“ภาพพุทธประวัติ” พร้อมคำบรรยายโดยสังเขป

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 13 กรกฎาคม 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๑
    พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดพระยามหาชมพูบดี
    (โปรดทราบว่าเป็นเรื่องในพระสูตร นอกพระไตรปิฎก)



    ในภาพ...พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้ากราบทูล
    เรื่องการรุกรานของพระยามหาชมพูบดี
    พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปโปรดพระยามหาชมพูบดี
    โดยนิรมิตกายเป็นพระมหาจักรพรรดิที่มีพลานุภาพยิ่งกว่า
    และทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรด
    ทำให้ละมิจฉาทิฏฐิและเข้าถึงพระโสดาปัตติผล
    พร้อมทรงพยากรณ์ว่า อนาคตจะได้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
    ภาพที่แสดงเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องที่นำมารวมเป็นภาพเดียวกัน

    **************************************************
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๒
    อนาถบิณฑิกเศรษฐีถวายมหาสังฆาราม วัดเชตวันมหาวิหาร



    ในภาพ...สุทัตตะหรืออนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสกผู้เลิศในทางถวายทาน
    ได้ถวายที่ดินและอาคารเสนาสนะต่อคณะสงฆ์
    โดยมีพระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาทรงรับถวาย
    สุทัตตะได้หลั่งน้ำจากน้ำเต้าทองลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า
    แสดงการอุทิศถวายมหาสังฆาราม วัดเชตวันมหาวิหาร แล้วต่อคณะสงฆ์
    ทั้งนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงประทับ ณ วัดเชตวันมหาวิหาร ในพรรษาแรก

    **************************************************
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๓
    พระนางมหาปชาบดีทรงถวายผ้าสาฎกคู่แด่พระพุทธเจ้า



    ในภาพ...พระนางมหาปชาบดีทรงมีพระราชศรัทธาถวายผ้าสาฎก
    (ผ้าสำหรับใช้นุ่งห่ม) ๒ ผืน เจาะจงต่อพระพุทธเจ้า
    พระองค์ทรงปฏิเสธ แต่ให้ถวายแด่สงฆ์เพื่อให้ได้รับอานิสงส์ที่มากกว่า
    แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพระอรหันต์สาวกรูปใดจะรับไว้
    ผ้าทออันประณีตคู่นั้นได้ตกอยู่กับ “พระอชิตะ” ที่เป็นพระบวชใหม่
    พระนางมหาปชาบดีทรงเสียพระทัยอย่างมาก

    พระพุทธองค์ทรงแก้ไขให้พระนางคลายโทมนัส
    โดยอธิษฐานบาตรให้หายไปในอากาศ ไม่มีสาวกอรหันต์รูปใดนำกลับมาได้
    เว้นแต่พระอชิตะที่เพิ่งบวชใหม่รูปนั้น ซึ่งมีพุทธพยากรณ์ภายหลังว่า
    จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปในภัทรกัปป์นี้
    พระนางจึงปีติปรีดาปราโมทย์เป็นยิ่งนัก

    **************************************************
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๔
    พระพุทธองค์ทรงโปรดช้างนาฬาคีรี



    ในภาพ...พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดา และพระอานนท์
    ได้ทรงเสด็จบิณฑบาตภิกขาจารชาวกรุงราชคฤห์
    พระเจ้าอชาตศัตรูได้ปล่อยช้างนาฬาคีรี ช้างพระที่นั่งซึ่งกำลังซับมันดุร้าย
    เพื่อให้ไปทำอันตรายพระชนม์ชีพพระบรมศาสดา
    ทรงโปรดช้างให้คืนสติสงบลงได้ด้วยพุทธานุภาพและพระเมตตา
    เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชาวเมืองทราบว่าพระเทวทัตเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

    **************************************************
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๕
    พระเทวทัตทำสังฆเภทยุยงให้สงฆ์แตกกัน
    และพระสารีบุตรนำพระเสขะชาววัชชีเหล่านั้นกลับสังฆมณฑล



    ในภาพ...พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ได้รับบัญชาจากพระพุทธเจ้า
    ให้ไปเกลี้ยกล่อมภิกษุใหม่ชาววัชชีผู้อยู่ระหว่างศึกษา (พระเสขะ)
    ที่หลงผิดไปตั้งสำนักใหม่กับพระเทวทัตจำนวน ๕๐๐
    พระสารีบุตรได้แสดงธรรมโอวาทจนภิกษุใหม่เหล่านั้นเข้าใจ
    และติดตามกลับสังฆมณฑลที่วัดเวฬุวันมหาวิหาร

    **************************************************
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๖
    พระนางมหาปชาบดีโคตมีขอบวชเป็นภิกษุณี



    ในภาพ...พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปประทับอยู่จาลิยบรรพต ในพรรษาที่ ๑๙
    พระนางมหาปชาบดีโคตมี ผู้มีพระทัยเปี่ยมด้วยศรัทธา
    รับสั่งให้ช่างกัลบก (ช่างตัดผม) มาปลงพระเกศา แล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์
    นำพาศากยขัตติยนารีเป็นบริวารประมาณ ๕๐๐ พระองค์
    (นางกษัตริย์เหล่านี้ พระสวามีออกบวชไปก่อนแล้ว)
    เสด็จมุ่งตรงไปยังเมืองเวสาลี แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
    กราบทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุณี พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต
    จึงเสด็จออกมายืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตู พระอานนท์ผ่านมาพบ
    จึงสอบถาม ทราบความโดยตลอดแล้ว
    พระเถระจึงเข้าเฝ้ากราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า
    ถ้าสตรีบวชในพระศาสนาแล้ว อาจทำให้แจ้งซึ่งพระโสดาปัตติผล
    พระสกทาคามิผล พระอนาคามิผล และพระอรหัตผล ได้หรือไม่

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า อาจทำให้แจ้งได้เหมือนบุรุษเพศทุกประการ

    พระอานนท์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นควรจะอนุญาตเพื่ออนุเคราะห์
    แก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ผู้มีคุณูปการบำรุงเลี้ยงดูพระองค์
    มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ให้สมปรารถนาด้วยเถิด

    พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าปชาบดีโคตมีรับประพฤติครุธรรม ๘ ประการ
    และปฏิบัติอยู่ ๒ ปี จึงจะอนุญาตให้บวชได้

    พระอานนท์นำครุธรรม ๘ ประการมาแจ้งแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
    พระน้านางได้สดับแล้วยอมรับปฏิบัติได้ทุกประการ
    พระพุทธองค์จึงประทานการอุปสมบทให้แก่พระน้านางสมเจตนา
    พร้อมศากยขัตติยนารีที่ติดตามมาด้วยทั้งหมด
    เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้อุปสมบทสำเร็จเป็นนางภิกษุณีแล้ว
    เรียนพระกรรมฐานในสำนักพระบรมศาสดา บำเพ็ญเพียรด้วยความไม่ประมาท
    ไม่นานก็บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยภิกษุณีบริวารทั้ง ๕๐๐ รูป

    **************************************************
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๗
    ปิปผลิปริพาชกขอบวชในพระพุทธศาสนา



    ในภาพ...พระพุทธองค์ทรงเสด็จจาริกมคธชนบท ทรงประทับอยู่ใต้ร่มไทร
    เรียกว่าพหุปุตตกนิโครธ ในระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทาต่อกัน
    ในเวลานั้น ปิปผลิมาณพ กัสสปโคตร เบื่อหน่ายการครองเรือน
    ได้ออกบวชเป็นปริพากาเมื่อมีอายุมากแล้ว เพื่อค้นหาอาจารย์
    พบพระพุทธองค์ เกิดความเลื่อมใสในคำสอน
    จึงนับถือพระพุทธองค์เป็นศาสดาแล้วทูลขอบวชเป็นภิกษุ
    พระพุทธองค์ทรงประทานอุปสมบทด้วยพระองค์เอง
    โดยการประทานโอวาท ๓ ข้อเพื่อละทิฏฐิ ว่า

    ๑. กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอายและยำเกรง
    ไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ผู้ปานกลาง และผู้ใหม่อย่างแรงกล้า
    ๒. ธรรมใดก็ตามที่ประกอบไปด้วยกุศล เราจักเงี่ยหูฟังธรรมนั้น
    และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น
    ๓. เราจักไม่ละสติที่เป็นไปในกาย
    คือ พิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ (กายคตาสติ)

    ท่านพระปิปผลิเมื่อได้ฟังพุทธโอวาทแล้วเร่งบำเพ็ญเพียร
    ไม่นานนัก ในวันที่แปดนับแต่อุปสมบท ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์
    เมื่อท่านเข้ามาสู่พระธรรมวินัย
    สหธรรมิกทั้งหลายมักเรียกชื่อท่านว่า “พระมหากัสสปเถระ”

    **************************************************
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๘
    พระพุทธองค์ทรงประทานจีวรของพระองค์เอง
    แก่พระมหากัสสปเถระ



    ในภาพ...เมื่อพระพุทธองค์ทรงประทานอุปสมบทแก่พระมหากัสสปะแล้ว
    ทรงเสด็จจากโคนต้นพหุปุตตกนิโครธ โดยมีพระกัสสปะเป็นผู้ตามเสด็จ
    ระหว่างทางพระพุทธองค์ทรงแวะประทับนั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง
    กัสสปะภิกษุจึงลาดสังฆาฏิของตนสำหรับให้พระพุทธองค์ทรงประทับ
    พระบรมศาสดาทรงทราบด้วยพระญาณว่า
    บารมีของพระกัสสปะที่สั่งสมมาแล้วนั้น
    เพียงพอที่จะครองผ้าที่พระองค์ทรงใช้สอยอยู่

    จึงลูบผ้านั้น ตรัสว่า “กัสสปะ สังฆาฏิอันทำด้วยผ้าเก่าของเธอผืนนี้นุ่มดี”
    กัสสปะภิกษุทราบว่าพระบรมศาสดามีพระประสงค์จะห่ม
    จึงน้อมถวายสังฆาฏินั้นแด่พระพุทธองค์
    และขอประทานจีวรเก่าที่พระองค์ทรงใช้อยู่มาห่มแทน

    พระพุทธองค์ตรัสว่า “กัสสปะ ธรรมดาว่าจีวรที่เก่าเพราะการใช้
    ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย บุคคลผู้สามารถในการบำเพ็ญข้อปฏิบัติจึงสมควรรับ
    ด้วยว่าในวันที่เราชักผ้าบังสกุลผืนนี้ มหาปฐพีได้ไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดิน”

    จากนั้นจึงทรงแลกเปลี่ยนจีวรของพระองค์เอง
    ซึ่งได้มาจากการบังสุกุล (ผ้าห่อศพ) นางปุณณาทาสี กับพระกัสสปะ
    ในขณะนั้นแผ่นดินได้ไหวอีก เสมือนจะรับรู้ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งที่ทำได้ยาก
    ด้วยว่าจีวรที่พระองค์ห่มแล้วไม่เคยประทานให้สาวกรูปใดมาก่อน
    กล่าวคือ ทรงให้เกียรติพระกัสสปะเสมอพระองค์
    และทรงมีเมตตาต่อพระอสีติพุทธสาวกรูปนี้ยิ่งกว่าภิกษุอื่น

    กัสสปะภิกษุมิได้ทนงตนว่า เราได้จีวรของพระพุทธเจ้ามาครอง
    แต่กลับคิดว่าเราควรจะกระทำสิ่งใดให้ดียิ่งขึ้น จึงสมาทานธุดงค์ ๑๓
    ในสำนักของพระพุทธองค์ และถือมั่นอยู่ ๓ ประการ คือ

    ๑. ถือบังสุกุลจีวรเป็นวัตร
    ๒. ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
    ๓. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร

    **************************************************
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๖๙
    พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดจอมโจรองคุลิมาล



    ในภาพ...“อหิงสกกุมาร” บุตรพราหมณ์ปุโรหิตแห่งเมืองสาวัตถี
    ได้ศึกษาสรรพวิชาอยู่ ณ สำนักทิศาปาโมกข์ เมืองตักศิลา
    ผู้เป็นอาจารย์ถูกยุยงว่า อหิงสกะหมายล้มล้างตน
    จึงหาทางกำจัดโดยยืมมือผู้อื่นฆ่า และบอกว่าจะสอน “วิษณุมนต์” ให้
    แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องหานิ้วมือมนุษย์จำนวนหนึ่งพันนิ้วจากหนึ่งพันคนมาบูชาครู
    พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระอนาคตังสญาณว่า
    จอมโจรองคุลิมาลกำลังจะทำกรรมหนัก คือ กระทำมาตุฆาต ฆ่ามารดา
    (มารดากำลังเดินมาอยู่ระยะไกล) เอานิ้วมาร้อยเป็นมาลัยที่ ๑,๐๐๐ นิ้ว
    จึงทรงเสด็จไปขวางทาง และทรงแสดงปาฏิหาริย์ (ความมหัศจรรย์)
    ให้ปรากฏโดยพุทธานุภาพ โดยให้แผ่นดินขวางกั้นองคุลิมาล
    ให้ตามไม่ทันตลอดระยะทาง ๓ โยชน์ หรือ ๔๘ กิโลเมตร
    จนจอมโจรเหนื่อยอ่อน เหงื่อไหล น้ำลายแห้ง

    องคุลิมาลตะโกนว่า “หยุดก่อนสมณะ”
    พระพุทธองค์ทรงรับสั่งว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านนั่นแหละยังไม่หยุด”

    พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมจนองคุลิมาลคิดละความเห็นผิด
    (ฆ่าบูชาครู) และทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุ
    พระพุทธองค์ทรงตรวจดูกรรม ก็ทรงทราบว่า
    องคุลิมาลนั้นได้เคยถวายภัณฑะ คือบริขารแปดแก่ท่านผู้มีศีลในปางก่อน
    จึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวา ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ตรัสว่า
    เอหิ ภิกฺขุ สฺวากฺขาโต ธมฺโม จร พฺรหฺมจริยํ สมฺมาทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย
    เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวไว้ดีแล้ว
    จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด
    ดังนี้ บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ปรากฏแก่องคุลิมาล
    พร้อมกับพระดำรัสนั้นทีเดียว
    ทันใดนั้นความเป็นคฤหัสถ์ขององคลิมาลก็หายไป
    ปรากฏเป็นสมณะเลยทีเดียว
    พระองคุลิมาลบำเพ็ญเพียรไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

    **************************************************
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๗๐
    นางวิสาขามหาอุบาสิกาถวายผ้าอาบน้ำฝน



    ในภาพ...นางวิสาขามหาอุบาสิกา พร้อมหมู่เพื่อนหญิงบริวาร
    ได้ขอสมาทานถวาย “ผ้าอาบน้ำฝน” ที่เรียกสั้นๆ ว่า ผ้าอาบ
    หรือผ้าวัสสิกสาฎก (อ่านว่า วัด-สิ-กะ-สา-ดก)
    แด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์จนตลอดชีวิต
    ซึ่งสมัยนั้นยังมิได้มีพุทธบัญญัติการถือครองผ้าเกิน ๓ ผืน

    **************************************************
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๗๑
    พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระมหากัจจายนะ
    เป็นผู้เลิศในการขยายความ



    ในภาพ...พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ วัดเชตวันมหาวิหาร
    พระมหากัจจายนะและหมู่ภิกษุได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์
    ซึ่งทรงแสดงแต่เพียงย่อๆ ภิกษุหมู่หนึ่งอันมีพระสมิทธิเถระ เป็นต้น
    ได้เข้าไปหาพระมหากัจจายนะ
    ท่านได้อธิบายความย่อที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น

    พระพุทธองค์จึงทรงแต่งตั้งพระมหากัจจายนะ
    ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
    ในฝ่ายผู้อธิบายเนื้อความย่อให้พิสดาร

    **************************************************
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๗๒
    พระพุทธองค์ทรงทัศนาเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย



    ในภาพ...พระพุทธองค์ทรงพาภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปเสด็จไปเมืองเวสาลี
    (ไพศาลี) แห่งกษัตริย์ลิจฉวี ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน
    ทรงพระกรุณาประทานพระธรรมเทศนาโปรดกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลาย
    จากนั้นทรงพาภิกษุสงฆ์เสด็จออกจากพระนคร
    เสด็จประทับยืนอยู่หน้าเมืองเวสาลี เยื้องพระกายผินพระพักตร์
    ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีประหนึ่งว่าทรงอาลัยเมืองเวสาลีเป็นที่สุด
    พร้อมกับรับสั่งกับพระอานนท์ว่า
    “อานนท์ การเห็นเมืองเวสาลีของตถาคตครั้งนี้นับเป็นการเห็นครั้งสุดท้าย”
    แล้วพระบรมศาสดาก็เสด็จไปประทับกลางวันที่ร่มพฤกษาแห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์
    ก่อนจะทรงรับอาราธนาของพระยาสวัสสวดีมารให้เสด็จดับขันธ์

    **************************************************
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    *************************************************

    ภาพที่ ๗๓
    พระยาสวัสสวดีมารทูลอาราธนาให้เสด็จดับขันธปรินิพพาน



    ในภาพ...พระพุทธเจ้าทรงเจริญอิทธิบาท ๔ มีพระรัศมีสว่างไสว
    พระยาสวัสสวดีมารได้ถือโอกาสเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ได้ทูลอาราธนาว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
    บัดนี้บริษัท ๔ ของพระองค์ได้เจริญแพร่หลายแล้ว
    พระศาสนาได้ดำรงมั่นเป็นหลักฐานสมดังมโนปณิธานแล้ว
    ขออาราธนาพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานเถิด”

    พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนา ตรัสว่า
    “ดูกรมาร ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด
    อย่าทุกข์ใจไปเลย ไม่ช้าแล้วตถาคตก็จักปรินิพพาน
    กำหนดการแต่นี้ล่วงไปอีก ๓ เดือนเท่านั้น”

    ครั้นพระยามารได้สดับพระพุทธดำรัสเช่นนั้น
    ก็มีจิตโสมนัสยินดี แล้วก็อันตรธานจากสถานที่นั้นไป

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำหนดพระทัยทรงปลงพระชนมายุสังขาร
    ณ ปาวาลเจดีย์ ในวันมาฆปุรณมี เพ็ญเดือน ๓
    ครั้งนั้นก็บังเกิดเหตุอัศจรรย์ พื้นแผ่นพสุธาโลกธาตุก็กัมปนาทหวั่นไหว
    ประหนึ่งว่าแสดงความทุกข์ใจ อาลัยในพระผู้มีพระภาคเจ้า
    จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในกาลไม่นาน ต่อนี้ไปอีก ๓ เดือนเท่านั้น

    **************************************************
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    *************************************************

    ภาพที่ ๗๔
    นายจุนทะถวายภัตตาหารมื้อสุดท้ายแด่พระพุทธองค์
    ในเช้าวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน



    ในภาพ...จุนทกัมมารบุตร (นายจุนทะ) บุตรช่างทอง ชาวเมืองปาวา
    พร้อมภรรยาและบริวาร ถวายภัตตาหารมื้อสุดท้าย
    แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรือนตน ในเช้าวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน

    พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่นายจุนทะว่า “สูกรมัททวะซึ่งท่านเตรียมไว้นั้น
    จงอังคาส (ถวาย) เฉพาะแต่ตถาคตเพียงผู้เดียว
    ส่วนที่เหลือนั้นให้ขุดหลุมฝังเสีย
    และจงอังคาส (ถวาย) ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายด้วยอาหารอย่างอื่นๆ เถิด”

    นายจุนทะกระทำตามพระพุทธบัญชา
    ครั้นเสร็จภัตกิจแล้วก็ตรัสอนุโมทนาให้นายจุนทะ
    เบิกบานในไทยทานที่ถวายแล้ว ก็ทรงเสด็จกลับไปสู่สวนอัมพวัน
    เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยภัตตาหารของนายจุนทะในวันนั้น
    ก็ทรงประชวรพระโรค “โลหิตปักขันทิกาพาธ” มีกำลังกล้าลงพระโลหิต
    (อาการท้องร่วงเป็นโลหิต) เกิดทุกขเวทนามาก
    ได้แสดงปุพพกรรมที่ทรงทำไว้ในชาติก่อนแก่พระอานนท์แล้วตรัสว่า
    “อานนท์ เราจะไปสู่เมืองกุสินารานคร”
    พระอานนท์รับพระบัญชาแจ้งให้ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายตามเสด็จ

    พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า
    “อานนท์ ต่อไปภายหน้าหากจะพึงมีใครทำความร้อนใจ
    แก่นายจุนทกัมมารบุตร ว่าเพราะบิณฑบาตที่ท่านถวายพระผู้มีพระภาค
    ครั้งสุดท้ายแล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน พึงทำความสบายใจให้แก่นายจุนทะว่า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรรเสริญว่า บิณฑบาตที่ถวายพระตถาคต ๒ ครั้ง
    คือ ครั้งที่พระตถาคตเสวยแล้วได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    และครั้งที่พระตถาคตเสวยแล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน
    เป็นทานมีผลมาก มีอานิสงส์มากกว่า
    บิณฑบาตทานทั้งหลายเป็นกุศลกรรม
    ทำให้เจริญอายุ วรรณะ สุข ยศ และสวรรค์ ดังนี้เถิด”

    กล่าวคือ การได้ฉันอาหารวิเศษนี้มีผลบุญเท่าเทียมกันกับ
    ข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาที่ฉันแล้วได้ตรัสรู้

    สูกรมัททวะที่พระพุทธองค์เสวยเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ชาวพุทธ
    ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน ต่างตีความเข้าข้างตนเอง
    กล่าวคือ ทางฝ่ายมหายานหรือสำนักที่ไม่ทานเนื้อสัตว์
    ก็ตีความว่าเป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่หมูชอบกิน
    แต่ฝ่ายเถรวาทตีความว่าเป็นเนื้อสุกรอ่อน หรืออาหารชนิดหนึ่ง
    หรือสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีข้อความหนึ่งที่นำมาจาก

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒
    หน้าที่ ๗๔๘ เรื่องธรรมดาของพระพุทธเจ้า (มี ๓๐ ข้อ ยกมา ๒ ข้อ)
    ข้อ ๘ เสวยข้าวมธุปายาส ในวันที่ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ
    ข้อ ๒๙ เสวยรสมังสะ ในวันปรินิพพาน

    ถ้าข้อธรรมนี้ปรากฏจริงในพระไตรปิฎกมาแต่เดิมและไม่คลาดเคลื่อน
    และคำว่า รสมังสะ คืออาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ตรงนี้น่าจะสรุปได้ว่า
    พระพุทธองค์เสวยเนื้อสุกรอ่อนในวันปรินิพพาน
    หรือมิฉะนั้นก็เสวยเนื้อสัตว์อื่นๆ ในวันนั้นด้วย
    และขยายความต่อไปได้อีกว่า โดยปกติพระองค์เสวยอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์
    ทำให้กระเพาะอาหารหรือน้ำย่อยไม่คุ้นเคยกับเนื้อสัตว์
    (ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้ที่ทานมังสวิรัติมานานแล้ว กลับมาทานเนื้อสัตว์
    อาจถึงขั้นปากพองหรืออาหารเป็นพิษ) เป็นเหตุแห่งพระโรค

    **************************************************
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๗๕
    พระอานนท์พุทธอุปัฎฐากถวายน้ำที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี



    ในภาพ...พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ใต้ร่มไม้่ริมลำธาร
    ตรัสให้พระอานนท์ พุทธอุปัฎฐาก นำบาตรไปตักน้ำที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี
    ระหว่างทางเสด็จที่มุ่งสู่เมืองกุสินารา มาถวาย
    ทรงตรัสว่า “เราจักดื่มน้ำระงับความกระหายให้สงบ”

    พระอานนท์กราบทูลว่า “แม่น้ำตื้นเขิน เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม
    ของพวกพ่อค้าเกวียนเพิ่งข้ามแม่น้ำผ่านไปเมื่อสักครู่นี้
    เท้าโคล้อเกวียนบดย่ำทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น
    อีกไม่ไกลแต่นี้มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อ กกุธานที มีน้ำใส
    จืดสนิท เย็น มีท่าน้ำสำหรับลงเป็นที่รื่นรมย์
    ขอเชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปที่แม่น้ำนั้นเถิด พระเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ทรงตรัสปฏิเสธคำทูลทัดทานของพระอานนท์ถึง ๓ ครั้ง
    พระอานนท์จึงอุ้มบาตรเดินลงไปตักน้ำในแม่น้ำนั้น
    ครั้นทำท่าจะตัก พระอานนท์ก็อัศจรรย์ใจ รำพึงว่า
    “ความที่พระตถาคตมีฤทธิ์และอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้
    เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก แม่น้ำนี้ขุ่นนัก
    เมื่อเราเข้าไปใกล้เพื่อจะตัก น้ำกลับใสสะอาดไม่ขุ่นมัว”

    **************************************************
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๗๖
    ปัจฉิมพระสาวกสุภัททปริพาชก



    ในภาพ...สุภัททปริพาชกเข้าไปหาพระอานนท์ บอกว่า
    ตนประสงค์จะขอเข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลถามปัญหาธรรมบางอย่าง
    ซึ่งข้องใจมานาน พระอานนท์ปฏิเสธปริพาชกว่า อย่าเลย
    อย่าได้รบกวนพระพุทธองค์เลย เพราะพระองค์กำลังจะปรินิพพาน

    พระพุทธองค์ทรงได้ยินการโต้ตอบระหว่างพระอานนท์กับสุภัททปริพาชก
    จึงตรัสให้สุภัททปริพาชกเข้าเฝ้าได้ โดยตรัสกับพระอานนท์ว่า

    “อานนท์ ประโยชน์อันใดที่เขาจะได้จากเรา
    แม้ลมหายใจสุดท้ายเราก็จะยอมมอบให้เขา”

    เมื่อสุภัททปริพาชกได้โอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
    จึงทูลถามปัญหาที่ข้องใจมานาน หลังจากพระพุทธองค์ตรัสตอบปัญหาแล้ว
    เขาเกิดความเลื่อมใส ทูลขอบวช พระพุทธองค์ตรัสว่า

    นักบวชในศาสนาอื่นจะขอบวชต้องอยู่ปริวาสครบ ๔ เดือนก่อน
    สุภัททปริพาชกกราบทูลว่า แม้จะให้อยู่ถึง ๔ ปีก็ยอม
    พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้สงฆ์บวชให้สุภัททปริพาชกในคืนวันนั้น
    สุภัททปริพาชกอุปสมบทแล้ว บำเพ็ญเพียรไม่นาน
    ในคืนนั้นเองก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงนับเป็นพระอรหันต์สาวกองค์สุดท้าย
    ที่ทันเห็นพระพุทธองค์ขณะดำรงพระชนม์ชีพ

    **************************************************
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๗๗
    พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน



    ในภาพ...วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระพุทธองค์ทรงประทับสีหไสยาส
    ท่ามกลางหมู่สงฆ์และทวยเทพ
    ดอกไม้่ทิพย์ทั้งปวงร่วงโปรยลงมาเป็นพุทธบูชา
    เข้าสู่สถานที่พุทธปรินิพพานจนละลานตาทั่วอุทธยาน

    พระบรมศาสดาได้ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า
    “หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว
    วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ”

    แปลว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า
    สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

    หลังจากนั้นพระพุทธองค์ทรงเข้าสมาบัติตามลำดับดังนี้
    ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว
    ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
    ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
    ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว

    ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน ออกจากอากาสานัญจายตนฌานแล้ว
    ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว
    ทรงเข้าอากิญจัญญายตนฌาน ออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้ว
    ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว

    ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว
    ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว
    ทรงเข้าอากิญจัญญายตนฌาน ออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้ว
    ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว

    ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน ออกจากอากาสานัญจายตนฌานแล้ว
    ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
    ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
    ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
    ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว
    ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
    ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
    ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จดับขันธปรินิพพาน

    **************************************************
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๗๘
    พิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า



    ในภาพ...หลังจากพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
    เหล่าภิกษุสงฆ์ เทพ พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ ได้ถวายการสักการะพระพุทธสรีระ
    พวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดบูชาด้วยของหอม ดอกไม้
    และเครื่องดนตรีทุกชนิดที่มีอยู่ในเมืองกุสินาราตลอด ๗ วัน
    แล้วให้เจ้ามัลละระดับหัวหน้า ๘ คน สระสรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่
    อัญเชิญพระสรีระไปทางทิศตะวันออกของพระนครเพื่อถวายพระเพลิง
    พวกเจ้ามัลละถามถึงวิธีปฏิบัติพระพุทธสรีระกับพระอานนท์เถระ
    แล้วทำตามคำของพระเถระนั้นคือ ห่อพระสรีระด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี
    แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า ๕๐๐ คู่
    แล้วอัญเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน
    แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด
    จากนั้นอัญเชิญพวกเจ้ามัลละระดับหัวหน้า ๔ คน สระสรงเกล้าและนุ่งห่มผ้าใหม่
    พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จึงสอบถามสาเหตุ
    พระอนุรุทธะเถระแจ้งว่า “เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ
    และภิกษุหมู่ใหญ่ ๕๐๐ รูป ผู้กำลังเดินทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสียก่อน”

    ครั้งนั้นพระมหากัสสปเถระและหมู่ภิกษุเดินทางจากเมืองปาวาเพื่อเข้าเฝ้าพระศาสดา
    ระหว่างทางได้พบกับพราหมณ์คนหนึ่งถือดอกมณฑารพสวนทางมา
    พระมหากัสสปะได้เห็นก็ทราบว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น
    ดอกไม้นี้มีเพียงในเทวโลกไม่มีในเมืองมนุษย์
    การที่มีดอกมณฑารพอยู่แสดงว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับพระศาสดา
    พระมหากัสสปะถามพราหมณ์นั้นว่า ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพระศาสดาบ้างหรือไม่
    พราหมณ์นั้นตอบว่า พระสมณโคดมได้ปรินิพพานไปล่วงเจ็ดวันแล้ว

    เมื่อพระมหากัสสปะและภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางมาถึงสถานที่ถวายพระเพลิง
    “มกุฏพันธนเจดีย์” เมืองกุสินาราแล้ว ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี
    กระทำประทักษิณรอบเชิงตะกอน ๓ รอบ พระมหากัสสปะเปิดผ้าทางพระบาทแล้ว
    ถวายบังคมพระบาททั้งสองด้วยเศียรเกล้าแล้วอธิษฐานว่า
    “ขอพระยุคลบาทของพระองค์ที่มีลักษณะเป็นจักรอันประกอบด้วยซี่พันซี่
    จงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ ออกเป็นช่องประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์ด้วยเถิด”
    เมื่ออธิษฐานเสร็จ พระยุคลบาทก็แหวกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ออกมา
    พระเถระจับพระยุคลบาทไว้และน้อมนมัสการเหนือเศียรเกล้าของตน
    เมื่อพระเถระและภิกษุ ๕๐๐ รูปถวายบังคมแล้ว ฝ่าพระยุคลบาทก็เข้าประดิษฐานในที่เดิม
    ครั้นแล้วเปลวเพลิงก็ลุกโพลงท่วมพระสรีระของพระศาสดาด้วยอำนาจของเทวดา
    เมื่อเพลิงใกล้จะดับ ก็มีท่อน้ำไหลหลั่งลงมาจากอากาศ
    และมีน้ำพุ่งขึ้นจากกองไม้สาละ ดับไฟที่ยังเหลืออยู่นั้น
    เหล่าเจ้ามัลละก็ประพรมพระบรมสารีริกธาตุด้วยของหอม ๔ ชนิด
    รอบๆ บริเวณก็โปรยข้าวตอกเป็นต้น แล้วจัดกองกำลังอารักขา
    จัดทำสัตติบัญชร (ซี่กรงทำด้วยหอก) เพื่อป้องกันภัย แล้วให้ขึงเพดานผ้าไว้เบื้องบน
    ห้อยพวงของหอม พวงมาลัย พวงแก้ว ให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้ทั้งสองข้าง
    ตั้งแต่มกุฏพันธนเจดีย์จนถึงศาลาด้านล่าง ให้ติดเพดานไว้เบื้องบน
    ตลอดทางติดธง ๕ สีโดยรอบ ให้ตั้งต้นกล้วย และหม้อน้ำ
    พร้อมกับตามประทีปมีด้ามไว้ตามถนนทุกสาย

    พวกเจ้ามัลละนำพระบรมธาตุทั้งหลายวางลงในรางทอง
    แล้วอัญเชิญไว้บนคอช้าง นำพระบรมธาตุเข้าพระนคร
    ประดิษฐานไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ อย่าง กั้นเศวตรฉัตรไว้เบื้องบน
    แล้วจัดกองกำลังอารักขา จากนั้นจัดเหล่าช้างเรียงลำดับกระพองต่อกันล้อมไว้
    พ้นจากเหล่าช้างก็เป็นเหล่าม้าเรียงลำดับคอต่อกัน
    จากนั้นเป็นเหล่ารถ เหล่าราบ รอบนอกสุดเป็นทหารธนูล้อมอยู่
    พวกเจ้ามัลละจัดฉลองพระบรมธาตุตลอด ๗ วัน
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    *************************************************

    ภาพที่ ๗๙
    แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ



    ในภาพ...เมื่อข่าวการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์
    และการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
    กระทั่งพระสรีระกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุทราบกันโดยทั่วไปแล้ว
    เหล่ากษัตริย์ในนครต่างๆ เมื่อทราบข่าว ก็ปรารถนาจะได้พระบรมธาตุไปบูชา
    จึงส่งสาสน์ ส่งฑูตมาขอพระบรมธาตุ เหล่ามัลลกษัตริย์ก็ไม่ยอมยกให้
    ด้วยเหตุผลว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานในเมืองของเรา”

    ดังนั้น กษัตริย์ในพระนครต่างๆ เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู จอมกษัตริย์แคว้นมคธ
    และกษัตริย์เหล่าอื่นๆ จึงยกกองทัพมาด้วยหวังว่าจะแย่งชิงพระบรมธาตุ
    เมื่อยกกองทัพมาถึงหน้าประตูเมือง ทำท่าจะเกิดศึกสงครามแย่งชิงพระบรมธาตุ

    ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้ใหญ่คนหนึ่ง คือ โทณพราหมณ์
    หวั่นเกรงว่าจะเกิดสงครามใหญ่ จึงประกาศว่า
    “พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ทรงสรรเสริญขันติ สรรเสริญสามัคคีธรรม
    การที่เราจะมาประหัตประหารเพราะแย่งชิงพระบรมธาตุของพระองค์ผู้ประเสริฐ
    ย่อมไม่สมควร ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงยินดีในการที่จะแบ่งกันไปเป็น ๘ ส่วน
    และนำไปบูชายังบ้านเมืองของท่านทั้งหลายเถิด”

    กษัตริย์ทั้งหลายจึงมีมติให้โทณพราหมณ์
    แบ่งพระสรีระพระผู้มีพระภาคออกเป็น ๘ ส่วนเท่ากัน

    โทณพราหมณ์ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุทั้ง ๑๖ ทะนาน
    ให้แก่เจ้าเมืองทั้ง ๘ เท่ากัน แล้วแอบเอาพระเขี้ยวแก้วใส่มวยผม
    พระอินทร์จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปประดิษฐานบนสวรรค์

    ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่า อชาตศัตรู เวเทหิบุตร
    ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในนครราชคฤห์

    พวกกษัตริย์ลิจฉวี เมืองเวสาลี ก็ได้กระทำพระสถูป
    และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองเวสาลี

    พวกกษัตริย์ศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ก็ได้กระทำพระสถูป
    และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองกบิลพัสดุ์

    พวกกษัตริย์ถูลี เมืองอัลกัปปะ ก็ได้กระทำพระสถูป
    และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองอัลกัปปะ

    พวกกษัตริย์โกลิยะ เมืองรามคาม ก็ได้กระทำพระสถูป
    และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองรามคาม

    พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปกะ ก็ได้กระทำพระสถูป
    และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองเวฏฐทีปกะ

    พวกเจ้ามัลละ เมืองปาวา ก็ได้กระทำพระสถูป
    และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองปาวา

    พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา ก็ได้กระทำพระสถูป
    และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองกุสินารา

    โทณพราหมณ์ก็ได้กระทำสถูป
    และการฉลองตุมพะ (ทะนานทองตวงพระบรมธาตุ)

    พวกกษัตริย์โมริยะ เมืองปิปผลิวัน ก็ได้กระทำพระสถูป
    และการฉลองพระอังคารในเมืองปิปผลิวันฯ

    พระสถูปบรรจุพระสรีระมีแปดแห่ง รวมกับสถูปบรรจุตุมพะเป็นเก้าแห่ง
    และรวมกับพระสถูปบรรจุพระอังคารเป็นสิบแห่ง

    พระสรีระของพระพุทธเจ้ามีแปดทะนาน เจ็ดทะนานบูชากันอยู่ในชมพูทวีป
    ส่วนพระสรีระอีกทะนานหนึ่งพวกนาคราชบูชากันอยู่ในรามคาม

    พระเขี้ยวองค์หนึ่งเทวดาชาวไตรทิพย์บูชาแล้ว
    ส่วนอีกองค์หนึ่งบูชากันอยู่ในคันธารบุรี
    อีกองค์หนึ่งบูชากันอยู่ในแคว้นของพระเจ้ากาลิงคะ
    อีกองค์หนึ่งพระยานาคบูชากันอยู่ฯ

    พระทนต์ ๔๐ องค์บริบูรณ์
    พระเกศาและพระโลมาทั้งหมด พวกเทวดานำไปองค์ละองค์ๆ
    โดยนำต่อๆ กันไปในจักรวาล ดังนี้แล

    **************************************************
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    **************************************************

    ภาพที่ ๘๐
    พระบรมธาตุและอัฐบริขารสถิตในภพ ๓



    ในภาพ...สิ่งอันเป็นสัญญลักษณ์แทนความเป็นพระพุทธเจ้า
    กษัตริย์และเทพในโลกทั้ง ๓ ได้อัญเชิญ
    พระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว พระอังคารธาตุ
    และพุทธบริขารสำคัญ ไปประดิษฐ์ในภพของตน
    พร้อมทั้งสังเวชนียสถานทั้งสี่ คือ
    สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน
    เพื่อทักษิณาถวายการเคารพบูชาสักการะสูงสุด

    **************************************************
     

แชร์หน้านี้

Loading...