ในหลวงกับสมเด็จพระเทพฯ ทรงสามารถถอดกายทิพย์ได้หรือไม่ และใครเคยเห็นบ้างครับ

ในห้อง 'ในหลวงกับพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย มหาพรหมราชา, 3 มีนาคม 2009.

  1. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    คำถามนี้อาจเป็นคำถามที่ไม่สมควรถาม แต่ก็ขอถามทุกท่านเพื่อเป็นเหตุ คือ เพื่อจะยกย่อง พระมหากษัตริย์ไทย ในอีกมุมหนึ่ง ครับ หรือถ้ามิควรก็ขอ อภัย ด้วยนะครับ....
     
  2. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    ผมนำเรื่องที่ หลวงพี่เล็ก ท่านได้เคยพูดไว้มาให้อ่านกันดูครับ

    นิมิตจากในหลวง

    ประเทศไทยของเราโชคดีกว่าทุกประเทศในโลก เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม เป็นหลักชัยของมหาชนทั้งแผ่นดิน ยิ่งองค์ภูมิพลมหาราชด้วยแล้ว เป็นสุดยอดของพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรมเลยทีเดียว...
     
  3. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
  4. เมตตาวิหารี

    เมตตาวิหารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    671
    ค่าพลัง:
    +437
    มิต้องกล่าวถึงกายทิพย์เลยครับ แค่กายเนื้อ ของพระองค์ท่าน นั้นยังประโยชน์สุขแก่ปวงชน อย่างหาประมาณมิได้แล้วครับ

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

    เมตตาวิหารี
     
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    อนุโมทนาสาธุกับบุญกุศลเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ด้วยครับ ขอให้พระพุทธศาสนาดำรงมั่นอยู่ตราบสิ้นกาลนาน

    อานิสงส์บุญกุศลใดจักพึงบังเกิด ขออุทิศให้แก่มารดาบิดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โลก ผู้มีพระคุณ ญาติมิตร มนตรีบริวาร ในทุกภพทุกชาติ ตลอดจนถึงเทวดา เปรต สัตว์ในอบายทุคติ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงได้รับรู้และอนุโมทนาโดยทั่วหน้ากัน ท่านที่มีทุกข์ ขอให้พ้นทุกข์ ท่านที่มีสุข ขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเทอญฯ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ปัจจโย โหตุ

    <!--emo&:02:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->


    "พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง"
    "เมื่อรู้แล้ว จักช่วยผู้อื่นรู้ด้วย เมื่อพ้นทุกข์แล้ว จักช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วย เมื่อข้ามโอฆะแล้ว จักช่วยผู้อื่นข้ามโอฆะด้วย"
    "พระสัมมาสัมโพธิญาณ ปัจจโย โหตุ"
    "เมื่อได้พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักช่วยให้ผู้อื่นได้พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วย"

    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]
    <!--endemo-->
    <!--emo&:16:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:12:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:10:-->[​IMG]

    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]

    <!--endemo-->
    ;aa10<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message -->
     
  6. nantapong

    nantapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    913
    ค่าพลัง:
    +2,154
    สาธุ สาธุ สาธุ ข้าพระพุทธเจ้ามีความปลื่มปิติอย่างหาที่สุดมิได้ ขอถวายพระพรชัยมงคลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน พระบารมีแผ่ไพศาล เป็นมิ่งขวัญของปวงข้าพระพุทธเจ้าตลอดกาลนานเทอญ
     
  7. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
    อนุโมทนา สาธุๆๆ ครับ
     
  8. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    เคยอ่านบทความ ขออนุญาตหยิบยกมาให้ด้วยเลยแล้วกันนะคะ

    --------

    ในหลวงทรงถอดจิตได้จริงหรือ!??




    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    เคยมีคนบอกว่าในหลวงท่านถอดจิตได้


    ถ้าหากไม่ติดพระราชกรณียะกิจใดๆ ในหลวงท่านจะนั่งสมาธิตั้งแต่ 6 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าทุกวัน ฟังทีแรกยังไม่อยากเชื่อเลย แต่ได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่ได้พูดถึงในหลวงว่า ท่านมีสมาธิดีมาก ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ตามธรรมดาหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ) แห่งวัดท่าซุงจะอัดเทปถวายในหลวง เพื่อนำไปเปิดขณะปฏิบัติธรรม เท่าที่ทราบมาท่านเอาเทปของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่อัดถวายแขวนคอแล้วเดินจงกรมที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน บางครั้งท่านก็นั่งสมาธิโดยจับเสียงคลื่นเป็นอารมณ์กรรมฐานในหลวงท่านทรงแนะนำให้บุคคลใกล้ชิดได้ปฏิบัติธรรมด้วย เช่น พระราชวงศ์ องคมนตรี องครักษ์ หรือแม้แต่บุคคลที่ใกล้ชิดท่าน มีหลายพระองค์บอกว่าในหลวงเป็นผู้ทรงฌานคนหนึ่ง เวลาท่านไปไหนพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายองค์ขยับแล้วขยับอีก แต่ในหลวงท่านเพียงแค่กระพริบตาอย่างเดียว นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยได้เป็นชั่วโมงๆ พลตำรวจเอกที่เคยเป็นองครักษ์ของท่านคนหนึ่งก็เคยพูดว่า ในหลวงท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยนั่งสมาธิเห็นร่างของท่านเป็นเนื้อแดงๆ ลอกออกจนเห็นกระดูกสีขาวๆ มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ในหลวงท่านเคยถอดจิต ( จะเรียกว่าถอดจิตก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะโอเลี้ยงหายไปครึ่งแก้ว ) มหาท่านหนึ่งที่มีบารมีมากสามารถต่อรองกับพระยายมเพื่อนำคนที่ตกนรกแล้วขึ้นมาได้ ในหลวงท่านถอดจิตมาหาก็เพราะต้องการให้ช่วยอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ขึ้นจากนรก แต่ท่านนี้ไม่ยอมช่วยเพราะเหตุไม่ถูกกับอดีตนายกฯ คนนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ถ้าในหลวงท่านถอดจิตมา ( มาแค่จิตอย่างเดียว ร่างกายไม่ได้มาด้วย ) โอเลี้ยงคงไม่หายไปครึ่งถ้วยหรอกครับ เพราะเจ้าของบ้านให้คนไปซื้อมาถวายในหลวง แต่ที่นี่หายไปครึ่งแล้ว แสดงว่าในหลวงท่านหายตัวได้ครับ! ในหลวงท่านฝึกสมาธิจนถึงขั้นอภิญญา ซึ่งลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมีหลายคนทำได้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยแสดงฤทธิ์เท่านั้นเอง แต่ถ้าท่านรู้มากกว่านี้ ก็คือ ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ( พระโพธิสัตว์ คือ บุคคลที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ) และท่านก็มีบารมีมากพอที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่ๆ แล้ว ( ต่อจากหลวงปู่ ท..... และสมเด็จ ต..... ) ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะหายตัวได้



    พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว โดย พล.ต.อ.วิสิษฐ์ เดชกุญชร คัดลอกจาก http:Untitled Document


    “ ด้วยพระเมตตาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อพสกนิกรชาวไทย พระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน ทรงเป็นดั่งผู้มองชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายในหัวใจคนไทยทั้งแผ่นดิน “ หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาทแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยคำสอนที่พระองค์ทรงพระราชทานให้แต่ละข้อ แต่ละอย่างนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ทรงไตร่ตรองพิเคราะห์ถึงปัญหานั้นอย่างถ่องแท้แล้วว่าจะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา การดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม เกิดขึ้นจากนความผ่อนคลาย หรือเกิดขึ้นจากสภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า จะทำต้องให้เร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร สมาธิเป็นของดี เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน เป็นของที่มีอยู่ในกายและในจิตอันพร้อม เป็นของเข้าใจได้ เป็นของเข้าใจง่าย และใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่าสมาธิเองก็มิใช่ของที่เกิดขึ้นโดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากหากผู้ใช้สมาธิรู้จักการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกต้องทั้งแก่ตนเอง ทั้งแก่ผู้อื่น ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยาวัตรแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ “ พระสมาธิ “ ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่เป็นเวลานานๆ เช่น ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรคงจะได้เห็นด้วยความพิศวงทุกคนด้วยกันว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้นเมื่อทรงประทับนั่งลงแล้ว จะประทับอยู่ในพระอิริยาบถนั้น ตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่งจบ ไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถเลย นอกจากนั้นยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียะกิจอย่างกระฉับกระเฉงต่อเนื่อง ไม่มีอาการที่แสดงว่าทรงเหนื่อยหรือทรงเบื่อเลย ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พิธีนั้นยาวประมาณ 4 ชั่วโมง และมีบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯรับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคนได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานในตอนค่ำวันนั้น พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกายด้วยการวิ่งในศาลาดุสิตาลัยอีก ในการประกอบพระราชกรณียะกิจอื่นๆ ก็เช่นกัน พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติด้วยพระอาการที่แสดงว่าเอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียะกิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรีที่ใครๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อนพระราชหฤทัย เป็นต้น ผมเคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรีตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง โดยทรงนั่งไม่ลุกเลยแม้แต่จะเพื่อเสด็จฯไปสรง ในขณะที่นักดนตรีอื่นๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน ในการทรงเรือใบก็เช่นกัน ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ ครั้งหนึ่งเคยเสด็จออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้มาเฝ้าฯอยู่ด้วยความฉงนว่า เพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาแข่งเรือใบถือว่าฟาวล์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัวเป็นงานอีกชนิดหนึ่งที่จะต้องทำด้วยความจดจ่อและต่อเนื่องไปจนเสร็จเหมือนกัน พระราชกรณียะกิจอื่นๆ นั้น ทั้งน้อยและใหญ่ทรงปฏิบัติแบบเดียวกัน คือ ด้วยการเอาพระราชหฤทัยจดจ่อไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะจนกว่าจะเสร็จและไม่ทิ้งขว้าง แบบทำๆ หยุดๆ เพราะฉะนั้นจึงจะเห็นว่าพระราชกรณียะกิจทั้งหลายนั้นสำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่ ผมไปรู้เอาหลังจากการเข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ไม่นานนักว่า ที่ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียะกิจได้เช่นนั้นก็เพราะพระสมาธิ



    ผมไม่ทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงดำริฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือนตุลาคม พ.ศ.2499 เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ( วัดพระแก้ว ) หลังจากทรงผนวชแล้วประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหยา



    วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอยู่ในสมณะเพศเป็นเวลา 15 วัน ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชฌาจารย์ ทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ( เมื่อครั้งยังเป็นพระโสภณคณาภรณ์ ) ให้เป็นพระอภิบาล ( พระพี่เลี้ยง ) ของพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ทราบกันดีว่าแม้จะทรงมีเวลาน้อย แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย



    เมื่อผมเข้าเป็นตำรวจพระราชสำนักประจำปี พ.ศ.2513 นั้น ปรากฏว่าการศึกษาและปฏิบัติสมาธิหรือกรรมฐานในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติเป็นประจำ และข้าราชบริพารหลายคนทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารก็กำลังเจริญรอยตามพระยุคลบาทอยู่ ด้วยการฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น ผมไม่ได้ตั้งใจจะฝึกสมาธิแม้ว่าจะเคยศึกษามาก่อน โดยเฉพาะจากหนังสือของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ



    แต่ระหว่างตามเสด็จโดยรถไฟจากกรุงเทพมหานครไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อ พ.ศ.2515 เป็นการเดินทางไกลกว่าที่ผมคิด หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟก็อ่านจบเล่มเสียตั้งแต่กลางทาง ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ประจำที่ถวายหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่วมกันสองนาย ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ จึงลองทำดูบ้าง โดยใช้อานาปานสติ ( กำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้าและหายใจออก ) อันเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ และท่านพุทธทาสแนะนำ ปรากฏว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด และเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวยๆ งามๆ มากมาย และเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิและเป็นอีกผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิมาเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้



    เมื่อความทราบถึงพระกรรณว่าผมเริ่มปฏิบัติสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำรัสแนะนำด้วยพระองค์เอง ผมจึงได้รู้ว่าพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวนั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก รับสั่งเล่าเองว่า แม้จะใช้อานาปานสติเป็นอุบายในการทำสมาธิ แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงไม่สามารถที่จะกำหนดพระอาสาสะ ( ลมหายใจเข้า ) และพระปัสสาสะ ( ลมหายใจออก ) ได้แต่ลำพังต้องทรงนับกำกับ วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้ หายใจเข้าครั้งที่หนึ่งนับหนึ่ง หายใจเข้าครั้งที่สองนับสอง หายใจเข้าครั้งที่สามนับสาม หายใจเข้าครั้งที่สี่นับสี่ หายใจเข้าครั้งที่ห้านับห้า เมื่อถึงห้าแล้วหากจิตยังไม่สงบก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหาห้าใหม่ กลับไปกลับมาเช่นนั้น จนกว่าจิตจะสงบ รับสั่งว่าที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่งๆ นั้น พระจิตทรงอยู่กับ “ หนึ่งเข้า หนึ่งออก “ ตลอดเวลา



    พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิด้วยการรวบรวมและประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่าน แล้วก็ทรงพระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฏิบัติสมาธิอยู่ ครั้งหนึ่งทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของสมเด็จพระญาณสังวรฯให้ผม รับสั่งว่าเป็นเทปบันทึกการแสดงธรรมเรื่องฉักกสูตร ( คือพระสูตรว่าด้วยธรรมหมวด 6 รวม 6 ข้อ ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และตัณหา พระสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ) และทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น ผมรับพระราชทานแถบ



    บันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้วก็เอาไปใส่เครื่องบันทึกเสียงแล้วเปิดฟัง ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ปิดแล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก



    หลังจากนั้นไม่นานนักได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชทานกระแสรับสั่งถามว่า ฟังเทปของสมเด็จฯแล้วหรือยัง เป็นอย่างไร ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้ ต้องกราบบังคมทูลตามตรงว่า ฟังได้ไม่ทันจบม้วนก็ได้หยุดฟังเสียง แล้วตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ได้ฟังให้จบ และผมก็จำเป็นต้องกราบทูลตรงๆ ว่า สมเด็จฯเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรคเป็นห้วงๆ เนื่องจากสมเด็จฯพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำ และประโยคเทศน์ของท่านนั้นถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯเทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนใช่หรือไม่ ว่าสมเด็จฯท่านพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่คาดหมายจึงเบื่อ เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ ทรงแนะนำว่าให้กลับไปทำใหม่ คราวนี้อย่าคิดไปก่อน ว่าสมเด็จฯจะพูดอย่างไร สมเด็จฯหยุดก็ให้หยุดด้วย ผมกลับมาทำตามพระราชกระแสรับสั่ง เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯจากเครื่องบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้งแต่ต้นฟังด้วยสมาธิ สมเด็จฯหยุดตรงไหนผมก็หยุดตรงนั้น และไม่คิดไปก่อนว่าสมเด็จฯจะพูดอย่างไร คราวนี้ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส เทปบันทึกเสียงม้วนนั้นเป็นม้วนที่ดีที่สุดม้วนหนึ่ง



    ครั้งหนึ่งหลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูลประสบการณ์ที่ได้จากการนั่งสมาธิ ผมกราบบังคมทูลว่า ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้นรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้นสูงประมาณศอกหนึ่ง ทีแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ครั้นหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้าทำท่าทางเหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวทรงวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรเลิก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้นอีก

    ครั้งหนึ่งหลังจากทำสมาธิแล้วผมกราบบังคมทูลว่า พอจิตสงบผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อนต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่ คือตัวผมและที่ปลายข้างล่าง ผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ แสดงว่าท่อยาวมากกลัวจะหลุดออกจากท่อจึงเลิกทำสมาธิ รับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว ( มีสติ ) อยู่ก็ไม่ควรเลิก ถึงหากหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่สติยังอยู่และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรกับตน



    ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่าน และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนให้ “ ดำรงสติให้มั่น “ ในเวลาทำสมาธิ



    ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งขณะกำลังทำสมาธิอยู่พระจิตสงบและเกิดนิมิต ในนิมิตนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรเห็นพระกร ( แขนท่อนล่าง ) ลอกออกทีละชิ้นๆ ตั้งแต่จากพระตจะ ( หนัง ) ลงไปถึงพระอัฐิ ( กระดูก )



    พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิในการประกอบพระราชกรณียะกิจทุกอย่างทั้งน้อยและใหญ่ จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนักในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่สะทกสะท้านหรือหวั่นไหว ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์ ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จ หรือความล้มเหลวอันเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับพระราชกรณียะกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น


    ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข และในฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ให้เป็นที่ร่มเย็นของเราและของลูกหลานของเรา จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาทด้วยการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกันอย่างจริงจัง และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    -------------
    ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก:
    http://www.oknation.net/blog/Rachineeprajun/2007/07/31/entry-9
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2012
  9. Unlimited Indy

    Unlimited Indy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,228
    ค่าพลัง:
    +803
    เย็นศิระเพราะพระบริบาล

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ
     
  10. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
    เรารักพระเจ้าอยู่หัว _/\_
     

แชร์หน้านี้

Loading...