[X]อหังการวิเศษมาร[X]

ลองไตร่ตรองดูดีนะๆครับ จากข้อความบางส่วน ที่ผมหาเจอ

หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานผ่านมาได้ ๒,๐๐๐ ปีแล้ว ท้าวสักกะองค์อินทร์ได้เนรมิตตนเป็นชีผ้าขาวลงมาสู่กรุงศรีอยุธยา. ชีผ้าขาวนั้นท่องเที่ยวถามปัญหาแก่สมณะ ชี พราหมณ์ทั้งหลาย โดยบอกว่า ถ้าใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ

-แค่ ตอบคำถาม 12 ข้อ ก็ได้เป็นเลยหรอ ตอบถูกหมด ท้าวสักกะองค์อินทร์ จะเนรมิตจักรแก้ว มาถวายแทบเท้าเลยหรืออย่างไร

-ท้าวสักกะองค์อินทร์ ท่านไม่รู้เลยหรอ จะด้วยคุณวิเศษใดๆอะไรก็ตาม ว่าใคร จะได้เป็น หรือมีคุณสมบัติที่จะเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ

-ถ้าหาใครไม่เจอ ทำไม ท้าวสักกะองค์อินทร์ ไมเป็นมันเองเลยหละ ในเมื่อมีอำนาจแต่งตั้งได้ ? หรือให้เทพที่รู้จัก ที่ใกล้ตัว หรือที่มีคุณธรรมสูงกว่า มาทำหน้าที่

 

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยทิ้งปริศนาไว้ว่า
ในราว พ.ศ.2600 จะมีเหล่าคณะลูกศิษย์ของท่าน
มาบูรณะวัดของท่าน โดยคณะนี้จะได้รับแต่งตั้ง
จากคณะสงฆ์ใน ดินแดนสุวรรณภูมิ คือ
ไทย ลาว พม่า เวียดนาม มาเลเซีย
ซึ่งเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาท
ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว
เดินทางไปสั่งสอนและแผยแผ่ธรรม
ที่ ดินแดนชมพูทวีป จะเน้นสอนด้วยกรรมฐาน 40 กอง
มีทั้ง รูปญาน และ อรูปญาน อย่างเต็มที่
แล้วก็สอนวิปัสสนา ใส่ไปด้วยทันที
พระพุทธศาสนา จะกลับมาเจริญอย่างเต็มที่
จากนั้น พระพุทธศาสนาของคณะนี้
จะถูกนิมนต์ ให้ไปสอน ยังฝั่ง ยุโรป ต่อไป

 

มีข้อที่น่าสังเกตว่า

-ผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะ จะต้องเป็น พระโพธิสัตว์
จึงจะสามารถใช้งานคนอื่นได้ เดาใจลูกน้องได้

-จะต้องเป็น พระยาธรรมิกราช หรือ พระศรีอารย์
จึงจะสมกับความตั้งใจ ที่จะนำพระพุทธศาสนา
กลับคืนมายัง ดินแดนชมพูทวีป ให้สมกับที่ได้ถูกขอไว้
ในสมัยที่เป็น พระอชิตะ

-จะต้องเป็น เชื้อกษัตริย์ที่มาบวชใน พระพุทธศาสนา
แต่ไม่ใช้ พระอริยะเจ้า

-จะต้องมี พระอริยะเจ้าปฏิสัมภิทาญาน มาคอยช่วยเหลือ
เป็นเหล่าใหญ่

-จะต้องพูด ภาษาต่างๆ ได้เยอะมาก หรือ มีพระอริยะเจ้า
ที่รู้ภาษาอื่น คอยช่วยเหลือ ซึ่งแปลได้ว่า
ต้องโตจากต่างประเทศ

-จะต้องเป็นเด็กน้อย อยู่ในขณะนี้ เพราะถ้าหากแก่ไป
คงไม่อาจทำงานยากๆได้ ในตอนนั้น อายุไม่น่าเกิน 70 ปี

 

ที่ท้าวสักกะ ทำอย่างนั้น ก็เพื่อที่จะ
กระตุ้นเตือน แก่ บุคคลที่จะเป็น
สปอนเซอร์ หรือ ผู้สนับสนุนหลัก
และที่สำคัญ มันจะต้องเป็นข่าวโด่งดังมากในยุคนั้น
จึงจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ เหมือน พระถังซำจั๋ง
ทุกประเทศในโลกนี้ จะต้องรู้ข่าวนี้
และ เมื่อทำสำเร็จ ประชาชนทุกประเทศ
ก็จะอยากมีส่วนร่วม ในผลบุญครั้งนี้
มันจึงจะขยายออกไปได้ทั่วโลก
จะเรียกว่า พุทธประเพณี หรือ วิถีของพระพุทธเจ้า
ที่จะต้องบำเพ็ญบารมี เมื่อ พระพุทธศาสนา
เดินทางไปถึงครึ่งทาง ก็จะเกิด สัทธรรมปฏิรูปขั้นมา
แล้วจะมีพระเถระสายปัญญา รูปหนึ่ง
ลงมาโปรด โลกมนุษย์ คอยชำระสะสาง
พิธีกรรม ที่ไม่ใช่พุทธแท้ออกไป
จะเหลือไว้แค่เพียง พระธรรมตามพุทธวจนะ เท่านั้น

แต่การเช่นนั้น คงจะเป็นไปไม่ได้
ถ้า จ่ายักษ์ คอยขวางไว้ทุกที
สิ่งใดถือไว้จนหนัก สิ่งนั้นจะพาตกนรก
ต้องถือทุกอย่าง อย่างเบามือ ใจก็จะเบาไปด้วย

 

นั่นนะซิค่ะ พิมพ์ตอบไปแล้วอยู่ดีๆ ถูกลบไปเองโดยอัตโนมัติเลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร?

 

ถ้าไม่ช่วยกันถือซะเลย ก็ไม่ดีอีก

 

ถืออย่างรู้จะถือได้อย่างเบาใจที่สุด แต่ถ้าถืออย่างไม่รู้ ก็จะรู้สึกร้อนรนราวกะโดนไฟสุมใจ
แล้ว เราต้อง รู้ อะไรและ รู้ อย่างไร เพื่อให้เบาใจล่ะ

เป็นคำถามที่ผมถามตัวเองเสมอ เวลาไม่เข้าใจศีล

คำตอบก็มักจะมาตกผลึกที่คำตอบเดียวกันเสมอ

รู้ ธรรมดา อย่าง ธรรมดาและเป็นธรรม
แต่ การให้ความเป็นธรรมกะธรรมดา ทำยาก เพราะ คนเราไม่รู้จักการละวางตัวตน และไม่รู้ว่า ตัวตนคืออะไรอีกแหละ

เข้าวัดมาตั้งแต่เดินได้ เรียนธรรมมะมาตั้งแต่ 12 เพิ่งจะเข้าใจตอน 29 ว่าตัวตน คือการให้ความสำคัญกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

และเรามักจะเอาตัวตนของเรา ของของของเรา ของของที่เป็นของของคนของเรา เข้าไปประกอบกับการพิจารณาธรรมอยู่เสมอ ๆ ทำให้มักจะพิจารณาเข้าข้างตนเองการพิจารณาธรรมจึงไม่เป็นธรรม เลยทำให้เราไม่เห็นธรรม

เฮ้อ ความเข้าใจส่วนตัวนี่อธิบายยากจริง

 

มีอารมณ์ติดใจเรื่องใด ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น เหมือน"พายเรือในอ่าง" ไม่ยอมให้อารมณ์ไหลออกไปจากใจเสียที "หนูติดจั่น" ทุกข์อย่างไร ก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น ปั่นอารมณ์ทั้งวันไม่ชำระสะสางอารมณ์ซักทีค่ะ

 

การหลงมิติแห่งจิต ต้องดับการหลงมิติแห่งจิตให้ได้ คือ ดับจิตรู้อารมณ์ ดับจิตรู้ตัวตน หมายถึง การเลิกยึดติดตัวตน คือ การไม่มีเขา ไม่มีเรา หากยังมีเขามีเรา จะไม่มีวันดับอารมณ์หยาบๆที่ไม่พึงประสงค์ได้เลย

 

ผมว่าน่าจะอธิฐานบารมี เข้าช่วยนะ จะได้รู้ว่า ตัวเองเกิดมาชาตินี้ มาทำอะไร
ทำข้อสอบแบบไหน(เพราะอนิยตโพธิสัตว์ตั้งโจทย์ไว้เสมอ ก่อนลงมาเกิด)
ในแต่ละชาติ จะสอบผ่านหรือไม่ เจ้าของต้องรู้โจทย์ก่อน

ไม่ใช่ร่อนเร่ ไปวันๆ สุดท้ายไม่ได้อะไรติดมือไปเลย
เกิดมาตายเปล่า ขาดทุน

เรื่องพระศรีอารย์อะไรนั้น ลืมไปได้เลย เขายกเลิกแล้ว เกมส์จบแล้ว

 

เป็นความเห็นเดียวกันอย่างนี้หรือเปล่าค่ะ


*** สานต่อศาสนาที่หักกลาง ****

หมดยุคพระโคดม เข้ายุคพระศรีอารย์
พระศรีอารย์ไม่มีตัวตน มีแต่ตัวกระทำ
เป็นเรื่องราวของโลกุตตระธรรม
ที่ส่งมอบหนทางหลุดพ้นทุกข์
ย่อเหลือเพียง "สัจจะ"
การทำความดี ด้วยสัจจะปฏิบัติ
วันละข้อ ทุกวัน...

- "หนุมาน ผู้นำสาร"

http://palungjit.org/threads/อยู่ตรงนี้.573667/

วันนี้เมื่อ 20:20

และท่าน 00000
...ก็องค์อินทรท่านรู้ไงว่า ใครคือธรรมิกราช หรือ พระเจ้าจักรพรรดิ ...ปัญหามีอยู่ทุกที่ ภพไหน ก็มีปัญหาทั้งนั้น...กิเลสตัญหา มันมีอยู่ในทุกๆดวงจิต ที่ยังไม่หลุดพ้น
...ปริศนานกยางนั้น คนที่รู้คำตอบแล้วไม่มาตอบนั้นแหระ...
...ขึ้นชื่อว่า พญาธรรมแล้ว ยังอยากจะมีจักรแก้ว ทรัพยสมบัติ ความเป็นจักรพรรดิ์ อีกอยู่หรือ?
...ขึ้นชื่อว่า พญาธรรมแล้ว ยังอยากจะมี ลาภ ยศ สรรเสริญ อีกอยู่หรือ?
...คำตอบมันอยู่ตรงนี้ เคยได้ยินที่ว่า เด่นบ่อดี ดีบ่อดังไหม?
...ปริศนาเป็นเพียงตัววัด วัดธรรมภายใน ของผู้ปฏิบัติ ใครก็ตามยังอยากได้คำตอบ ใครก็ตามที่ยังอยากจะไปแก้ปริศนาธรรมนี้ นั่นแสดงว่ายังมีความอยาก อยากที่จะเป็นเจ้าจักรพรรดิ์
...ผู้ที่มีความทยานอยากอยู่ ยังไงก็ตอบไม่ถูก ยังไงก็แก้ปริศนานากยาง ไม่ได้
...เจ้าจักรพรรดิ์ที่ว่า คือ เป็นเจ้าจักรพรรดิ์แห่งการเอาชนะกิเลสตัญหาภายในจิตใจของตนเอง ผู้เอาชนะ ความทยานอยาก ผู้ไม่ต้องการ ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ ผู้ที่ไม่ต้องการ ทรัพยสมบัติใดๆ
....เมื่อไม่มีความต้องการ เช่นนี้แล้ว จะไปตอบปริศนานกยางทำไม มีประโยชน์อันใด ที่จะไปตอบปัญหานั่น..

เห็นด้วยทุกประการค่ะ เพราะพระยาธรรมิกราช ก็คือ ราชาแห่งธรรมทั้งปวง อันหมายถึง ธรรมโลกุตระที่เปิดในกึ่งพุทธกาล

แต่...มีข้อสงสัยบางประการที่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ไว้ เอกังสะมะยัง กรณีที่ลิงถ่ายอุจาระลงบนผ้าอาบน้ำเลอะเทอะทั้งสามชาย และทรงกล่าวว่า จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง และก็นกยางมาจับหัวลิงแล้วมองไปรอบทิศ. จึงทรงยิ้มและตรัสกับพระอานนท์ว่า พระศรีอาริยะเมตไตรยจะมารักษาศาสนาตถาคตให้ครบห้าพันปี ตามที่ตนเองเคยโพสไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ

 

น่าพิจารณานะคะ

ข้อความคุณหรัส.....

http://palungjit.org/threads/อยู่ตรงนี้.573667/page-45

ถ้างั้นแปลว่า...

พระศรีอาริยะเมตรไตรย ต้องจูติลงมาสู่โลกมนุษย์
เพื่อจะมารักษาศาสนาตถาคตให้ครบห้าพันปี...ใช่ไหมคะ..!!??

นั้นหมายถึง...พระศรีฯ จะจูติยังโลกมนุษย์ก่อนเวลาการทำหน้าที่
ของ ท่าน(พระศรีฯ) นะสิคะ...

ถ้าเป็นเช่นนั้น พระศรีฯ ก็ต้องมีตัวตนที่แท้จริงบนโลกมนุษย์จริงๆ
แบบจับต้องได้จริงสิค่ะ...

(หากสิ่งนี้กล่าวไว้เป็นจริงๆ...)

เอ...!!
"นกยาง" มา.."จับหัวลิง"
ถ้าหาก "นกยาง" คือปริศนานกยาง (พระศรีฯ)
แล้ว..."จับหัวลิง" ละคะ
คือ ปริศนาที่เกี่ยวกับสิ่งใดหรือคะ...??

 

1. 
   jityimเป็นที่รู้จักกันดี
   ↑
   ถ้างั้นแปลว่า...
   
   พระศรีอาริยะเมตรไตรย ต้องจูติลงมาสู่โลกมนุษย์
   เพื่อจะมารักษาศาสนาตถาคตให้ครบห้าพันปี...ใช่ไหมคะ..!!??
   
   นั้นหมายถึง...พระศรีฯ จะจูติยังโลกมนุษย์ก่อนเวลาการทำหน้าที่
   ของ ท่าน(พระศรีฯ) นะสิคะ...
   
   ถ้าเป็นเช่นนั้น พระศรีฯ ก็ต้องมีตัวตนที่แท้จริงบนโลกมนุษย์จริงๆ
   แบบจับต้องได้จริงสิค่ะ...
   
   (หากสิ่งนี้กล่าวไว้เป็นจริงๆ...)
   Click to expand...
   เรามิได้ตีความเป็นเช่นนั้นค่ะ
   เพียงแต่เราสงสัยว่า ตามคำตรัสนัั้นเป็นจริง
   ทำไมจึงระบุว่าคือ"พระศรีอาริยะเมตไตร"
   หรือว่าแปลความหมายการแต่งเติม
   เข้าใจว่านกยางคือท่าน
   แท้ที่จริงแล้วคือ พุทธบริษัท 4 คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
   
   เพราะสิ่งที่ต้องการสื่อย้ำก็เพื่อหาเหตุผลมาชี้แจงความเชื่อเดิมของพุทธบริษัทที่มีกันมาเนิ่นนาน ว่าสิ่งใดคือความจริง ที่ประกอบด้วยเหตุผลค่ะ
   
   เรายอมรับกันไหมค่ะว่า ที่ผ่านมาทุกคนกำลังเฝ้ารอพระองค์ท่านอยู่
   
   และดั่งปริศนานกยางก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆในยุคนี้
   
   ใครจะเป็นผู้ให้คำตอบอย่างแท้จริง กับ ความเชื่อที่ผ่านมาของประชาชนเกือบทั้งประเทศค่ะ
   
   41 นาทีที่แล้ว
   
   
   แก้ไขลบออกแจ้งทีมงานเก็บไว้ดู
   + อ้างอิงตอบ
   • อนุโมทนา x 1
   • ดูรายการ
   
   
2. 
   jityimเป็นที่รู้จักกันดี
   ↑
   ++++++
   หรัส said: ↑
   น่าคิดพิจารณานะคะ...
   
   เครดิต ...ท่านjityim
   
   แต่...มีข้อสงสัยบางประการที่ พระพุทธองค์ ได้ตรัสกับ พระอานนท์
   ไว้ เอกังสะมะยัง กรณีที่ลิงถ่ายอุจาระลงบนผ้าอาบน้ำเลอะเทอะ
   ทั้งสามชาย และทรงกล่าวว่า จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง
   และก็ นกยาง มาจับหัวลิง แล้ว มองไปรอบทิศ. จึงทรงยิ้มและตรัส
   กับ พระอานนท์ ว่า พระศรีอาริยะเมตไตรย
   จะมารักษาศาสนาตถาคตให้ครบห้าพันปี
   ตามที่ตนเองเคยโพสไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ
   
   http://palungjit.org/threads/x-อหังการวิเศษมาร-x.612252/page-6#post-10427116
   Click to expand...
   +++++
   เอ...!!
   "นกยาง" มา.."จับหัวลิง"
   ถ้าหาก "นกยาง" คือปริศนานกยาง (พระศรีฯ)
   แล้ว..."จับหัวลิง" ละคะ
   คือ ปริศนาที่เกี่ยวกับสิ่งใดหรือคะ...??
   
   ๐๐๐๐
   Click to expand...
   "จับหัวลิง" ถ้าตีความหมาย คือ อธรรม
   อาจจะหมายถึง พวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลสัตย์ พวกที่เป็นมิจฉาทิฐิ ค่ะ
   
   ถ้าตามที่ทรงตรัสไว้กับพระอานนท์....
   
   แล้วใครเล่าค่ะ...จะเป็นผู้ปราบอธรรม
   
   หากมิเป็นดั่งเช่นนั้น พระยาธรรมิกราช คือ ราชาแห่งธรรม ธรรมโลกุตระเปิดแล้วในยุคกึ่งพุทธกาล ผู้ที่ปราบอธรรม พวกที่ไม่อยู่ในศีลสัตย์ และพวกมิจฉาทิฐิหมดไปจากโลก ก็คือ ดินฟ้าอากาศ คือ ภัยธรรมชาตินั่นเอง
   
   คิดว่าอย่างไรกันค่ะ

 

เป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีค่ะ

 

มั่นใจค่ะว่าปริศนานกยางเป็นไปตามคำที่กล่าวไว้จริง และเกิดแล้วกับยุคปัจจุบันนี้ มนุษย์กำลังเดือดร้อนระส่ำระสาย ศาสนาของพระสมณโคมถูกทำลายลงด้วยพระสัทธรรมปฏิรูป และเดียรถีย์มิจฉาทิฐิตามที่ทรงตรัสไว้ ว่าจะถูกทำลายลงเสีย 3 ส่วนเหลือเพียง1 ส่วน และคนชั่วได้รับการยกย่อง และทำลายคนดีในสังคมปัจจุบันนี้ และสัจธรรมกำลังจะเลือนหายไปจากโลก เกิดการเบียดเบียนกันอย่างไร้มนุษยธรรมของการอยู่ร่วมกัน

และเรื่องราวสัจธรรมอันเป็นจริง ธรรม + โลก ได้ถูกนำมาเปิดให้คนทั่วโลกได้รู้กันแล้ว

ความมุ่งหมายของปริศนาต่างๆ ก็เพื่อให้มนุษย์ได้ตระหนักถึงความจริง

ทำไมปริศนานกยาง!! เมื่อประมาณเกือบ 600 ปี ที่ผ่านมา. จึงมาเกิดในยุคนี้ และที่ท่านองค์อินทร์นำปัญหาปริศนานกยางมาให้มนุษย์ไขออกมาเพื่ออะไร หากมนุษย์ตระหนักและรู้ถึงอนาตตล่วงหน้า ว่า "สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็หมดไป" และแก้ปัญหาได้ ณ ขณะนั้น ปัจจุบันไม่ต้องรับผลนี้

หรือเป็นเพราะว่าในอดีตปัญหายังไม่เด่นชัด หรือว่าต้องเป็นไปตามกฎแห่งวัฎจักร หรือว่า..... ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าในอดีตมีคนแก้ปัญหาปริศนาได้ถูกต้องหรือไม่? ถึงแม้จะรู้จะแก้ได้ถูกต้อง ก็เป็นเพียงแค่รู้เท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ใครเล่าค่ะ!!! ที่จะนำปัญหานั้นมาปฏิบัติเป็น"รูปธรรม"ได้

"เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี". หากว่าเราทุกคนต่างเพิกเฉย ต่างไม่ร่วมมือกันทำ"หน้าที่" สิ่งนั้นจะเป็นอย่างไร?

การช่วยกันพิสูจน์หาความจริง เพื่อนำความจริงไปปฏิบัติให้เกิดแนวทาง ย่อมดีกว่าสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงมาบดบังความจริงค่ะ

การตระหนักรู้ความจริง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่ประมาทค่ะ ว่าโลกเรากำลังดำเนินไปสู่หนทางเช่นไร?

 

ภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ได้ช่วยล้างโลกอธรรมได้จริงหรอก
แต่ถ้าพูดว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติล้างชีวิตคนจากโลกได้นี่ ไม่เถียง

ถ้าตีความว่า อธรรม คือ ผู้ไม่รู้ธรรม การปราบอธรรม ก็คือการเทศนาสั่งสอนสัตว์โลกให้เข้าใจธรรมชาติ นำสรรพสัตว์เข้าสู่กระแสธรรม จะไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าพระผู้แตกฉานในธรรมครับ

แต่ยุคนี้ การตีความแบบที่ผมตีความนี้น่าจะไม่ถูกเพราะ เป็นยุคที่ยังไง ๆ คนเราในยุคนี้ก็ไม่ได้มีจิตใจบริสุทธิ์พอจะบรรลุธรรมได้ง่าย ๆ กันอยู่แล้ว ยังไงอธรรมก็ยังต้องมีในโลก
ขนาดคนที่เรียนธรรมะ คุยธรรมะกันทุกวัน ยังหาคนที่เข้าใจธรรมดาแล้วเอามาพูดให้เราเข้าใจธรรมดาตามได้ยากมาก ๆ เลย

 

ตอนนี้ผมตั้งโจทย์ไว้ว่าจะเรียนรู้ธรรมดาไว้ให้มาก ๆ ครับ
โดยที่ใช้แค่สิ่งประสาทสัมฝัสทั้งห้านี่แหละ และจะไม่พยายามเข้าใจธรรมชาติโดยใช้ภาษาพระ
เพราะผมรู้สึกว่า พอพูดภาษาพระแล้ว คนฟังเขาจะไม่เข้าใจเรา
เหมือนคุณจิตยิ้มแปลสิ่งที่ผมพูดไปเป็นภาษาของผู้เรียนรู้ธรรมมาเป็นเวลานานน่ะแหละ

พอแปลไปแบบนั้นแล้ว ผมไม่เข้าใจเลย
แต่ก็อยากฝึกนั่งสมาธิไว้เหมือนกัน

เอาไว้อทิษฐานกำหนดรู้เป้าหมายตัวเองอย่างท่านว่าน่ะแหละ
เพราะผมเข้าใจดีแล้วว่าการไม่รู้อะไรเลยมันเคว้งคว้างแค่ไหน

 

ได้ข่าวมานิดหน่อย
พระศรีอริยเมตไตร มาช่วย ศาสนาพระพุทธโคดม แน่นอน
แต่ท่านไม่ได้มาเกิดในยุคนี้ ท่านเกิดสมัยเป็นหลวงปู่ทวด

นั้นละท่านมาทำงาน เพราะศาสนากำลังเข้ายุคเสือม ท่านมายืดความเสื่อมออกไป

มาถึงยุคนี้บารมีที่ท่านสั่งสมไว้ให้กับศาสนาพระโคดมเริ่มทำงาน
พระศาสดาทำนายไว้ เมื่อบารมีพระศรี เริ่มส่งผลจะมีเทคโนโลยี่มากมายอุบัติขึ้น
รองรับศาสนายุคหลัง

สรุป คือบารมีหนุนศาสนายุคหลังมันน้อย ท่านเลยมาช่วยให้ศาสนาสมบูรณ์

หมู่สัตว์ ก็จะได้ใช้ศาสนานี้ เพื่อบำเพ็ญบารมีตัวเองให้เต็ม และเกิดทันในพุทธกาลหน้า
จะได้บรรลุธรรม หากบารมีเจ้าของเพียงพอ

มันถึงเกี่ยวพันกันระหว่างศาสนา(ศาสนาพระโคดมกับศาสนาพระศรีอริยเมตไตร)

 

รู้หลักการของอิทัปปจัยตาไว้ก็พอครับ
บางที แค่เรารู้ว่า สิ่งนี้ที่มันเป็นอย่างนี้ เพราะมันต้องมีสิ่งมากระทำแน่ ๆ ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปรู้ละเอียดว่าอะไรมากระทำมันและอะไรมากระทำสิ่งนี้ให้มากระทำสิ่งนี้อีกทีขนาดนั้นเราก็สามารถพิจารณาปล่อยวาง หรือแก้ปัญหาสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ครับ

การไขปริศนานกยางได้ให้ความคิดนี้กับผมมา
ยกตัวอย่าง
ไฟเอยทำไมไม่ติด ไฟไม่ติดเพราะฟืนมันเปียก
แทนที่จะไปหาสาเหตุว่าทำไมฟืนมันเปียก แก้ปัญหามันในตอนนี้เอาเลยไม่ดีกว่าเหรอ
แล้วเราหาอะไรแห้ง ๆ มาจุดไฟหุงข้าวแทนได้มั้ย?

พอไฟกล้าดีแล้วก็ค่อยเอาฟืนที่เปียกยัดใส่ไฟทีละท่อนมันก็จะค่อยแห้ง และติดไฟได้เอง และบอกเจ้าของวัวให้เก็บฟืนในที่แห้ง มิดชิด น้ำไม่รั่วซึมท่วมถึง ฟืนจะได้ไม่เปียก จะได้มีฟืนแห้ง ๆ ใช้ ก็เอาวิธีนี้ไปบอกเจ้าของวัวต่อให้รู้จักแก้ปัญหาก็ได้ เจ้าของวัวจะได้มีแรงลุกไปปล่อยวัว