“วิญญาณกตัญญู” โดย ท. เลียงพิบูลย์ เป็นตัวอย่างวิญญาณมีและการทำสังฆทาน ให้วิญญาณที...

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 2 สิงหาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <big><big>“วิญญาณกตัญญู” โดย ท. เลียงพิบูลย์ เป็นตัวอย่างวิญญาณมีและการทำสังฆทาน ให้วิญญาณที่ตายผิดปรกติ </big></big> <!--MsgIDBody=0-->เรื่องวิญญาณกตัญญูนี้เป็นเรื่องที่ท่านผู้หนึ่งเล่าให้คุณท. เลียงพิบูลย์ทราบ ที่โรงแรมรถไฟปากน้ำโพ ตอนที่คุณ ท. เลียงพิบูลย์เดินทางไปภาคเหนือ ท่านผู้นั้นเล่าว่าวิญญาณบัวผัดมาขอให้ท่านช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ตอนแรกท่านไม่ทราบว่าจะทำบุญอย่างไร จึงจะช่วยวิญญาณบัวผัดได้ จนท่านได้เจอพระเถระรูปหนึ่ง พระเถระรูปนั้นแนะนำให้ทำสังฆทานไปให้วิญญาณญาณบัวผัด เมื่อวิญญาณบัวผัดได้รับทราบและอนุโมทนาแล้ว ปีศาจบัวผัดก็กลายเป็นเทพ และได้มาช่วยให้ท่านผู้นั้นไม่ต้องประสบอุบัติเหตุ รถยนต์ตกเหว ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ :

    เมื่อครั้งสมัยก่อน ข้าพเจ้าเดินทางไปภาคเหนือ ต้องลงพักสถานีปากน้ำโพ เพื่อสะดวกจึงพักแรมที่สถานีรถไฟ เวลานั้นที่ชั้นบนของสถานีรถไฟเป็นที่พักแรม รู้สึกว่าโรงแรมนี้ไม่ค่อยมีคนมาพักมากนัก เพราะทุกคนเมื่อลงรถไฟก็ข้ามไปพักฝั่งเมือง ที่โรงแรมชั้นบนสถานีรถไฟนี้ นอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีชายคนหนึ่งอายุมากกว่าข้าพเจ้า การที่มาพักในโรงแรมเดียวกัน ซึ่งมีเราเพียงสองคนเท่านั้น ซ้ำยังเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่มีปัญหาอะไรที่จะไม่หันหน้าเข้ามาสนทนาและทำความรู้จักกันไม่ยากนัก แล้วเราก็สนิทสนมกัน ท่าทางชายคนนี้เป็นคนดีมีความรู้เป็นคนเปิดเผย คบง่ายเป็นกันเอง ตอนหนึ่งข้พเจ้าบ่นว่าที่พักมีความสะอาดน้อยกว่าโรงแรมรถไฟทั่วๆไปที่เคยพักมาแล้ว เพื่อนร่วมที่พักข้าพเจ้าบอกว่า

    “อย่าไปสนใจอะไรเลยคุณเรื่องที่พัก เมื่อเราออกจากบ้านแล้วหาความสะดวกสบายได้ยาก เราพักคืนเดียวเท่านั้น ทนเอาหน่อยอย่าไปนึกอะไร ผมผจญมามากกว่านี้”

    แล้วเล่าเรื่องผจญต่อเหตุการณ์ต่างๆให้ฟัง ให้เวลาผ่านไปอย่างเพลิดเพลิน แต่ข้าพเจ้าสนใจเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าขอตัดตอนมาเล่าให้ท่านฟัง

    เมื่อรถยนต์จอดที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง พวกคนโดยสารรีบลง ผมมาในรถยนต์โดยสารนั้นผู้หนึ่งจึงลงจากรถมาด้วย เพราะเราต้องเดินทางมาเกือบตลอดวัน ต่างก็ปัดฝุ่นแดงที่ติดตามเสื้อผ้าและหน้าแล้ว ก็มองดูโรงแรมที่เป็นตึกเก่า ๆ ปลูกอย่างหนาเทอะทะเอาความแข็งแรงเป็นข้อแรก เอาความสวยงามเป็นรองมา คงจะเป็นตึกเก่าแก่หลังหนึ่งในจังหวัดนั้น ข้างบนเป็นโรงแรม ข้างล่างเป็นร้านขายอาหารและกาแฟ ผมเข้าไปพักและสั่งอาหารมาถ้วยหนึ่ง มองดูเด็กประจำรถปีนขึ้นไปบนหลังคารถโดยสารเลิกผ้าคลุมออกแก้เอากระเป๋าเดินทาง ซึ่งผูกไว้กับเหล็กหลังคารถ ยกส่งลงมาข้างล่างแล้วเอาไปไว้ในร้านกาแฟ นอกจากผมที่พักโรงแรมนี้แล้ว ก็ยังมีชายกลางคนกับภรรยาสาวซึ่งมีอายุอ่อนกว่าประมาณยี่สิบปีที่จะลงมาพักด้วย ผู้โดยสารพวกอื่นคงจะเป็นชาวเมืองนั้นจึงกลับไปบ้านของตน ผมกำลังดื่มกาแฟอยู่ ส่วนชายสูงอายุผู้นั้นนั่งคอยภรรยาเขาที่กำลังเข้าห้องน้ำ ผมจึงถามว่า

    “คุณคุณจะพักแรมที่นี้เหมือนกันหรือครับ”

    ชายผู้สูงอายุตอบว่า

    “ครับ ผมจะพักแรมคืนนี้อยู่ทีนี้ รุ่งขึ้นจึงจะเดินทางต่อไป” ขณะนั้นภรรยาท่านผู้นั้นออกมาจากห้องน้ำ มานั่งรวมสนทนาด้วย ทันใดนั้นมีจีน ไหหลำคนหนึ่งแต่งกายเสื้อผ้าขาวสะอาดเดินออกมาจากข้างในถามว่า

    “คุณต้องการห้องพักหรือครับ”

    ผมเลยบอกว่า “หาห้องพักสะอาดดี ๆ ให้สักสองห้องซิ ห้องหนึ่งสำหรับท่านผู้นี้กับคุณนาย และผมอยู่คนเดียวห้องหนึ่ง” เถ้าแก่ผู้นั้นตอบว่า “ห้องมีเหลือห้องเดียวครับนอกนั้นเต็มหมด”

    ผมจึงถามว่า “ทำไมโรงแรมใหญ่ ๆ จึงมีเหลือห้องเดียว”

    เถ้าแก่บอกว่า “มีหลายห้องมีคนเช่าไว้หมดแล้ว”

    ผมจึงถามว่า “เมืองนี้ก็เห็นคนไม่มาก ทำไมห้องจึงเต็มหมด”

    เถ้าแก่ตอบว่า “คนเช่าไว้ตั้ง ๕ ห้อง มีฝรั่งสองคน คนไทยสามคน กลางวันเขาไปทำงานในป่า (สำรวจแร่) กลางคืนจึงกลับมานอนเช้าขึ้นออกไป เขาเช่าไว้ทั้งหลายวันแล้ว คิดว่าคงอยู่สองอาทิตย์”

    ผมจึงบอกว่า “เหลือห้องเดียวก็ให้คุณทั้งสองคนนี้ก็แล้วกัน”

    เถ้าแก่ผู้นั้นถามว่า “แล้วคุณจะไปนอนที่ไหนล่ะ”

    ผมจึงบอกว่า “คนเดียวคงไม่เป็นไร จะหาพักโรงแรมอื่นก็ได้”

    เถ้าแก่เจ้าของโรงแรมบอกว่า “เมืองนี้ไม่มีโรงแรมที่ไหนอื่นนอกจากที่นี้”

    แต่แล้วเถ้าแก่ทำนึกสักครู่ก็ส่งภาษาจีนพูดกับบ๋อย ผมเห็นเจ้าเด็กบ๋อยคนนั้นสะดุ้ง และเถ้าแก่บอกกับผมว่า ยังมีอีกห้องหนึ่งห้องต้องทำความสะอาด เพราะไม่มีคนเข้าพักนานแล้ว ถ้าคุณจะพักก็ขึ้นไปดูได้

    ผมบอกว่า “ตกลงไม่ต้องดู จัดการทำความสะอาดก็แล้วกัน”

    เถ้าแก่จึงสั่งบ๋อยให้ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปข้างบน และเอาคุณแจห้องไปไขสำหรับผัวเมีย และเอาเข้าไปในห้องร้างที่ผมจะพักด้วย เมื่อเราขึ้นไปข้างบนมองดุสภาพ ก็เป็นโรงแรมบ้านนอกธรรมดาทั่วไป สองผัวเมียได้ห้องติดถนนใหญ่ สำหรับผมบ๋อยเดินนำเอากุญแจไปเปิดอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปมาก บ๋อยพยายามไขกุญแจเท่าไรไม่ออกเพราะมือสั่น ผมต้องยิบกุญแจไปไขเอง เมื่อถือกุญแจก็เห็นสนิมติดมือ จึงรู้ว่าห้องนี้คงไม่ได้เปิดมานานแล้ว เมื่อเปิดออกแล้วเจ้าบ๋อยถามผมว่า “นายจะนอนห้องนี้หรือ”

    ผมพยักหน้า บ๋อยจึงพูดว่า “นายเข้าไปก่อนซี ประเดี๋ยวผมจะทำความสะอาดให้”

    (ยังมีคำผิดหลายคำ ยังไม่มีเวลาแก้ เพราะต้องรีบไปธุระ ขอให้เจริญในธรรม)



    ผมสังเกตดูรู้ว่าบ๋อยคนนี้ลุกลี้ลุกลนชอบกล ผมจึงเข้าไปเปิดหน้าต่างออก ห้องรู้สึกอับ ๆ เห็นจะปิดไว้นานมองดูสภาพก็มีอะไรผิดแปลก นอกมุ้งไม่มีและที่นอนม้วนไว้ สักครู่บ๋อยอีกคนก็หอบเอาผ้าปูที่นอนหมอนมุ้งขึ้นมาและจัดการเช็ดกวาดทำความสะอาดกันสองคน และคุยกับซุบซิบซึ่งผมไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน แต่ที่ผิดสังเกตก็เพราะเจ้าบ๋อยสองคนพูดกันแล้วหันหน้ามาดูหน้าผม แล้วก็หัวเราะกันคล้ายผมเป็นตัวตลก ผมไม่รู้เรื่องเขาหัวเราะผมเรื่องอะไร และผมก็ไม่เอาใจใส่เมื่อเช็ดถูปัดกวาด กางมุ้ง ปูที่นอน ใส่ปลอกหมอนเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่เห็นว่าห้องมันผิดกว่าห้องอื่นอย่างไรเลย ทำไมเจ้าขงจึงไม่บอกตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเราก็ไห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ไม่วิตกว่าจะต้องไปหาที่อื่นนอน ทราบว่าตามปรกติห้องพักไม่ค่อยจะมีคนเต็ม แต่คราวนั้นมีนักสำรวจทั้งไทยและฝรั่ง ๕ คน ได้มาเช่าห้องไว้ เย็นนั้นผมอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็เดินลงมาดูอาหาร สั่งอาหาร รู้สึกว่าเมื่อผมลงมานั่ง พวกบ๋อยและคนจีนไหหลำบนโรแรมนั้น ต่างมองผมเป็นตาเดียวกัน ผมต้องก้มหน้าดูเสื้อผ้าอาจจะไม่เรียบร้อยหรือขาด แต่ดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปรกติ แล้วก็เลยคิดว่าใครจะดูเราอย่างไรก็อย่าไปสนใจเลย เมื่อผมสั่งอาหารทานเสร็จแล้วก็กลับขึ้นไปนอนพักในห้อง
    สักครู่บ๋อยก็เอาตะเกียงเติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อยแล้วขึ้นมาให้ แต่ทำให้ผมสงสัยเพียงเอาตะเกียงมาให้ก็ต้องขึ้นมาตั้งสองคน ผมอยากจะรู้แน่ จึงสั่งให้บ๋อยเอาบุหรี่ขึ้นมาให้ผมหนึ่งซอง แต่แล้วทำให้ผมสนใจมากขึ้นเพราะเพียงยาซองเดียวก็ยังขึ้นมาให้ผมตั้งสองคน ผมนึกใจใจว่าโรงแรมนี้คงมีสิงผิดปรกติเป็นแน่ แต่นึกไม่ออกว่าเป็นอะไร แน่ เพราะสังเกตว่าบ๋อยหน้าตาตื่น เมื่อเข้ามาในห้องที่ผมอยู่ เมื่อบ๋อยออกไปแล้ว ผมก็นั่งคิดสักครู่หนึ่ง จึงใส่กุญแจแต่เปิดไฟทิ้งไว้ แล้วก็เดินลงบันไดไปข้างล่าง เห็นแสงไฟเจ้าพายุแขวนอยู่กลางห้อง
    เห็นพวกจีนไหหลำนั่งคุยเสียงดังใต้แสงเจ่าพายุ พอผมเดินลงไปเสียงดังก็ค่อยลงทันที ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ เถ้าแก่โรงแรมถามว่า

    “คุณต้องการอะไรบ้างครับ”

    ผมจึงบอกว่า “อยากได้น้ำชาจีนสักกา บอกบ๋อยเอาขึ้นไปให้ด้วย”

    เสียงเถ้าแก่สั่งบ๋อยเป็นภาษาไหหลำ แล้วพูดโต้ตอบกันสองสามคำ เถ้าแก่หันมาพูดกับผมว่า

    “ประเดี๋ยวเขาจะเอาขึ้นไปส่งพร้อมกับคุณ”

    ผมก็เลยบอกว่า “เอาขึ้นไปได้ผมจะนอนละ”

    เมื่อผมพูดแล้วก็เดินขึ้นไป ก็เห็นบ๋อยถือกาน้ำชาขึ้นมาพร้อมกันสองคนเดินตามหลังผมขึ้นไปในห้อง เจ้าบ๋อยก็เข้าไปในห้อง วางกาน้ำด้วยท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ ผมเตรียมไว้แล้วพอเห็นแกรีบออกจากห้องผมก็จบข้อมือไว้ ผมเห็นบ๋อยคนที่ถูกจับมือ ตกใจสะดุ้งสุดตัวปากสั่นพูดว่า “คุณอย่าเล่นอย่างนี้ผมใจไม่ดี”

    ผมจึงถามว่า “นี่อยากถามอะไรหน่อยนะ ฉันรู้สึกมีอะไรแปลกตาลึกลับมากในโรงรมนี้ ผมดูบ๋อยสองคนได้ยินคำพูดแล้วทำตาเหลือกกลัวคนจะได้ยิน ชี้มือไปข้างนอกห้อง ผมเดินตามออกไปเพราะแกแสดงกิริยาหวาดกลัวมาก พอออกไปพ้นห้องแล้ว แกกระซิบเบา ๆ กลัวใครจะได้ยินว่า “ผี”

    ผมก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงถามว่า “อยู่ที่ไหน”

    บ๋อยทั้งสองคนกระซิบว่า “ในห้องคุณ”

    เมื่อผมรู้เรื่งผมก็หัวราะ เพราะผมไม่ใช่คนกลัวผี จึงบอกบ๋อยว่า “ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัว”

    บ๋อยทั้งสองเห็นผมพูดเช่นนั้นก็ชักกล้าขึ้นมาบ้าง เพราะเดิมแกคิดว่า พอบอกว่า “ผียู่ในห้อง”
    ผมคงสะดุ้งคงจะตกใจกลัว แต่กลับตรงข้าม ผมกลับหัวเราะ แกคงนึกว่ามาพบคนบ้าบิ่นแล้วทำให้แกพลอยกล้าไปด้วย พูดออกมาว่า

    “ผมพูดจริง ๆ ไม่ใช่พูดล่น ไม่มีใครนอนจนสว่างได้เลยบางทียังไม่ทันครึ่งคืน ก็วิ่งออกจากห้องไม่ทันเพราะตกใจกลัวมาก ไม่กล้าเข้าไปในห้องอีก เถ้าแก่จึงไม่ค่อยให้ใครพัก”
    ผมจึงบอกว่า “ขอบใจเธอสองคนมาก ไม่ต้องห่วงฉันหรอกเรื่องผีฉันไม่เคยกลัวเลย ผีชอบหลอกคนขี้ขลาด คนใจอ่อน ตกใจง่าย คนขี้กลัว ฉันใจแข็งมากพอที่ผีกลัวฉัน ธรรมดาผีไม่หลอกคนเล่นสนุก ผีต้องมีอะไรทุกข์ร้อนเพื่อให้คนช่วย เอาละฉันจะเข้าไปนอนให้สบายเลย”

    เมื่อผมพูดแล้วก็รีบกลับเข้าไปในห้องใส่กลอนภายใน แล้วไขใส้ตะเกียงให้สว่างขึ้น เพื่อจะคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป เมื่อทราบว่าเป็นผีผมก็เบาใจ เสียงบ๋อยได้ยินผมพูดชักกล้าขึ้นมาบ้าง ลงไปพูดอะไรข้างล่างก็มีเสียงโจษย์กันเป็นภาษาจีนผมไม่เอาใจใส่ ตาก็จ้องทางหน้าต่างที่เปิดไว้ จนผมห่วงนอนก็ยังไม่เห็นอะไรผิดแปลกเกิดขึ้น จนผมหลับไปนานเท่าใดไม่ปรากก พอลืมตาขึ้นเห็นตะเกียงที่สว่างไสวอยู่นั้น ค่อย ๆ หรี่ลง ไฟนวลเมื่อแสงไฟใกล้จะดับเป็นสีน้ำเงิน ผมต้องลุกขึ้นนั่งเบิกตากว้างขึ้นดู เพราะเห็นผู้หญิงสวยแต่งตัวเป็นชาวเหนือ รูปร่างค่อนข้างสวยแต่หน้าเปรอะเปื้อนเลือด ประเดี๋ยวก็ทำหน้าสวยงาม ประเดี๋ยวก็ทำน่าเกลียดน่ากลัวแล้วก็มายืนจองหน้าดูผม จนเห็นหน้าเธอเกือบชิดหน้าผมอยู่แล้ว ผมมีจิตใจเข็มแข็ง แม้เธอแสดงหน้าตาอย่างไรผมก็ไม่กลัว เพราะผมรู้ว่าแกเป็นผี ผมต้องทจิตใจให้เมแข็ง แกทำอะไรผมไม่ได้ สักครู้แกเห็นผมไม่กลัว แกถามเป็นเสียงชาวเหนือว่า

    “คุณบ่กลัวข้าเจ้า”

    ผมสั่นศีรษะบอกว่า “ไม่กลัวเพราะเธอเป็นผี”

    เธอถามว่า “เพราะอะไร”

    ผมบอกว่า “เพราะผมเคยเป็นผีเหมือนเธอ เมื่อฉันยังไม่เกิดเป็นคน แหละเธอก็เคยเป็นคนเมื่อยังไม่เป็นผี”

    เธอพูดว่า “ข้าเจ้ารู้ว่าคุณเป็นคนใจเข็มแข็งไม่เหมือนคนอื่น พอเห็นข้าเจ้าตกใจกลัวหนีไป เราจึงไม่รู้เรื่องกันเลย”

    เธอพูดเป็นปรกติแล้วรูปร่างก็เปลี่ยนไป ในทางดีไม่แสดงกิริยาจะเอาชนะผมอีกต่อไป เราจึงได้พูดกันอย่างธรรมดา ผมจึงถาม

    “เธอต้องการอะไร ที่คอยหลอกคนที่มาพักในห้องนี้ทำให้เขาตกใจ”

    ทันใดนั้นเธอสยายผมแล้วก้มหน้าร้องให้ สะอึกสะอื้นโศรกเศร้าเสียใจ ผมปล่อยให้เธอร้องให้จนจุใจแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นพลางพูดทั้งน้ำตาว่า

    “ข้าเจ้าได้รับความลำบาก ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในที่นี้มานานแล้ว ได้รับความอดอยากยากแค้น ไม่มีใครทำบุญอุทิศกุศลให้พ้นทุกข์ ข้าเจ้าขอคุณช่วย เพื่อให้พ้นทุกข์ทรมานจากที่นี่ไปบ้างเถิด”

    เธอพูดแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมรู้สึกสงสารอย่างจับใจจึงบอกเธอว่า

    เอาเถิดจะหาทางช่วยเหลือเธอให้พ้นทุกข์พ้นร้อนเท่าที่จะหาทางช่วยเหลือเธอได้ ฉันไม่ลืมทีจะช่วยเธอเป็นอันขาด เธอชื่ออะไรนะ” เสียงเธอตอบแกมสะอื้นว่า

    “ข้าเจ้าชื่อ บัวผัด” ผมย้ำทวนชื่อของเธอ แล้วไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมพูดออกมากับเธอว่า

    “อย่าร้องไห้เลย ฉันช่วยเธอได้แน่ จงวางใจเถิด แต่ฉันอยากจะขอร้องเธอว่าต่อไปนี้เธออย่าได้หลอกคนให้ตกใจกลัวอีก”

    เธอพูดว่า “ถ้าคุณรับรองจะช่วยข้าเจ้าแน่แล้ว ต่อไปข้าเจ้าจะไม่แสดงตัวอีกแล้ว ขอให้คุณช่วยข้าเจ้าไว ๆ เถิด”

    พูดแล้วเธอก็ก้มลงกราบผม กราบแล้วกราบอีกจนผมเผลอสติไป เพียงจำได้ว่าเธอก้มลงกราบเท่านั้น
    ผมก็ล้มตัวลงนอน ต่อจากนั้นก็ไม่รู้เรื่อง จนรุ่งเช้าผมตื่นขึ้นมาก็นึกถึงเรื่องที่พูดกับบัวผัดครึ่งหลับครึ่งตื่น พอเปิดประตูห้องก็พอดีนายฝรั่งสองคนและคนไทยอีกสามคนกำลังใส่กุญแจห้องแล้วลงไปข้างล่าง ผมคิดว่าแกคงเข้าป่าแต่เช้าไปสำรวจตามเคย ช้าวันนั้นตามความสังเกตของผม เหมือนว่าตัวผมเป็นวีระบุรุษในโรงแรม เพราะคนในโรงแรม ตั้งแต่เถ้าแก่ตลอดจนถึงบ๋อยหรือกุ๊กรู้สึกว่าเอาใจใส่กับผมมาก ถามผมว่า

    “คุณ เมื่อคืนนอนสบายดีหรือ”

    ผมบอกว่า “สบายดี ขอบใจที่เอาใจใส่”

    เจ้าบ๋อยสองคนแอบเข้ามา กระซิบถามผมว่า “เมื่อคืนคุณพบผีผู้หญิงหรือเปล่า”

    ผมตอบสั้น ๆ ว่า “พบ”

    บ๋อยถามผมต่อไปว่า “ทำไมคุณไม่วิ่งหนีออกจากห้องล่ะ”

    ผมตอบว่า “ผมไม่กลัวนี่”



    แกจึงพูดว่า “คุณเป็นคนแรกที่นอนได้ตลอดคืน คุณมีของดีอะไรนะ หรือมีคาถาขอผมบ้างได้ไหม?”

    ผมจึงตอบ “ฉันไม่มีคาถาอาคมอะไร ถ้าเราใจอ่อนเราก็กลัวผี ถ้าเราใจแข็งผีก็กลัวเรา ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวแล้วรับรองเธอไม่มาหลอกอีก”

    รู้สึกเจ้าบ๋อยมันแสดงความดีใจ ไปเที่ยวบอกคนในโรงแรมตามความเข้าใจของแกว่า ผมได้ปราบผีแล้ว ไม่มีอยู่ในห้องนั้นอีกต่อไป

    หลังจากนั้นผมก็เดินทางไปอีกหลายแห่ง สุดท้ายปลายทางผมขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ พอผมขึ้นรถไฟพบพระภิกษุอาวุโสชั้นเถระผู้ใหญ่องค์หนึ่ง อยู่บนรถไฟชั้นหนึ่ง ผมดีใจมากเพราะท่านอาจแก้ปัญหาให้ผมได้บ้าง เมื่อผมเข้าไปมนัสการท่านแล้วก็สนทนาด้วย ท่านแสดงความปราณีสมเป็นสมณะ และทราบว่าท่านอยู่กรุงเทพฯ กำลังจะไปเชียงใหม่เหมือนกัน แต่จะลงที่ลำพูนสัก ๒ –๓ วัน จากนั้นจะขึ้นรถยนต์จากนครลำพูนไปพักที่จังหวัดเชียงใหม่ ผมจึงถามขึ้นว่า ถ้าเราจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณของคนที่ตายแล้วจะทำอย่างไรจึงจะถึงผู้ตาย ผมก็เลล่าเรื่องประหลาดวิญญาณของผัวผัดถวายท่านแล้ว ก็เห็นท่านนิ่งครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า

    ”เห็นจะต้องทำ สังฆทาน อุทิศซิคุณ”

    แล้วท่านก็บอกถึงสิ่งที่ต้องถวายพระ และให้พระท่านช่วยจัดพระพุทธ การนิมนต์พระก็ไม่เจาะจงว่าองค์ใด เราไม่มีบ้านถวายที่วัดก็ได้ คราวนั้นผมขึ้นไปเชียงใหม่ ใจคิดจะช่วยวิญญาณบัวผัด ให้พ้นเวรกรรมตามที่รับปากไว้แล้ว ฉะนั้น เมื่อผมขึ้นไปเชียงใหม่และพักที่โรงแรมรถไฟเชียงใหม่ ก่อนอื่นคิดว่าควรทำสังฆทานเพราะในชีวิตน้อยคนนักที่ได้พบกับเหตการณ์ประหลาดเช่นนี้ จะต้องใช้เงินเท่าไรผมก็ยอมที่จะอุทิศส่วนกุศล เพราะยังครุ่นคิดถึงวิญญาณของบัวผัดที่ร้องให้อ้อนวอนขอความช่วยเหลืออยู่ไม่รู้ลืม ผมจึงจักการไปหาสิ่งของเพื่อทำสังฆทานทุกสิ่งทุกอย่างหาได้ที่ตลาดวโรรส ผมนึกขึ้นมาได้ว่าที่เชียงใหม่นี้ มีวัดพระสงฆ์ไทยภาคกลางมาจำพรรษาอยู่ แต่มีวัดที่พระพม่าจำพรรษาอยู่เหมือนกัน ซึ่งมีสองวัดอยู่ใกล้ชิดกัน คือวัดไทยและวัดพม่า ผมคิดว่าควรจะไปคอยยู่ทางเข้าวัดไทย เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้สังฆทานพระสงฆ์ไทยไม่ผิด เพราะเมื่อท่านบิณฑบาตแลวกลับวัด เมื่อผมลำเลียงเครื่องสังฆทานตามที่พระผู้ใหญ่ ท่านได้แนะนำโดยรถม้าของชาวพม่าผู้ขับ ผมรอไม่นานนักขอพบพระสงฆ์กลับมาจากบิณฑบาต จะเข้าวัด ผมนิมนต์ให้ท่านรับสังฆทานที่วัด โดยรอนิมนต์ครบสี่องค์พระท่านช่วยจัดการให้เรียบร้อย และสอนให้ผมทุกสิ่งในคำถวายสังฆทานแล้วท่านให้ตรวจน้ำ เมื่อเสร็จแล้วก็รู้สึกจิตใจผมชุ่มชื่น ที่ๆได้ทำสังฆทานหายความทุกข์หนักอกที่ด้รับปากวิญญาณบัวผัด ผมได้ทำตามสัญญาณเสร็จโดยสมบูรณ์แล้ว ทางวิญญาณของบัวผัดปีศาจหญิงจะได้รับส่วนบุญหรือไม่ ผมไม่แน่ใจแต่อย่างน้อยผมได้รับการตอบแทนทางจิตใจ ได้รับความสบายใจ คล้ายกับผมได้ทำงานชิ้นใหญ่อันหนึ่งเสร็จสิ้นไป จิตใจก็โล่งหายหนักอก หลังจากนั้นเมื่อผมติดต่อการงานเชียงใหม่เรียบร้อย แล้วกลับกรุงเทพ

    ต่อนั้นมาไม่นานนัก ผมก็ต้องขึ้นไปภาคเหนือด้วยกิจการงาน คราวนั้นผมจำได้ว่าพักที่โรงแรมรถไฟที่สบตุ๋ยนครลำปาง ตามปรกติผมไม่ชอบพักในเมืองเพราะผู้คนจอแจไม่สงบ และผู้จักการที่โรงแรมรถไฟกับผมชอบพอกันมาก เพราะทุกครั้งที่ผมมานครปาง ผมก็จะมาพักที่โรงแรมนี้เป็นประจำ เมื่อผมมาพักแล้วก็ตั้งใจว่า จะเดินทางต่อไปถึงเชียงรายในวันรุ่งขึ้น จึงสั่งให้คนไปจองรถที่ออกเดินทางไปเชียงรายในวันรุ่งขึ้นเช้า และผมขอจองที่นั่งข้างหน้ารถ เมื่อคนรับใช้ขี่จักรยานออกไปไม่ช้าก็กลับมาบอกว่า ได้ตกลงจองที่นั่งข้างหน้าไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้เช้ารถออกเวลา ๘ โมง รถจะมารับที่โรงแรมให้ผมเตรียมตัวไว้ด้วย จากนั้นผมก็เพียงรอเวลาที่จะออกเดินทางไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง เพื่อติดต่อการงานที่เชียงรายแต่แล้วคืนนั้นผมก็ได้รับความประหลาด
    อัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง คือ ผมหลับไปจวนรุ่งสว่างแล้วฝันว่า ได้เห็นบัวผัดเดินเข้ามาในโรงแรมที่ห้องผมนอน ในฝันนั้นแกแต่งตัวสวยงามหน้าตายิ้มแย้มผุดผ่อง ไม่มีรอยเศร้าโศกเหมือนเมื่อพบแกเป็นครั้งแรกเลย เธอเขข้ามาใกล้ผมแล้วยกมือขึ้นไหว้ผมก็ตลึง เธอพูดว่า

    “คุณได้ช่วยข้าเจ้าพ้นทุกข์แล้ว บัวผัดจึงมาหาคุณได้ เพื่อมาขอบคุณที่ได้ช่วยตามที่รับปากกับข้าเจ้าไว้ ข้าเจ้ามานี้ก็เพื่อจะมาบอกให้คุณรู้อีกอย่างหนึ่ง คือพรุ่งนี้ รถที่จะออกเดินทางไปเชียงราย ออกเวลา ๘ โมง ถึง ๙ โมง เช้านั้น ขอให้คุณงดเดินทางเสียอย่าไปเลยรถคันนั้นสี...... คนขับรูปร่าง.... ใส่เสื้อสี... ขอให้จำคำของข้าเจ้าไว้ด้วย อย่าเดินทางตอนเช้าพรุ่งนี้ ขอคุณจงเสียเงินให้เขาไป ข้าเจ้าลาละ หมดหน้าที่ของข้าเจ้าแล้ว”

    รุ่งช้า ผมตื่นนอนก็ยังจำภาพฝันอย่างติดหูติดตา ทั้งคำพูดบัวผัดก็ยังไม่ลืม แต่มาคิดทบทวนดูแล้วก็จะไป เชื่อไรกับความฝัน ทั้งคนทางโรงแรมก็ไปจองรถและที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้วเช้า ๘ โมง รถจะมารับ ผมจึงตัดสินใจว่า จะไม่เชื่ออะไรกับความฝันให้เสียงานเสียการเปล่า ๆ พอ ๗ โมงเช้าทางโรงแรมก็จะจัดไข่ลวก และขนมกาแฟให้ผมที่ห้อง ผมแต่งตัวเตรียมไว้พร้อม เพื่อไม่ให้เสียเวลา เมื่อรถมาก็จะได้ไป หลังจากจัดการกับอาหารที่โรงแรมจัดมาให้เรียบร้อยแล้วก็นั่งงานหนังสือพิมพ์ เพื่อรอเวลารถมารับออกเดินทาง พลางดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดข้างฝาโรงแรมก็เห็นจวนจะแปดโมงแล้ว คิดในใจว่า เจ้าของรถคงตระเวณรอบตลาดเพื่อหาคนโดยสาร แต่แล้วได้ยินเสียงแตรรถวิ่งเข้ามาในโรงแรม เสียงคนรถร้องบอกตลอดทางว่า “เชีบงราย เชียงฮาย!
    เพราะรถคันนั้นมันตรงกับความฝันทั้งสีของรถ ทั้งสีของเสื้อคนขับ และเหมือนเสียงกระซิบแว่ว ๆ ว่า

    “คุณอย่าไป เชื่อข้าเจ้าเถิด”

    ผมขนลุกทันที “คุณอย่าไป เชื่อข้าเจ้าเถิด” ผมตัดสินใจครั้งสุดท้ายเดินลงจากโรงแรมตรงไปที่รถ ซึ่งกำลังรอผมที่หน้าโรงแรม พลางควักเงิน ค่าโดยสารออกให้แล้วพูดกับคนขับรถว่า

    “ขอบใจน้องชายที่มารอตามเวลา ขอชำระค่าโดยสารไปถึงเชียงราย แต่ฉันไม่ไปหรอกวันนี้ ขอโทษด้วยนะ”

    คนขับรถรับเงินแล้วงง ๆ เพราะไม่คิดว่าผมจะไม่ไป เพราะเห็นเตรียมตัวรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อแกรับเงินจากผมแล้วบอกว่า

    “ไม่เป็นไรครับ”

    แล้วไม่ช้ารถคันนั้นก็ออกจากโรงแรมไป ผมก็ไม่แน่ใจว่าที่ตัดสินใจไปนั้นผิดหรือถูก สิ่งที่น่าคิดคือผมมีธุระด่วนที่เชียงรายและต้องกลับถึงกรุงเทพ ฯ ช้ากว่ากำหนดหนึ่งวันโดยไม่มีเหตุผล งานทุกอย่างที่วางแผนไว้ก็เคลื่อนหมด ตามธรรมดาผมไม่เชื่อโชคราง วันนี้ผมไม่ได้ออกจากโรงแรมใช้เวลาบันทึกเรื่องและอ่านหนงสือเท่าที่มีตืดตั แต่แล้วเย็นวันนั้นเองบ๋อยที่โรงแรมไปได้ข่าวจากตลาดว่า รถโดยสารคันที่จะรับผมไปเชียงรายตอนเช้านั้น วิ่งไประหว่างทางได้เกิดอุบัติเหตุตกเขาลงเหวข้างทาง คนโนสารได้รับบาดเจ็บสาหัสและล้มตาย

    ผมได้รับข่าวร้ายที่น่าสยอง ซึ่งผมไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน เพราะใจผมแข็งพอ

    แต่ผมก็สุดที่จะระงับความตรึงใจที่ผมได้รอดอุบัติเหตุคราวนี้ก็เพราะวิญญาณของผู้หญิง ผมตื้นตันใจ
    พูดอะไรไม่ออก ผมเป็นลูกผู้ชายที่มีจิตใจเข้มแงอย่างไม่ย่อท้อต่อภัยอันตรายใด ๆ แต่ต้องมาสะอื้น ด้วยความตื้นตันใจ ผมเล่าไม่อายผมร้องไห้จิตใจผมอ่อนลง เพราะความดีของดวงวิญญาณผู้หญิงผู้ ผมอยากเรียกว่า “วิญญาณกตัญญู”

    คืนวันนั้น เราเล่าเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ สู่กันฟังจนดึกแล้วเราก็เข้านอน แต่ข้าพเจ้าอดคิดถึง “วิญญาณกตัญญู” ของเพื่อนโรงแรมเสียมิได้ เช้าขึ้นเราก็ต่างแยกกันที่สถานี ข้าพเจ้าขึ้นเหนือแต่ท่านผู้นั้นล่องใต้
    เรื่องวิญญาณกตัญญูเป็นเรื่องที่น่าคิดเรื่องหนึ่ง

    สวัสดี



    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4589815/Y4589815.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    BuaSadu.jpg
     
  3. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    สาธุค่ะ ดีที่สุด
     

แชร์หน้านี้

Loading...