"ใจต่อใจในการฝึกตน" นิกายเซน...ธรรมะสำหรับผู้เริ่มต้น

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ใจต่อใจ, 23 สิงหาคม 2012.

  1. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 87[/FONT][FONT=&quot] นิพพานแห่งการคาดเดา[/FONT]
    [FONT=&quot] ก็ด้วยความเข้าใจว่า หากเราปฏิบัติธรรมไปด้วยความตระหนักชัดและเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติอันเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดานั้น อีกทั้งเรามีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมเช่นนี้ไปเรื่อยๆและหากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในการปรุงแต่งของเราเบาบางน้อยลงไปเพราะความตั้งใจปฏิบัติธรรมเช่นนี้สักวันหนึ่งนิพพานจักจะปรากฎขึ้นแก่เรา ความคิดเช่นนี้คือความผิดพลาดประการหนึ่งที่เกิดขึ้นแก่วงการนักปฏิบัติทั้งหลาย และที่ผิดพลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือนักปฏบัติธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไปจับฉวยเอาภาวะความหยุดนิ่งซึ่งเป็นผลแห่งการที่ได้ตระหนักชัดและเป็นเนื้อหาเดียวกันกับ “ความเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดาตามสภาพธรรมชาติ” ซึ่งมันคือผลแห่งการปฏิบัติธรรมมาอย่างยาวนานของนักปฏิบัติเอง และยังคาดเดาเอาเองว่ามันคือความหยุดปรุงแต่งได้แล้ว ซึ่งมันเป็นการคาดเดาที่ “ขาดเหตุผล” ว่าทำไมมันจึงเป็นภาวะเด็ดขาดจากการไม่ปรุงแต่งได้ทั้งปวง ได้แต่อนุมานคาดเดาเอาเองว่ามี่คือการหยุดปรุงแต่งได้แล้วนี่คือภาวะแห่งพระนิพพานแล้ว การเข้าใจด้วยการคาดเดาจากภาวะความหยุดนิ่งนั้น มันไม่ใช่นิพพานอันแท้จริง แต่มันคือ “นิพพานแห่งการคาดเดา” [/FONT]
    [FONT=&quot] ก็ด้วยการที่ตถาคตเจ้าได้ตรัสไว้ว่า อสังขตธาตุ อันคือธรรมธาตุแห่งความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไปได้นั้น มันคือความว่างเปล่าที่สมบูรณ์ไปด้วยสัจจธรรมที่มันบริบูรณ์ถ้วนทั่วอยู่แล้ว มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแบบถ้วนทั่วอยู่แล้วตามสภาพธรรมชาติของมัน ตถาคตเจ้าจึงทรงตรัสธรรมไว้ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อันคือ ธรรม “ทั้งหลายทั้งปวง”มันย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว คือธรรมทั้งหลายมันไม่ใช่สภาพ “อัตตาตัวตน” อันมีคุณลักษณะแห่งการเกิดดับ แต่ธรรมทั้งหลายมันคือคุณลักษณะอันว่างเปล่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแบบถ้วนทั่วอยู่แล้วตามธรรมชาติของมันเอง อยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นการที่เราได้ไต่มรรคาดำเนินไปในทางปฏิบัติซึ่งเห็นว่ายังมีอัตตาตัวตนเกิดขึ้นและอัตตาตัวตนนั้นดับไปเป็นธรรมดา มันจึงมิใช่ความหมายแห่งธรรมอันว่าด้วย “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” ด้วยเหตุผลนี้คณาจารย์ทางเซนจึงเพียงสอนให้นักศึกษาทางฝั่งโน้นทั้งหลาย “สลัดออก” ซึ่งสังขตธาตุที่เป็นเนื้อหาอันเนื่องด้วยการปฏิบัติที่ยังเห็นว่ามีอัตตาตัวตนเกิดขึ้นและดับไป และเพียงสอนให้นักศึกษาทั้งหลาย “ลืมตาตื่นขึ้น” เพื่อหันมาทำความเข้าใจในธรรมชาติที่แท้จริงซึ่งมันคือความว่างเปล่าที่บริบูรณ์อยู่แล้วโดยสภาพมันเอง ซึ่งมันคือความว่างเปล่าโดยเด็ดขาดอันเป็นธรรมชาติของมันเองไร้ซึ่งการเกิดดับ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถทำมันให้เกิดขึ้นมาได้ด้วยการปฏิบัติอย่างเอาเป็นเอาตายบนมรรคาแห่งการเกิดดับ และมันเป็นธรรมชาติซึ่งมันเป็นเนื้อหาอันดั้งเดิมอย่างนี้มานานแสนนานอันหาจุดเริ่มต้นไม้ได้ ความดั้งเดิมแท้อันคือธรรมชาติของมัน “ที่มีอยู่ก่อนแล้ว” จึงมิใช่เป็นการเข้าไปปฏิบัติแล้วเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันจึงจะปรากฎให้เห็น [/FONT]
    [FONT=&quot] ก็ด้วย “ความรู้” ที่ว่าเพียงแค่ “สลัดออก” ซึ่งวิธีการปฏิบัติที่เนื่องด้วยความหมายแห่งสังขตธาตุทั้งปวงและแค่เพียงตระหนักชัดและเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้แต่เพียงเท่านั้น ความรู้นี้เองมันก็คือ “วิชชา” ความรู้แจ้งทั้งปวงซึ่งถือว่าเป็น “เหตุผล” ยืนยันว่า สิ่งที่เราตระหนักชัดละเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้ มันคือภาวะเด็ดขาดในความว่างเปล่าปราศจากการปรุงแต่งทั้งปวงได้ นี่คือ นิพพานอันแท้จริง


    [​IMG]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  2. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot] บทที่ 88 ไม่มีอันดับลดหลั่น[/FONT]
    [FONT=&quot] ในรูปแบบแห่งกรรมวิสัยที่เป็นการเวียนว่ายตายเกิดในลักษณะเป็นกลุ่มกรรมนั้น มันเป็นเพียงเส้นทางที่ต้องคอยประคองรักษาจิตของตนให้อยู่ในคุณงามความดีเท่าที่แต่ละดวงจิตจะสามารถไขว่คว้าหาทำประกอบขึ้นมาได้ แล้วเราก็เรียกดวงจิตที่มุ่งมั่นทำกุศลกรรมชนิดนี้เพื่อเอาบุญบารมีตรงนี้ไปโปรดบรรดาสรรพสัตว์สามัญในภายภาคหน้าตามที่ดวงจิตนั้นมุ่งหวังว่า “โพธิสัตว์” มันจึงเกิดถึงความรู้สึกที่แตกต่างในเส้นทางที่แต่ละดวงจิตได้บำเพ็ญบุญบารมีมา ความแตกต่างนั้นมันจึงก่อให้เกิดความมีอันดับลดหลั่นกันอย่างที่รับรู้ได้และรู้สึกถึงความไม่เท่ากันแห่งบุญบารมีที่มุ่งสร้างสะสมกันไปตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละดวงจิต บางดวงจิตก็มุ่งหวังที่จะตรัสรู้เป็นพุทธะเพื่อโปรดบรรดาสรรพสัตว์ในภายภาคหน้า บางดวงจิตก็มุ่งหวังเพียงแค่อริยะสาวกที่คอยรับธรรมจากการตรัสรู้แห่งมหาพุทธะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความแตกต่างอันทำให้มีอันดับลดหลั่นก็ล้วนแต่เป็นเพียงเหตุและปัจจัยในลักษณะธรรมธาตุแห่งดวงจิตนั้นเท่านั้นเองที่ทำให้ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดและก่อกรรมอันมีประเภทต่างๆซึ่งเป็นไปในลักษณะอันเป็นคุณสมบัติแห่งธรรมธาตุของดวงจิตนั้น และจนกว่าดวงจิตนั้นจะมีเหตุปัจจัยให้ได้ก้าวข้ามอวิชชาตัณหาอุปาทานเป็นพุทธะและได้ทำหน้าที่ของตนที่ได้มุ่งหวังกระทำกรรมมาเป็นเส้นทางที่เรียกว่าการสร้างสมบารมีแห่งพุทธะ[/FONT]
    [FONT=&quot] ก็ในเมื่อพูดถึงเหตุและปัจจัย มันก็คงเป็นจริงอีกเช่นกันที่หลายๆดวงจิตที่เคยมุ่งบำเพ็ญภาวนามาแล้วเส้นทางกรรมของพวกท่านทั้งหลายอันคือบุญกุศลในอดีตชาติของพวกท่านได้ชักนำให้ท่านได้เจอะเจอแหล่งข้อมูลอันจะทำให้ท่านได้ศึกษาเรื่องธรรมชาติแห่งพุทธะ นี่คือเหตุและปัจจัยอันแท้จริงเช่นกันที่มันจะทำให้ท่านได้ศึกษาทำความเข้าใจเพื่อที่จะได้รู้จักหน้าตาธรรมชาติแห่งพุทธะและเพื่อที่จะได้ตระหนักชัดและซึมทราบเนื้อหาเดียวกันกับมัน เมื่อมันเป็นเหตุให้ท่านได้ศึกษาธรรมชาติแห่งพุทธะก็ขอให้ท่านสลัดทิ้งซึ่งความคิดอิดๆออดๆที่อยากจะบำเพ็ญบารมีสะสมบุญไปอีกเรื่อยๆโดยท่านเข้าใจผิดไปเองว่าท่านยังมีบุญน้อยอยู่บารมียังไม่มากพอที่จะขึ้นฝั่งนิพพานในชาตินี้ได้ [/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อท่านสามารถสลัดทิ้งซึ่งความคิดที่จะต้องสั่งสมบุญบารมีให้มันมากพอ ให้มันมีขนาดของบุญมากขึ้นซึ่งเปรียบเสมือน “ ความมีอันดับลดหลั่นแห่งขนาดที่ต้องสะสม ” ในใจท่านเหล่านี้ทิ้งไปเสีย และเมื่อหากท่านหันหน้ามาทำความเข้าใจในความหมายของธรรมชาติแห่งพุทธะอันเกิดจากเหตุและปัจจัยของท่านเองชักจูงให้เข้ามาศึกษา เมื่อท่านศึกษาแล้วหากเกิดความเข้าใจในเนื้อหาธรรมชาติแห่งพุทธะ ก็ขอให้ท่านมีความเข้าใจอีกว่าในเนื้อหาของธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นมันคือความเสมอภาคกันไปด้วยความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีอัตตาตัวตนเข้ามาแทรกอันจะก่อให้เกิดอันดับลดหลั่นได้เลย ใครผู้ใดที่ได้ประกอบสะสมบุญมาน้อยหรือใครผู้ใดที่ได้ประกอบบุญกุศลมาแบบมากมายมหาศาล บุคคลเหล่านี้ถึงแม้ว่าบุญจะไม่เท่ากันแต่ถ้าบุคคลเหล่านี้ต่างก็ได้มีเหตุและปัจจัยได้ชักจูงเข้ามาศึกษาและเกิดความเข้าใจสามารถซึมทราบความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นได้ ก็ถือว่าบุคคลเหล่านี้มีความเสมอกันด้วยการตระหนักชัดและเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะอันคือความเสมอภาคกันด้วยเนื้อหาแห่งความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นไม่มีอันดับลดหลั่นแตกต่างในความหมายแห่งความมีคุณค่าในความมีตัวมีตนอีกต่อไป


    [​IMG]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  3. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 89[/FONT][FONT=&quot] ความกลมกลืน[/FONT]
    [FONT=&quot] ธรรมแห่งสัมมาทิฏฐิทั้งหลายทั้งปวงที่เข้าไปเกาะไปยึดนั้น ก็เพื่อเป็นไปในการพิจารณาวิเคราะห์แยกแยะถึงปัญหาและวิธีแก้ไขปัญหาแต่เพียงเท่านั้น ประโยชน์มันมีอยู่แค่นี้[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่การสลัดทิ้งธรรมแห่งสัมมาทิฏฐิทั้งหลายปวงที่เคยหยิบยกขึ้นมาพิจารณาถึงปัญหาและวิธีแก้ไขปัญหา ก็เพื่อเป็นไปในการเข้าถึงความจริงอันคือสัจจธรรมแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้[/FONT]
    [FONT=&quot] ซึ่งเป็นความเข้าถึงความเป็นจริงด้วยการตระหนักชัดว่า โดยธรรมชาติที่แท้จริงมันคือความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น มันคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับภาวะทุกข์ ภาวะเหตุแห่งทุกข์ ภาวะความดับไปแห่งทุกข์ ภาวะธรรมอันคือหนทางอันออกจากทุกข์ อันคือธรรมแห่งสัมมาทิฏฐิทั้งหลายทั้งปวง มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่เพียงนิดเดียวกับธรรมเหล่านี้ มันคือความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนที่มันมีแค่เพียงการทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติแบบนี้เสมอมา มันเพียงทำหน้าที่ของมันแต่เพียงเท่านี้ เมื่อได้ตระหนักชัดในความหมายของมันเช่นนี้แล้วก็เพียงแค่เป็นเนื้อหาเดียวกันกับมันแบบกลมกลืน[/FONT]
    [FONT=&quot] เป็นความกลมกลืนที่ไม่เคยมีแม้กระทั้ง “การสลัดทิ้งธรรมแห่งสัมมาทิฏฐิทั้งหลายทั้งปวง” มาก่อน ซึ่งมันหมายถึงความไม่มีธรรมชนิดใดๆให้ต้องสลัดทิ้ง[/FONT]
    [FONT=&quot] เป็นความกลมกลืนที่ไม่เคยมีแม้กระทั้ง “การเข้าถึงความเป็นจริงอันคือสัจจธรรมแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้” มาก่อน ซึ่งมันหมายถึงความไม่มีความเป็นจริงอะไรให้เข้าถึง[/FONT]
    [FONT=&quot] เป็นความกลมกลืนที่ไม่เคยมีแม้กระทั้ง “การได้ตระหนักชัดว่าโดยธรรมชาติที่แท้จริงมันคือความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น” มาก่อน ซึ่งมันหมายถึงความไม่เคยมีอะไรให้ได้ตระหนักชัด[/FONT]
    [FONT=&quot] เป็นความกลมกลืนที่ไม่เคยมีแม้กระทั้ง [/FONT][FONT=&quot] “นี่คือการที่ได้กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้” มาก่อน ซึ่งมันหมายถึงความไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลายเป็นเนื้อหาเดียวกับมัน[/FONT]
    [FONT=&quot] เป็นความกลมกลืนที่ไม่เคยมีแม้กระทั้ง “นี่คือความกลมกลืน” มาก่อน ซึ่งมันหมายถึงความไม่มีสิ่งใดที่ต้องเข้าไปเป็นเนื้อหาเดียวกับมันแบบกลมกลืน[/FONT]
    [FONT=&quot] ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ มันเพียงแค่ทำหน้าที่ของมันซึ่งคือความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนของมันอยู่อย่างนั้นแต่เพียงเท่านั้น

    [​IMG]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  4. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 90[/FONT][FONT=&quot] บรมครูแห่งมังกรเซน[/FONT]
    [FONT=&quot] เซน คือ วิถีแห่งสัจจธรรมความเป็นจริงตามธรรมชาติ เซนจึงมิใช่การเรียนรู้เผื่อฝึกฝนให้ภาวะมันเกิดและมิใช่การดำเนินไปในเส้นทางแห่งการรู้แจ้ง เพราะเซนคือความดั้งเดิมแท้แห่งเนื้อหาซึ่งมันคือปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ ธรรมชาติมันคือความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นมันจึงมิใช่ภาวะที่จะเข้าไปฝึกฝนได้ และเซนก็มิใช่พุทธะภาวะที่จะถูกใครมาทำให้มันปรากฎขึ้นมาแล้วเรียกสิ่งนี้ว่าการ “รู้แจ้ง” ได้ เพราะเซนคือความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวแห่งทุกสรรพสิ่งในหมื่นแปดโลกธาตุ มันเป็นความกลมกลืนในเนื้อหาเดียวกันแห่งธรรมธาตุอันคือความว่างเปล่าไร้ตัวตนอยู่อย่างนั้น มันจึงมิใช่เป็นภาวะว่างเปล่าที่ต้องตกอยู่ในฐานะรองรับการ “รู้แจ้ง”เพื่อใคร ดังนั้นวิถีแห่งเซน คือ ความเป็นเนื้อหาที่เราและสรรพสัตว์ทั้งหลายซึ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวต่างก็เผยความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มีอยู่ในตัวในตนของเรานั้นให้เผยตัวออกมาในเนื้อหาแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นแบบไม่มีความแปลกแยก นี่คือเซน[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่ผู้ที่ไม่เคยศึกษาเซนหรือผู้ที่เคยศึกษามาแต่เข้าไม่ถึงเซน และผู้ที่ศึกษาธรรมในฝั่งเถรวาทผู้ซึ่งไม่เข้าใจในพระสูตรอันสูงสุดอันชื่อว่า “ตติยนิพพานสูตร” บุคคลเหล่านี้ก็อาจกล่าวหาเซนว่าเป็นคำสอนที่เลื่อนลอยเพราะมิได้อิงอยู่กับหลักเกณฑ์ใดๆ แต่สำหรับผู้เขียนในฐานะ “ครูสอนเซน” ซึ่งเป็นครูปลายแถวผู้ไม่มีชื่อเสียงไม่ได้อยู่ในฐานะครูสอนเซนระดับ “มังกร” ซึ่งใช้เปรียบเทียบครูสอนเซนที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและกล่าวขานในแต่ละยุคที่ผ่านมา บุคคลเหล่านี้ถูกยกย่องอยู่ในฐานะ “มังกรเซน” ซึ่งถือว่าเป็นคณาจารย์ผู้ปราดเปรื่องเป็นที่ยอมรับกว้างขวางในการคุ้ยเขี่ยธรรมให้กับบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายตั้งแต่ยุคเซนรุ่งเรืองที่ผ่านมาในอดีตทั้งในจีนและญี่ปุ่น “ครูสอนเซน”ซึ่งยืนอยู่ปลายแถวหรืออาจจะไม่มีแถวให้ยืนอย่างผู้เขียนเองกลับมองว่าคำสอนเซนที่สืบทอดคำสอนผ่านทาง “มังกรเซน”มาแต่ละรุ่นๆนั้น คำสอนเซนทั้งหลายก็ล้วนเป็นคำสอนที่หลุดออกมาจากพระโอษฐ์แห่งตถาคตเจ้านั่นเอง พระพุทธองค์นั้นทรงเป็นบุคคลแรกที่สอนเซนแล้วสืบทอดวิธีคำสอนเซนด้วยวิธีใจต่อใจไร้ซึ่งคัมภีร์อักษรใดๆให้แก่ “มังกรเซน” ซึ่งเป็นครูสอนเซนรุ่นแรกที่ชื่อพระมหากัสสัปปะ พระตถาคตเจ้านั่นเองที่ทรงตรัสสอน “ธรรมแบบเซน”ว่า ธรรมชาติอันคือความว่างเปล่าไร้ตัวตนอันหาจุดเริ่มต้นไม่ได้และไม่มีวันจะสูญสิ้นสลายไปซึ่งมันคือความดั้งเดิมแท้ที่ปรากฎเนื้อหาอันคือธรรมชาติแห่งความไม่เกิดดับอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ซึ่งตถาคตเจ้าได้ตรัสธรรมอันคือความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ไว้ใน “ตติยนิพพานสูตร” ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่[/FONT]

    [FONT=&quot] ก็ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้วมันก็คือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนซึ่งคือความไม่เกิดดับ มันคือเนื้อหาที่เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอยู่อย่างนั้นมานานแสนนานแล้ว มันเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติแบบนี้เรื่อยมาและตลอดไปอันเป็นความหมายแห่งการไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบซึ่งเป็นสภาพแห่งความดั้งเดิมแท้อันเป็นคุณลักษณะของมันอย่างนี้อยู่แล้ว พระตถาคตเจ้าจึงตรัสว่าธรรมชาติในลักษณะที่มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นมัน “มีอยู่” ท่านจึงทรงให้ละทิ้งมายาแห่งความมีตัวตนและสภาพอันเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดาแห่งมายานั้น ท่านทรงตรัสว่าแท้จริง “ความเป็นจริงมันมีอยู่ปรากฎอยู่แต่ธรรมชาติอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (ธรรมชาติแห่งความไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้ว) อยู่อย่างนั้น” ท่านตรัสว่ามันคือ ตถตา อันคือสภาพความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น ท่านตรัสว่ามันคือ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อันคือธรรมทั้งหลายทั้งปวงย่อมคือเนื้อหาแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot] เพราะฉะนั้นคำสอนเซนจึงไม่ใช่พุทธะที่แหวกแนว แต่คำสอนเซนกลับเป็นคำสอนอันสูงสุดทางพระพุทธศาสนาซึ่งชี้ถึงความเป็นธรรมดาสามัญแห่งธรรมชาติซึ่งอยู่นอกเหนือภาวะความหลุดพ้นหรือความไม่หลุดพ้น เป็นธรรมอันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่ตถาคตเจ้าเป็นผู้ตรัสไว้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้พระพุทธองค์ก็คือผู้ให้กำเนิดเซนซึ่งถือว่าเป็นครูใหญ่ที่สอนเซนให้แก่มนุษย์และเทวาในยุคที่ตถาคตเจ้าลงมาประกาศธรรมประกาศศาสนาในโลกมนุษย์ที่ผ่านมา ท่านจึงเปรียบเสมือน “บรมครูแห่งมังกรเซน” ผู้ซึ่งเป็น “เอกมหาบุรุษ”ผู้มีชื่อเสียงเอกอุเกริกก้องเกรียงไกลไปทั่วจักวาลในห้วงเวลาแห่งกัปป์นี้


    [​IMG]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  5. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 91[/FONT][FONT=&quot] มิได้หายไปไหน[/FONT]
    [FONT=&quot] ถึงแม้ว่าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาฝั่งทางโน้นกำลังถูกอวิชชาปิดบังหนทางที่จะซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะ ด้วยการที่พวกเธอง่วนสาละวนอยู่ในการปฏิบัติด้วยความพากเพียรอันแสนสาหัส หรือถึงแม้ว่าพวกเธอกำลังประสบอยู่กับภาวะใดภาวะหนึ่งซึ่งมันคือผลแห่งการปฏิบัติตามที่พวกเธอเข้าใจที่อาจทำให้พวกเอร้องอุทานออกมาว่า นี่คือการลุถึงความหลุดพ้น นี่คือการรู้แจ้งมันทำให้พวกเธอขึ้นถึงฝั่งพระนิพพาน[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่พวกเธอจะเชื่อมั๊ยว่าต่อให้พวกเธอเคลื่อนไหวไปในหนทางความพยายามที่จะรู้แจ้งสักเพียงใด หรือพวกเธออาจจะรู้แจ้งตามความเข้าใจของพวกเธอซึ่งมันเป็นผลมาจากความเพียรพยายามต่างๆนั้น มันก็มิได้มีความเกี่ยวพันใดๆเลยกับธรรมช่าติแห่งพุทธะ ธรรมชาติมันก็คือธรรมชาติที่มันดำรงเนื้อหาความว่างเปล่าแบบนี้เสมอเรื่อยมา ปร่ากฎการณ์ที่มันเป็นแบบนี้มาตลอดตามธรรมชาตินั้นมันเป็นปรากฎการณ์ตามสภาพของมันเองมิใช่เกิดขึ้นจากการพยายามของใคร เมื่อพวกเธอได้ละความพยายามซึ่งมันเป็นเพียงความคิดในโลกส่วนตัวของเธอเองเหล่านี้ทิ้งไปเสียซึ่งมันเป็นการแสวงหาในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ และเพียงพวกเธอได้ลืมตาตื่นต่อสภาพความเป็นจริงตามธรรมชาติซึ่งมันดำรงอยู่แบบนี้มานานแสนนานมิได้หายไปใหนเลย มันจึงทำให้พวกเธอตระหนักได้ว่าการที่พวกเธอจะดิ้นรนพยายามทำให้มันปรากฎขึ้น มันจึงเป็นการเข้าใจผิดต่อสภาพธรรมชาติแห่งพุทธะของพวกเธอเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อมันมิได้หายไปใหนและพวกเธอก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งมันมาโดยตลอด แล้วพวกเธอจะใช้ความพยายามเพื่อดิ้นรนหนีมันไปทำไมอีก ยิ่งดิ้นรนพยายามก็ยิ่งห่างไกลจากธรรมชาติแห่งพุทธะไปทุกทีๆ[/FONT]
     
  6. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 92[/FONT][FONT=&quot] การปฏิบัติที่แท้จริง[/FONT]
    [FONT=&quot] ภาพลักษณ์แห่งการปฏิบัติในยุคนี้ คือการที่จะต้องนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ ฝึกเดินจงกรมทั้งวัน ต้องกินน้อย ต้องนอนน้อย ต้องพูดน้อย และอีกหลากหลายอุบายที่นักปฏิบัติทั้งหลายงัดกลยุทธ์ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางให้ตนเองเดินไปบนเส้นทางที่คิดว่าเป็นการปฏิบัติที่แท้จริงและนำมาซี่งผลแห่งการปฏิบัติที่แท้จริง แต่ในความเป็นจริงนั้น ธรรมที่ตถาคตเจ้าได้ตรัสไว้นั้นมันมีลักษณะหลากหลาย ธรรมที่ท่านทรงตรัสไว้แต่ละอย่างก็ประกอบไปด้วยเหตุและผลของธรรมที่ท่านตรัสไว้แต่ละอย่างนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่การปฏิบัติธรรมอันแท้จริง มันมิใช่เป็นการปฏิบัติที่ต้องประกอบไปด้วยลีลาท่าทาง มันมิใช่เป็นการปฏิบัติที่ต้องประกอบไปด้วยอุบายอันต่างๆ และการที่เราหยิบยกธรรมอันคือความเป็นจริงขึ้นมาพิจารณาเพื่อที่จะได้ตระหนักชัดและกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับมัน มันก็มิใช่เป็นแค่การนั่งคิดคาดคิดคาดคะเน และการปฏิบัติธรรมมันก็มิได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาว่ามันต้องใช้เวลาอย่างยาวนานเท่าโน้นเท่านี้มันถึงขึ้นชื่อได้ว่านี่คือ “การปฏิบัติ ”[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่สิ่งที่เราได้ตระหนักชัดในความหมายที่แท้จริงในทุกๆขณะว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นและสิ่งนั้นมันดับไปเป็นธรรมดาตามความเข้าใจผิดของเราว่าตัวตนมันมีอยู่จริง และการที่เราได้เป็นเนื้อหาเดียวกันกับความดับไปเป็นธรรมดาอยู่ทุกๆขณะเช่นกันนั้น ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงในระดับหนึ่งแล้วตามความหมายแห่งตถาคตเจ้า[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่สิ่งที่เราได้ตระหนักชัดในความหมายที่แท้จริงว่า “ควรละทิ้งโดยสิ้นเชิงด้วยการสลัดออกซึ่งการปฏิบัติและผลแห่งการปฏิบัติอันเนื่องด้วยการตระหนักชัดและเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดาบนพื้นฐานแห่งความเข้าใจผิดของเราเองว่าตัวตนมันมีอยู่จริง” นั้น และได้กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้อันคือเนื้อหาแห่งความที่ตัวตนไม่มีอยู่จริง ซึ่งมันมีแต่ความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติแห่งความดั้งเดิมแท้ของมันอันหาจุดเริ่มต้นมิได้และไม่มีการเสื่อมสิ้นสลายไป ซึ่งมันมีแต่สภาพความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงแล้วตามความหมายแห่งตถาคตเจ้า[/FONT]







     
  7. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 93[/FONT][FONT=&quot] ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว[/FONT]
    [FONT=&quot] ก็ด้วยความเป็นธรรมชาติมันคือความว่างเปล่าที่แสดงเนื้อหาของมันอยู่อย่างนี้มานานแสนนานมากแล้วมันดำรงความเป็นธรรมชาติแบบนี้เสมอมา และ ณ เดี๋ยวนี้มันก็ยังเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจนกระทั้งกาลอวสานตราบชั่วนิจนิรันดร์ มันเป็นความดั้งเดิมแท้ที่ไม่อาจย้อนเวลาไปหาจุดกำเนิดเริ่มต้นของมันได้เลยเพราะมันไม่ปรากฏและอีกทั้ง ณ ปัจจุบัณขณะและในอนาคตกาลก็ไม่สามารถมีสิ่งใดๆที่จะทำให้มันเสื่อมสิ้นสูญสลายเปลี่ยนแปลงไปได้อีกเลยเช่นกัน เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความจริงที่กล่าวได้ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวในธรรมชาติแห่งความว่างเปล่านั้นเมื่อมนุษย์ล้วนเกิดมาพร้อมกับธรรมชาติแห่งพุทธะและในฐานะของความเป็นมนุษย์นั่นเองแหละก็คือความเป็นหน้าตาของธรรมชาติแห่งพุทธะที่ปรากฎอยู่ในความเป็นสิ่งเดียวแบบกลมกลืนของทุกสรรพสิ่ง มันจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าคนเราย่อมมีหนทางไปสู่สัจจธรรมได้เลยแม้แต่เพียงนิดเดียว เพราะ “ความมีหนทางไปสู่” นั้นเท่ากับว่าคนเราเองย่อมยังมีระยะห่างจากธรรมชาติที่แท้จริงอยู่ มิได้เป็นหนึ่งเดียวจากทุกสรรพสิ่งที่กลมกลืนกันอยู่แนบแน่นในเนื้อหาเดียวกันแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ แต่แท้ที่จริงคนเรานี่แหละคือการเผยตัวออกมาของธรรมชาติแห่งพุทธะต่างหาก[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวอันคือธรรมชาติแห่งพุทธะ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก่อเกิดใครสักคนแล้วบังอาจกระทำตัวแปลกแยกออกมาจากความกลมกลืนแห่งธรรมชาตินั้นแล้วมายืนตะโกนร้องบอกว่านี่คือ “ฉัน” และนี่ก็คือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มันปรากฎขึ้นซึ่ง “ฉัน” ได้ค้นพบมันด้วยการแสวงหาอย่างเหน็ดเหนื่อยซึ่งเกิดจากการปฏิบัติธรรมด้วยน้ำพักน้ำแรงของฉันเอง มันจึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งต่อธรรมชาติแห่งความเป็นหนึ่งโดยสิ้นเชิงที่จะมีคนบ้าสักคนมาเที่ยวพูดว่า ความเป็นเนื้อหาเดียวกันต่อทุกสรรพสิ่งอันคือธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นมันเกิดขึ้นมาได้เพราะความฝึกฝนซึ่งเกิดจากความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวด้วยความอดทนแห่งความพากเพียรพยายามที่มันจะพาเราเดินไปตามมรรคาแห่งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและยิ่งมากไปกว่านั้นคือสิ่งที่ได้พลั้งเผลอตกไปสู่หลุมลึกโดยไม่รู้ตัวแห่ง “มายาข้อวัตรปฏิบัติ” บนหลักการไม่รู้อีกกี่ต่อหลักการด้วยความครุ่นคิดและกระทำว่าเราจักจะเดินไปบนเส้นทางธรรมชาตินี้ด้วยความระมัดระวังมิให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไปและมันต้องว่างของมันไปโดยตลอดด้วยความที่เราจะหมั่นตรวจตราดูมันอย่างสม่ำเสมอในย่างก้าวของเราทุกๆฝีก้าว[/FONT]
    [FONT=&quot] ก็ในเมื่อทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้มานานมากแล้วมันเป็นความว่างเปล่าแบบอิสระโดยเด็ดขาดอยู่แล้ว มันคือสภาพความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น มันจึงย่อมไม่มีใครไปทำอะไรเพื่อให้ความเป็นพุทธะอย่างมันเกิดขึ้นมาได้อีก ธรรมชาติแห่งพุทธะมันก็ทำหน้าที่อันคือปรากฎการณ์ตามธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าอยู่แล้ว[/FONT]
     
  8. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 94[/FONT][FONT=&quot] “ธรรมชาติแห่งพุทธะ” มิใช่นิพพาน[/FONT]
    [FONT=&quot] ธรรมชาติแห่งพุทธะที่คำสอนเซนกล่าวถึงนี้มันคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น ซึ่งหมายถึงสภาพความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น ธรรมชาติแห่งเซนที่กล่าวมานี้มันคือเนื้อหาที่แสดงปรากฎการณ์ความเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นและมันเป็นธรรมชาติที่มีความเป็นอิสระแบบเด็ดขาดโดยตัวมันเอง ธรรมชาติแห่งเซนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาแห่งความเป็นสามัญซึ่งมันมีสภาพของมันเองอยู่อย่างนั้น มันจึงมิใช่ภาวะธรรมที่ซึ่งเกิดจากการเข้าไปจัดแจงภาวะธรรมใดภาวะธรรมหนึ่งแล้วการเข้าไปจัดแจงนั้นมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ธรรมชาตินี้ปรากฎขึ้น ธรรมชาตินี้มันจึงมิใช่เป็นสิ่งที่พึ่งปรากฎขี้นเพื่อยืนยันให้กับฐานะทางธรรมใดๆ รวมทั้งก็มิได้เป็นสิ่งยืนยันฐานะตัวมันเองด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot] เพราะฉะนั้นในคำสอนเซนจึงหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวว่าธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นคือสภาวะธรรมอันคือตัวแทนในฐานะเป็นความหลุดพ้นหรือนิพพาน ในความเข้าใจของครูสอนเซนทั้งหลายนิพพานหรือความหลุดพ้นนั้นมันมีความหมายเปรียบเสมือนเป็นภาวะธรรมซึ่งผ่านกระบวนการเข้าไปจัดแจงภาวะการปรุงแต่งโดยเกิดความรู้แจ้งซึ่งเป็นเหตุให้การปรุงแต่งนั้นถึงความดับสนิทไม่มีเหลือซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นโดยได้ตระหนักชัดและกลายเป็นเนื้อหาเดียวกับมันซึ่งเรียกมันว่า “ภาวะหลุดพ้นหรือนิพพาน” แต่ธรรมชาติแห่งพุทธะมันมิใช่ภาวะนิพพานซึ่งเป็นภาวะแห่งความดับสนิทไม่มีเหลือ แต่มันคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่ามันไม่มีความเกิดดับอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว และมันก็มิใช่พึ่ง “ไม่เกิดดับ” ซึ่งคือความหมายแห่งภาวะธรรมที่พึ่งจะดับสนิทไปไม่มีเหลือ แต่ความไม่เกิดดับอันคือความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นมันกลับเป็นธรรมชาติอันดั้งเดิมแท้ที่ปรากฎเนื้อหามันอย่างนี้มานานแสนนานแล้วซึ่งหาจุดเริ่มต้นมิได้และก็ไม่มีวันที่จะมีจุดจบด้วยการถูกทำลายให้สูญสลายหายไป ธรรมชาติแห่งพุทธะนี้มันจึงไม่เกี่ยงข้องอะไรกับภาวะความหลุดพ้นหรือนิพพานเลย มันคือธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือภาวะแห่งความหลุดพ้นหรือนิพพาน ตถาคตเจ้าเรียกธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ว่า ตถตา หรือ สภาพธรรมชาติอันคือความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น[/FONT]
     
  9. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 95[/FONT][FONT=&quot] สลายอัตตา[/FONT][FONT=&quot]?[/FONT]
    [FONT=&quot] ก็เพราะมันเป็นความเข้าใจผิดในยุคนี้จริงๆ ที่ความเข้าใจผิดชนิดนี้มันถูกสืบทอดมาจากคณาจารย์รุ่นก่อนๆที่ไม่แตกฉานและไม่สามารถซึมทราบถึงธรรมชาติดั้งเดิมแท้ได้ แล้วบังอาจนำเอาคำสอนผิดๆมาสอนลูกศิษย์ตนและก็สืบทอดคำสอนชนิดนี้มาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว ก็มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ว่าการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงซึ่งคือการตระหนักชัดและซึมทราบในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นถูกคณาจารย์ในยุคนี้ต่างก็สอนลูกศิษย์ว่า ให้เอาอัตตาตัวตนทั้งหมดของเรามาตั้งไว้แล้วก็ค่อยๆสลายอัตตาไปด้วยความไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เมื่อมันเกิดขึ้นก็ปล่อยให้มันดับไปเป็นธรรมดาโดยการปฏิบัติธรรมนี้ถือว่าไม่มีความเป็นเรามันมีแต่ผู้รู้หรือสัมมาสติและคอยใช้สติหมั่นเฝ้าสังเกตุมันด้วยความระมัดระวังให้ดี เมื่อมันเกิดขึ้นก็อย่าเข้าไปยึดมั่นถือมั่นให้กลายเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา และก็ยังสอนสำทับกันไปต่ออีกว่าการเฝ้าระวังด้วยสัมมาสติเช่นนี้ไปเรื่อยๆเดี๋ยวนิพพานมันหรือธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันก็จะเกิดขึ้นเองขอให้เราจงหมั่นทำความเพียรไปเถิดแล้วจักจะเกิดผล[/FONT]
    [FONT=&quot] แต่ในความเป็นจริงของธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้น มันคือความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนมาแต่แรกเริ่มเดิมทีอันคือความดั้งเดิมแท้ของมัน มันเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นตลอดเรื่อยมาไม่สามารถหาจุดเริ่มต้นของมันได้ และก็ไม่มีวันสิ้นสุดสลายหายไป มันคือคุณลักษณะที่เป็นเช่นนี้มานานแสนนานแล้วมันคงที่ถาวรมาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเมื่อมันเป็นโดยสภาพมันเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว มันจึงมิได้เกิดขึ้นจากฝีมือในการภาวนาปฏิบัติของใคร มันจึงมิได้เกิดขึ้นจากการที่ได้ทำลายอะไรลงไป มันจึงมิได้เกิดขึ้นเพราะใครไปสลายอัตตาอะไรให้หมดไปแล้วอนัตตาคือความไม่มีตัวตนเช่นมันจึงจะปรากฎขึ้นมา แต่ความเป็นจริงโดยสภาพธรรมชาติแห่งพุทธะมันคืออนัตตาความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอย่างนี้มานานแสนนานแล้ว มันเป็นอนัตตาโดยสภาพของมันเองเขาจึงเรียกมันว่า ธรรมชาติแห่งพุทธะ[/FONT][FONT=&quot],ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ [/FONT]

    [FONT=&quot] ก็เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การปฏิบัติธรรมทั้งหมดทั้งระบบทุกๆสายแห่งทุกๆคณาจารย์ที่มุ่งหวังปฏิบัติเพื่อให้ธรรมชาติแห่งพุทธะมันเกิดด้วยการเข้าไปสลายอัตตาจนกว่าจะหมดไปจึงเป็นการเข้าใจผิดในความหมายของธรรมชาติแห่งอนัตตา ก็เพราะความเป็นจริงแห่งธรรมชาติตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีมันก็ไม่เคยมีมาก่อนมันเป็นสภาพอนัตตามาตั้งแต่แรกเริ่มในความดั้งเดิมของมัน แม้กระทั้งปัจจุบันมันก็ยังคงแสดงเนื้อหาอันคือปรากฎการณ์ตามธรรมชาติแห่งความไม่เคยมีอยู่อย่างนั้น และมันก็ยังคงแสดงเนื้อหาแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันจึงเป็นความเข้าใจผิดตั้งแต่แรกที่เข้าใจว่า “มี” เมื่อเข้าใจว่ามีมันจึงเกิดภาวะเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดาและก็เข้าไปคิดว่าตรงนี้คือการสลายอัตตาเพื่อความเป็นอนัตตา แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงความคลายกำหนัดจากพฤติกรรมการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นตามอนุสัยแห่งการชอบเข้าไปยึดตั้งแต่เก่าก่อน มันมีเพียงเท่านี้ เท่าที่พวกคุณเรียกมันว่าการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติและผลแห่งการปฏิบัติเหล่านี้ตามมรรคมีองค์แปดมันก็ยังไม่ใช่ความหมายของธรรมชาติแห่งอนัตตาแต่อย่างใด ต่อให้พวกคุณซึ่งเป็นนักปฏิบัติทั้งหลายเฝ้าเพียรพยายามตื่นรู้สว่างโพลงเต็มที่เท่าที่คุณคิดว่ามันคือความเพียรหนักที่สุดในชีวิตของพวกคุณบนเส้นทางปฏิบัติดว้ยการเฝ้าระวังสังเกตุความมีอยู่หรือความไม่มีอยู่ที่มันจักจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น มันก็เป็นความเพียรซึ่งเป็นความสังเกตุบนพื้นฐานความคิดของคุณว่ามันมีอยู่หรือมันน่าจะมีอยู่ และต่อให้คุณมั่นใจในตัวคุณเองว่ามันน่าจะเหลืออีกเพียงส่วนน้อยนิดเท่าผงธุลีดินที่ต้องคอยเฝ้าระวังและมันน่าจะเกือบนิพพานแล้ว ก็ในเมื่อความเป็นจริงมัน “ไม่เคยมี” แล้วคุณมาเฝ้าสังเกตุความเกิดดับแบบนี้โดยคิดว่ามันน่าจะมีและก็เรียกมันอย่างภาคภูมิใจว่านี่คือการปฏิบัติ ด้วยอุบายและวิธีแบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณตระหนักชัดและซึมทราบในเนื้อหาธรรมชาติแห่งอนัตตาซึ่งมันเป็นสภาพความไม่มีตัวไม่มีตนเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นแบบนี้มานานแสนนานแล้ว มันเป็นสภาพตามธรรมชาติมันเองโดยที่ไม่ได้อาศัยหรือเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของนัก ปะ-ติ-บัด สลายอัตตาคนใหนเลย[/FONT]
     
  10. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot] บทที่ 96 ไม่มีการบรรลุ[/FONT]
    [FONT=&quot] หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่เคยได้รับฟังเรื่องราวของความเป็นอิสระในธรรมชาติแห่งพุทธะ แล้วท่านเกิดศรัทธะที่จะหนีจากความทุกข์ยากไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดต่อไป แต่มันเป็นความผิดพลาดที่ท่านได้มีโอกาสฟังเรื่องราวต่างๆเหล่านั้น แต่ถ้าท่านกลับไม่เข้าใจในเนื้อหาในความหมายแห่งมัน แล้วท่านเกิดไปนั่งตีความเอาเองว่าท่านต้องลงมือทำอะไรสักอย่างหนึ่งและอีกหลายๆอย่างเพื่อให้ความเป็นอิสระแห่งพุทธะมันเกิดขึ้น ด้วยการจินตนาการขึ้นมาว่าท่านจะต้อง “เดินหนีจาก” จากจุดที่ท่านยืนอยู่ไปสู่จุดๆนั้นซึ่งมันเป็นปากประตูที่ท่านจะต้องก้าวข้ามกองทุกข์ทั้งปวงของท่านไปสู่ดินแดนแห่งอิสระเสรี และการก้าวข้ามปากประตูเข้าไปนั้นท่านได้เรียกมันว่า “การบรรลุ” ก็จะขอบอกท่านตรงนี้ไว้เลยว่า ท่านจะต้องเดินบนเส้นทางที่คิดว่าจะทำให้ท่านบรรลุอะไรสักอย่างนี้ไปเรื่อยๆและจะไม่มีวันได้เจอปากประตูแห่งอิสระภาพนั้นอย่างแน่นอนในชีวิตท่าน[/FONT]
    [FONT=&quot] ก็เพราะธรรมชาติแห่งพุทธะที่เป็นความอิสระนั้น มันเป็นความอิสระโดยเนื้อหามันเองอยู่แล้ว ความคิดที่ท่านจะต้องลุถึงมันกลับกลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่จะมาปิดบังมิให้ท่านตระหนักชัดในพุทธะนั้นได้ เพราะความว่างมันคือธรรมชาติแห่งพุทธะเป็นความอิสระที่บริบูรณ์อยู่แล้ว มันเป็นความอิสระโดยตัวมันเองซึ่งนอกเหนือความหลุดพ้นหรือความไม่หลุดพ้นอันเป็นส่วนที่เธอจะไข่วคว้ามาในฐานะแห่งการบรรลุ และเมื่อพวกเธอยังคงเห็นความแตกต่างระหว่างจุดมืดมัวที่เธอคิดว่าเธอกำลังยืนอยู่และปากประตูแห่งการลุถึงความรู้แจ้งอันคือความอิสระเป็นภาวะที่แยกจากกัน และเธอต้องทำภาวะอันคือหนทางที่อยู่ปลายทางให้เกิดขึ้น เธอก็จะตกไปสู่ข้อวัตรปฏิบัติอะไรสักอย่างหนึ่งที่มันจะช่วยให้เธอไปถึงจุดหมายปลายทางได้ตามอย่างที่ใจเธอต้องการ ก็เพราะว่าความเป็นอิสระตามธรรมชาตินั้นมันเป็นธรรมชาติของมันเองมันมิใช่ภาวะธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเลย มันจึงมิได้เป็นอะไรๆเพื่อให้เธอต้องได้ลุถึงมัน เมื่อพวกเธอเข้าใจซึมทราบด้วยใจของพวกเธอเองถึงความที่มันเป็นอิสระโดยคุณลักษณะของมันเองซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครมาลุถึง เธอก็เป็นอิสระไปแล้วทันทีโดยเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนกับความเป็นอิสระตามธรรมชาติแบบไม่ต้องออกแรงพยายามลุถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ก็นั่นแหละ อิสระแล้ว จะต้องลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองยังขาดความอิสระอยู่ทำไม [/FONT]
     
  11. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 97[/FONT][FONT=&quot] ปณิธาน[/FONT]
    [FONT=&quot]ปลาบปลื้มใจ.....ที่เห็นลูกศิษย์ทุกคน[/FONT][FONT=&quot] เหยียบหัวเรือก้าวขึ้นฝั่ง.....ได้อย่างปลอดภัย [/FONT][FONT=&quot]“ พวกเขาเก่งนะ เก่งมากๆ ” “ คนเหล่านี้มีบุญบารมีมากๆ นั่นคือความรำพึง....ในใจ ของครูสอนเซนคนนี้ [/FONT][FONT=&quot]รำพึงทุกครั้ง......ที่ลูกศิษย์ทุกคนทำได้สำเร็จ.[/FONT]
    [FONT=&quot]และ......ยังห่วงอีกหลายๆคน[/FONT][FONT=&quot]ทั้งคนที่ใกล้ชิด ทั้งคนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ที่ยังมีความประมาทในชีวิตของตนอยู่[/FONT][FONT=&quot]เป็นงานที่ต้องช่วยกันตามเก็บ........ แบบ ห้ามถอดใจ ห้ามท้อแท้และห้ามเหนื่อย.[/FONT]
    [FONT=&quot]คนที่ผ่านแล้ว ก็ควรศึกษาเพิ่มเติมในเรื่อง “ ศิลปะ......ในการบอกธรรม ”[/FONT][FONT=&quot]คนที่ไม่ผ่าน ก็ควรศึกษาเพิ่มเติมและปล่อยวาง เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน.[/FONT]
    [FONT=&quot]เราลงมาเกิดชาตินี้ เพื่อทำหน้าที่..... และเราก็ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้แล้ว[/FONT][FONT=&quot]อยากให้ลูกศิษย์ทุกคนดำเนินรอยตามเรา ทุกย่างก้าว[/FONT][FONT=&quot]ย่างก้าวแห่งความเป็นครูสอนเซน ที่ต้องขนอีกหลายดวงจิตขึ้นฝั่ง..........[/FONT][FONT=&quot]อย่าทิ้งหน้าที่ของตัวเอง..... หน้าที่ที่ต้องช่วยเหลือคนอื่น “ ตลอดไป ”[/FONT]
     
  12. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 98[/FONT][FONT=&quot] ข้ามสีทันดร[/FONT]
    [FONT=&quot] ยอมรับว่าชีวิตที่ผ่านมาในอดีต มันเป็นสิ่งที่ย่ำแย่ในความรู้สึกที่เคยคิดคำนึงถึงมัน เส้นทางกรรมในอดีตที่ก่อตัวเป็นกรรมวิบากเกิดขึ้นมันรุมเร้าทำให้เจอแต่ความทุกข์ระทมมองหาความหวังของชีวิตในวันข้างหน้าแทบไม่เจอ สิ่งที่ต้องแบกรับมันคือเส้นทางแห่งความผิดหวังที่ชีวิตหนึ่งนี้ต้องชดใช้ สิ่งที่เคยวาดหวังว่าจะดำรงชีวิตเยี่ยงผู้คนทั่วไปมีความสุขตามที่ใจเราพอที่จะปรารถนาได้บ้าง มันกลับกลายเป็นความพลาดพลั้งทำให้ชีวิตต้องล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ครั้งยามได้เสพสุขสมหวังสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามันก็เป็นเพียงได้แค่ความภาคภูมิใจชั่วครั้งชั่วคราว แต่เมื่อยามที่เกิดผิดหวังขึ้นมาความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาแต่ละครั้งนั้นมันเหมือนเราต้องชดใช้มันแบบปางตายเอาชีวิตแทบไม่รอดทุกครั้งไป กรรมที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องประสพพบเจอกลับเป็นสิ่งที่มาหน่วงให้ชีวิตเราต้องวิ่งเข้าไปหาเหมือนมันเป็นนายซึ่งมีเราเป็นทาสผู้ที่ต้องคอยรับใช้ชดใช้มันทุกภพทุกชาติไป กรรมวิบากที่ต้องผจญกับมันทุกครั้งในชีวิตที่ผ่านมาเหมือนมาปลุกเร้าให้อารมณ์เป็นคลื่นที่ถาถมเข้ามาซัดจิตใจให้โลดแล่นทะยานในวิถีตกต่ำไปตามเนื้อหาแห่งมัน ชีวิตๆหนึ่งที่เคยมีแต่ความทรนงตนกลับต้องถูกกรรมวิสัยเหล่านี้กดหัวต้องก้มให้ยอมรับสภาพแห่งมันที่เลวร้าย บางครั้งถึงกลับท้อแท้อยากจะฆ่าตัวตายเพราะชีวิตเหมือนไม่มีหนทางที่จะไป ความผิดหวังเหล่านี้เหมือนมาดึงให้เราต้องทิ้งร่างดิ่งลงจมลึกในเบื้องมหานทีแห่งความมืดของหัวใจอันแตกสลายนั้น และมันก็เป็นรอยแผลอยู่ในใจของเราอยู่อย่างนี้ในห้วงที่ลึกที่สุดที่เราไม่อยากจะรู้สึกถึงมันอีกเลย บางครั้งมันเกิดความกลัวและท้อแท้เมื่อเจอกับอุปสรรคที่เข้ามาขวางชีวิตเรา มันก็ทำให้เราสิ้นหวังและหมดกำลังใจที่จะฝืนแหวกว่ายไปในห้วงมหานทีแห่งความทุกข์ยากนี้ และเมื่อทุกสิ่งถูกกำหนดให้เราเป็นคนไม่ดีแทบจะหาคุณค่ามิได้ ยามเมื่อเราต้องกลายเป็นสภาพเดียวกันกับกรรมวิบากอันทุเรศทุรังที่ถาโถมเข้ามาใส่ต้องชดใช้มันนั้น มันแทบหมดกำลังใจที่จะต้านฝืนฝ่ากระแสความเหยียดหยามซ้ำเติมนั้นออกมาได้[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อมันหนักอึ้งและอ่อนล้า กำลังใจในเฮือกสุดท้ายก็ทำให้ต้องดิ้นรนตะเกียกตะกายผุดดำแหวกว่ายขึ้นมาสู่ผืนท้องนทีแห่งใจที่ยังพอจะสู้ไหว เมื่อต้องพาชีวิตตนเองเข้ามาสู่ร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัตรก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าต่อไปนี้จะขอเร่งรีบแหวกว่ายข้ามมหานทีแห่งใจที่มีแต่ความทุกข์ระทมนี้ข้ามพ้นไปให้จงได้ หนทางที่ต้องไปนั้นแม้จะไกลแสนไกลเพียงใดก็ตามถึงแม้จะไม่รู้ทิศทางแห่งมัน ก็ในเมื่อใจที่มันตั้งความปรารถนาไว้ด้วยความอยากจะพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง มันกลับเป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ให้กลับตัวเองที่จะหาหนทางอันแท้จริงที่พ้นจากชีวิตที่ล้มเหลวซึ่งมันจะพกพาความระทมทุกข์แห่งใจนั้นไปเวียนว่ายตายเกิดอีกแบบไม่รู้จบรู้สิ้น วันนั้นวันที่เราตั้งความหวังไว้ว่าเราจักจะข้ามห้วงสีทันดรแห่งความทุกข์ยากแห่งใจนี้ไปให้ได้นั้น ความหวังที่ตั้งใจไว้ในวันนั้น มันทำให้มีวันนี้เกิดขึ้นมันเป็นชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้า มันเป็นวันที่ข้าพเจ้าได้ตระหนักชัดและซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะซึ่งมันเป็นความสุขอันนิรันดร์ที่ข้าพเจ้าได้เจอะเจอและได้ลิ้มลองรสชาดแห่งมันตราบมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าผู้ผ่านความทุกข์โศกอยากจะเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นกำลังใจแก่ทุกชีวิตที่มีเลือดแห่งความเป็นนักสู้ที่จะแหวกว่ายมหานทีแห่งใจที่ทุกข์ยากของท่านเพื่อว่ายขึ้นฝั่งพระนิพพาน ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่กำลังประสพปัญหาแห่งชีวิต และผู้ที่ต้องการความหวังที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นจากความทุกข์แห่งใจทั้งปวง และขอเป็นกำลังใจให้อีกครั้งแก่ใจอันแตกสลายของพวกท่านที่หมดหวังเพื่อ “ข้ามสีทันดร” แห่งความทุกข์ยากนี้ให้สำเร็จสมหวังสมดั่งที่ใจท่านปรารถนา[/FONT]
     
  13. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 99[/FONT][FONT=&quot] ครูกับศิษย์[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็ด้วยความที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนมาเอง ฝ่ากระแสความมืดมิดแห่งใจที่มืดมนของข้าพเจ้า ด้วยความพยายามหาหนทางที่มันพอจะมีแสงสว่างอยู่บ้าง ความมุ่งมั่นด้วยความทะยานอยากที่จะหลุดพ้น มันทำให้ข้าพเจ้าเป็นนักแสวงหาตัวยง เส้นทางที่ข้าพเจ้าคิดว่ามันใช่ มันกลับทำให้ข้าพเจ้าต้องหลงเดินไป ตามทางแห่งมันซึ่งเรียกว่า “หนทางแห่งการปฏิบัติ”[/FONT]

    [FONT=&quot]ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้ตระหนักชัดและซึมทราบ แห่งเนื้อหาของธรรมชาติแห่งพุทธะแล้ว มันจึงทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า การที่ได้ละจากอารมณ์ดิบๆแห่งปุถุชนของข้าพเจ้าเอง ไปสู่หนทางปฏิบัติซึ่งเต็มไปด้วยหลักเกณฑ์ต่างๆนั้น มันกลับกลายเป็น “กับดักแห่งปัญญา” ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องตกไปสู่หลุมลึกแห่งการปรุงแต่งเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ ข้าพเจ้าต้องติดกับดักในปัญญานั้นอยู่เกือบ 10 ปี[/FONT]

    [FONT=&quot]ต้องขอขอบคุณหนังสือสองเล่มนั้นกับอีกหนึ่งพระสูตร ที่ได้เข้ามาจุดประกายสัจจธรรมความเป็นจริง ให้เกิดขึ้นแก่ใจข้าพเจ้า [/FONT]

    [FONT=&quot]“ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ที่เขียนโดย ดร.ฟูกูโอกะ หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักคำว่า “ธรรมชาติ” ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักปรับกระบวนวิธีปฏิบัติทั้งหลาย ที่ติดกับดักมันอยู่ด้วยการเอาความเป็น “ข้าพเจ้า” เข้าไปทำ หันมาสู่การปฏิบัติที่เป็นไปตาม “ภาวะแห่งธรรมอันคือธรรมชาติ” [/FONT]

    [FONT=&quot]“สูตรของเว่ยหล่าง” ที่ถูกแปลด้วยความเมตตากรุณาปราณีของ หลวงพ่อพุทธทาส หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักหน้าตาธรรมะที่แท้จริง เป็นหนังสือธรรมะเล่มเดียวที่เอาติดตัวไปเสมอๆ ยามจะต้องออกไปเดินธุดงค์อยู่หลายปี ไม่เคยทิ้งมันไว้ให้ห่างตัว ข้าพเจ้าซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกับธรรมชาติแห่งพุทธะได้ ก็เพราะความรู้จากคำสอนแห่งเซน ในหนังสือเล่มนี้ด้วยความแท้จริง[/FONT]

    [FONT=&quot]“ตติยนิพพานสูตร” เป็นสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎก ที่บังเอิญกงล้อแห่งโชคชะตาได้พลิกชีวิตข้าพเจ้า ให้ได้ไปเปิดเจอในหนังสือพระไตรปิฎกเล่มหนึ่ง พระสูตรนี้เป็นการยืนยันว่า ธรรมะแบบเซน เป็นธรรมะที่ถูกต้อง และคำสอนเซนเป็นคำสอนสูงสุดที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ [/FONT]

    [FONT=&quot]และที่จะอดกล่าวถึงไม่ได้เลย คืออาจารย์ของข้าพเจ้าเอง ที่ท่านได้ช่วยชี้ทางสว่างให้ ซึ่งเปรียบเสมือนท่านเป็น “มือแห่งสวรรค์” ที่ได้หยิบยื่นความบริบูรณ์แห่งชีวิตให้แก่ข้าพเจ้า ท่านชื่อ “หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ” แห่งวัดร่มโพธิธรรม ต.หนองหิน อ.หนองหิน จ.เลย ข้าพเจ้าขอกราบแทบเท้าท่านอีกครั้งหนึ่งไว้ใน ณ ที่นี้ พระคุณที่ท่านได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ให้รอดจากความทุกข์ทั้งปวงได้ ข้าพเจ้าจักจะไม่มีวันลืมเลือนในบุญคุณของท่าน [/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อข้าพเจ้าได้เริ่มใช้ชีวิตด้วยความสุขสงบ และได้เริ่มทำงานทางด้านพุทธศาสตร์อย่างจริงจัง ก็มีความบังเอิญได้เจอบทความ “ครูกับศิษย์ นิกายเซนสายรินไซ [/FONT][FONT=&quot]; ใจต่อใจในการฝึกตน” ซึ่งเป็นคำสอนแห่งเซนสายรินไซในญี่ปุ่น บทความนี้เป็นเรื่องราวของครูโซโก โรชิ ซึ่งท่านเป็นครูสอนเซน ในไดชูอิน แห่งวัดเรียวอันจิ เมืองเกียวโต ข้าพเจ้าชอบและศรัทธาครู โซโก โรชิ เป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าถือว่าท่านเป็นครูผู้วางแนวทางให้กับข้าพเจ้า ในการที่ข้าพเจ้าได้ดำเนินการสอนธรรมะ ให้แก่ลูกศิษย์ของข้าพเจ้าเอง ความไกล้ชิดระหว่างครูเช่นข้าพเจ้ากับศิษย์ทั้งหลาย ที่เส้นทางกรรมแห่งความดี ได้พามาพบกับครูสอนเซนเช่นข้าพเจ้า [/FONT]

    [FONT=&quot]ความไกล้ชิดนั้นนำมาสู่การถ่ายทอดธรรมะ ที่เป็นธรรมชาติอันว่างเปล่าไร้ตัวตน ซึ่งมันมิได้อิงอยู่กับอักษรในตำราใดๆ การถ่ายทอดทางวิถีแห่งการรู้แจ้งในลักษณะนี้ ข้าพเจ้าล้วนได้มาจาก ครูโซโก โรชิ [/FONT]
    [FONT=&quot]และด้วยกรรมวิบากของข้าพเจ้า ที่ติดตัวมาไม่รู้แต่ชาติปางไหน เมื่อได้กระทำไปด้วยความบีบคั้นในเส้นทางพุทธะ ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณและจักจะรำลึกเสมอ ถึงอาจารย์นิรนามผู้วางแนวทางให้ข้าพเจ้า เดินไปตามร่องพุทธะ และทำให้ข้าพเจ้ารู้จักหน้าตาพุทธะที่แท้จริงเพิ่มขึ้น ที่ประจักษ์แก่ใจข้าพเจ้าแล้ว ความเมตตาและปรารถนาดี ของอาจารย์นิรนามหลายๆอาจารย์ จักจะเป็นคุณที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ทำงานทางด้านสอนลูกศิษย์ ได้อย่างมีคุณภาพและเป็นไปตามแนวทางพุทธะ ที่พระพุทธองค์มุ่งหวัง [/FONT]

    [FONT=&quot]และท้ายที่สุด ด้วยความเหนื่อยยากนี้ กว่าที่ข้าพเจ้าจะได้ตระหนักชัดและซึมทราบ เป็นเนื้อหาเดียวกับพุทธะได้นั้น มันเหมือนเลือดตาแทบกระเด็นและใช้ความอดทนอย่างสูง กว่าที่จะกระเสือกกระสนมาอยู่ตรงนี้ได้ ก็เพราะด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง กว่าจะทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจและซึมทราบ ธรรมชาติแห่งพุทธะได้อย่างแท้จริง ข้าพเจ้าจึงอยากบอกลูกศิษย์ของข้าพเจ้าทุกคนไว้ในที่นี้ว่า ธรรมะทุกๆคำพูดที่ครูสอนเซนอย่างเรา ได้สอนลูกศิษย์อย่างพวกเจ้าไปนั้น มันมีคุณค่าอย่างยิ่งนะลูก กว่าอาจารย์จะได้ธรรมะเหล่านี้มาสอนพวกเจ้า ก็ขอให้พวกเจ้านึกถึงความยากลำบากนั้นๆ พวกเจ้าจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของธรรมะที่ได้เรียนรู้จากเรา อาจารย์ก็ได้แต่เพียงหวังว่า พวกเจ้าจะได้นำสิ่งที่พวกเจ้าได้ซึมทราบในธรรมนั้น ไปสอนคนอื่น[/FONT]

    [FONT=&quot]ในฐานะที่พวกเจ้าได้เป็นครูสอนเซน ตามแบบอย่างที่อาจารย์เคยสอนพวกเจ้าไป อาจารย์หวังว่าคำสอนในธรรมเหล่านี้ และแนวทางที่อาจารย์ได้เมตตาสอนพวกเจ้า พวกเจ้าจักจะได้นำไปใช้สอนคนอื่น เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์อันแท้จริงในภายภาคหน้า นั่นแหละคือชีวิตที่สมบูรณ์ของลูกศิษย์อย่างพวกเจ้าทั้งหลาย ที่อาจารย์เช่นเราได้แอบภาคภูมิใจอยู่เสมอ[/FONT]
     
  14. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    [FONT=&quot]บทที่ 100[/FONT][FONT=&quot] ชีวิตที่อิสระสมบูรณ์[/FONT]
    [FONT=&quot]กาลเวลาได้เดินผ่านไปอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง มันได้กลืนกินทุกสรรพสิ่งแม้กระทั้งตัวมันเอง ก็ในชั่วอึดใจหนึ่ง ณ ห้วงเวลานี้ มาบัดนี้กาลเวลามันได้ผันผ่านเข้าสู่กลียุคแล้ว โลกใบนี้ไม่เคยมีสันติสุขเกิดขึ้นมาก่อน มันถูกอัดแน่นไปด้วยทิฐิความเห็นต่างๆ มาตั้งแต่ต้นกัปนี้แล้วครั้งพรหมลงมากินง้วนดิน มนุษย์ในยุคที่ผ่านๆมาได้แต่รู้จักความทุกข์ แต่ไม่รู้จักวิธีอันจะเป็นความรู้ให้ออกจากทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์ในยุคที่ผ่านๆมาจึงทำได้เพียงแต่ เลือกที่จะประกอบคุณงามความดีแต่เพียงเท่านั้น และก็ต้องจำยอมตกอยู่ในสังสารวัฏฏ์ แห่งการเวียนว่ายตายเกิดแบบโงหัวไม่ขึ้น มนุษย์ในยุคที่ผ่านๆมาจึงมีศักยภาพในการดำรงชีวิต ได้แต่เพียงเท่านี้ เป็นการดำรงชีวิตที่ยังขาดอิสระแห่งใจ เพราะใจยังถูกบีบคั้นไปด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่แล้วเมื่อบรมมหาโพธิสัตว์สันดุสิต ได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามพุทธโคดม ท่านได้ออกมาประกาศธรรมอันคือธรรมชาติ ท่านมาชี้หนทางเพื่อไปสู่สัจจธรรมความเป็นจริง อันคือธรรมชาติแห่งพุทธะ มันจึงเป็นห้วงเวลาที่มนุษย์ในยุคนี้บางส่วนซึ่งเป็นผู้มีปัญญา จะได้ทดสอบความสามารถของตนเอง ในฐานะผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้มีศักยภาพในการดำรงชีวิต ได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่[/FONT]

    [FONT=&quot]หากท่านเป็นมนุษย์คนหนึ่งผู้ซึ่งเคยสร้างเหตุและปัจจัย มาอย่างพร้อมเพรียงเพื่อมาพบธรรมอันแท้จริง ในยุคพุทธโคดมแห่งภัททกัปนี้ หากท่านเพียงแต่ทำความเข้าใจว่า ธรรมอันแท้จริงก็คือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ที่มันดำรงเนื้อหาของมันอยู่แบบนี้ตลอดเรื่อยมา ก็เพียงแต่ท่านลืมตาตื่นและซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกับมัน และนั่น ก็คือเส้นทางแห่งความเป็นอิสระ ที่จะทำให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวแบบกลมกลืนกับธรรมชาติ มันเปรียบเสมือนว่าท่านได้ทำหน้าที่ แห่งความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว[/FONT]

    [FONT=&quot]มันจึงเป็นบททดสอบได้ว่า มนุษย์ในแต่ละยุคที่ผ่านมา เมื่อผ่านช่วงเวลาอันมืดมนที่เต็มไปด้วยอสัทธรรม แล้วเมื่อมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ซึ่งเชื่อว่าตนเองก็มีศักยภาพ แห่งความเป็นมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเมื่อมนุษย์ผู้นั้นได้ลงมาทำหน้าที่ ตามศักยภาพอันมีอยู่เต็มเปี่ยมแห่งตน และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เราเองเมื่ออยู่ในฐานะเป็นมนุษย์ผู้หนี่ง ซึ่งเคยคบหามหาบัณฑิตอย่างท่านมา อย่างน้อยก็เคยเคารพนับถือท่านมาในชาติใดชาติหนึ่ง เมื่อท่านได้มาตรัสรู้และประกาศธรรมอันคือธรรมชาติแห่งพุทธะ เมื่อเราได้มาเกิดในห้วงเวลาแห่งศาสนาท่าน และได้เรียนรู้ธรรมอันคือธรรมชาตินั้น หากเรามีศักยภาพเพียงพอในฐานะที่ จะเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เราก็จะสามารถตระหนักชัดและซึมทราบ กลายเป็นเนื้อหาเดียวกับธรรมอันคือธรรมชาตินั้นได้ อย่างไม่ยากเย็นนัก นี่คือ ชีวิตที่อิสระสมบูรณ์ และนี่คือความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง[/FONT]



    [FONT=&quot] จบบริบูรณ์[/FONT]
     
  15. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65
    เปิดสั่งจองด่วน..หนังสือเซนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเมืองไทย
    " หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน " (The core of Zen)
    มีความหนา 525 หน้า พิมพ์กระดาษอย่างดี มีจำนวนจำกัด
    ติดต่อได้ที่ คุณเมฆ เบอร์โทร 0895942191 จะจัดส่งให้ทันที
    ราคารวมค่าส่งแล้ว เล่มละ 300 บาทเท่านั้น แถม mp3 1 แผ่น
    โอนเงิน ชื่อบัญชี RACHEN SIMASUNTHORN ธ.กรงเทพ
    สาขากระบี่ บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่บัญชี 280-0-90613-9



    เข้าไปอ่าน"หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน" (the core of zen)
    ได้ที่

    1.http://www.facebook.com/ammarintharo

    2.http://www.facebook.com/profile.php?id=100004436700138

    3.http://www.facebook.com/profile.php?id=100003001500398



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2013
  16. kenjiro

    kenjiro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2006
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +79
    เพิ่งเข้ามาอ่าน ประทับใจอยากได้ตำราเล่มนี้ไว้อ่านและปฏิบัติไปพร้อมๆกัน...มีก็บอกผมด้วยนะคัรบ ศรัทธาในเซน...
     
  17. ใจต่อใจ

    ใจต่อใจ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +65


    เข้าไปอ่าน"หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน" (the core of zen)
    ได้ที่

    1.http://www.facebook.com/ammarintharo

    2.http://www.facebook.com/profile.php?id=100004436700138

    3.คำสอนเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน | Facebook
     

แชร์หน้านี้

Loading...