ชะตากรรม ของ เวอซาเช่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย PalmPalmnaraks, 23 มกราคม 2005.

  1. PalmPalmnaraks

    PalmPalmnaraks บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ชะตากรรม ของ เวอซาเช่
    อาหารสมอง วีรกร ตรีเศศ Varakorn@dpu.ac.th มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 02 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1246

    เมื่อ 3-4 ปีก่อนผมเห็นลูกชายผูกเนคไทสีประหลาด ในใจคิดว่ามันช่างเป็นดีไซน์ที่อุบาทว์อะไรเช่นนั้น ถามไถ่ว่าเอามาจากไหน ก็ได้ความว่าเป็นของผมเอง ค้นมาจากในตู้เสื้อผ้าของผม บางเวลาของวันนั้นทั้งวัน ใจผมนึกถึงเนคไทเส้นนั้นว่ามันดูคุ้นๆ พิกล พอกลับมาบ้านดูซองของมันและตัวเนคไทจึงรู้ว่าเป็นของเวอซาเช่ (VERSACE) ผมจึงแอบเก็บทันที เพราะเพิ่งพบว่าเนคไทรุ่นเก่าๆ สมัยที่ GIANNI VERSACE ออกแบบนั้นกำลังเป็นของที่เขาเก็บสะสมกัน

    นึกๆ ดูก็จำได้ว่าลูกศิษย์คนหนึ่งเขาซื้อมาฝากผมนานแล้ว หลังจากกลับจากไปเรียนต่อต่างประเทศ และผมเป็นคนเขียนจดหมายรับรองให้ตอนเขาสมัครเข้ามหาวิทยาลัย แต่ด้วยความเขลาและไม่ทันสมัยของผมเกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นจึงไม่รู้จักและเก็บไว้นานหลายปี ที่นึกขึ้นมาได้ก็เพราะเห็นนักการเมืองคนดังๆ เขาผูกกัน ซึ่งขอโทษเถอะ ยังไงผมก็ยังไม่เห็นว่ามันสวยน่าผูก คนรสนิยมต่ำๆ นอกคอกอย่างผมต้องขออภัยครับ

    ที่เขียนมายืดยาวก็เพราะอยากให้ข้อเขียนนี้ไม่ซีเรียสเกินไป เพราะมีท่านผู้ใหญ่ที่เคารพ บอกว่า พักนี้ดูหนักๆ ไปหน่อย ไม่ค่อยมีอารมณ์ขันเลย ผมคงเป็นเช่นเพื่อนผมอีกหลายๆ คน ที่คิดว่ามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของประเทศนี้ด้วย แต่กำลังกังวลใจกระมังครับว่าบ้านเมืองเรากำลังจะเป็นอะไรกันนี่

    ผมได้พบข่าวล่าสุดเกี่ยวกับชะตากรรมของ บริษัท เวอซาเช่ และเห็นว่าน่าสนใจ จึงขอนำมาโม้ต่อครับ





    ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า ในปี 1997 GIANNI VERSACE เจ้าของและผู้ออกแบบสินค้าแฟชั่นยี่ห้อเวอซาเช่ ชื่อดังถูกฆ่าตายริมถนนนอกคฤหาสถ์ที่ไมอามี่ เมื่อลุกจากที่นอนตอนเช้าใส่เสื้อคลุมเดินข้ามถนนมาซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านข้างบ้าน

    คนที่คอยดักฆ่าก็คือแฟนหนุ่มรักร่วมเพศลูกครึ่งฟิลิปปินส์รูปหล่อ หนุ่มคนนี้มีความสัมพันธ์กับเศรษฐีหนุ่มและแก่หลายคน เวอซาเช่ กำลังจะเลิกจึงแค้นและมาดักฆ่า

    ตำรวจตามไล่ตัวกันขนานใหญ่จนหนีระหกระเหิน และสุดท้ายก็ยิงตัวตาย

    ตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา แฟชั่นเฮ้าส์ยี่ห้อเวอซาเช่ก็ระส่ำ เพราะขาด GIANNI ผู้ก่อตั้งและหัวแรงสำคัญ หุ้นที่ถืออยู่ตอนตายก็คือพี่ชายเขาชื่อ SANTO VERSACE ถืออยู่ร้อยละ 30 น้องสาวชื่อ DONATELLA VERSACE ถืออยู่ร้อยละ 20 ที่เหลือร้อยละ 50 คือของ GIANNI โดยมีพินัยกรรมยกทั้งหมดให้แก่หลานสาวสุดที่รักซึ่งเป็นลูกสาวของ DONATELLA เมื่อมีอายุครบ 18 ปี

    เมื่อตอนที่เขาตายนั้น แฟชั่นเฮ้าส์ของเขามีอายุ 19 ปี และหลานสาวคนนี้อายุ 11 ปี เมื่อเวลา 7 ปีผ่านไป

    บัดนี้หนูคนนี้มีอายุครบ 18 ปี และเธอผู้มีชื่อว่า ALLEGRA VERSACE ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของเวอซาเช่ไป

    วงการสื่อและฝูงยุงร้ายถ่ายภาพ (PAPARAZZI) มีความสุข เพราะมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง และจะมีอะไรสนุกเท่ากับการตามถ่ายภาพ เศรษฐินีสาว หุ่น หน้าตาและแต่งกายเซ็กซี่ที่มีอายุ 18 ปี และข่าวคาวฉาวรัก

    แต่ ALLEGRA เป็นคนไม่ชอบเป็นข่าว พยายามหลีกหนีสุดกู่ แต่ก็ไม่ง่ายนัก

    เธอยอมสัมภาษณ์นิตยสาร TEEN VOGUE ว่าเธอจะไปเรียนการแสดงที่สหรัฐอเมริกาในปีนี้ เธอชอบการแสดงเพราะจะทำให้เธอสามารถเป็นคนลักษณะต่างๆ ได้ทุกวัน

    ก่อนหน้านี้เธอเรียนโรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษที่มิลาน เธอพูดได้สองภาษา คือ อิตาเลียนและอังกฤษ

    เธอรับมรดกในปีสำคัญที่เวอซาเช่มีอายุ 26 ปี และกำลังซวนเซ ไม่แน่ชัดว่าเธอจะอยู่ข้างแม่เธอ (ถือหุ้นร้อยละ 20) หรือลุงเธอ (ถือหุ้นร้อยละ 30) เพราะหุ้นร้อยละ 50 นั้นทรงพลังยิ่ง (คนไทยคงงงมันเป็นไปได้ยังไงที่ไม่เป็นพวกแม่ของตัวเอง แต่เมื่อดูภาพเธอแต่งตัวและแต่งหน้าที่ประหลาดพอควรแล้วก็พอเข้าใจ)

    ลุงผู้จัดการเรื่องการหาทุน กับแม่ผู้คุมการออกแบบขัดแย้งกัน และคาดเดาได้ว่า ใน 7 ปีที่ผ่านมา คงเป็นสงครามเอาใจ "เจ้าแม่" ผู้นี้ การถูกเอาใจมาตลอดเวลา 7 ปี อย่างสุดๆ จะมีผลต่อชีวิตเธอข้างหน้าอย่างไรเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่ง

    ก่อนจะพูดถึงปัญหาและแผนของ VERSACE ต่อไป ลองดูกันเรื่องแฟชั่นสักหน่อย ในเชิงวิชาการ การที่มนุษย์แต่งตัวตามแฟชั่น จนผู้ผลิตสินค้าแฟชั่นร่ำรวยกันทั่วหน้า โดยเฉพาะในประเทศผู้นำแฟชั่น เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส ฯลฯ ก็เป็นเพราะอิทธิพลของการอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

    MASLOW นักจิตวิทยาคนสำคัญบอกว่า ความต้องการอยู่รอดของมนุษย์คือความต้องการขั้นพื้นฐาน

    ขั้นต่อมาคือความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง

    ขั้นสูงขึ้นอีกก็คือการได้รับการยอมรับ เป็นส่วนหนึ่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และได้รับความรัก

    ขั้นสูงขึ้นมาอีกก็คือ การประสบความสำเร็จและได้รับคำสรรเสริญชื่นชม

    สูงขึ้นมาคือต้องการความรู้และความเข้าใจ

    สูงถัดขึ้นไปคือการต้องการความสวยงาม และความเป็นระเบียบ และสุดท้ายคือความต้องการบรรลุศักยภาพของตนเอง

    ประเด็นสำคัญของ MASLOW ก็คือ เมื่อมนุษย์ได้รับความพอใจจากแต่ละขั้นแล้วก็ยังไม่หยุด แต่ยังมีความต้องการในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง

    หลายคนอาจเชื่อ MASLOW แต่ถ้าเราดูสังคมปัจจุบันแล้วจะเห็นว่าผู้คนจำนวนมากมีความต้องการอย่างไม่เป็นไปตามขั้นตอนเสมอไป โดยมีความต้องการหลายขั้นตอนในเวลาเดียวกันอย่างน่าปวดหัว เพราะสนองตอบได้ยากเย็นกว่าสถานการณ์ที่เป็นไปตาม MASLOW

    มนุษย์ตามแฟชั่น ก็เพราะความต้องการการยอมรับ และการเป็นส่วนหนึ่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ (BELONGINGNESS) ตลอดจนการต้องการความรัก (LOVE NEEDS) นี่แหละ เพราะเมื่อใช้สินค้าแฟชั่นที่ผู้คนเขาใช้กัน ก็กลายเป็นพวกเดียวกัน เท่ากับได้รับการยอมรับ เพศตรงข้ามก็นิยมคนในรูปแบบเดียวกัน ดังนั้น จึงมีโอกาสนำไปสู่ความรัก

    พวกขวางโลกจะบอกว่าคนเดินตามแฟชั่นทุกกระเบียดคือคนบ้า คนไร้สมอง ไม่มีอะไรเป็นตัวของตัวเอง ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ยอมให้คนต่างชาติหยิบมือเดียวเป็นคนกำหนดว่าสีอะไรที่ฮิต แบบผมแบบไหนที่ควรทำ กางเกงควรเป็นแบบไหน ฯลฯ

    โดยส่วนตัวผมเห็นว่าเขามีประเด็นอยู่เหมือนกัน แต่สินค้าแฟชั่นถึงแพงหน่อยมันก็มีคุณภาพ และถึงอย่างไรก็เป็นความจริงที่หนีไม่พ้นว่าเราถูกครอบงำ ผมว่าทางสายกลางค่อนไปทางเป็นตัวของตัวเองน่าจะเป็นคำตอบ

    ขอกลับมาเรื่องเวอซาเช่อีกครั้ง เมื่อตอนผู้ก่อตั้งตายใหม่ๆ ก็คิดจะเพิ่มทุนโดยหาคนร่วมทุนที่มีความรู้ด้านการออกแบบ แต่ก็ล้มไปเพราะพี่น้องเห็นไม่ตรงกัน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ก็ไม่ดีขึ้น ปี 2003 คาดว่าจะขาดทุนเช่นเดียวกับปี 2002 ที่ขาดทุนประมาณ 6.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ถึงแม้จะมียอดขาย 586 ล้านเหรียญในปี 2002 และ 480 ล้านเหรียญในปี 2003 ก็ตาม)

    เมื่อ 3 ปีก่อน มูลค่าของแฟชั่นเฮ้าส์แห่งนี้อยู่ประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าปัจจุบันมูลค่าน่าจะเหลือเพียงครึ่งเดียว ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สิ่งที่ ALLEGRA จะต้องทำทันทีในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ก็คือ หาผู้ให้คำแนะนำ หา CEO และระดมทุนขยายขอบเขตของกิจกรรม เพราะชื่อเวอซาเช่ยังมีมนต์ขลังอยู่พอควร ถ้าเธอขายหุ้นตอนนี้ก็จะได้ราคาต่ำเพราะอยู่ในช่วงขาดทุน

    ประเด็นก็คือ ถ้าจะหาผู้ร่วมทุน สัดส่วนการถือหุ้นของครอบครัวก็จะต้องน้อยลง เพราะผู้ร่วมทุนใหม่จะต้องการถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30

    แต่สิ่งที่ได้มานั้นก็คือ การเดินหน้าเต็มสตีมอีกครั้งของเวอซาเช่ หลังจากรวนเรมาเป็นเวลา 7 ปี (แบบ "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" แหละครับ)

    คำถามก็คือ บรรดาผู้ถือหุ้นเหล่านี้จะว่าอย่างไรกัน จะเห็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่

    งานข้างหน้าผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลูกค้าของเวอซาเช่ ก็เสียไปให้กับคู่แข่ง เช่น DOLCE + GABBANA และ ROBERTO CAVALLI ไปไม่ใช่น้อย กลยุทธ์ของเวอซาเช่คงจะเน้นเสื้อผ้าที่หรูหราฟู่ฟ่าน้อยลง หันไปจับตลาดที่ผู้บริโภคจำนวนมากซื้อหาได้

    สิ่งสำคัญที่ครอบครัวนี้จะประสบคือมีผู้ร่วมทุนที่ไม่ต้องการถือหุ้นใหญ่

    นักลงทุนทุกคนต้องการกระบวนการตัดสินใจที่ฉับพลัน มีความเป็นอิสระของผู้บริหาร ซึ่งถ้าหากไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ อำนาจการตัดสินใจก็ยังอยู่ที่ครอบครัว ซึ่งอาจทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปไม่ราบรื่นดังใจ

    และประการสำคัญ ทุนที่ลงไปมันจะไม่ทำงานให้ผลตอบแทนในอัตราเท่ากันแม้นว่าเอาเงินจำนวนเดียวกันนี้ไปลงทุนที่อื่นที่มั่นใจกว่า

    ...........................................

    เครื่องเคียงอาหารสมอง

    เรื่องเล่านี้แม้จะเก่า แต่นึกถึงทีไรแล้วก็อดขำไม่ได้ (ต้องขอโทษหากทำให้บางท่านไม่พอใจ แต่อย่าไปถือสาเลยครับ เรื่องตาเถรยายชีเราก็ฟังกันมาแยะแล้ว)

    เรื่องมีอยู่ว่า หลวงพ่อคริสตัง (พระนิกายโรมันคาทอลิก ห้ามการมีเพศสัมพันธ์) กับ RABBI (พระยิวที่ห้ามทานหมู และห้ามมีเพศสัมพันธ์) นั่งรถไฟไปด้วยกัน ไม่รู้จะคุยกันเรื่องอะไร RABBI จึงเอ่ยขึ้นก่อนว่า "ถามจริงๆ เถอครับ หลวงพ่อเคยแอบมีเพศสัมพันธ์ไหม"

    หลวงพ่อก็ถอนหายใจแล้วตอบว่า "เฮ้อ...จะว่าไปจริงๆ แล้วก็เคยทำผิดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็หนเดียว....หนเดียว....จริงๆ"

    หลวงพ่อก็ถาม RABBI กลับบ้างว่า "แล้วท่านเคยแอบทานหมูบ้างหรือเปล่าล่ะ "RABBI ก็ทำหน้าเศร้าแล้วบอกว่า "ก็...ก็... เคย แต่ก็หนเดียวในชีวิตเหมือนกัน"

    นั่งรถไฟกันต่อไปสักพักด้วยความอดรนทนไม่ไหว RABBI ก็สะกิดถามหลวงพ่อด้วยความสงสัยอย่างเต็มที่ว่า

    "หลวงพ่อครับ...บอกผมหน่อยเถอะว่า แล้วมันดีกว่าหมูไหม"

    ..........................................

    น้ำจิ้มอาหารสมอง - A GENTLEMAN IS ONE WHO THINKS OF OTHER PEOPLE"S FEELING THAN OF HIS OWN RIGHTS ; AND MORE OF OTHER PEOPLE"S RIGHTS THAN OF HIS OWN FEELINGS.

    (MATTHEW HENRY BUCKHAM)

    สุภาพบุรุษคือคนที่นึกถึงความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าสิทธิของตนเอง และยิ่งตระหนักถึงสิทธิของผู้อื่นมากกว่าความรู้สึกของตนเอง
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ผมชอบประโยคนี้ครับ " ประเด็นสำคัญของ MASLOW ก็คือ เมื่อมนุษย์ได้รับความพอใจจากแต่ละขั้นแล้วก็ยังไม่หยุด แต่ยังมีความต้องการในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง " ครับ คนเราควรอยู่อย่างพอเพียงเเบบที่ในหลวงท่านทรงสอนพวกเราไว้ เเล้วชีวิตจะมีความสุขครับ ความต้องการไม่มีอันจบสิ้นก่อทุกข์ให้เราได้อย่างไม่รู้ตัวครับ
     
  3. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ขอบคุณ จขกท.อ่านแล้วก็เบาๆ สบายๆ ในใจผสมกับได้ข้อคิดจากบทความข่าวอยู่หลายคำพูดอยู่เหมือนกัน เพราะนานๆ บทความทำนองนี้จะโผล่เข้ามาให้อ่านในเว็บธรรมะสักครั้งหนึ่งค่ะ (smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...