ไฟในมหานรก

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 12 สิงหาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <b><big><big>ไฟในมหานรก </big></big></b>
    <!--MsgIDBody=0-->สวัสดีทุกท่านครับ

    วันนี้ขออนุญาตนำไฟในมหานรก ตัดตอนจากโลกทีปนี
    ผลงานวรรณกรรมทางธรรมะของพระคุณเจ้า พระพรหมโมลี
    (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) นำมาฝากชาวห้องศาสนาครับ

    ขอบคุณภาพประกอบจากสมาชิกพันทิปครับ <!--MsgFile=0-->

    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ยังมีบุรุษวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง เพื่อนเป็นคนใจบาปหยาบช้า สำเร็จกิจเลี้ยงชีพด้วยปาณาติบาตกรรม เป็นพรานไพรท่องเที่ยวไปในอรัญราวป่าล่าเนี้อล่าลุกรเป็นกิจวัตรไม่มีขาด อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนเข้าไปในป่าล่าสัตว์ได้ก็จัดการย่างด้วยถ่านเพลิง กินจนอิ่มหนำสำราญแล้วเที่ยวล่าลัตว์ต่อไป เกิดกระหายน้ำขึ้นมา จึงแวะเข้าไปที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระภิกษุผู้ เป็นเจ้าฝ่ายอรัญวาลี แลเห็นหม้อน้ำตั้งอยู่ อารามที่ กำลังหิวกระหาย จึงตรงรี่เข้าไปหมายใจจะได ดื่มน้ำให้เต็ มอิ่ม ครั้นเปิดหม้อขึ้นมาหาเห็นน้ำไม่ ก็โทมนัสขัดเคืองใจเป็นยิ่งนัก
    " เว้ย...เฮ้ย พระสมณะหัวโล้น พรานไพรตะโกนออกมาด้วยความขัดเคือง
    "ใครอยู่ที่นี่ ช่างเป็นคนถ่อยขี้เกียจเสียเต็มประดา กินข้าวปลาของชาวบ้านแล้วก็นอนหลับสบายใจ น้ำท่าในตุ่มแม้แต่พอเปียกชุ่มมือ ก็ไม่มีปัญญาจะหาใส่ไว ช่างกระไรจึงเป็นคนชั่วชาติถึงปานนี้ " เขาบ่นพึมพำในตอนท้ายด้วยความไม่พอใจ

    พระมหาเถระผู้เป็นเจัาของถิ่น ได้ยินเสียงพรานไพรมากล่าวคำผรุสวาทยกโทษเช่นนั้น ก็ใหัแปลกใจเป็นกำลังว่าเราตักน้ำไว้เต็มบริบูรณ์ทีเดียว เหตุไฉนจึงไม่มีน้ำเล่า พระผู้เป็นเจ้าจึงออกไปเปิดหม้อน้ำดู ก็เห็นน้ำยังเต็มหม้อเป็นปกติ จึงชี้มือพลางกล่าวว่า
    "นี่ไงเล่าน้ำ เชิญท่านตักดื่มเอาเองตามใจเถิด"
    "น้ำท่าที่ไหนกัน" บุรุษนั้นตอบสวนคำทันควัน "ตัวเป็นสมณะ ไยจึงมาประพฤติตนเป็นคนโกหกซึ่ง ๆ หน้าเสียเช่นนี้ก็เป็นได้" เขากล่าวต่อไปเพราะตนมองไม่เห็นน้ำจริง ๆ

    พระผู้เป็นเจ้าได้ ฟังดังนั้น ก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นอกุศลกรรมนิยม เป็นตัวการดลบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น จึงยืนลงเคราะห์คอยตักน้ำส่งให้บุรุษนั้นดื่มจนเต็มอิ่มถึง ๓๒ จอก พอดื่มน้ำอิ่มแล้วบุรุษพรานป่าก็หายโทสะได้สติคิดว่า
    "หม้อน้ำเต็มบริบูรณ์ด้วยน้ำอันเยือกเย็น แต่ด้วยอกุศลกรรมของเราหนา จึงปรากฏแก่สายตาเราดุจไม่มี อำนาจอกุศลกรรมนี้ ให้โทษเห็นประจักษ์แต่โลกนี้สิยังให้ผลเห็นปานนี้ ต่อไปในอนาคตโลกหน้าจะให้ผลเป็นประการใด"

    คิดได้ ดังนี้ ก็ให้รู้สึกสังเวชทุเรศตัวเอง จึงทิ้งธนูหน้าไม้เลีย แล้วขอบรรพชาเป็นสามเณรในพระบวรพุทธศาลนาตั้งแต่บัดนั้น
    เมื่อบวชแล้วสามเณรก็อุตส่าห์ตั้งใจบำเพ็ญธรรมปฏิบัติกรรมฐาน ในขณะที่ทำกรรม ฐานอยู่นั้น บรรดาเนื้อสุกรและสัตว์ต่าง ๆ ที่ตนเคยฆ่าก็มาปรากฏในห้วงนึกให้ระลึกถึงอกุศลกรรมที่ตนทำไว้แต่ก่อนทุกแห่ง จิตก็เดือดร้อนดิ้นรนกระวนกระวาย มิอาจจะดำเนินตามพระกรรมฐานได้ ครั้นเจริญพระกรรมฐานไม่ได้ก็เสียใจ ใคร่จะสึกโดยนึกว่าตนเป็นคนหมดบุญวาสนาเสียแล้ว จึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์นมัสการแล้วบอกความ พระมหาเถระจึงว่า ดูกรสามเณร ท่านจะสึกเราก็ไม่ว่า แต่ก่อนจะสึกท่านจงทำความสะอาดถากถางที่บริเวณเหล่านี้ให้ เรียบร้อยเสียก่อน

    สามเณรก็รับคำพระอุปัชฌาย์ออกมาปัดกวาด เห็นสถานที่ใดเกะกะด้วยกิ่งไม้ ก็ตัดด้วยมีดพร้ามิช้าก็เอามาสุมเป็นกองใหญ่ ทำอย่างรวดเร็วเพราะตนเป็นคนทรงพลัง ด้วยเคยเป็นพรานป่ามาก่อน เสร็จแล้วก็กลับมากราบเรียนพระเถรเจ้า

    "เกล้ากระผมปัดกวาดจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ" สามเณรประนมมือ กล่าวด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่ง
    "แลัวกองกิ่งไม้ โน่นเล่า เสร็จแล้วหรือยัง?" พระเถรเจ้ากล่าวพลางชี้มือถาม
    "กิ่งไม้เหล่านั้นยังสดอยู่ เกล้ากระผมคิดว่าจะทิ้งไว้ก่อน" สามเณรตอบ
    "ทิ้งไว้ อย่างนั้นจะดีหรือ? เจ้าจงเอาไฟจุดเผาเสียก่อนดีกว่า " พระเถระสั่งต่อไป

    ด้วยความเคารพในพระเถระ เจ้าสามเณรไม่ทันนึกถึงสิ่งใด รีบมาที่กองกิ่งไม้พยายามจุดไฟจนแล้วจนรอดเพลิงก็หาติดไม่ ก็จะติดได้ อย่างไรเล่า เพราะว่ากิ่งไม้เหล่านั้นมันเป็นกิ่งไม้สด ๆ ทั้งสิ้น พอหมดปัญญาเข้า เจ้าสามเณรก็ได้ แต่นั่งกอดเข่าเหนี่อยหอบทอดถอนใจอยู่ข้างกองกิ่งไม้นั้น

    "ทำไมจึงไม่ เผาเสียเล่า เจ้าสามเณร นั่งคิดอะไรอยู่รึ?'' เสียงพระเถระซึ่งมายืนข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ถามขึ้น สามเณรตกใจจึงกราบเรียนว่า
    "มันจุดไม่ติดขอรับ ไม้ยังสดอยู่"
    "ถ้าอย่างนั้น จงหลีกไป เราจะจัดการเอง"

    กล่าวแล้ว พระเถระเจ้าก็บันดาลให้แผ่นปฐพีแยกออกเป็นสองภาค ด้วยกำลังแห่งฤทธิ์อรหันต์ แล้วพระผู้เป็นเจ้าจึงยื่นหัตถ์ลงไปหยิบเอาไฟในอเวจีมหานรก ขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ประมาณเท่าแสงหิ่งห้อย แล้วทิ้งลงไปบนกองไม้สดนั้นเพลิงก็ติดรุ่งโรจน์โชตนาการเปรียบปานไม้แห้ง บัดเดี๋ยวใจกองไม้สดนั้นก็ไหม้ ยับยุบลงสิ้นถ่านสิ้นขี้เถ้า พระเถรเจ้าครั้นสำแดงสภาพของอเวจีมหานรก พร้อมกับอำนาจไฟอันร้อนแรงในนรกให้สามเณรได้เห็นประจักษ์ตาเช่นนี้ แล้วจึงให้โอวาทว่า

    ถ้าท่านจะสึกออกไปจากพระศาสนา ท่านตายไปแล้ว ก็จะต้องลงไปทนทุกขเวทนาในอเวจีมหานรกนี้ เพราะบาปกรรมท่านทำไว้มิใช่น้อย แต่ถ้าอุตส่าห์ยึดเอาพระศาสนาเป็นที่พึ่ง บำเพ็ญธรรมไปจนถึงมรรคผลบังเกิดขึ้นนั่นแหละจึงยกตนขึ้นจากนรกได้ เพราะมรรคผลเป็นเครื่องปิดประตูแห่งอบาย ท่านเห็นอเวจีมหานรกประจักษ์แก่ตาตนเองวันนี้แล้ว ยังสมัครใจจะไปนรกหรือว่าจะคิดหนีก็จงคิดดูให้ดีเถิด"

    สามเณรเกิดอัศจรรย์ใจ ตั้งแต่พระเถรเจ้าทำปาฏิหาริย์แหวกพื้นปฐพีให้ แลเห็นอเวจีมหานรกแล้ว ครั้นมาถูกพระมหาเถรเจ้าพยากรณ์ตนว่าจะต้องไปอยู่ในอเวจีเช่นนี้ ก็เกิดความกลัวยิ่งนัก มีจิตกัมปนาทหวาดหวั่นนิรยภัยเป็นกำลัง จึงละล่ำละลักถามว่า

    "ถ้าเกล้ากระผมไม่สึกแล้ว จะพ้นจากนรกได้หรือขอรับ ?"


    พระเถรเจ้าจึงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ก็ไม่แน่ แต่ว่าพระพุทธศาสนาน เป็นนิยยานิกธรรม สามารถนำสัตว์ให้ พ้นจากกองทุกข์ กองภัย หรือกองไฟนรกไดั ถ้าท่านมีเพียรศรัทธา หมั่นปฏิบัติ บำเพ็ญธรรมจนมรรคผลบังเกิด แม้ไม่มาก เพียงแต่ข้ามโคตรภูญาณให้ มรรคผลขั้นแรกบังเกิด อย่างนี้ก็เป็นอันว่าท่านไม่ด้องไปเกิดในนรกในอบายภูมิแล้ว แต่ถ้าท่านเกียจคร้านเต็มไปด้วยความประมาทมัวเมาในชีวิดไม่คิดถึงภัยในนรกข้างหน้า เป็นประดุจคนตาบอดมองไม่เห็นทาง ใช้ชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรมอย่างนี้ ถึงจะบวชไม่สึกไปจนตาย ก็หาพ้นจากนรกไม่


    ตั้งแต่วันนั้นมา เจ้าสามเณรก็อุตส่าห์พยายามปฏิบัติธรรมอย่างไม่คิดชีวิตเพราะอเวจีมหานรกมาคอยเตือนจิตใหัหวาดกลัวอยู่เสมอ ในที่สุดก็ได้บรรลุตติยมรรค เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลในพระบวรพุทธศาสนา เป็นอันพ้นจากมรรคาแดนนรกไปได้ ด้วยประการฉะนี้


    ..............

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4616519/Y4616519.html
    </center>
     
  2. pakornpat

    pakornpat สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอบคุณครับ ผมชอบอ่านเรื่องแบบนี้มากครับ
     
  3. Sittirat

    Sittirat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +821
    ชอบมากครับ นรกทุกขุมน่ากลัวทั้งนั้น ...แต่ก็มีคนมิจฉาทิฐิจำนวนไม่น้อย ที่ชอบพูดว่า "สวรรค์อยู่ในอก-นรกอยู่ในใจ"...ไม่รู้จะเตือนสติพวกเขาอย่างไรเหมือนกันครับ...สาธุ
     
  4. countdown

    countdown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,018
    ค่าพลัง:
    +3,165
    อนุโมทนายิ่ง อ่านแล้วขนลุก น้ำตาซึม มาเป็นภาพในหัวเลยครับ
     
  5. cpari

    cpari เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +184
    สามเณรท่านยังโชคดีที่พบพระภิกษุ รูปนั้น คิดว่าคงได้เคยอุปการะกันมาก่อน ซึ่งก็มองว่าเป็นบุญเก่านั่นเองกระมัง สำหรับสัตว์ที่ท่านได้เคยทำการฆ่ามาก่อน ก็คงเป็นเวรกรรมที่ตามกันมา นั่นเอง ซึ่งต่อมามีการอโหสิกรรมและสามเณรท่านก็บรรลุธรรมไป สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. wudiman

    wudiman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,333
    อนุโมทนาครับ เป็นเรื่องที่ดีครับ (อ่านแล้วเพลินต้องอ่านให้จบ) -(__/|\__)- สมัยพุทธกาลนี้ดีจังเลยนะครับ ทำผิดตั้งมากมายแต่ก็ทำตนเองให้หลุดพ้นจากนรกได้ ถ้าเป็นปัจจุบนนี้โลกแห่งวัตถุ กิเลส ตัณหา ราคะ ก็คงจะหาผู้ที่จะพาพ้นจากนรกยากเต็มที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มีนาคม 2007
  7. อิสวาร์ยาไรท์

    อิสวาร์ยาไรท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,608
    ค่าพลัง:
    +1,955
    आपका बहुत बहुत धन्यवाद
     
  8. ปิยธรรมโม

    ปิยธรรมโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +349
    โมทนาสาธุครับท่าน Rinnn เป็นเรื่องที่อ่านแล้วลึกซึ้งดีครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...