♥::ทุกข์สุขที่ใจ ::♥

ทุกข์สุขที่ใจ

นายมหาเศรษฐี



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>เชื่อกันว่า เศรษฐกิจปี 2552 นี้จะเป็นการเผาจริง

เป็นความเชื่อโดยอาศัยการวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่จะได้รับจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก นั่นคือภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย

และด้วยความที่เศรษฐกิจไทยกว่าครึ่งผูกพันอยู่กับภาคการส่งออก เมื่อเศรษฐกิจโลกหดตัวคำสั่งซื้อย่อมลดลงตาม นั่นหมายถึงยอดการส่งออกสินค้าไทยตลอดปี 2552 นี้จะต้องลดลงด้วย

คราวนี้เลยส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่โรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกต้องลดปริมาณการผลิตลงให้สอดคล้องกับคำสั่งซื้อ ซึ่งหมายถึงการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมหาศาล

ประมาณการกันว่าตัวเลขผู้ตกงานปี 2552 นี้ อาจมากถึง 1 ล้านคนเลยทีเดียว

นั่นคือฟืนดุ้นแรกที่จะสุมเผาเศรษฐกิจไทยทั้งระบบในปีนี้

ฟืนดุ้นต่อมาที่ถูกสุมเข้าไปด้วย นั่นคือราคาพืชผลทางการเกษตรที่จะต้องตกต่ำอันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยด้วยเช่นกัน

ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ผลิตอาหารป้อนชาวโลก เมื่อกำลังซื้อของโลกลดน้อยลงราคาสินค้าเกษตรที่เคยสั่งซื้อจากไทยก็เลยต้องหดตาม ผู้ทุกขเทวษเที่ยวนี้จึงได้แก่ ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนทั่วประเทศ ซึ่งมีจำนวนหลายล้าน

ฟืนดุ้นที่สามที่ไฟลุกพึ่บไปเรียบร้อยแล้วคือธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว แค่เศรษฐกิจโลกถดถอย ก็ทำให้จำนวนชาวต่างชาติที่จะมาเที่ยวไทยลดลงมากพออยู่แล้ว ยังต้องมาเจอผลพวงจากการปิดสนามบินนานนับสัปดาห์โดยกลุ่มพันธมิตรกระหน่ำซ้ำอีก เลยตายสนิทกันพอดี

คนที่ทำมาหากินอยู่ในวงจรนี้ทั้งระบบก็หลายล้านด้วยเหมือนกัน

นึกภาพเอาก็แล้วกันว่า นรกที่รออยู่เบื้องหน้าคนไม่รู้กี่ล้านซึ่งเห็นกันชัดๆ อย่างนี้ จะไม่ให้มีการเปรียบเปรยเป็นปีแห่งการเผาจริงได้อย่างไร

และที่สำคัญกลุ่มคนที่ต้องผจญนรกในปีหน้าล้วนแล้วแต่เป็นชาวบ้านรากหญ้าระดับล่างของสังคม มีทั้งเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน พนักงานบริการ ผู้ค้ารายย่อยต่างๆ

ตามปกติชีวิตของคนกลุ่มนี้ก็มีรายได้ประเภทเดือนชนเดือนกันอยู่แล้ว บางคนพร่องจนสะสมหนี้สินสุมเต็มหัวเสียด้วยซ้ำ หากพวกเขาต้องกลายเป็นคนตกงานอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต ยังไม่นับครอบครัวลูกเมียที่ต้องเลี้ยงดูอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวร้ายก็พอจะมีข่าวดีของประเทศสอดแทรกมาให้ชื่นใจบ้างเหมือนกัน นั่นคือเรื่องราคาน้ำมันที่ลดลงกับการเมืองภายในที่เริ่มนิ่ง

ค่อนข้างชัดเจนว่าราคาน้ำมันของโลกในปี 2552 นี้คงจะทรงๆ อยู่ในระดับปัจจุบันเสียส่วนใหญ่ ยากที่จะปีนกลับขึ้นไประดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เหมือนอดีตอีก

เพราะการที่เศรษฐกิจของโลกถดถอย ความต้องการใช้พลังงานน้ำมันของแต่ละประเทศก็เลยต้องลดตามลงด้วย ขณะกลุ่มผู้ผลิตยังคงดูดน้ำมันดิบขึ้นมาขายในปริมาณเท่าเดิม ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็เลยดำดิ่งลง และคงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานจนกว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว

ราคาน้ำมันถูกคือลาภอันประเสริฐของผู้ใช้รถและธุรกิจที่เกี่ยวกับขนส่งหลากหลาย ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศในปี 2552 นี้ไม่เพิ่มสูงมากเกินไปด้วย ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคโดยรวมมีแต่จะถูกลงตามกำลังซื้อในตลาดที่น้อยลง

ขณะเรื่องการเมืองในประเทศที่มีปัญหาความแตกแยกของผู้คน แบ่งข้างเป็นสีเหลืองสีแดงซึ่งทำให้มีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นตามมานั้น จนถึงขณะนี้ต้องถือว่าได้คลี่คลายลงไปในระดับหนึ่งแล้ว อาจจะมีบางสีบางกลุ่มตั้งท่าเฮี้ยวๆ อยู่บ้าง แต่จำนวนคนก็หดหายน้อยลงทุกที

เมื่อสภาพการเมืองไทยหวนกลับไปสู่ภาวะปกติ กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ นักลงทุนต่างๆ ก็จะตามมา

รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ จะอยู่รอดกี่เดือนหรืออยู่จนครบเทอม 3 ปีจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร ถ้าตราบใดที่คนในสังคมไทยพร้อมใจกันเดินตามกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่วิถียึดบ้านผลาญเมืองเหมือนอดีตอีก

เมื่อนำเอา 3 ปัจจัยร้ายกับ 2 ปัจจัยดีของประเทศในปีหน้ามาหักกลบลบกันแล้วตัวเลขในทางร้ายอาจมากกว่าอยู่บ้าง แต่ก็ถูกลดทอนลงมาเหลือเบาๆ แค่ 1 เดียวเท่านั้น

ทุกข์สุขขึ้นอยู่กับใจของแต่ละคนก็จริงอยู่ แต่ทุกข์ทางกายมักจะนำมาซึ่งความทุกข์ทางใจเสมอ

ดูแลชีวิตกันให้ดีเพราะปีนี้มีแนวโน้มว่ากระแสทุกข์ทางกายกำลังมาแรง

---------
ที่มา:ข่าวสด
http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB3TWc9PQ==