พระนางรูปนันทา ( ตัวอย่าง การเจริญ อสุภกรรมฐาน )

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย gatsby_ut, 7 กรกฎาคม 2010.

  1. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    พระนางรูปนันทาเป็นผู้พอใจในรูป มีความเสน่หายิ่งนักในอัตภาพของตน ธรรมอันเหมาะแก่เธอก็คือ การย่ำยีความเมาในรูปนั่นเอง ทำนองหนามยอกเอาหนามบ่ง

    [​IMG]

    เรื่องนี้เกิดขึ้น ขณะที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร
    พระนางรูปนันทา นั้นเกี่ยวเนื่องเป็นพระญาติที่ใกล้ชิดของพระพุทธองค์ คือ เป็นพระราชธิดาของพระนางมหาประชาบดีโคตมี พระน้านางแห่งพระศาสดา พระนางรูปนันทาจึงเป็นพระน้องนางเธอต่างพระมารดา

    ปรากฏเป็นที่เลี่ยงลือว่า ทรงพระสิริโฉมมากล้น นาม “รูปนันทา” นั้นแปลว่า มีรูปน่าบันเทิงใจ ความหลงตัวของคนเรานั้นมีมากอยู่แล้ว หญิงใดสวยมากเข้าอีก ความหลงตัวก็เพิ่มขึ้นเป็นตรีคูณ พระนางรูปนันทาเป็นสตรีที่สวยมากคนหนึ่ง พระนางเพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ วัยสมบัติ และทรัพย์สมบัติ ล้วนแต่เป็นวัตถุแห่งความเมาทั้งสิ้น

    แต่กระนั้น พระนางก็รู้สึกว้าเหว่มากเป็นครั้งคราวเพราะพี่น้องชวนกันไปบวชเสียแล้วเป็นจำนวนมาก วันหนึ่งพระนางทรงปรารภกับพระองค์เองว่า

    “พระเชษฐภาดาของเรา ได้สละรัชสิริสมบัติออกบวชสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเอกอัครบุคคลในโลกแล้ว พระราชโอรสของพระองค์หลานของเราคือพระราหุลก็ออกบวชแล้ว ภาดาของเราคือพระนันทะก็ออกบวชแล้ว พระมารดาของเราก็ออกบวชแล้วเช่นกัน เมื่อหมู่ญาติมากเห็นปานนี้ออกบวชแล้ว เราจะอยู่ครองเรือนทำไมเล่า”

    พระนางทรงดำริเช่นนั้นแล้ว จึงตัดสินพระทัยออกบวชเป็นภิกษุณีตามพระมารดา พระนางผนวชเพราความอาลัยในพระญาติ และเพราะความว้าเหว่โดยแท้ หาใช่เพราะศรัทธาไม่

    พระนางทรงได้ยินได้ฟังเสมอว่า พระศาสดาทรงแสดงธรรมตำหนิรูปเป็นต้นว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา รูปนี้ไม่งามเต็มไปด้วยสิ่งพึงรังเกียจนานาประการ จึงไม่ปรารถนาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เกรงว่าจะทรงตำหนิรูปของพระนางว่าเป็นเช่นนั้น พระนางยังไม่รู้ความจริงและไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง

    แต่ประชาชนชาวนครสาวัตถี ตื่นเช้าขึ้นมาก็บริจาคทาน สมาทานอุโบสถ มีผ้าห่มสีขาวบริสุทธิ์ ถือของหอมและดอกไม้ เป็นต้น ประชุมกันฟังธรรมในเวลาเย็น ณ วัดเชตวัน แม้ภิกษุณีทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน พอใจฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา

    ทุกคนที่ได้ฟังธรรมแล้ว ต่างก็ชื่นชมโสมนัส และพรรณนาถึงพระคุณสมบัติ และความไพเราะแห่งพระธรรมเทศนาของพระองค์ทุกคนไป บางคนสรรเสริญรูป บางคนพอใจในพระกระแสเสียง

    จริงทีเดียวในโลกนี้ มีความนิยมของตนอยู่ ๔ ประเภท คือ
    ๑. นิยมรูป (รูปปมาณิกา)
    ๒. นิยมเสียง (โฆสปมาณิกา)
    ๓. นิยมความปอน (ลูขปมาณิกา)
    ๔. นิยมธรรม (ธัมมปมาณิกา)

    บุคคลประเภทแรก ย่อมเลื่อมใสพระตถาคตเจ้าด้วยการได้เห็นพระรูปอันสง่างาม ทรงสิริวาสเกินเปรียบ พระฉวีมีสีคล้ายไล้ด้วยทอง มีลักษณะงามนานาประการ

    บุคคลประเภทที่สอง เมื่อได้ฟังพระกระแสเสียงอันไพเราะของพระองค์ในขณะแสดงพระธรรมเทศนาแล้วก็เกิดความเลื่อมใส

    บุคคลประเภทที่สาม ได้เห็นความเรียบแห่งสีจีวรของพระตถาคตเจ้าเป็นต้น แล้วก็เกิดความเลื่อมใสว่า โอ! พระสุคตทรงเป็นอยู่ง่ายจริงหนอ เครื่องนุ่มห่มของพระองค์มีเพียงปกปิดร่างกายให้เรียบร้อยเท่านั้น หาใช่เพื่อความสวยงามไม่ สีจีวรของพระองค์เล่าก็เรียบ ดูสะอาดสบายตา ไม่ฉูดฉาด

    บุคคลประเภทที่สี่ ผู้ถือธรรมเป็นประมาณ หรือนิยมธรรมนั้นเมื่อได้ฟังธรรมอันถูกต้อง บริสุทธิ์จากพระศาสดาแล้ว ก็รู้ว่า อ้อ! ศีลเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ ปัญญาเป็นอย่างนี้ ล้วนมีอยู่ในพระทศพลเจ้าทุกประการ พระองค์เป็นผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน เลิศแล้วด้วยพระคุณมีศีลเป็นต้น ดังนี้แล้วย่อมเลื่อมใส

    สาเหตุแห่งความเสื่อมของคนในโลก อันท่านกล่าวไว้แล้ว ๔ ประการนี้แล

    [​IMG]

    พระนางรูปนันทาได้สดับเสียงพรรณนาพระคุณของพระศาสดาจากสำนักอุบาสิกาบ้าง จากสำนักภิกษุณีบ้าง จึงทรงดำริว่า “ คนทั้งหลายสรรเสริญพี่ชายเราเสียจริง น่าจะลองไปฟังธรรมดูบ้าง หากพระองค์จะทรงตำหนิรูปของเรา ก็จะตำหนิสักเท่าไรเชียว ไฉนหนอเราจะพึงไปสู่สำนักของพระศาสดา ฟังธรรมโดยที่มิให้พระองค์เห็นเรา ”

    วันนั้นภิกษุณีทั้งหลายตื่นเต้นกันมากเมื่อทราบว่า พระนางรูปนันทาจะเสด็จฟังธรรมด้วย และคิดว่าวันนี้พระศาสนาคงจะแสดงธรรมอย่างวิจิตรเป็นแน่นอน

    ฝ่ายพระนางรูปนันทานั้น ตั้งแต่ออกจากสำนักภิกษุณีก็ทรงดำริไปตลอดทางว่า จะไม่ให้พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นตน ความคิดของพระนางช่างเหมือนคนที่ต้องการห้ามพระอาทิตย์ส่องแสงนี่กระไร

    พระศาสดาได้ทรงทราบแล้วด้วยพระญาณอันไม่มีอะไรขวางกั้นได้ ทรงดำริว่า “ ธรรมเทศนาอะไรหนอจะเหมาะแก่อุปนิสัยของรูปนันทา? ” ทรงเห็นว่า “ พระนางรูปนันทาเป็นผู้พอใจในรูป มีความเสน่หายิ่งนักในอัตภาพของตน ธรรมอันเหมาะแก่เธอก็คือ การย่ำยีความเมาในรูปนั่นเอง ทำนองหนามยอกเอาหนามบ่ง ”

    ดังนั้น พระศาสดาจึงทรงเนรมิตหญิงคนหนึ่ง ด้วยกำลังแห่งอิทธาภิสังขารแห่งพระองค์ (อิทธาภิสังขาร = การบันดาลฤทธิ์)

    หญิงนั้นรูปงามยิ่ง อายุประมาณ ๑๖ – ๑๗ ประดับประดาด้วยสรรพาภรณ์อันเลิศด้วยสีต่างๆ ยืนถวายงานพัดอยู่ใกล้พระพุทธองค์

    พระนางรูปนันทาเข้าไปนั่งท่ามกลางภิกษุณีทั้งหลายเพื่อหลบซ่อนมิให้พระศาสดาทอดพระเนตรเห็น พระนางมองดูพระเชษฐภาดาตั้งแต่พระบาท ได้เห็นพระสรีโรภาสอันวิจิตรด้วยพระมหาปุริสลักษณะ รุ่งเรืองด้วยอนุพยัญชนะ แวดล้อมด้วยรัศมีเรืองอุไรข้างละประมาณหนึ่งวา พระนางทอดพระเนตรพระโอษฐ์แห่งพระตถาคตอันมีสิริประหนึ่งดวงจันทร์เพ็ญ แลแล้วให้มองเห็นรูปแห่งสตรีเนรมิตซึ่งยืนอยู่ ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาค

    พระนางและพระศาสดาเท่านั้นมองเห็น คนอื่นมิได้เห็นเลย

    รูปนั้นเป็นอิทธิยมรูป รูปอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ให้งามปานใดก็ได้ พอเห็นเท่านั้น พระนางก็ตะลึงพรึงเพริด

    “โอ ช่างงามอะไรปานนี้” พระนางอุทานอยู่ในพระทัย “ผม หน้าผาก สรรพางค์กายทั้งสิ้น ช่างงามพร้อมหาใครเปรียบมิได้”

    พระนางถูกเสน่ห์แห่งรูปนิมิตนั้นครอบงำพระทัยเสียแล้ว ครู่หนึ่งจึงก้มลงมองดูพระสรีรูปแห่งพระนางเอง

    “อา! ทำไม, ทำไมถึงแตกต่างกันถึงขนาดนี้?” พระนางดำริ “นั่นเหมือนนางพญาหงส์ เราเหมือนนางกา อา! เราเคยกระหยิ่มนักว่า จะหาใครสวยเสมอเรานั้นยาก อย่าว่าแต่จะยิ่งกว่าเราเลย แต่เวลานี้ได้เห็นประจักษ์แล้วว่า ความสวยของเราไม่ได้ส่วนหนึ่งแห่งร้อยของสตรีนั้นเลย”

    “แต่ เอ๊ะ! ทราบว่าพระเชษฐภาดาทรงตำหนิรูป ไม่ทรบสรรเสริญความงามแห่งรูป ไฉนจึงทรงมีสตรีอันเลิศแล้วด้วยรูปเห็นปานนี้ยืนถวายงานพัดในเวลาแสดงธรรม อา! ประหลาด, ประหลาดจริงๆ ที่คนเล่าลือกันนั้นไม่จริงเสียแล้ว”

    [​IMG]

    “ทำอย่างไรหนอ เราจะได้สวยอย่างสตรีนั้นบ้าง” พระนางทรงดำริในที่สุด

    พระบรมศาสดาทรงทราบวารจิตของพระนางโดยตลอด จึงทรงบันดาลให้รูปนั้นล่วงวัย ๑๖ – ๑๗ เข้าสู่วัย ๒๐

    พระนางมองเห็นแล้วประหลาดพระทัย “เอ๊ะ! ทำไมแก่เร็วอย่างนั้น วัยล่วงไปมากแล้ว”

    พระศาสดาทรงบันดาลให้รูปนั้นล่วงวัย ๒๐ ปีไปถึงวัยกลางคน ๔๐ วัยชรา ๘๐ – ๙๐ ฟันหัก ผมหงอก หนังหดเหี่ยว ซี่โครงเหมือนกลอนเรือนงกงันสั่นเทิ้มไปทั้งกาย และมีโรคเข้าเบียดเบียน ทิ้งไม้เท้า และวีชนี (พัด) ร้องเสียงดัง ล้มกลิ้งลงยังภาคพื้น กลิ้งเกลือกไปมาทับมูตรและกรีสของตน

    พระนางรูปนันทาทอดพระเนตรแล้ว คลายความพอใจในรูปนั้นอย่างยิ่ง สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความเบื่อหน่ายระอิดระอา

    พระศาสดาทรงบันดาลให้หญิงนั้นตายไปต่อหน้าต่อตาของพระนางรูปนันทา

    ศพนั้นขึ้นพอง น้ำเหลืองและหนอนออกจากทวารทั้ง ๙ คือ ตา หู จมูก ปาก ทวารหนัก ทวารเบา กาและแร้งลงยื้อแย่งจิกกินเป็นพัลวัน

    พระนางรูปนันทาทรงเห็นดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า “หญิงนี้ ชราแล้ว เจ็บแล้ว และตายแล้วในที่นี้ทีเดียว ชรา พยาธิ และมรณะ จะต้องมาถึงอัตภาพของเราในทำนองเดียวกันนี้เหมือนกัน”

    พระนางได้เห็นอัตภาพโดยความเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาแล้ว

    กษณะนั้น ภพทั้งสามคือ กามภพ (ภพของสัตว์โลกผู้ยังข้องอยู่ในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และผัสสะทางกาย) รูปภพ (ภพของพรหมผู้ได้รูปฌาน ๔) และอรูปภพ (ภพของพรหมผู้ได้อรูปฌาน ๔) ปรากฏแก่พระนางเสมือนมีไฟลุกโชนแล้ว อัตภาพปรากฎแก่พระนางเสมือนศพอันแขวนอยู่ที่คอ

    จิตของพระนางจึงมุ่งต่อกรรมฐานอันมีอสุภเป็นอารมณ์

    พระศาสดาทรงทราบดังนั้น ทรงใคร่ครวญต่อไปว่า “พระนางรูปนันทาจะสามารถบรรลุมรรคผลด้วยเหตุประมาณเท่านี้หรือไม่หนอ? หรือต้องได้รับการช่วยเหลืออีก”

    ทรงทราบว่า ต้องได้รับการช่วยเหลืออีก พระศาสดาจึงทรงหลั่งพระธรรมเทศนาเป็นการช่วยเหลือ เสมือนทรงยื่นศัสตราให้แก่บุคคลผู้ดึงเชือกจวนจะขาดอยู่แล้ว

    “รูปนันทาเอย จงดูเถิด ดูร่างกายอันอาดูรไม่สะอาดเปื่อยเน่านี้อันโครงกระดูกช่วยกันยกขึ้น มีสิ่งปฏิกูล ไม่สะอาด ไหลเข้าไหลออกอยู่เสมอ ซึ่งเป็นที่ต้องการนักของคนเขลา”

    “รูปนันทาเอย ร่างกายนี้ฉันใด กายของเธอก็ฉันนั้น กายของเธอฉันใด กายนี้ก็ฉันนั้น เธอจงมองดูธาตุทั้งหลายโดยความเป็นของว่างเปล่าเถิด จะได้ไม่ต้องมาสู่โลกนี้อีก จงสำรองราคะความพอใจในภพเสียเถิดจักได้เป็นผู้สงบเต็มที่”

    เพียงเท่านี้ พระนางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

    [​IMG]

    ลำดับนั้น พระศาสดามีพระประสงค์จะแสดงสุญญตาภาวนา เพื่ออบรมให้เห็นแจ้งในมรรคผลทั้งสามเบื้องปลายต่อไป จึงตรัสว่า

    “รูปนันทาเอย สรีระนี้ไม่มีสาระอะไร สาระสักหน่อยหนึ่งก็มิได้ได้มีมันเป็นเพียงนครกระดูก กระดูกรวมกันเข้าเป็นโครงร่างเท่านั้น”

    “รูปนันทาเอย ดูเถิด จงดูนครกระดูกนี้ซึ่งมีเลือดและเนื้อเป็นเครื่องฉาบทา อันเป็นที่รองรับความแก่ความตายอันเป็นเพลิงทุกข์ และรองรับความทะนงตน ความลบหลู่คุณของผู้อื่น ซึ่งเป็นเพลิงกิเลส”

    พระนางส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนา ได้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์แล้ว ณ ที่นั้นเอง

    อ้างอิง .. ลีลากรรมของสตรีสมัยพุทธกาล ( อ.วศิน อินทสระ )

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1033680/[/MUSIC]​


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2010
  2. ampaporn

    ampaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อย่างนี้สิ M-100.............................
     
  3. Nok Nok

    Nok Nok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +3,297
    “รูปนันทาเอย สรีระนี้ไม่มีสาระอะไร สาระสักหน่อยหนึ่งก็มิได้ได้มีมันเป็นเพียงนครกระดูก กระดูกรวมกันเข้าเป็นโครงร่างเท่านั้น”

    [​IMG]
     
  4. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ลองสังเกตุตัวเอง อ่านจบออกไปนี่ ไปเดินถนนยังเห็นคนสวยแล้วพอใจ ไม่สวยแล้วไม่พอใจอีกไหม ถ้ายังมีอยู่แปลว่าอ่านแล้วแล้วกันแล้วก็ลืมไป
    ไม่ได้เกิดปัญญาที่จิตแบบพระนางรูปนันทา
    วิธีแก้
    ให้ฝึกนั่งสมาธิเยอะขึ้นแล้วยกเรื่องพวกนี้เข้าพิจารณา

    นี่แหละวิถี
    ปฎิบัติธรรมภาคปฎิบัติ
    แบบฆราวาสปฎิบัติธรรมเรียนรู้ชีวิตแบบมีสติ 5 5 5
     
  5. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470
    คุณลุงครับ อสุภกรรมฐาน กายคตานุสสติกรรมฐาน จตุธาตุววัฏฐาน ๔ สามกองนี้คล้ายๆกันหรือเปล่าครับ
     
  6. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    ขอบคุญครับ ไว้ปลงคนอื่น ส่วนตัวเองไม่ปลงล่ะ

    เพราะไม่ได้มีไรให้น่าหลง อิอิ
     
  7. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431
    "พระนางได้เห็นอัตภาพโดยความเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาแล้ว"

    "จิตของพระนางจึงมุ่งต่อกรรมฐานอันมีอสุภเป็นอารมณ์"

    โมทนา สาธุค่ะ
     
  8. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    โมทนา สาธุค่ะ
    ขอบคุณสำหรับ "ธรรมะ" ที่คุนลุงมาฝากทุกวัน
     
  9. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่า

    ที่จริงเห็นศพจิ้งจกก็เปิดแน่บแล่ว
    หรือตอนตื่นนอนเจอกระจกก็ค่อนข้างน่ากลัวนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2010
  10. doopup5454

    doopup5454 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +58
    อนุโมทนา สาธุ ครับ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
     
  11. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470

    ขอบคุณครับคุณลุง
     
  12. pinya

    pinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +842
    “รูปนันทาเอย สรีระนี้ไม่มีสาระอะไร สาระสักหน่อยหนึ่งก็มิได้ได้มีมันเป็นเพียงนครกระดูก กระดูกรวมกันเข้าเป็นโครงร่างเท่านั้น”

    “รูปนันทาเอย ดูเถิด จงดูนครกระดูกนี้ซึ่งมีเลือดและเนื้อเป็นเครื่องฉาบทา อันเป็นที่รองรับความแก่ความตายอันเป็นเพลิงทุกข์ และรองรับความทะนงตน ความลบหลู่คุณของผู้อื่น ซึ่งเป็นเพลิงกิเลส”

    อนุโมทนาสาธุคะคุณลุง...ลุงคะอยากอ่านเรื่องจตุตธาตุ4 คะ
     
  13. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    อนุโมทนาสาธุค่ะพี่อริยบุตร หนูชอบประวัติของพระภิกษุณีสงฆ์มาก โดยเฉพาะของพระรูปนันทาเถรี เรื่องนี้ถูกใจมาก เพราะตัวหนูเองก็หลงในรูปมาก ไม่งั้นคงไม่ชอบดูนางงามหรอก เห็นใครก็ว่าเขาสวยหมด มองตัวเองก็ว่าตัวเองสวย ทุกวันนี้พยายามเริ่มละความห่วงใยในรูปลงบ้างแล้ว จะไม่ยึดติดแล้ว แต่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง คงต้องบำเพ็ญกันอีกมาก กว่าจะได้บรรลุธรรม อย่างพระรูปนันทาเถรีเจ้า
     
  14. phasukjai

    phasukjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +445
    อนุโมทนาเจ้าค่ะคุณลุง ช่วงนี้นั่งสมาธิวันละ 15-20 นาที รู้สึกปลงเรื่องรูปร่างตัวเองลงเยอะเจ้าค่ะ เห็นไร ก็รู้สึกเฉยๆ พอมาฟังเรื่องนี้ ก็รู้สึกเฉยๆ สังขาลไม่เที่ยงจริงๆ .. แต่ยังละเรื่องอารมณ์เสียไม่ได้ ยังขี้บ่นอยู่ค่ะ มีเรื่องไหนนำเสนอ ให้ผ่อนคลายลงบ้างไหมค่ะ
     
  15. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    อี๋.....แหว่ะ.....ลุงอ่ะ รู้อ่านะ ว่าลุงน่ะจริงใจ แต่ ไม่ต้องให้เห็นภาพขนาดนี้ก้อได้ค่ะ
     
  16. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    นักปฏิบัติ ต้องมีกำลังใจ ที่เข้มแข็ง ไม่งั้นจะฟันฝ่า อุปสรรค ได้ยาก การพิจารณา ต้องพิจารณา ตามความป็นจริง ไม่งั้น กิเลส ตัณหา จะหมดไปได้อย่างไร ?

    เมื่อเห็น แล้ว ก็พิจารณา ด้วยนะ น่าจะเป็น กรรมฐานเก่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2010
  17. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    วันนี้นั่งสมาธิ เห็นคนที่เหลือแต่โครงกระดูก เดินไปมาได้ มานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าค่ะ อนุโมทนา
     
  18. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
     
  19. sandland

    sandland เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +225
    โมทนาค่ะ ร่างกายคนเราเต็มไปด้วยของไม่สะอาดและทุกสิ่งๆ ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืนจริงๆ
    สาธุๆ
     
  20. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
     

แชร์หน้านี้

Loading...