ไม่คิด ไม่หวัง ไม่อยาก ไม่ทุกข์.. เป็นสุขแบบ อานันท์ ปันยารชุน

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 2 ตุลาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <IMG onclick="if(this.width>=800) window.open('http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/865/30865/images/anand/0004.JPG');" border=0 src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/865/30865/images/anand/0004.JPG" onload="if(this.offsetWidth>'800')this.width='800';if(this.offsetHeight>'1000')this.height='1000';">



    แม้จะห่างหายไปจากเวทีการเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรีมาร่วม 17 ปี แต่ชื่อของ อานันท์ ปันยารชุน ก็ยังไม่เคยจางหายไปจากความนึกคิดของคนไทย ยามเมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤติวุ่นวาย ชื่อของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้ ก็มักจะมีผู้หยิบยกขึ้นมาให้เป็น “อัศวินม้าขาว” เสมอ ฉายา “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” ทำให้วาดภาพไว้ว่า การสัมภาษณ์อดีตนายกฯมาดโก้ผู้นี้คงจะเต็มไปด้วย “พิธีรีตอง” ที่ทำให้ต้องตัวแข็งเกร็ง แต่เมื่อได้พูดคุยกันแล้วจึงพบว่า คิดผิดถนัด แท้จริงแล้ว คุณอานันท์ ปันยารชุนเป็นผู้ใหญ่ใจดี อารมณ์ดี ที่มีความเรียบง่ายและ “ติดดิน” เกินกว่าใครจะคาดคิด การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นทั้งนักการเมือง นักการทูต และนายกรัฐมนตรีที่ครองใจคนไทย (ผู้แสนจะเอาใจยาก) ได้ถึงสองสมัย แถมยังมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุขชนิดที่ใครๆ อิจฉาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มาค้นหากันดีกว่าว่าท่านทำได้อย่างไร


    การมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร มีความเชื่อมั่นเป็นตัวเองสูง คิดว่ามีที่มาจากอะไรคะ
    ตอบยากนะ ทำไมผมถึงมีวิธีหรือวิธีปฏิบัติแบบนี้ ผมไม่รู้คงเป็นมาตั้งแต่เด็ก ผมเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น อยู่ในครอบครัวที่พูดความจริง มีความโอบอ้อมอารีและนึกถึงผู้อื่นเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามจะต้องไม่มีอัตตาและต้องไม่หลงตัวเอง เราควรคิดถึงคนอื่นให้มาก และคิดถึงตัวเองให้น้อยที่สุด แต่ไม่ใช่ฝืน ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติ ทุกวันนี้ตื่นขึ้นมาตอนเช้าผมไม่ได้คิดถึงตัวเอง ก็เท่ากับเราตัดอัตตาออกไป แต่ทำโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ปล่อยวางได้ ที่สำคัญคือ เราต้องคิดแต่จะให้ ให้ด้วยความจริงใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยเมตตา โดยไม่คิดจะได้อะไรตอบแทน คนเราถ้าคิดถึงตัวเอง ก็คิดแต่จะรับ หรือถ้าให้แล้วนึกถึงการตอบแทนก็จะไม่มีความสุข


    คุณพ่อคุณแม่มีวิธีอบรมเลี้ยงดูอย่างไรคะ
    พ่อผมเป็นครู เป็นผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธฯ เป็นปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการ เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและเป็นนายกสมาคมฯเป็นคนแรก พ่อผมเป็นคนชอบคุยกับลูกตามนิสัยครู แต่เป็นครูค่อนข้างสมัยใหม่ คือ จะสอนด้วยการคุยมากกว่าไม่ได้สอนให้จดจำหรือสั่งให้ทำ การแลกเปลี่ยนความเห็น การสนทนากันด้วยเรื่องต่างๆ ทั่วไปทำให้ลูกๆมีความรู้กว้างขวาง พ่อจะเปิดเพลงโอเปร่าให้ลูกฟัง พาไปดูงิ้ว พำไปเดินสำเพ็ง พาไปดูโขน พาไปดูสวนทุเรียน พาไปดูโรงพิมพ์ ซึ่งคนสำคัญในวงการหนังสือพิมพ์จะอยู่ที่นั่น อย่างสด กูรมะโรหิต , ยาขอบ ฯลฯ ทำให้ผมได้เห็นว่านักหนังสือพิมพ์เขาอยู่กันอย่างไร พาไปดูสถานที่ทางโบราณคดีต่างๆและพาไปดูนักเรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอดที่คุณพ่อเป็นผู้ก่อตั้ง เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่การสั่งสอนหรืออบรมเรื่องคุณธรรมจริยธรรม แต่เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่ปฏิบัติตัวอย่างไร
    ส่วนคุณแม่ผมจะเป็นผู้กำหนดระเบียบในครอบครัว เรื่องความสะอาด ความตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนที่ด้อยโอกาสและคนที่ยากจนกว่าเรา การเห็นใจเพื่อนมนุษย์การโอบอ้อมอารีช่วยเหลือ ที่บ้านเราจะไม่มีการสอนเป็นคำพูดว่า อย่าขโมย อย่าพูดปด แต่จะไม่มีการทำตัวอย่างในเรื่องที่ไม่ดีให้เห็น ครอบครัวเราไม่มีการพูดปดกัน ไม่มีการดุว่าแรงๆให้ลูกเจ็บปวด เสียใจ น้อยใจ ตั้งแต่เด็กๆ มาก็ไม่เห็นความรุนแรงเลย เคยเห็นคุณพ่อคุณแม่โต้เถียงกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยใช้อารมณ์


    เมื่อต้องเผชิญปัญหาหนักๆ ท่านทำอย่างไร
    ผมเป็นคนโชคดีอยู่อย่าง คือ มองว่ามีปัญหาก็พยายามแก้ไขปัญหาไป แต่เรายอมรับว่าปัญหาบางอย่างไม่ได้แก้ได้ง่ายๆ มันต้องใช้เวลา แต่บางอย่างที่แก้ได้ เราต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวพอที่จะแก้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ทันที่ก็ต้องมีความอดทน ค่อยๆคิดหาทางแก้


    นับว่าท่านเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและถึงพร้อมในหลายๆด้าน แถมคนส่วนใหญ่ก็ชื่นชมมาก โอกาสที่จะหลงตัวเองน่าจะเป็นไปได้สูง
    ผมไม่ได้คิดถึงพวกนี้เลย อย่างเวลาคนถามผมว่า เป็นนายกฯสองครั้งมีความรู้สึกอย่างไร มีความภาคภูมิใจชีวิตช่วงไหนมาที่สุด ผมจำไม่ได้ ผมทำงานเสร็จก็เสร็จ ผมพ้นหน้าที่ปลัดกระทรวงต่างประเทศก็จบ ไม่ยึดติด ทำดีที่สุดเมื่ออยู่ตรงนั้น ตราบใดที่ตัวเองพอใจในสิ่งที่ตัวเองทำ เท่านั้นพอ ผมไม่สนใจว่าคนอื่นจะพอใจหรือไม่พอใจ ถ้าสิ่งที่เราทำไป หนึ่ง อยู่บนข้อเท็จจริง สองทำไปโดยไม่มีอคติ สาม ทำตามความสามารถที่ตัวเองมี คนอื่นจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าคิดดีก็เป็นบุญของเรา คิดไม่ดีก็เป็นกรรมของเขา อย่าไปคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น ให้คนอื่นเขาคิดดีกว่าเราคิดเอง เพราะถ้าเราคิด เราก็จะหลงตัวเอง ถ้าหลงตัวเองก็เป็นทุกข์


    ตอนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ท่านรู้สึกอย่างไร
    อารมณ์คนมีหลายอย่าง ความน้อยใจมีแน่ ความเสียใจมีแน่ แต่ผมไม่มีความท้อแท้ สิ่งที่ทำให้เราฟันฝ่าอุปสรรคได้ คือเราเชื่อในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และเอาความบริสุทธิ์เป็นที่พึ่ง เราต้องแยกความรู้สึกเสียใจ น้อยใจ ความกระทบกระเทือนใจออกมา ตัวผมเองไม่เป็นอะไร แต่กระทบกระเทือนใจภรรยาและลูก ซึ่งความรู้สึกพวกนี้เราต้องแยกออกมาให้ได้ ถ้าเรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของเรา และมั่นใจว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในโลก ก็จะไม่มีความท้อแท้ในการสู้คดีทำให้เราสามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ ในกรณีของผม เห็นชัดๆ ว่าถูกกลั่นแกล้ง หลังจาก 6 ตุลาคม 2519 ผมเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศอยู่ ตอนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านต่างประเทศมาก ช่วงนั้นอาจจะมีบางคนไม่ชอบผมอยู่ จะด้วยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ พอเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ไม่มีรัฐบาล และยังตั้งรัฐบาลให้ใหม่ไม่ได้ ปลัดกระทรวงก็ได้รับมอบหมายให้รักษาการรัฐมนตรี ตอนนั้นคณะปฏิรูปการปกครองเชิญประชุมปลัดทั่วไป บอกให้ปลัดทุกกระทรวงรักษาการกระทรวง ผมก็รักษาการตั้งแต่วันที่ 6-12 ตุลาคม 2519 ประมาณ 15 วัน แล้วก็มาปลดผม โดยกล่าวหาว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์ แปลกไหมที่มารู้ปุบปับว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์ ที่จริงเรื่องแบบนี้ต้องรู้มานานแล้ว ทำไมให้เรารักษาการอยู่ตั้ง 15 วัน ถ้าผมเป็นจริงคงทำความเสียหายให้ประเทศชาติมากมายแล้ว ผมใช้ตรรกะอันนี้ก็รู้ว่าเขากลั่นแกล้งเรา อย่างที่สอง คนพวกนี้ไม่รู้จักนายอานันท์ เพราะความจริงแค่บอกว่าต้องการเปลี่ยนตัวปลัด ผมก็จะลาออกทันที เพราะผมเตรียมจะลาออกอยู่แล้ว พอเรามาองออกว่าถูกกลั่นแกล้ง ก็เลยไม่เคียดแค้น แต่ขำมากกว่า


    เวลานั้นคนที่ปลดเขาให้เหตุผลกับประชาชนอย่างไร
    เขาบอกว่าผมนิยมชมชอบลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะตอนผมเป็นผู้แทนประเทศไทยในนิวยอร์ก ได้เปิดความสัมพันธ์กับฮังการี ยูโกสลาเวีย และประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ในยุโรปตะวันออก พอบอกเหตุผลอย่างนี้ทำให้ยิ่งเห็นว่าพยายามใส่ความกันชัดๆ เพราะเราจะเปิดได้อย่างไรถ้ารัฐบาลไม่สั่ง เพราะฉะนั้น เราก็รู้ว่าทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้เราลาออกไปเท่านั้น เป็นการรังแกกันโดยใช้อำนาจบาตรใหญ่แทนที่จะบอกกันดีๆ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก แต่ขณะเดียวกันความทุกข์ที่เกิดกับภรรยาผม กับลูกผมมันเกิดแล้ว แม้แต่ตัวผมเองก็หมดศรัทธาในระบบราชการ หลังจากที่มีการสอบสวน พวกผู้ใหญ่ที่เคยใช้ผมทำงาน อย่างท่านรัฐมนตรีถนัด คอมันตร์ ท่านรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัน ท่านรัฐมนตรีพิชัย รัตตกุล ก็ให้การช่วยผมทั้งนั้น หลังจากนั้น 3 เดือน ผมก็ได้รับการตัดสินว่าไม่มีความผิด แต่ตอนนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าผมอยู่ในราชการต่อไปไม่ได้ ซึ่งคุณพ่อก็เคยบอกว่า พวกเราพูดตรงเกินไป อยู่ราชการไม่ก้าวหน้า พ่อผมเองก็ลาออกจากปลัดทูลฉลองตอนอายุ 43-44 ปีเพราะมีความคับใจ ตอนผมลาออกตอนนั้นอายุ 46-47 ที่จริงผมตั้งใจไว้นานแล้ว ว่าจะออกจากราชการตอนอายุ 55-56 เพราะผมก็เบื่อที่จะเป็นนักการทูต

     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <IMG onclick="if(this.width>=800) window.open('http://media.thaigov.go.th/Sitedirectory/471/1782/38502_images.jpg');" border=0 src="http://media.thaigov.go.th/Sitedirectory/471/1782/38502_images.jpg" onload="if(this.offsetWidth>'800')this.width='800';if(this.offsetHeight>'1000')this.height='1000';">

    ผลกระทบกับครอบครัวล่ะคะ
    ภรรยาผมล้มป่วย ผมต้องไปเฝ้าในโรงพยาบาลตลอดสามเดือน เพราะพอผมถูกปลดจากตำแหน่งปลัดกระทรวงก็เลยว่าง ก็ดีไป เท่ากับไปสงบอารมณ์ ส่วนลูกสาวสองคนตอนนั้นอยู่เมืองนอก เราไม่สามารถจะเล่าอะไรได้เต็มที่ เขาเองก็ยังเด็ก คนโตสัก 18 คนเล็ก 14 ลูกก็ตกใจ เพราะหนังสือพิมพ์ฝรั่งเขาลงข่าว ไปที่ไหนคนไทยในอเมริกาเขาพูดกัน ลูกก็ไม่เข้าใจแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ


    ท่านโกรธไหม
    ไม่ค่อยได้คิดอะไร เพราะมั่นใจว่าเราไม่ได้ผิดอย่างที่เขากล่าวหา เรามั่นใจว่าพิสูจน์ได้


    ถ้าเทียบกับวิกฤติครั้งที่ถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ล่ะคะครั้งไหนรุนแรงกว่ากัน
    ที่จริงถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์มันก็รุนแรง ส่วนเหตุการณ์ที่สองนี้ก็รุนแรงเหมือนกัน ผมถูกฟ้องตอนที่พ้นตำแหน่งนายกฯแล้ว ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (กรณีไม่นำมติ ก.ต.ที่แต่งตั้งนายประวิทย์ ขัมภรัตน์ เป็นอธิบดีศาลอุทธรณ์ภาค 1 ขึ้นเสนอโปรดเกล้าฯจนนายประวิทย์เกษียณอายุราชการ ทำให้ได้รับความเสียหาย) ผลกระทบกับครอบครัวไม่มากเท่าครั้งแรก แต่เสียเวลาประมาณ 3-4 ปีกับการขึ้นโรงขึ้นศาล เป็นเรื่องที่ทำความยากลำบากให้ชีวิตส่วนตัว แต่ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่นวาไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา ก็ไม่ค่อยสะทกสะท้านสักเท่าไร


    โดนข้อหาหนักๆ ทั้งสองครั้งก็ยังไม่โกรธแค้นใครหรือคะ
    ผมไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่พยาบาท เชื่อว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ และผมเป็นคนไม่คิดมาก สบายๆ ไม่ว่าจะเจอวิกฤติแค่ไหน ผมก็นอนหลับได้สบายดี ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยกินยานอนหลับเลย ถ้าใครโกรธแค้นผมแล้วผมไม่โกรธตอบ ผมก็ไม่ทุกข์ใจ


    เวลามีความทุกข์ ท่านทำอย่างไร
    ผมไม่ค่อยมีความทุกข์นะ เป็นคนไม่เครียด มีอะไรก็พูด ผมไม่ชอบหาเรื่องกับคน เป็นคนที่รับได้ ใครจะว่าผมอย่างไร ใครมาว่าผม ถ้ามีฐานข้อมูลที่จริง ผมก็จะคิดว่าที่เขาว่าสมเหตุสมผล หากใครที่ว่าเพราะมีอคติกับเรา ไม่ชอบเรา ผมก็ปล่อยไป อย่างที่บอกสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ คำนี้มันก็บอกว่าทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราทำใจให้สะอาด ไม่หวังพึ่งคนอื่น ไม่เกลียดชังคนอื่น ไม่อิจฉาริษยา ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่โกงกิน ไม่ทำร้ายคนอื่นๆ ไม่อคติกับคนที่กล่าวร้ายกับเรา เราก็มีสวรรค์อยู่ในอก คือมีแต่ความสุข แต่ถ้าเรามัวแต่มีอคติ ไม่ชอบคนนั้น เกลียดคนนี้อาฆาตคนนั้น นรกก็อยู่ในใจ มันอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น


    เวลามีปัญหาท่านปรึกษาใครหรือไม่
    ผมไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ทั้งนี้ความเชื่อมั่นในตัวเองก็ใช่จะทำให้บริสุทธิ์ผุดผ่องร้อยเปอร์เซ็นต์ ความผิดพลาดในชีวิตมี จุดอ่อนในชีวิตก็มี แต่ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเราทำอะไรผิด เราก็ยอมรับผิด แล้วก็ขอโทษคนที่เราทำผิดพลาดไป เช่น ถ้าผมไปว่าลูกน้อง อาจด้วยความเข้าใจผิด ผมก็จะขอโทษ ไม่เห็นเสียหาย ขอให้เรารู้จักรับความจริง ตอนหนุ่มๆผมบกพร่องหลายอย่าง ผมเป็นคนอารมณ์ร้อน ดุคนเก่ง ไปถามข้าราชการกระทรวงต่างประเทศได้เลย ผมเป็นคนใจร้อน ทำงานไว พอไม่ทันใจจะเปรี้ยงเลย แต่พอแก่ตัวนิสัยก็เปลี่ยนไปเอง หลังจากที่ได้พบกับผู้ใหญ่บางคน ได้อ่านหนังสือมากขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ความเร่าร้อน ความรุนแรงทางวาจามันก็หายไป ความแก่ก็เข้ามาช่วยด้วย


    มีการใช้ธรรมะช่วยในการดำเนินชีวิตบ้างไหมคะ
    หลักธรรมก็ช่วย แต่ผมไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี้ลึกซึ้งมากเท่าไร ได้แต่อ่านหนังสือ ไม่เคยบวช เพราะผมมีปัญหานั่งพับเพียบไม่ได้ตั้งแต่เด็ก แต่จะอ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขียนโดย ท่านพุทธทาส ท่านป.อ.ปยุตโต ท่านพระไพศาล วิสาโล หรือ ท่านมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ส่วนวัด ผมไม่ค่อยได้ไป เพราะอย่างที่บอกว่าผมนั่งแบบคนอื่นเขาไม่ได้ เข้าไปกราบไหว้พระเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งจริงๆแล้วพระสมัยใหม่ที่น่านับถือมากมาย แต่ผมเสียดายที่พอมีข่าวไม่ดี บางสื่อก็กระพือกันค่อนข้างรุนแรงเกินไป จนไม่สามารถแบ่งแยกได้ จริงๆ เราต้องนับถือธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มากกว่าตัวบุคคล เราค่อนข้างจะลืมเรื่องนี้ แต่นี่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทย ประเทศอื่น ศาสนาอื่น สถานะของคณะสงฆ์ในปัจจุบันก็ค่อนข้างจะตกต่ำเช่นเดียวกัน


    ทุกวันนี้ท่านใช้ชีวิตอย่างไร
    ผมใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น หาความสุขส่วนตัวมากขึ้น นอนดึกดูพรีเมียร์ลีก ดูเทนนิส ใช้ชีวิตสบายๆปกติผมเป็นคนชอบตื่นสาย มีบางครั้งเท่านั้นที่ต้องตื่นเช้า ชีวิตผมขณะนี้ไม่อยากให้ใครมากำหนด แต่บางทีก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องการมีการกำหนดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการไปร่วมงานสวดศพ งานต่างงาน งานประชุม ปกติถ้าอยู่บ้าน ผมจะนอนตื่นสายๆ และอ่านหนังสือ อาจจะแวะมาที่ทำงานสักเที่ยง ไม่นัดพบใครตอนเช้า ยกเว้นมีประชุม ผมออกจาสหยูเนี่ยนฯมาสี่ปีกว่าแล้ว แต่เขาก็ยังให้ผมใช้สำนักงานอยู่ เพราะสะดวก อยู่ใกล้บ้าน ขณะนี้ผมยังเป็นนายกกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์อยู่ ตอนเช้าผมไม่ค่อยยุ่ง แต่ตอนบ่ายอาจมีคนมาหา มีประชุมกรรมการ เวลานี้ใครเชิญไปพูดเป็นทางการผมไม่รับแล้ว ไม่ไปงานทางการ ยกเว้นงานพระราชพิธี และไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ด้วย ออกโทรทัศน์ก็น้อยลงมาก ส่วนใหญ่ผมมักใช้เวลากับเพื่อนๆ พบปะพูดคุยกัน ผมมีเพื่อนหลายกลุ่ม เพื่อนข้าราชการ เพื่อนนักธุรกิจ เพื่อนนักเรียนเก่าคริสเตียน เพื่อนนักเรียนอังกฤษ เพื่อนเฮฮา เพื่อนกินเหล้า เพื่อนร้องคาราโอเกะ เพื่อนเอ็นจีโอ เพื่อนคุยการเมือง เพื่อนผมมีเยอะแยะผมเลยไม่เหงา
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <IMG onclick="if(this.width>=800) window.open('http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/79/40079/images/king3/arnan.jpg');" border=0 src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/79/40079/images/king3/arnan.jpg" onload="if(this.offsetWidth>'800')this.width='800';if(this.offsetHeight>'1000')this.height='1000';">

    ทราบบ้างไหมคะว่า มีสาวน้อยสาวใหญ่ปลื้มเยอะแยะมากมาย เรียกว่าเป็นอดีตนายกฯขวัญใจสาวๆ ก็ว่าได้
    (หัวเราะ) มีคนมาเล่า แต่ยังไม่เคยเจอด้วยตัวเอง เวลาไปงานรับปริญญา ผมเคยถามนิสิตนักศึกษาวาเขารู้จักผมได้อย่างไร บางคนบอกว่ารู้จักตอนอายุ 8-9 ขวบ พอถามว่าทำไมถึงชอบผม กลุ่มหนึ่งบอกมองแล้วเป็นคนใจดี มีเมตตากรุณา อีกกลุ่มบอกตอนออกทีวีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มหวานดี กลุ่มที่สามบอกดูแล้วเชื่อถือได้ เห็นหน้าแล้วไว้ใจได้ เลยไปดูหน้าตัวเองในกระจกว่าเป็นอย่างไร(หัวเราะ)ผมคิดว่าที่เขาชอบ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความตรงไปตรงมา คงทำอะไรที่จับใจเขา เข้าถึงใจเขา มันมีหลายปัจจัย แต่ผมว่ามีศรัทธาดีที่สุด เพราะมันจะไม่เสื่อมคลายง่ายๆ ความรักมันเสื่อมคลายได้ แต่ความศรัทธาจะยั่งยืน แต่ว่าคนไม่ชอบผมก็มี หมั่นไส้ก็มีนะ


    เคล็ดลับความเป็นหนุ่ม สมาร์ท มาดเท่ อยู่เสมอล่ะคะ
    ไม่รู้ ไม่รู้ ตอนนี้ 77 แล้วก็ใช้ชีวิตสบายๆ ข่าวก็ดูน้อย ข่าวการเมือง ข่าวประจำวันผมไม่ติดตาม แต่จะอ่านคอลัมน์ดีๆ ที่แสดงความคิดเห็น บางครั้งเห็นด้วย บางครั้งไม่เห็นด้วย แต่มันก็เพิ่มพูนความรู้ให้เรา แต่ข่าวประจักวันไม่อ่านเลย คนนั้นพูดอย่างนั้น คนนี้พูดอย่างนี้ มันถึงอายุที่เลือกทำใสสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น อะไรที่หนักรกหัวก็ทิ้งจากสมอง เราจะแบกโลกคนเดียวไม่ได้ ใช่ไหม ผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ มาแต่ไหนแต่ไร ไปไหนไปคนเดียว ไม่มีคนติดตามไม่ชอบให้มีรถตำรวจนำ ไม่ชอบให้คนมายุ่งกับผม ไม่ชอบให้คนมาคอยพะเน้าพะนอ ติดจะรำคาญด้วยซ้ำ


    ถ้าเป็นคุณหญิง ท่านชอบให้เอาใจไหมล่ะคะ
    เราสองคนต่างก็ต้องเอาใจกันและกัน ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัว สุดท้ายคนเราพออายุมากแล้ว สิ่งสำคัญในชีวิตมีอยู่ 2 อย่าง คือชีวิตครอบครัวกับสุขภาพเท่านั้นแหละ อย่างอื่น ความร่ำรวย ตำแหน่งหน้าที่ที่ทำมา ตายไปคนเขาก็ลืมแล้ว ไม่มีความหมาย


    ท่านได้ชื่อว่าเป็นคนที่รักครอบครัว ไม่ทราบมีหลักการในการครองชีวิตคู่ให้ยั่งยืนอย่างไร
    ตอนหนุ่มสาวความรักมักมาก่อน แต่พออยู่กันมา 30-40 ปี ความรักอย่างเดียวไม่พอหรอก ต้องมีความเป็นเพื่อน มีความชอบด้วย ความรักถึงจะยั่งยืน เมื่อมีความเป็นเพื่อน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่เอาเปรียบกัน นับถือและเคารพซึ่งกันและกัน นี่คือรากฐาน และไม่ใช่ว่าพยายามจะไปเปลี่ยนนิสัยเขา หากเมียพยายามจะเปลี่ยนนิสัยผัว ผัวพยายามเปลี่ยนนิสัยเมียก็ตีกันตาย แต่ทั้งสองคนต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองให้เข้ามาใกล้กันมากที่สุด ไม่ใช่เหมือนกันนะ เพราะเหมือนกันชีวิตก็น่าเบื่อ บางทีเราก็เปลี่ยนนิสัยของเราเอง โดยไม่ต้องมีคนอื่นมายุ่ง แต่เราต้องตั้งใจที่จะปรับให้ใกล้กันมากขึ้น ไม่ใช่นิสัยห่างกันสุดโต่ง


    อยู่กันมานานขนาดนี้มีทะเลาะกันบ้างไหมคะ แล้วท่านทำอย่างไร
    มีสิ แต่คนหนึ่งใจร้อน คนหนึ่งต้องใจเย็น ต้องอะลุ้มอล่วยกัน ถ้าเขาโกรธเราก็ไปง้อ ไปคุย ปล่อยเวลาสักชั่วโมงสองชั่วโมงคอยไปคุย ภรรยาผมเขาเป็นคนโกรธใครนานๆ ไม่เป็นหรอก


    ท่านเป็นคนโรแมนติดไหมคะ
    ผมเป็นคนไม่โรแมนติกเลย ผมรำคาญนะ อย่างวันวาเลนไทน์ก็ทำกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมอยู่เมืองนอก เรียนหนังสืออยู่ 7 ปี ทำงานอยู่เมืองนอก 12-13 ปี ผมไม่เคยเห็นสังคมไหนเขาให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์เท่าเมืองไทยเลย


    แล้วท่านให้ของขวัญคุณหญิงในโอกาสไหนล่ะคะ
    ผมจะให้ในวันเกิด แต่วันเกิดของพวกผมไม่มีการเลี้ยงใหญ่โต จะเลี้ยงกันเฉพาะครอบครัวเท่านั้น วันเกิดภรรยาที่ผ่านมา เราก็กินข้าวกับลูกหลานเท่านั้น ใครจะมาเลี้ยงให้ก็ไม่รับ ไม่ต้องเลี้ยงใหญ่โต


    ทุกวันนี้ดูแลสุขภาพอย่างไรคะ
    เมื่อก่อนเคยออกกำลังมาก เคยเล่นสควอช เล่นเทนนิสมา 55 ปี แต่พออายุ 72 กว่าๆ มีปัญหาตรงหัวเข่า หมอบอกว่าเล่นได้แต่อย่าวิ่งมาก ผมเลยเลิก จะให้ออกกำลงกายแบบไปเดิน ไปว่ายน้ำอะไรผมก็ไม่ชอบ กอล์ฟก็ไม่เคยเล่น ก็เลยไม่ได้เล่นอะไรเลย อาจเป็นข้อบกพร่อง
    โชคดีผมมาจากครอบครัวที่อายุยืน เรียกว่าพันธุกรรมดี คือคุณพ่อเสียตอนอายุ 84 คุณแม่เสียอายุ 97 พี่ชายเสียเมื่อสามปีที่แล้วตอนอายุ 93 พี่สาวคนโต 95 ก็ยังอยู่ ผมเสียพี่สาวไปสองคนตอน 88 กับ 87 ผมเป็นลูกคนสุดท้อง อายุ 77 พี่น้อง 12 คน ตอนนี้เหลือ 9 คน พันธุกรรมดีทำให้ไปได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็ต้องระวังตัวมากขึ้น อย่าให้หกล้ม เดินไปไหนต้องระวัง แต่อย่างไรสุดท้ายก็ต้องแก่ตายแน่นอน


    กลัวความตายหรือความเหงาบ้างไหมคะ
    ความเหงาไม่เคยกลัว ความตายก็ไม่คิดถึง ผมเป็นคนไม่คิดมาก คนที่คิดมากคือคนที่หาความทุกข์มาใส่ตัวเอง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่าคิดฟุ้งซ่าน ถึงเวลาตายจริงๆ ก็ขอให้ตายสบายๆ เท่านั้น ถ้าอย่างโน้น ถ้าอย่างนี้ ผมไม่คิด มีชีวิตวันต่อวัน จะอายุ 105 ปี เพื่อนจะอยู่หรือเปล่า ไม่ต้องคิด ส่วนเรื่องความเหงา ผมไม่เคยมีความเหงาในชีวิต ผมมีอะไรทำเสมอ อ่านหนังสือ ฟังเพลง นั่งคุย หรือนั่งเฉยๆ ก็ไม่ใช่นั่งเหงา แต่เพราะบางคราวไม่อยากคุยกับใคร เป็นการพักสมองไปในตัว ผมชอบไปอยู่ต่างจังหวัด ผมอยู่เงียบๆ ได้เป็นชั่วโมง ดูนก ดูไม้ ดูแดด ไม่เคยเหงา อยู่กับตัวเองก็ได้ อยู่กับคนก็ได้


    ความสำเร็จที่ผ่านมาเป็นเพราะมีการเตรียมวางแผนชีวิตไว้หรือไม่
    ไม่เคยวางแผน เพราะแม้แต่ตอนเรียน วิชาที่เรียนผมก็ไม่ชอบ ตอนอยู่เมืองไทยเรียนดีมาก แต่ตอนไปเมืองนอกโตแล้ว ภาษาเลยไม่ดีพอ การเรียนแม้ไม่ตก แต่ก็ไม่ดีเด่นอะไร พออยู่เมืองนอกนาน ทำให้เห็นว่าถ้าได้ทำงานกระทรวงต่างประเทศก็ดีนะ จะได้อยู่ต่างประเทศก็คิดง่ายๆ แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นทูต แต่แล้วชะตาชีวิตก็ผลักดันให้เป็นทูต และเป็นเร็วด้วย ผลักดันให้เป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศ ผลักดันให้เป็นประธานกรรมการบริษัทสหยูเนี่ยนฯ ประธานสภาพอุตสาหกรรมฯ ผลักดันให้เป็นนายกฯ มันเป็นไปเองทั้งหมด ไม่เคยวางแผน ตอนที่ได้รับคำสั่งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัคราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ผมก็ไม่อยากไป ให้เป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศผมก็ไม่ต้องการ ผมเป็นคนโชคดี อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ทำงานอะไรก็สุข เพราะผมเป็นคนไม่ทะเยอทะยาน ไม่มีความอยาก ไม่อยากเป็นไม่อยากได้ ไม่อยากมี แต่แปลกตรงที่บางอย่างได้มาแบบอุบัติเหตุ คงเป็นชะตาชีวิต ผมถูกกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง ถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่บ้าง ชีวิตได้พบเจอทั้งเรื่องที่ดีมาก ๆ และไม่ดีมากๆ แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี การที่เราไม่คิดมาก ไม่มีแผน ไม่ทะเยอทะยานมากไป ทำให้ไม่ผิดหวังในชีวิต


    ท่านเชื่อเรื่องโชคชะตาไหมคะ
    ค่อนข้างจะเชื่อ ในชีวิตผม สิ่งเดียวที่ไม่เป็นไปเอง แต่ผมนึกอยากทำจริงๆ คืออยากแต่งงานกับภรรยา ที่พูดนี่ไม่ใช่เพื่อเอาใจภรรยา แต่เป็นความจริง ชีวิตผม ผมอยากมีลูกที่ดี มีหลานที่ดี มีลูกเขยที่ดี พวกนี้อยากมีเป็นเรื่องส่วนตัวทั้งนั้นและก็มีหมด แต่การงาน ตำแหน่ง ลาภยศเหล่านั้น ผมไม่เคยอยากได้ แต่มาเอง ฉะนั้นเวลามีเหตุการณ์หรือสิ่งไม่ดีมาคั่นจังหวะ เราก็รับได้ เพราะชีวิตถ้าไม่มีอุปสรรคก็ไม่สมบูรณ์ ทุกครั้งที่มีอุปสรรค มันทำให้จิตใจเราแข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหวง่าย คือเจองานอะไรเราก็สู้ได้หมดสูงสุดก็เคยแล้ว ต่ำสุดก็เคยแล้ว ชอบก็มีแล้ว ไม่ชอบก็มีแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความจริงของชีวิต เป็นสัจธรรม


    เวลากล่าวสุนทรพจน์ ทำอย่างไรจึงมักจับใจผู้ฟัง มีเทคนิคอย่างไรและเคยตื่นเต้นบ้างไหมคะ
    ส่วนใหญ่ครึ่งหนึ่งผมพูดปากเปล่านะ นอกจากเวลาที่เป็นงานทางการจะพิมพ์เตรียมไป แต่พูดจากการอ่านไม่สนุกหรอก ถ้าพูดปากเปล่าพูดไปคิดไปจะสนุกกว่า ผมอยู่สหประชาชาติปี 1964 สองปีแรกผมเป็นเลขาฯเอก มีหน้าที่ต้องไปพูดตามโรงเรียน ตามมหาวิทยาลัย สโมสรต่างๆ อยู่แล้วเริ่มจากพูดให้เด็กๆฟัง ผิดถูกไม่เป็นไร พอพูดไปเรื่อยๆ ก็มีความมั่นใจ ความประหม่า ความตื่นเต้นก็เลยไม่มี เท่ากับฝึกไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเหมือนเป็นอัตโนมัติ เปิดสวิตซ์ก็พูดได้ เทคนิคการพูดสปีชที่ดี ต้องเข้าถึงใจคนให้ได้ การจะพูดให้เข้าถึงใจคนได้ต้องเริ่มจากการที่คนฟังรู้สึกว่า คนพูดพูดแล้วน่าเชื่อถือ พูดด้วยความจริงใจ พูดอย่างมีหลักการ ไม่ใช่สร้างภาพหรือหลอกลวงคนฟังเขาฉลาด เขาสัมผัสได้ เวลาผมไปพูดที่ไหน คนฟังจะเป็นส่วนหนึ่งของผม เราถือว่าเขามีส่วนร่วมกับกิจกรรมของเรา เรามองหน้าเขา มองตาเขา และต้องพูดภาษาที่สื่อง่าย เข้าใจง่าย ไม่ควรใช้ภาษาเทคนิคมากหรือใช้ภาษาต่างประเทศบ่อย พอเขามีความเชื่อถือ ความศรัทธาก็มา พอมีความศรัทธา แม้ว่าวันนั้นเราอาจพูดไม่ดี แต่ความศรัทธาก็ช่วยได้


    คิดว่าจะเกษียณตัวเองเมื่อไรคะ
    ผมคงไม่เลิกทำงานโดยเด็ดขาด เพราะถ้าเลิกมันเฉานะ ทุกวันนี้ตื่นมายังมีอะไรทำ ถ้าเลิกเลย ตื่นมาคงต้องนั่งคิดว่า วันนี้จะทำอะไรดี แต่นี่มันมีอะไรให้ทำเรื่อย ผมทำงานตอนสายๆ ถึงบ่าย แล้วก็ไม่ได้หนักมากอะไร มีบางงานที่ต้องทำจริงจัง แต่ก็ใช้เวลาไม่เท่าไร ส่วนใหญ่ผมสนุกสนานกับเพื่อนฝูง กับลูกหลาน ผมเป็นคนสนุกง่ายด้วยหัวเราะเสียงดัง


    คิดจะเขียนหนังสือเล่าเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ เพื่อประชาชนจะได้ทราบข้อเท็จจริงบ้างไหมคะ
    ก็อยากเขียนหนังสือเหมือนกันนะ แต่มันเขียนไม่ได้ ผมทำอะไรก็ต้องทำจริง เพราะถ้าคิดจะเขียนเรื่องนี้ แต่ติดตรงนั้นทำให้เขียนไม่ได้ มันก็ไม่ได้ดังใจ หรืออาจทำให้คนเข้าใจผิด เรื่องนี้มันเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมประเพณีของไทยเราด้วย เราไปเขียนพาดพิงถึงเขา คนที่เราเขียนถึงเขาคงไม่ชอบ ลูกหลานเขาก็ไม่ชอบ บางสิ่งบางอย่างคนไทยจะบอกว่า เขาตายไปแล้ว มาพูดทำไม ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดี ถึงได้มีคำพูดว่า “ความจริงไม่ตาย แต่คนพูดตาย” นี่เป็นข้อจำกัดของเรา ประวัติศาสตร์ไทยถึงไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าตราบใดที่คนไทยไม่ขวนขวายหาความจริง รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ เชื่อข่าวลือมากกว่า ก็คงอยู่กันอย่างนี้ แต่ผมยังไม่ละทิ้งความคิดเสียทีเดียว จะว่าไปก็มีเรื่องเล่ามากนะ


    สุดท้ายนี้ถ้าหากจะถามว่า ความสุขของท่านคืออะไร
    คือการอยู่ครอบครัว ได้เห็นลูกหลานเจริญเติบโตไปในทางที่เหมาะสม ภรรยาไม่ต้องพูดถึง แต่งงานกันมาตั้ง 53-54 ปี ชินกันไปแล้ว อยู่กันแบบคนที่รู้จักกันมานาน ภรรยาผมเป็นคนดี ช่วยผมมากตอนที่เป็นทูต การได้เห็นลูกมีการศึกษา ได้งานดี แต่งงานกับคนดี มีลูกน่ารัก มีหลานน่ารัก ทุกคนมีสุขภาพดี นี่แหละคือความสุขของผม

    จาก นิตยสาร ซีเคร็ต

    เรื่อง อุษาวดี สินธุเสน


    www.tamdee.net

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD bgColor=#fffff1><IMG onclick="if(this.width>=800) window.open('http://magazine.teenee.com/secret/img7/7515.jpg');" border=0 src="http://magazine.teenee.com/secret/img7/7515.jpg" onload="if(this.offsetWidth>'800')this.width='800';if(this.offsetHeight>'1000')this.height='1000';">


    </TD><TD vAlign=top background=images/65bb/center_r.gif width=16></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=14></TD><TD background=images/65bb/foot_c.gif></TD><TD width=16 align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    วิธีคิดเหมาะสมกับสมญานามของท่าน
    ผู้ดีรัตนโกสินทร์ นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...