♠:สวรรคาลัยอยู่หนใด..."บนขอบฟ้ากว้าง":♠

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย คือ~ว่างเปล่า!, 15 พฤศจิกายน 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. คือ~ว่างเปล่า!

    คือ~ว่างเปล่า! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,647
    ค่าพลัง:
    +473
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>
    สวรรคาลัยอยู่หนใด..."บนขอบฟ้ากว้าง"



    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1><CENTER>[​IMG]</CENTER>


    ตั้งแต่วันที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จสู่สวรรคาลัย พสกนิกรชาวไทยทั้งมวลเศร้าโศกอาลัยเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาดังกล่าวมีคำๆหนึ่ง
    ที่เอามาใช้กันบ่อยๆ เพราะมีส่วนเกี่ยวเนื่องกัน เช่น เสด็จสู่สวรรคาลัย เสด็จสู่สรวงสวรรค์ เป็นต้น นอกจากนั้น พระเมรุ และ อาคารประกอบ ที่สร้างขึ้นตามคติความเชื่อในประเพณีโบราณ และคติเรื่องไตรภูมิ ทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอาคารพระเมรุ เป็นอาคารที่มียอดปราสาทซ้อนชั้น สื่อถึงชั้นภพภูมิต่างๆ ในสรวงสวรรค์ ซึ่งเชื่อว่าแทบทุกคนคงได้เห็นภาพหรือไปชมด้วยตาตนเองมาแล้ว

    ความหมายของ "สวรรคาลัย" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นคำกริยา หมายถึง ตาย ซึ่งจะใช้แก่เจ้านายชั้นสูง

    นอกจากนี้แล้วคำๆ นี้ส่วนใหญ่จะใช้ในการแต่งกลอน ส่วนการใช้คำว่า "ส่งเส็จสู่สวรรคาลัย" ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า"สวรรคาลัยเป็นสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ชื่อของชั้นของสวรรค์" ทั้งนี้หากแปลความหมายตรงๆหมายถึง "ส่งเสด็จตายไปสู่สรรค์"


    สำหรับสวรรค์ในคติความเชื่อทางพุทธศาสนานั้นนายโอฬารเพียรธรรม ผู้เขียนหนังสือ ตามหาความจริงวิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม และถอดกฎพบกรรมได้ยกตำราในพระไตรปิฎก มาอธิบายโดยเรียงจากชั้นล่างสุด ประกอบด้วย

    [​IMG]



    ๑.ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นนี้อยู่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ประกอบด้วยเทวดาหลากหลายประเภท มีผู้ปกครอง ๔ องค์ เรียก จตุโลกบาล โดยองค์แรกคือ ท้าวกุเวร หรือ เวสสุวรรณ อยู่ด้านทิศเหนือ ผู้ปกครององค์ที่ 2 คือ ท้าว วิฬุรหก อยู่ด้านทิศใต้ ผู้ปกครององค์ที่ 3 ชื่อ ท้าววิรูปักษ์ อยู่ทิศตะวันตก ผู้ปกครององค์ที่ 4 ชื่อ ท้าวธตรัฐ อยู่ทิศตะวันออก ปกครองพวก คนธรรพ์ รุกขเทวดา ภูมิเทวดา และ อากาสเทวดา คนธรรพ์ คือ พวกที่ถนัดการร้อง การรำ และดนตรี รุกขเทวดา คือ พวกที่อยู่ตามต้นไม้
    ภูมิเทวดาคือ พวกที่เป็นเจ้าที่ทั้งหลาย ส่วน อากาสเทวดา คือ เทวดาที่รับผิดชอบเรื่องความสมดุลของดินฟ้าอากาศ สรุปว่าในชั้น จาตุมหาราชิกา นี้ มีเทวดาหลากหลายชนิดจริง ๆ ทั้งที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์สวยงาม หรือ น่ากลัว รวมสัตว์ที่มีกายทิพย์บางอย่าง และก็เป็นภพภูมิที่ติดต่อกับมนุษย์ ได้ง่ายกว่าภพภูมิอื่นๆ

    พูดเป็นวิชาการสมัยใหม่ อาจพูดได้ว่า เพราะมีความละเอียดของกายทิพย์ และ คลื่นจิต ไม่แตกต่างจากมนุษย์มากนัก ผู้ที่ให้ทานรักษาศีล อยู่เสมอ ๆ ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา พวกนี้ได้ สวรรค์ชั้นนี้ ครอบคลุม ตั้งแต่ พื้นโลกมนุษย์ ขึ้นไปถึงระยะประมาณ ๒๑,๐๐๐ โยชน์ (คูณด้วย ๑๖ จะออกมาเป็นกิโลเมตร )


    [​IMG]



    ๒.ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ชั้นที่คนไทยคุ้นชื่อมากที่สุด และมีการพรรณนาถึงความงดงามของสวรรค์ชั้นนี้กันมากมาย ในชั้นนี้ มีสมเด็จพระอมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง มีสวนสวรรค์อยู่ ๔ แห่ง ครอบคลุมทั้ง ๔ ทิศ มีชื่อว่า นันทะ จิตรลดา สักกะ และ ผรุสกะ ในเขตพระราชฐานของพระอินทร์ มีต้นไม้ใหญ่ ชื่อต้น ปาริชาต เมื่อออกดอกผลิบานจะส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วสวรรค์ ใต้ต้นปาริชาต มีแท่นศิลาแท่นหนึ่ง ชื่อ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นที่ประทับของพระอินทร์ ( เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปแสดง อภิธรรมโปรดพระมารดา ก็แสดงธรรม ณ. ที่นี้ ) สำหรับผู้มีสิทธิ์ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ขอเพียงให้ทำความดีสม่ำเสมอ ด้วยความตั้งใจจริง ก็ไปเกิดได้แล้ว ส่วนที่ตั้งของชั้นดาวดึงส์ ก็อยู่สูงขึ้นไปจากโลก ประมาณ ๔๒,๐๐๐โยชน์



    [​IMG]




    ๓.ชั้นยามาเป็นสวรรค์ ที่เพียบพร้อมด้วยความงาม และ ความสุข มากกว่าชั้นดาวดึงส์หลายเท่า ทิพยปราสาท เป็นเงิน และ ทอง มีรัศมีสว่างไสว กายทิพย์ของเทวดาเอง ก็มีรัศมีแผ่รอบกายเช่นกัน ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระสุยามเทวาธิราช

    เทวดาในชั้นนี้ มีนิสัยรักความสงบ และความอิสสระ ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับสวรรค์ชั้นอื่นนัก ผู้ที่จะเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ต้องทำบุญ ทำทาน รักษาศีล เป็นปกติของชีวิต ทำแต่ความดีอย่างเดียว ไม่ทำความชั่วเด็ดขาด สำหรับสถานที่ตั้ง ก็อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกประมาณ ๔๒,๐๐๐ โยชน์

    [​IMG]




    ๔.ชั้นดุสิต สวรรค์ ชั้นนี้ ก็มีความงดงามตระการตาเพิ่มขึ้น จากสวรรค์ชั้น ยามาอีกมากมาย ที่สำคัญก็คือสวรรค์ชั้นนี้ เป็นสถานที่ ที่พระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งใจบำเพ็ญบารมี เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะมาเกิดที่นี่ ธรรมสถานในสวรรค์ชั้นนี้

    จะมีการแสดงธรรมบ่อย ๆ โดยเทพผู้เป็นพระโพธิสัตว์ จะผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงธรรม ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช เทพสำคัญบนชั้นนี้ ที่ชาวพุทธรู้จักดี

    องค์แรก ก็คือ พระมารดาของพระพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อเสด็จทิวงคตแล้ว ก็มาเกิดเป็นเทพ (ชาย) อีกท่านก็คือท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็อยู่สวรรค์ชั้นนี้ นอกจากนั้นแล้ว พระศรีอาริยเมตตรัย พระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ปัจจุบัน ก็อยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ สำหรับสถานที่ตั้ง ก็อยู่สูงขึ้นไป จากสวรรค์ชั้นยามา อีกประมาณ ๔๒,๐๐๐โยชน์


    [​IMG]




    ๕.ชั้นนิมมานรดี สวรรค์นี้มีความงดงาม ประณีต เหนือกว่าสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปอีก ซึ่งยากจะบรรยาย โดยใช้ภาษาที่พวกเราใช้กันตามปกติ เทพในชั้นนี้ รัศมีเรืองรองสว่างไสว และความพิเศษ ของเทพในชั้นนี้ก็คือ สามารถเนรมิตเอาอะไรก็ได้ ตามแต่ใจปรารถนา

    ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระสุนิมมิตเทวาธิราช คุณธรรมของคนที่ทำให้มาเกิดมาในสวรรค์ชั้นนี้ ก็ไม่แตกต่างอะไรนักจากชั้นอื่น ๆ เป็นแต่ต้องยกระดับจิตใจตนเองให้ ประณีต บริสุทธิ์มากขึ้น มิให้ด่างพร้อยเลย
    ตัวอย่างผู้มาเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ในสมัยพุทธกาล คือ นาง วิสาขา


    [​IMG]




    ๖.ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในฝ่ายเทวโลก เป็นชั้นที่เทพผู้มาเกิด เสวยสุข ที่ละเอียดอ่อน ยิ่งกว่าชั้นอื่นใด อยากได้อะไร ก็จะมีเทพผู้เป็นบริวารมาคอยเนรมิตให้ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตดี เทวาธิราช สถานที่ตั้งก็อยู่สูงขึ้นไปจาก สวรรค์ ชั้น นิมมานรดี อีกประมาณ ๔๒,๐๐๐ โยชน์



    [​IMG]




    สวรรค์มีอยู่จริงหรือ?

    ส่วนคำถามที่ว่ามีหลักฐานอะไรบ้างที่พอจะยืนยันได้ว่าสวรรค์มีจริงนั้น นายโอฬารได้เสนอเหตุผลดังนี้
    ๑.ทุกศาสนา มีคำสอนเรื่องสวรรค์ ทั้งนั้น รายละเอียดอาจแตกต่างกันไป ถ้าคิดว่าศาสดาทุกคนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีบารมีสูง รวมกันแล้ว ทำให้คนทั้งโลกเชื่อ มีศรัทธาได้ แล้วทำไม สวรรค์จะมีจริงไม่ได้
    ๒.ชาวพุทธ ถ้าเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า เชื่อกฎแห่งกรรมโดยลึกซึ้ง ก็จะต้องเชื่อการมีอยู่ ของ วัฏสงสารด้วย เพราะกฎแห่งกรรม ไม่สามารถทำงานครบถ้วน สมบูรณ์ ในชาติ (มนุษย์)เดียว

    ดังนั้น ชีวิตที่มีกายทิพย์อีก ๒๙ ภพภูมิ คือพวก นรก เปรต ผี เทวดา พรหม จึงต้องมีด้วย เพื่อรองรับการเวียนว่ายตายเกิด จากกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์แต่ละคนทำขึ้น

    ๓.คนทั่วโลกไม่ว่าสมัยใด และนับถือศาสนาใด มีคนเคยเห็นผีมามากมาย ทั้งด้วยตัวเอง และการถ่ายภาพ ( ที่เคยเห็นเทวดามีบ้างแต่น้อย) ถ้าผี คือชีวิตที่มีกายทิพย์ค่อนข้างหยาบ เกือบซ้อนกับภพมนุษย์มีจริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เทวดา ซึ่งเป็นกายทิพย์ เช่นกัน แต่ละเอียด ประณีตกว่า จะมีจริงไม่ได้

    และ

    ๔.ในทางวิทยาศาสตร์ แต่เดิมอะตอม คือสิ่งละเอียดที่สุด ต่อมาก็พบ นิวตรอน โปรตรอน อีเล็คตรอน และต่อมาก็พบ อนุภาคควอนตัม ที่เล็กกว่านั้นไปอีก ในปัจจุบัน มีทฤษฎี สตริง ที่กล่าวถึง อนุภาคพื้นฐานของจักรวาล ที่เล็กกว่า ควอนตั้ม อีก นับ ล้าน ล้าน ล้าน และอนุภาคละเอียดนี้ จะเกิดได้ในมิติอื่น ๆ นอกเหนือ ๔ มิติ ที่เรารู้จักกัน ( คำนวณว่า จักรวาล ต้องมี ๑๐-๒๖ มิติ จึงจะรองรับทฤษฎีนี้ได้ ) ทฤษฎีสตริง นี้ อาจนำไปสู่การพิสูจน์ การมีจริง ของชีวิตกายทิพย์ ( หรือ โอปปาติกะ ในพุทธศาสนา ที่อยู่คนละภพภูมิ หรือ คนละมิติ ถ้าใช้ คำทางวิทยาศาสตร์ ปัจจุบัน )ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้


    [​IMG]







    "สวรรค์ เป็นส่วนหนึ่งของภพภูมิทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ และเป็นส่วนของวัฏสงสาร แต่มนุษย์เรามองเห็นและสัมผัสได้เพียง ๒ ภพภูมิ คือ ภพภูมิมนุษย์ กับ สัตว์เดรัจฉาน ส่วนอีก ๒๙ ภพภูมิ นั้น มนุษย์มองไม่เห็น และสัมผัสด้วยประสาททั้ง ๕ ไม่ได้ คนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อว่ามีจริง" นายโอฬารกล่าว

    เรื่องไตรเทพไกรงู และภาพ ประเสริฐเทพศรี





    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    รูปประกอบกระทู้จากอินเตอร์เนต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...