เรื่องเด่น ไขปริศนา ! การหายตัวไปของพระอาจารย์ธรรมโชติแห่งบ้านบางระจัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 10 กรกฎาคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    ไขปริศนา ! การหายตัวไปของพระอาจารย์ธรรมโชติแห่งบ้านบางระจัน

    ปก1-12.jpg

    พระอาจารย์ธรรมโชติ เดิมชื่อ โชติ ขณะบวชได้ฉายาทางพระว่า ธรรมโชติรังษี พื้นเพเป็นชาวเมืองสุพรรณ ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย บวชเรียนแล้วจำพรรษา เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ณ วัดเขาขึ้นหรือเขานางบวช ท่านมีความรู้ด้านวิชากสิณ ด้านวิชาอาคมที่แก่กล้า ด้วยทั้งพรรษาและวิชาต่าง ๆ ที่ได้ศึกษาฝึกพร่ำร่ำเรียนมา ใครเห็นล้วนแต่เกิดศรัทธา
    พระอาจารย์ธรรมโชติ ตามประวัติเดิม พำนักอาศัยอยู่ ณ วัดเขานางบวช ต่อมาชาวบ้านบางระจันได้อาราธนาไปพำนักอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น จังหวัดสิงห์บุรี ในปี พ.ศ. 2308 ด้วยเหตุที่พระอาจารย์ธรรมโชติมีวิทยาอาคมสูง และได้ลงวิทยาอาคมกับผ้าประเจียด ตะกรุดพิสมร แจกจ่ายให้กับนักรบค่ายบางระจัน

    พระอาจารย์ธรรมโชติ

    image.jpg

    สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ในหนังสือไทยรบพม่าว่า พระอาจารย์ธรรมโชตินั้นได้หายสาบสูญไปหรือจะมรณภาพในเวลาเสียค่ายแก่พม่า หรือหนีรอดไปได้หาปรากฏไม่ แต่ตามความเชื่อและตำนานท้องถิ่นของชาวจังหวัดสุพรรณบุรีเล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อค่ายบางระจันมีทีท่าว่าจะแตก ลูกศิษย์ใกล้ชิดพระอาจารย์ธรรมโชติก็ได้นิมนต์ท่านหลบหนีออกจากค่าย โดยที่ท่านไม่ได้เต็มใจ เพราะคิดจะอยู่สู้ด้วยกัน ตายด้วยกัน แต่สุดท้ายท่านก็ขัดศรัทธากิจนิมนต์ของชาวบ้านที่รัก หวงแหน และเชิดชูท่านเสียมิได้ ว่าผ้าเหลืองไม่เหมาะที่จะมาจมกองเลือดจมพื้นพสุธาให้คนต่ำช้าสามานย์เยี่ยง พม่าข้าศึกได้ย่ำยี

    สุดท้ายลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง (ซึ่งไม่มากนัก เพื่อไม่ให้เป็นการแลดูน่าสงสัยแก่ผู้พบเห็นทั่วไป) ได้พาท่านออกมาจากค่ายบางระจัน ชั่วครู่ก่อนค่ายจะแตก แล้วลี้ภัยข้าศึกอยู่ในป่าเขาลำนำไพรจวบจนสงครามสงบจึงกลับมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดเขานางบวช

    บ้างก็ว่าหลังจากออกจากค่ายบางระจันมา ท่านก็ไม่ไปหลบอยู่ที่ไหน แต่ขอกลับมาอยู่วัดเขานางบวช วัดเดิมที่ท่านเคยจำพรรษาอยู่ โดยลูกศิษย์ทำช่องลับไว้ให้ท่านหลบอยู่บริเวณวิหารของท่าน (ซึ่งปัจจุบันยังคงอยู่) ไว้ให้ท่านนั่งเจริญสมาธิกรรมฐาน บำเพ็ญกุศล บำเพ็ญเพียรโปรดแก่เหล่าสรรพสัตว์ วิญญาณวีรชน และชาวบ้านบางระจัน

    หนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้เครื่องรางของขลังที่พระอาจารย์ธรรมโชติได้มอบให้ แล้วเสื่อมพลานุภาพลงไว้ ดังนี้

    “ครั้นถึง ณ วันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ อัฐศก พม่าก็ยกเข้าตีค่ายใหญ่บ้านบางระจันแตก ฆ่าคนเสียเป็นอันมากที่จับเป็นไปได้นั้นก็มาก บรรดาครอบครัวชายหญิงเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งเหลือตายอยู่นั้นให้กวาดเอาไปสิ้น แล้วเลิกทัพกลับไปยังค่ายพม่า

    ตั้งแต่รบกันมาห้าเดือนจนเสียค่ายนั้น ไทยตายประมาณพันเศษ พม่าตายประมาณสามพันเศษ และพระอาจารย์ธรรมโชตินั้นกระทำสายสิญจน์มงคลประเจียดตะกรุดต่าง ๆ แจกให้คนทั้งปวง แต่แรกนั้น มีคุณอยู่คงแคล้วคลาดคุ้มอันตรายอาวุธได้ขลังอยู่ ภายหลังผู้คนมาอยู่ในค่ายมากสำส่อน ที่นับถือแท้บ้าง ไม่แท้บ้าง ก็เสื่อมตบะเดชะลง ที่อยู่คงบ้าง ที่ต้องอาวุธบาดเจ็บล้มตายบ้าง และตัวพระอาจารย์นั้น ที่ว่าตายอยู่ในค่ายก็มี ที่ว่าหายสูญไปก็มี ความหาลงเป็นแน่ไม่”

    หลวงพ่อจรัญได้ไปธุดงค์แถวปากช่องกับพันเอกชม ได้ไปเจอจารึกที่พระอาจารย์ ธรรมโชติเขียนไว้ในถ้ำว่า

    เหตุที่บางระจันยืนหยัดต่อสู้กับพม่าได้นั้น เพราะมีผู้หญิงอยู่คนนึง ชื่อคุณหญิงปล้องเป็นเมียท่านขุน ในสมัยนั้นที่ถูกพม่าฆ่าตาย ก็เกิดความแค้นที่พม่าฆ่าผัวตัวเองก็ได้รวบรวมเหล่าแม่ม่ายแม่ร้าง ที่หัวอกเดียวกับตัวเองที่พม่าฆ่าตาย ยอมเปลืองตัว ร้องเพลงแซวพม่า (ปัจจุบันคือเพลงอีแซว) พม่าก็จะร้องเห่กลับมา ที่ปัจจุบันเรียกว่าเพลงพม่าเห หรือพม่าเห่ ซึ่งเพลงพวกนี้ก็เกิดในสมัยนั้น ได้ทำการเกี้ยวพาราสี มอมเหล้าพม่า เมื่อเมาก็เอามีดปาดคอพม่าตายจนหมด จนแม่ทัพใหญ่พม่า เกิดความสงสัยที่ส่งคนไปเท่าไหร่ทำไมถึงตายหมด จนถึงทหารมอญอาสาที่จะปราบบ้านบางระจัน และได้สืบรู้มาว่าเกิดจากฝีมือผู้หญิง

    โดยได้ออกอุบายใช้จุดอ่อนของผู้หญิงให้แตกคอกันเอง เพราะรู้ว่าผู้หญิงขี้ระแวง โดยออกอุบายว่าบอกผู้หญิงที่มีสามี ว่ากำลังมีผู้หญิงแม่ม่ายแม่ร้าง ไปพัวพันสามีตัวเอง ส่วนพระอาจารย์ธรรมโชติ ท่านรู้ด้วยด้วยญาณของท่านรู้ว่าถึงชะตาบ้านบางระจันจะแตกคืนนั้น ท่านเลยเรียกชาวบ้านบางระจันที่เป็นลูกศิษย์ท่าน(ถ้าจำไม่ผิด เป็นกลุ่มผู้หญิงที่เหลืออยู่) คนที่มีฝึกสมาธิ แล้วมีพลังจิตสูงท่านก็ให้คาถา บังไพร ไว้ คาถาบังไพร สามารถบังตาศัตรูได้ชั่วคราว หักไม้แล้วศัตรูมองไม่เห็น ก็จะมีชาวบ้านกลุ่ม นี้ ที่หลบหนีออกมาได้ ส่วนตัวอ.ธรรมโชติ เองหายตัว มา ที่ถ้ำที่ดงพญาไฟ

    ไม่รู้ว่าข่าวลือดังกล่าวระบาดอยู่ในท้องที่เมืองสุพรรณบุรีนานเท่าใด แต่คนที่ทำลายข่าวลือดังกล่าวคือกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งพระองค์ท่านดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี แล้วมีการค้นพบแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญหลายแห่ง เช่น เมืองโบราณอู่ทอง เมืองจระเข้สามพัน เจดีย์ยุทธหัตถี รวมทั้งวัดเขาขึ้นหรือวัดเขานางบวชซึ่งเป็นสถานที่พำนักของพระอาจารย์ธรรมโชติวีรบุรุษของไทยอีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการต่อสู้กับกองทัพพม่าในครั้งนั้น ด้วยยุทธวิธีแบบชาวบ้านธรรมดา ๆ

    ฝาผนังวิหารเชื่อมกับปากถ้ำหรืออุโมงค์ที่เชื่อกันว่าพระอาจารย์ธรรมโชติใช้เป็นที่หลบซ่อนตัว

    image.gif

    หลังจากค่ายบางระจันแตกและบ้านเมืองอยู่ในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด

    image.gif

    ปากอุโมงค์ที่มีไฟส่องสว่างให้เห็นชัดเจน ทางลงอุโมงค์

    image.gif

    ด้วยความเป็นพระชาวบ้านในดินแดนเร้นลับนั่นเอง ประวัติของพระอาจารย์ธรรมโชติจึงขาดรายละเอียดปลีกย่อย นอกจากบทบาทที่ปรากฏโดดเด่นขึ้นในช่วงสู้รบอันฉุกละหุก ถึงกระนั้นก็เป็นที่ยอมรับว่าท่านพระอาจารย์ธรรมโชติเป็นบุคคลที่เคยมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ มีบทบาทสำคัญยิ่งในการร่วมวางแผนกับชาวบ้านบางระจันที่ค่ายวัดโพธิ์เก้าต้นในการปกป้องมาตุภูมิอย่างกล้าหาญชาญชัย

    ขอขอบคุณ : chhala


    -----------------------------
    ที่มา ::
    http://www.sabaiclub.com/?p=17100

     
  2. นายธนาคาร

    นายธนาคาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2017
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +111
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นท่านพระอาจารย์
    ในดงท่านหนึ่งที่ตัวสูงๆใหญ่ๆ ที่มีท่ายืนกุมมือ
    ปล.เป็นเพียงความเชื่อครับ
     
  4. eve1

    eve1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +682
    ขอบคุณ SiTa :)
    by cd'
     
  5. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    เชื่อเหมือนท่านนพนั่นแหละ คิดไว้คล้ายกัน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์อยู่นะ ;)
     

แชร์หน้านี้

Loading...