านปี

    [​IMG]

    เร็วๆ นี้ มีหนังสือสองเล่มที่พูดถึงชาวมายาแห่งอเมริกากลาง (เม็กซิโก-กัวเตมาลา) กับปฏิทินของชาวมายา ที่ผู้เขียนเคยเอามาเขียน (โลกหลัง 2012 สู่มิติที่ห้า) ประวัติศาสตร์คร่าวๆ ที่เราควรรู้ก็คือ เราไม่รู้ว่าเดิมทีชาวมายามาจากไหน แต่เชื่อว่าวัฒนธรรมเก่า "ยุคก่อนมายา" ที่มีวัฒนธรรมสืบเนื่องกับลาเวนด้ากว่า 800 ปีก่อนคริสตกาล หรืออาจก่อนหน้านั้นเช่นการค้นพบหลักฐานที่ชี้บ่งอารยธรรมสูงส่งที่เมืองอิ ซาปา (Izapa) ทางใต้ของเม็กซิโกย้อนหลังไปเป็นพันๆ ปีก่อนคริสตกาล เชื่อว่าความรู้เรื่องการคำนวณเวลาและดาราศาสตร์รวมทั้งปฏิทิน โดยเฉพาะศิลปกรรมและจิตกรรมมีมาแต่เวลานั้น ปฏิทินของชาวมายานั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นเพียงการทำนายความล่มสลายของโลกที่เราทั่วไปคิดว่าไม่ควรให้ ความสนใจ แต่มีส่วนของข้อมูลที่ชี้ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตและวิวัฒนาการของจิตกับ ดาราศาสตร์อย่างน่าทึ่ง ข้อมูลส่วนหนึ่งที่นับได้ว่าเป็นข้อมูลเร้นลับว่าด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ เท่าๆ กับอีกส่วนที่เป็นวิทยาการ โดยเฉพาะดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ว่าด้วยกาลเวลา โดยบันทึกเป็นรหัสในรูปของปฏิทิน ที่มี 22 ฉบับ (calendar) ที่มีความแม่นยำมาก แม้กระทั่งปัจจุบันและด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้า กระนั้นผลของการคำนวณทางภูมิดาราศาสตร์ในปฏิทินต่างๆ เท่าที่ได้ถอดรหัสแปลออกมาแล้ว ปรากฏว่าไม่พบว่ามีการผิดพลาดระหว่างกันเลย เนื่องจากหนังสือทั้งสองเล่มให้ข้อมูลและการแปลข้อมูลไปในทางเดียวกัน ผู้เขียนจึงขอสรุปย่อของหนังสือทั้งสองเล่มในส่วนที่เกี่ยวกับการคาดการณ์ เรื่องของวิวัฒนาการของมนุษย์และจิตวิญญาณ กับประเด็นของความล่มสลายระดับโลกที่อาจจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2012 โดยนำมารวมกัน หนังสือเล่มแรกเป็นหนังสือที่ขายดีมากๆ เขียนโดยบาบารา โคลว์ ที่เป็นนักมานุษยวิทยา (anthropology) ที่ตอนหลังมาเป็นโหรและคนทรง (Babara Clow : Catastrophobia ; The Truth Behind Earth Changes, 2002) มีนักคิดนักปราชญ์นักศาสนาเขียนชมมากมาย เป็นต้นว่า แมทธิว ฟอกซ์ (The Coming of Cosmic Christ) แอนดรูว์ คอลลินส์ (Gateway to Atlantis) ส่วนอีกเล่มหนึ่งเขียนโดยนักชีวโมเลกุลชาวสวีเดนที่ได้ศึกษาปฏิทินของชาว มายามาอย่างลึกซึ้งร่วมสิบปี (Carl Calleman : Solving The Greatest Mystery of Our Time, 2001)
    ประวัติศาสตร์เชื่อได้หรือเที่ยงตรงหรือไม่ขึ้นกับสามประเด็น คือหนึ่ง ข้อมูล สอง ผู้แปลพื้นฐานของผู้แปล และสาม ความสัมพันธ์ของสังคมในช่วงเวลานั้นๆ กับช่วงเวลาของการแปลข้อมูล ดังนั้น ประวัติของอดีตที่นานจริงๆ ที่การบันทึกโดยรหัสหรือสัญลักษณ์จึงมักแตกต่างกัน บางทีก็เป็นคนละเรื่องกันไปเลย สำหรับเรื่องของมายานั้น อาจสรุปได้ว่า ชาวมายาคำนวณเวลาไปตามการโคจรของดาวดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะดวงจันทร์ที่เดินไปรอบโลก หนึ่งปีจึงมี 13 เดือน และเดือนละ 28 วัน เพียงแต่วันหนึ่งยาวกว่าเวลาปัจจุบันเล็กน้อย ทำให้วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ของชาวมายาใช้เวลาเมื่อเทียบกับเวลาใน ปัจจุบันช้าไปเล็กน้อยด้วย คือ 365.2420 วัน ซึ่งผิดจากหนึ่งปีในปัจจุบันที่มี 365.2422 วัน ปฏิทินของชาวมายาเริ่มที่ปี 3112 ก่อนคริสตกาล และจะสิ้นสุดที่ปี ค.ศ. 2012 ซึ่งจากข้อมูลอาจแปลได้ว่า ชาวมายาพูดถึงอย่างจริงจังในเรื่องการสร้าง (creation) จิตวิญญาณ (sprituality) ชีวิตและวิวัฒนาการของจิตที่กำหนดไว้แล้วโดยมีเวลาเป็นตัวกำหนด เวลาที่เป็นสนามที่ให้ความสั่นสะเทือนมาสู่โลก - สู่สนามแม่เหล็กโลก - และก่อการเปลี่ยนแปลงนานา ช่วงเวลาของเดือนธันวาคม 2012 คือวันนั้น (การสั่นสะเทือนจากสนามแห่งเวลาของจักรวาลเป็นเรื่องของ "วิวัฒนาการของจิต" ความสั่นสะเทือนนั้นมาห่างๆ ราว 20 ปีต่อครั้งในตอนแรก และสู่คนจำนวนน้อยๆ ก่อน แต่ตั้งแต่หลังปี 1999 ความสั่นสะเทือนมีมาทุกๆ ช่วงหนึ่งปี และหลังปี 2011 จะมาทุกๆ 20 วัน แต่ละครั้งจะก่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพให้กับโลกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ปฏิทินมายาเน้นที่จิตของมุนษย์ และเดือนธันวาคม 2012 คือวันนั้น ปฏิทินก็สิ้นสุดที่วันและเวลานั้น

    [​IMG]

    คนทั่วไปส่วนไม่น้อยที่มองโลกไปติดกับวัตถุที่มีเงินเป็นปัจจัยและเป้าหมาย นักวิทยาศาสตร์ไม่ว่าสายไหนที่มองโลกไปติดที่เทคโนโลยี - ที่พยายามบอกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ - ที่ก็มีเงินเป็นทั้งปัจจัยและเป้าหมาย ทั้งสองกลุ่มสองส่วน มักไม่ชอบหรือไม่ยอมอ่านเรื่องที่ว่าด้วยความพินาศโลกที่ผู้เขียนเอามาเขียน นี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นจังหวะที่เอื้อวิวัฒนาการทางจิต ไม่เห็นมีนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่คนไหนที่ไม่พูดว่าจิตคุมกายและอยู่เหนือสสาร ดังนั้นบทความทั้งสามบทความชี้บ่งความพินาศระดับโลกที่อาจไม่ยิ่งหย่อนไปจาก เมื่อ 65 ล้านปีก่อนมากนัก บทความสองบทความที่แล้วชี้บ่งเช่นนั้น ที่จริงปฏิทินมายาและบทความของวันนี้ก็พูดถึงความพินาศโลก เพียงแต่ไม่ระบุให้ชัด แต่สาเหตุก็อยู่ที่จิตจักรวาลหรือพระเจ้าก็สุดแท้แต่จะเรียก ปฏิทินพูดถึงจิตมนุษย์ที่ล้าหลังและสุดบอบช้ำจากกรณีแผ่นดินเปลือกโลกแยก เมื่อ 60,000 ปีก่อน - ช่วงที่มนุษย์นีอันเดอร์ธิงต้องสูญพันธุ์ไป - แต่ก็ทำให้เราที่เป็นโฮโมซาเปี้ยนส์


    เอกสารอ้างอิง :
    | ไทยโพสต์
    Mythland
    Bloggang.com : Tang_tpr :

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ปฏิทินของชาวมายาเริ่มที่ปี 3112 ก่อนคริสตกาล และจะสิ้นสุดที่ปี ค.ศ. 2012<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** ในปี พ.ศ.๒๕๕๔ ****

    กำลังจะครบ ๖ ปีแล้ว
    กรรมเริ่มปรากฏชัด
    เกิดเป็น...สรรพภัยทั้งปวงกึ่งพระพุทธกาล

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ขออนุโมทนาท่านหนุมานครับ
    พักนี้หายไปไม่ค่อยมา นึกถึงเสมอครับ
     
  14. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    พักนี้ ก็ไม่ค่อยได้เข้ามาเหมือนกัน ขออนุโมทนากับคุณวสุธรรม ด้วยนะครับ
    หวังว่า พักนี้ คงจะได้พักอีกไม่นาน หลังสงกรานต์ คงมีเรื่อง ให้ไม่ได้ "หยุดพัก"
    เวลาแห่งการ "ทำงานหนัก" คงจะไกล้มาถึงแล้ว ครับ
     
  15. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +81
    เคยอ่านในต่วยตูน ฉบับเดือนมิถุนายน 54 เรื่องการนับพุทธศักราช

    ไทยนำแบบแผนมาจากศรีลังกา (เริ่มจากสมัย ร.4) แต่จะแตกต่างกันที่ ไทยจะเริ่มนับปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็น พุทธศักราชที่ 1 แต่ลังกาจะนับเป็นพุทธศักราชที่ 0
    และจากการสืบสาวเรื่องราวย้อนหลังไป สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีการเทียบเคียงลำดับเหตุการสำคัญๆ หลายเรื่อง สรุปออกมาว่า พุทธศักราชที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เร็วไปกว่าที่ควรจะเป็นประมาณ 56 ปี
    ดังนั้นกึ่งพุทธกาลที่แท้จริงยังมาไม่ถึง พุทธศักราช 2555 หรือ 2556 ที่จะถึงนี้ คือกึ่งพุทธกาลของจริง (เขาว่างั้น)
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,671
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** เตือนตน ****

    ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท...ด้วย "สัจจะ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...