_/|\_อัตตโนประวัติ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (พระสุธรรมคณาจารย์)_/|\_

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ศดานัน, 27 มกราคม 2005.

  1. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +650
    *พรรษาที่ ๑๙
     
  2. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +650
    *เกี่ยวกับพระเจ้าหลักเมือง*

    เมื่อใกล้จะเข้าพรรษา ญาติโยมผู้มีความเลื่อมใสได้นิมนต์ให้จำพรรษาอยู่ในเมืองพังงา ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพักบำเพ็ญอยู่ที่ถ้ำหลักเมืองนั้น ที่หน้าถ้ำหลักเมืองมีศาลเจ้าอยู่ ชาวเมืองเขาเรียกว่า เจ้าพ่อหลักเมือง ทั้งชาวไทยและชาวจีนนับถือมากพากันไปไหว้บ่อยๆ ยิ่งกว่านั้นยังได้พาคนทรงไปทำพิธีเข้าทรงกันแล้วก็ขอบัตรขอเบอร์กัน ตลอดถึงฆ่าสัตว์ไปสังเวยเป็นประจำทุกปี เมื่อข้าพเจ้าเดินไปดูถ้ำนั้นวันแรก ก่อนจะเข้าถึงถ้ำ ต้องไปถึงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเสียก่อน เข้าไปในศาลนั้นเห็นมีหินสองก้อนฝังดินอยู่ แต่พ้นดินอยู่ส่วนหนึ่ง ข้าพเจ้าสวมรองเท้าขึ้นไปเหยียบหิน ๒ ก้อนนั้นแล้วกล่าวว่า ได้ยินว่าเจ้าพ่อหลักเมืองมาอาศัยอยู่ที่นี่หรือ ท่านมาอยู่ที่นี่จริง ขอให้เจ้าพ่อคอยฟังธรรมะนะ อาตมาจะแสดงธรรมให้ญาติโยมฟังอยู่หน้าถ้ำนี่แหละ

    ครั้นแล้วก็เดินเข้าไปสำรวจดูในถ้ำ เห็นว่าพออยู่ได้ จึงให้ญาติโยมยกร้านคร่อมธารน้ำไหลในถ้ำนั้น เพราะในถ้ำนั้นมีธารน้ำไหลจากฟากเขาทางโน้นมาทะลุออกทางหน้าถ้ำทางนี้ แล้วไหลลงสู่คลองลงทะเลไป ข้าพเจ้าได้อาศัยบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในถ้ำนั้นอยู่ ๒ เดือน ญาติโยมได้ยกศาลาน้อยหลังหนึ่งชั่วคราว พอได้นั่งฉันภัตตาหารและแสดงธรรม สำหรับญาติโยมนั้นเอาเสื่อปูลงบนพื้นดินแล้วนั่งกัน ต่อจากนั้นญาติโยมก็ติดต่อซื้อเอาสวนของคนหนึ่งซึ่งอยู่หลังโรงเรียนช่างไม้จัดทำเสนาสนะให้อยู่จำพรรษา มีพระจำพรรษาด้วยกัน ๕ รูป ในระหว่างพรรษามีญาติโยมไปฟังธรรมและนั่งสมาธิทุกคืนอย่างมากไม่เกิน ๓๐ คน

    ในวันอุโบสถวันหนึ่ง มีโยมผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมาจำศีลอุโบสถอยู่ในวัด ได้ไปดูเขาทำพิธีเข้าทรงขอหวยกัน ทันทีที่เจ้าพ่อเข้าทรงคนแล้ว เขาก็ขอเบอร์กัน ทีนี้เจ้าพ่อในร่างคนทรงก็บอกว่า ต่อไปนี้ท่านทั้งหลายอย่ามาขอเบอร์จากเจ้าพ่ออีก เจ้าพ่อไม่ให้แล้วเพราะมันเป็นบาป และการฆ่าสัตว์มาสังเวยก็เป็นบาปเช่นเดียวกัน

    มีคนถามว่า แต่ก่อนเจ้าพ่อยังบอกลูกหลานอยู่ มาบัดนี้ทำไมจึงว่ามันเป็นบาป

    เจ้าพ่อตอบว่า แต่ก่อนเจ้าพ่อไม่รู้ว่ามันเป็นบาปอะไรเพราะไม่ได้ฟังธรรม เมื่อเจ้าพ่อได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐานรูปหนึ่งที่มาแสดงอยู่หน้าถ้ำนี้ จึงได้รู้ว่ามันเป็นบาป และถ้าลูกหลานจะบวงสรวงเจ้าพ่อ ก็ให้เอาขนมบ้างผลไม้บ้างมาบวงสรวงเจ้าพ่อก็พอแล้ว ทุกวันนี้เจ้าพ่อจำศีลภาวนาอยู่เสมอ

    ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายก็ไม่ฆ่าสัตว์ไปบวงสรวง และไม่นำคนไปเข้าทรงขอเบอร์อีกต่อไป นับว่าได้ผลมากพอสมควรในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งนั้น
     
  3. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +650
    *พรรษาที่ ๒๑
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    อนุโมทนาจ้าแก้ว
    เนื้อหาดีจริงๆ

    ครั้งหนึ่งสมัยที่ผมเล่นที่ลานธรรม ผมฝันหรือนั่งสมาธินี่แหละจำไม่ได้ แต่จำได้ว่ามีรูปพระลอยมาเยอะมาก แล้วมีรูปหนึ่งบอกว่ารูปนั้นคือหลวงปู่เหรียญ



    เชิญร่วมทำบุญอุปัฐฐากหลวงปู่เหรียญอาพาธ
     
  5. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    _/\_

    ขออนุโมทนา ด้วย นะคะ คุณแก้ว

    ยังอ่าน ไม่จบค่ะ จะค่อยๆ อ่าน
     
  6. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,666
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,210
    ไหนๆ ก็ลงประวัติท่านแล้ว ก็ขอลงเคล็ดลับปฏิบัติสมาธิจากหนังสือเคล็ดปฏิบัติสมาธิ "หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ" ต่อเลยนะครับ

    นั่งสมาธิพึงพากันตั้งสติให้แน่วแน่อยู่ภายใน พยายามควบคุมจิตอย่าให้มันหลงคิดนึกไปในอารมณ์ที่มันเคยคิด เคยนึก เคยเกาะ เคยข้องมาแต่ก่อน ให้กำหนดลงเอาปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งเลยทีเดียว ชีวิตนี้จะอยู่เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก อยู่ที่ปัจจุบัน ๆ นี้เท่านั้น ให้กำหนดจำกัดลงเลย เพราะว่าที่ล่วงมาแล้ว มันก็ล่วงมาแล้วนะชีวิต แล้วอนาคตก็ยังไม่ได้ไปถึง มันก็ยังไปไม่ถึง ไม่ต้องไปคำนึงหามัน การงานอะไรที่ทำล่วงมามาแล้วผิดหรือถูกมันก็ได้ล่วงมาแล้ว ไม่ต้องไปคำนึงหามัน

    เวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของจิตใจ ขอให้เตือนตนอย่างนี้ เวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของจิตใจในขณะนี้ เบื้องต้นนี้ ก็อยากคิด อยากรู้นั้น รู้นี้ เห็นนั่น เห็นนี้ ก่อนคือพยายามตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก อธิษฐานจิตถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของตนแล้ว ก็พยายามประกอบจิตนี้ให้หยุดคิด หยุดนึก ให้กำหนดรู้เฉพาะแต่ลมหายใจเข้า หายใจออกเท่านี้ก่อน เพราะเวลานี้ให้เข้าใจว่าเราพักผ่อนจิตใจ คำว่าพักผ่อนคือหยุดคิด หยุดนึกในการงานต่าง ๆ เลย วางจิตลงให้สบาย สบาย ไม่ต้องกังวลข้างหน้า ข้างหลังอะไรเลย กำหนดรู้อยู่แต่ปัจจุบันนี้เท่านั้น เอาปัจจุบันนี้เป็นหลักเลย ชีวิตนี้ก็ให้กำหนดว่ามีอยู่แค่ปัจจุบัน ๆ นี้ เท่านั้นแหละ

    ในเบื้องต้นเราก็รู้ไม่ได้ว่าจะไปถึงไหน เบื้องหลังมันก็ล่วงมาแล้ว ดังนั้น เราต้องกำหนดรู้เฉพาะปัจจุบันเท่านั้นเอง คือการทำสมาธินี่ สำคัญอยู่ที่สตินั้นแหละ ขอให้ได้พากันจำเอาไว้ให้ดี สติแปลว่าความระลึกได้ คือระลึกเข้าไปในจิตเลยทีเดียว ระลึกให้หยั่งเข้าไปให้มันถึงจิต อย่าให้มันระลึกเฉไปทางอื่น จิตนี้ที่มันตั้งมั่นอยู่ไม่ได้ก็เพราะมันขาดสติ สติไม่ได้เข้าไปควบคุมอยู่ใกล้ชิด สตินั้น จะระลึกออกไปทางอื่นห่างออกไปจากจิต เมื่อจิตนี้ปราศจากสติแล้วมันก็ว้าเหว่ เร่ร่อนหาอารมณ์อย่างอื่นคิดส่ายไปตามความชอบใจ มันเป็นอย่างนั้น แต่จิตนี้น่ะ ถ้าสติเป็นเครื่องสอนอยู่แล้ว ไม่ไปไหนเลย ไม่ไปไหนแล้ว ที่มันอยากคิดอะไรมาแต่ก่อนนั้น สติห้ามไว้แล้วทันก็หยุด

    ขอให้สติมันเข้มแข็งเสียอย่างเดียว หายใจเข้าก็กำหนดรู้ หายใจออกก็กำหนดรู้อยู่ในปัจจุบันนั้นเลย อย่างนั้น ไม่ได้รู้สิ่งอื่น ๆ ใดทั้งหมด ถ้าหากใครสามารถที่จะเพ่งเข้าไปภายในให้เกิดแสงสว่างเหมือนอย่างเราฉายไฟเข้าไปในถ้ำมืด ๆ อย่างนี้ แสงไฟฉายนั้นมันจะเป็นลำ สว่างเข้าไปภายในจะมีอะไรอยู่ในนั้นก็มองเห็นได้เลย อันนี้ก็เหมือนกันแหละ ถ้าเราสามารถที่จะกำหนดตั้งสติแล้วเพ่งตามลมหายใจเข้าออก เข้าไปภายในให้มันสว่างเข้าไปถึงจิตใจ และก็มองเห็นอัตภาพร่างกาย อวัยวะ น้อยใหญ่ภายในร่างกายได้ยิ่งดีเลย ถ้าทำได้อย่างนี้ ตามลมหายใจเข้าออกไปภายในให้มันสว่างเข้าไปถึงจิตใจและก็มองเห็น

    ถ้าหากว่าไม่สามารถจะทำได้อย่างนี้ ก็ตั้งสติเพ่งเข้าไปหาความรู้อย่างเดียวเท่านั้นรู้อยู่ตรงไหน สติก็ให้หยั่งเข้าไปถึงนั่น ก็ใช้ได้เหมือนกัน เมื่อจิตมันสงบ มันคลายจากอารมณ์ต่าง ๆ ออกไปแล้ว มันปลอดโปร่ง ถึงแม้ว่าจะไม่สว่างไสวเต็มที่ แต่มันก็มีเงาแห่งความสว่างปรากฏอยู่ในจิตนั้นเองแหละ จิตไม่เศร้าหมอง หมายความว่า อย่างนั้นแหละเบิกบาน ถ้าหากมันคลายอารมณ์ต่าง ๆ ออกไปแล้วนะ ลักษณะอาการของจิตนี้จะเบิกบานผ่องแผ้วไม่มีกังวลใด ๆ อิ่มอยู่ภายใน ไม่ปรารถนาอยากจะคิดไปไหนมาไหนแล้วทีนี้ถ้าจิตมันคลายอารมณ์เก่าออกไปได้ ก็ต้องอาศัยสตินั่นแหละเข้าไปควบคุมจิตไม่ให้คิดไปในอารมณ์ต่าง ๆ

    อันเมื่อจิตนี้ไม่มีโอกาสจะได้คิดไปในอารมณ์ต่าง ๆ แล้วมันก็คลายทิ้งไปหมด อารมณ์ที่เราเก็บเอาไว้มันเป็นอย่างนั้นเพราะว่ามันไม่มีที่ต่อ มันก็คลายออกไปเท่านั้นเอง ดังนั้นอย่าไปเข้าใจวิธีอื่นเลย พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออกนี่ เพ่งกำหนดรู้แต่ลมหายใจเข้าออกนี่แหละ ความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ มันจะค่อยเบาไป ๆ หมดไปโดยลำดับ เพราะว่าจิตเราไม่ส่งเสริมมันแล้วนี่ จิตเรามาจ้องอยู่เฉพาะแต่ลมนี้ จิตนี้ไม่ส่งเสริมความคิดเสียแล้ว ทีนี้จะคิดดีคิดชั่วอย่างไรไม่เอา ในขณะนี้ปล่อยทิ้งไม่ใช่เวลาคิด เวลานี้ เวลาสงบ เวลาเพ่ง เวลากำหนดรู้ ไม่ใช่เวลาคิด ให้มีสติเตือนจิตอย่างนี้เสมอไป จิตนี้เมื่อถูกสติเตือนเข้าบ่อย ๆ มันก็รู้ตัว รู้ตัวแล้วมันก็คลาย มันก็ปล่อยวางอารมณ์ไม่ส่งเสริม ไม่คิดไม่ปรุงไปอีก มันสำคัญ เรื่องสมาธินี่สำคัญมากทีเดียว เรื่องปัญหานั้นมันเกิดจากสมาธิ ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถจะทำ สมาธิให้บังเกิดได้ ปัญญามันก็เกิดไม่ได้ ปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสมาธินี้เป็นปัญญาที่รู้แจ้งในธาตุสี่ ขันธ์ห้า ในนามในรูปไม่ปรารถนารู้อย่างอื่น

    ในการปฏิบัติสมาธิแรก ๆ อย่าไปสงสัยคลางแคลงใจว่า เอ๊ะ ทำไมเราจึงปฏิบัติไปไม่ได้ ทำไมใจจึงไม่สงบ ? กำหนดลมหายใจก็กำหนดแล้ว มันก็ยังไม่สงบอย่างนี้ อย่าไปสงสัยให้นึกว่า เราทำยังไม่พอก็แล้วกันแหละ เราทำยังไม่มากพอ คือว่าเรายังกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกนี้ ยังไม่พอ เราจะต้องทำอีก
     
  7. bb

    bb สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    ดีครับ
     
  8. non member

    non member บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สาระดีครับ
    ขอบคุณที่ทำมาให้อ่าน
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,447
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018

แชร์หน้านี้

Loading...