รวมคำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 12 พฤศจิกายน 2007.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การปฏิบัติกรรมฐานอย่างง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองให้ยุ่งยาก อยู่ที่ไหนก็ตาม ทำได้เสมอ มีอย่างไร

    การปฏิบัติกรรมฐานจริงๆ

    [1] อันดับแรกคือพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก่อน
    โดยพิจารณาให้เห็นว่า โลกเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง
    คำว่าโลก คือร่างกายของเรานี่เอง มันไม่เที่ยง ร่างกายของเราเป็นทุกข์ ร่างกายของเราเป็นอนัตตา ตายไปในที่สุด ในเมื่อเรามีสภาพแบบนี้ คนอื่นก็มีสภาพแบบนี้เช่นเดียวกัน

    [2] หลังจากนั้นก็คุมสติสัปชัญญะ ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นอารมณ์ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยการเอาจิตภาวนา ภาวนานี่เป็นการทรงสติสัมปชัญญะ
    ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ
    ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ เป็นพุทธานุสสติ ลมหายใจเข้านี่เป็นตัวต้น ตัวสร้างสมาธิ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ นี่เบื้องต้นนะ

    [3] แล้วหลังจากนั้น ก็ พยายามทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ตลอดไป

    [4] และตั้งใจไว้ว่า ตายเมื่อไรขอไปอยู่นิพพาน โดยไม่ขอเกิดเป็น มนุษย์ เทวดา พรหม

    แค่นี้ เมื่อตายแล้ว อย่างต่ำสวรรค์เป็นที่ไป อย่างสูงนิพพานเป็นที่หมายได้แน่นอน



    ทางลัดไปนิพพาน

    ท่านทั้งหลายโปรดทราบว่า

    "การที่ไม่ต้องการสวรรค์
    ไม่ต้องการพรหมโลก
    ไม่ต้องการเป็นมนุษย์"

    นี่เป็นการตัดอวิชชา

    คือความเป็นพระอรหันต์

    ที่มา: ธรรมสัญจรเล่มที่ 4 หหน้า 165 พิมพ์โดย: เยาวยุทธ





    ความจริงแห่งความเป็นพระ

    "นี่ความจริงความเป็นพระ คือความเป็นผู้ใหญ่ในพระพุทธศาสนา นี่ไม่ใช่อายุ หรือว่าไม่ใช่วิชาความรู้ ที่เรียนมาเป็น เปรียญ หรือ เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เป็นเปรียญ ๙ ประโยค
    อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงเรียก มหาเถระ และยังไม่เรียกว่า พระ ด้วย
    ถ้ายังไม่เป็น พระโสดาบัน เพียงใด ยังไม่เรียก พระ ถ้าเด็กอายุแค่ ๗ ปี หรือผู้หญิงก็ตามหรือผู้ชายก็ตาม ที่ยังไม่ใด้บวช ถ้าบรรลุ มรรคผล ตั้งแต่
    พระโสดาบัน ขึ้นไป พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระ

    แต่ความจริง พระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี นี้บรรลุไม่ยาก มันเป็นของไม่ยากจริงๆ คำว่าไม่ยากนี้ ก็หมายความว่า เราทรงคุณธรรมเพียงเล็กน้อย อย่างคนที่เป็น พระโสดาบัน จริงๆ เฉพาะฆราวาสก็มี อารมณ์พระโสดาบัน มีดังนี้
    ๑.เคารพพระพุทธเจ้า
    ๒.เคารพพระธรรม
    ๓.เคารพพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ
    ๔.จิตต้องการจุดเดียว คือ พระนิพพาน"

    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่มที่ ๗ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ





    ต้องหมั่นซ้อม ตั้งแต่ตื่นอยู่ถึงหลับ

    "อย่างกับบรรดาท่านทั้งหลาย ที่สงสัยว่า จำภาพพระพุทธรูป ลืมตาแล้วก็หลับตา นึกถึงภาพ ภาพมันก็เลือนไปแล้ว ก็ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ แค่นี้ก็ยังสงสัยกัน ว่าทำไมภาพนั้น จึงนึกเห็นไม่ชัด มันก็เป็นสิ่งไม่น่าถาม ถ้าใช้คำถามอย่างนี้ ก็แสดงว่าเป็นบรมโง่ มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เด็กอมมือก็พอรู้ การจำภาพ จะนึกถึงภาพอะไรก็ตาม อยู่ๆจะให้อารมณ์มันแจ่มใส จำได้ถนัดชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้ จะต้องอาศัยการฝึกฝนเรื่อยๆ ไป อารมณ์นั้นมันก็จะปรากฏชัดแจ่มใส
    วันเวลาตั้งแต่ตื่นอยู่ถึงหลับ จงอย่าทิ้งอารมณ์นั้น ทำอารมณ์ให้มันชิน คิดถึงภาพให้นึกว่า ในสมัยที่ที่เราเคยรักใครที่ซึ่งเป็นคนรัก เวลาหลับตาก็เห็น ลืมตาก็นึกเห็น หรือว่าถ้าเรามีบ้านอยู่ เราจากบ้านไปไหน เรานึกถึงบ้านขึ้นมาเมื่อไร มันก็นึกเห็นภาพบ้านเมื่อนั้น จิตใจของเราไม่ลืมเลือน ไม่ปล่อยสติสตังให้มันพลั้งเผลอ นี่เขาทำกันอย่างนี้ มันเป็นของธรรมดาๆ"

    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่มที่17พิมพ์โดย: เยาวยุทธ






    การเจริญพระกรรมฐาน

    ในเบื้องต้น ก่อนที่จะภาวนา ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก่อน
    หายใจเข้า รู้อยู่ว่าหายใจเข้า
    หายใจออก รู้อยู่ว่าหายใจออก แล้วเราก็คิดตามว่า
    หนึ่ง เราต้องตาย
    ประการที่สอง ถ้าตายแล้วจะไปสวรรค์ก็ได้ ไปนรกก็ได้ มีสองทาง
    ฉะนั้นเราเลือกไปสวรรค์เป็นอย่างน้อย หรือไปนิพพาน คือยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ ตั้งใจนึกถึงท่าน และ
    ประการที่สาม ตั้งใจทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ศีล ๕ ค่อยๆ ละ ข้อไหนมันบกพร่องมาก ค่อยๆเตือนใจมัน วันนี้ทำผิด ก็ให้คิดว่า พรุ่งนี้จะไม่ยอมทำผิด พรุ่งนี้ยังผิดอีก มะรืนนี้จะไม่ยอมอีก เตือนมันอย่างนี้เสมอๆ ทำเช่นนี้เรื่อยๆ ไม่ช้าก็ทรงตัว
    ประการที่สี่ ให้ตั้งจิตหวังนิพพานไว้เป็นอารมณ์ โดยทุกวันก่อนจะหลับ ให้นึกถึงพระนิพพาน (คือตายแล้วขอไปอยู่พระนิพพาน ไม่ขอเกิดเป็น มนุษย์ เทวดา พรหม) ตื่นใหม่ๆนึกถึงนิพพานก่อน
    เมื่อนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์อย่างนี้
    ท่านเรียกว่าเป็น ฌานในอุปสมานุสสติกรรมฐาน
    มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ทีนี้พอจะตายจริงๆ ไอ้เวลาที่เราตาย ร่างกายเท่านั้นที่ตาย ส่วนที่จะไป นิพพาน จะไปนรก จะไปเป็นเปรต อสุรกายก็ตาม ใจมันไป
    ที่เรียกว่า อทิสสมานกาย เป็นสภาวะที่ไป
    ในเมื่อจิตใจเรารัก พระนิพพานเป็นอารมณ์ มันก็ไปเฉพาะพระนิพพานโดยตรง นี่มีเยอะนะ เอาแค่นี้นะ


    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่มที่ 15 พิมพ์โดย: เยาวยุทธ




    ปัจจัยเข้าถึงสวรรค์โดยไม่ยาก

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่กำลังตั้งใจเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน หรือว่าตั้งใจ เป็นบุญเป็นกุศล ถ้าคิดเสียว่ากรรมใหญ่คือกุศลใหญ่ ที่ยิ่งกว่านี้จะมีไม่ได้สำหรับเรา
    ก็ขอให้ท่านนึกถึงความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยใช้ อานาปานุสสติกรรมฐาน กับ พุทธานุสสติกรรมฐาน ควบคุมเข้าไว้ ให้กำลังใจทรงอยู่ในกรรมฐาน ทั้งสองประการ
    เวลาหายใจเข้า นึกว่า พุธ เวลาหายใจออกนึกว่า โธ
    อันนี้เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน เพราะเวลาที่เราจะตาย จิตของเราจะมีความผ่องใส ถ้านึกถึงคำภาวนาอย่างนี้ได้ ก็ชื่อใจผ่องใส ย่อมเป็นปัจจัยให้เข้าถึง สวรรค์ ได้โดยไม่ยาก


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม 4พิมพ์โดย: เยาวยุทธ






    พ่อสอนลูก
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่เคารพรักของเรา สอนเราไว้ว่า
    1) คนดี คือคนมีเมตตาปราณีต่อเพื่อน กับสงสารสงเคราะห์ซึ่งกันและกันด้วย สังคหวัตถุ
    - ให้กันด้วยวัตถุ
    - มีวาจาไพเราะอ่อนหวานเป็นที่รัก
    - ช่วยกิจการงานของเพื่อน
    - ไม่ถือตัว ไปไหนทำตนเสมอกัน
    หลัก 4 ประการนี้ ถ้ามีอยู่ในใจของลูก ลูกปฏิบัติได้พ่อจะมีความสุขมากใจมาก พ่อมีชีวิตอยู่พ่อก็มีความสุข พ่อตายไปแล้วพ่อก็มีความสุขใจ หรือตายอย่างนอนตาหลับ ทั้งนี้เพราะลูกของพ่อเป็นคนดี
    2) ต้องทราบไว้เสมอว่าคนที่เกิดมานี้ มีต้นกรรมไม่เสมอกัน คนในโลกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ
    2.1 คนฉลาดมาก ที่ทำบุญไว้เต็มที่แล้ว มีบารมีครบถ้วน เพียงแนะนำแต่เพียงหัวข้อย่อ ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที
    2.2 บางพวกปัญญาบารมีหย่อนนิดหน่อย พออธิบายก็บรรลุมรรคผล
    2.3 บางพวกพอแนะนำให้เข้าใจในกุศลเบื้องต้นได้ แต่เอาบรรลุมรรคผลไม่ได้
    2.4 พวกสุดท้าย เป็นพวกเหลือขอ พูดไม่รู้เรื่อง อวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ หมดทางแนะนำ
    คนในโลกแบ่งออกเป็น 4 พวกนี้ ลูกจงอย่าคิดว่าเขาจะเหมือนเราเสมอไป การแนะนำเป็นของดี แต่อย่าเอาใจไปผูกพัน ถือว่าบอกปล่อย เขาทำตามก็ดีไม่ทำตามก็ช่าง เอาตัวรอดเป็นการพอแล้ว ปล่อยเขา เขาจะคิด จะพูด จะทำอย่างไร อย่าสนใจเป็นอันขาด
    3) ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น โลกธรรม ให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก ให้วางมันเสีย กรรมของเราที่มีความโง่เกิดมาในโลกนี้ โลกเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ความร้อนมันก็ถูกเรา แต่ว่าให้มันถูกแต่กาย อย่าให้มันเข้าไปถึงใจ ความสุขความทุกข์ในโลกอย่าสนใจ สนใจอย่างเดียว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เรามีความสุข ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่กี่วันมันก็พัง ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ท่านบอกว่ามีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลาย ร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่าท่านมีความสุข เราก็พยายามทำให้สุขเหมือนท่านบ้าง ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่าคิดเราดีไว้เสมอ มองดูความบกพร่องของจิต ว่า จิตเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี อย่างนี้เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการ
    บรรดาลูกรักของพ่อทุกคน ปฏิปทาใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความชนะในมารนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงชนะในมารฉันนั้น ด้วยกำลังใจที่ทรงความดี
    4) ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำ งานทั้งหลายเหล่านั้น ขอลูกรักทั้งหมด จงรักษางานนั้นไว้ด้วยหัวใจของลูกเอง คือ รักษาไว้ด้วยชีวิต เพราะงานสาธารณะประโยชน์เป็นกิจอันหนึ่งที่ทำให้คนไทยรวมตัวกัน มีความรัก มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน และทุกคนก็จะมีความสุข
    5) ขอลูกรักทั้งหมด จงอย่าสนใจกับคำนินทาและสรรเสริญ ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้ว่า ถ้าร่างกายมันยังมีอยู่ จงอย่าปรารภว่าตนเป็นคนดี เพราะว่าสิ่งที่เราเกาะอยู่นี่มันเลว คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ ร่างกาย มันทั้งสกปรก มันทั้งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการตายไปในที่สุด ร่างกายมันเป็นส่วนรับทุกขเวทนา ฉะนั้นขอลูกรักทุกคน จงอย่าสนใจกับร่างกายของตนเอง และของบุคคลอื่น คำว่าไม่สนใจ หมายความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงดูมันไปตามสภาพ มันหิวก็ให้มันกิน มันร้อนก็หาของเย็นให้ มันหนาวก็หาของอุ่นให้ และก็จงบอกกับมันว่า เอ็งตายคราวนี้ ข้าเลิกคบเอ็งละนะ ทั้งนี้เพราะเอ็งไม่ดีเลย เอ็งมันเลวมาก ประคับประคองเท่าไร เอ็งก็ไม่ตามใจข้า ถ้าภาษาไทยชัด ๆ ก็พูดว่า เมื่อมึงไม่ตามใจกู กูก็จะไม่คบมึงอีกต่อไป
    6) ลูกรักของพ่อ ถ้าลูกต้องการหมดความทุกข์ ต้องการมีความสุข ก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ร่างกายบุคคลอื่นเป็นพวกเรา เป็นของเรา จงคิดว่าร่างกายมันเป็นแต่เพียงธาตุ 4 เข้ามาประชุมกัน เห็นร่างกายภายใน คือร่างกายของเรา ก็ทำความรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าเห็น คือ ไม่สนใจ ไม่ยึดถือว่ามันกับเราจะอยู่ด้วยกันตลอดกาลตลอดสมัย ตัดความโลภเสียด้วยการให้ทาน ตัดความโกรธเสียด้วยการเห็นใจซึ่งกันและกัน ตัดความหลงคือ ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    ลูกชายและลูกหญิงของพ่อถ้ามีอารมณ์ได้อย่างนี้ทั้งหมด ก็ปรากฏว่าทุกคนจะมีกำลังใจเป็นสุข ทุกคนจะหาความทุกข์ไม่ได้ เพราะมีใจสบาย อารมณ์ใจของลูกจะสบายได้ เมื่อลูกยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    7) ลูกรักทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตาย จงคิดว่าเราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีการตายต่อไป นั่นคือ พระนิพพาน พ่อมั่นใจในกำลังใจและความดีของลูกว่าพระนิพพานสมบัติจะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกของพ่อต้องได้แน่นอน นี่เป็นความหวังของพ่อ แต่ทว่าถ้าลูกรักของพ่อลืมความดีนี้เสียเมื่อไร จิตใจพัวพันอยู่ในราคะก็ดี พัวพันอยู่ในโลภะ ความหลงก็ดี พัวพันอยู่ในความโกรธพยาบาทก็ดี เป็นอันว่าลูกกับพ่อนี้ต้องแยกทางเดินกัน ไม่ใช่พ่อโกรธลูก แต่เวลาตายจริง ๆ เราตามกันไม่ไหว หวังว่าลูกรักทุกคนคงจะจำได้ คงจะละสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ คือ พยายามละทีละน้อย ปลดเปลื้องมันไป ไม่ช้ามันก็หมด
    คนเราเกิดมาในโลกที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ถ้าเราจะชดใช้บาป มันก็ชดใช้กันไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป การภาวนาให้จิตทรงตัว การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย พยายามรวบรวมบารมี 10 ประการไว้ให้ครบถ้วน พยายามตัดสังโยชน์ 10 ประการ ให้หมด จรณะ 15 ปฏิบัติให้ครบถ้วน มีพรหมวิหาร 4 ให้ครบถ้วน ทรงศีลให้บริสุทธิ์ มีอิทธิบาท 4 ทรงตัว เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ ลูกรักของพ่อจะไม่ต้องเกิดอีกต่อไป
    9) ยามปกติเอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้าได้ ตั้งใจตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน
    เครื่องมือที่ลูกจะมีไว้นั่นคือ บารมี 10 ทำให้ครบถ้วน สังโยชน์ 10 ตัดให้ขาดให้หมด มี จรณะ 15 มีอิทธิบาท 4 มีพรหมวิหาร 4 มีศีล ปกติ มีทาน ปกติ ทั้งหมดนี้ต้องมีประจำใจ จับพระนิพพาน เป็นอารมณ์ ถ้าจิตจับ พระนิพพาน ได้แล้ว ลูกแก้วของพ่อไม่ต้องวิตกกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเราหมด
    10) พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราจะพึงศึกษาและปฏิบัติให้ละกันได้จริง ๆ นั่นก็คือ สังโยชน์ 10 ประการ ขอลูกรักทุกคน ลูกมีกำลังใจเป็นมหากุศลยากที่จะหาคนอื่นเสมอเหมือนได้ แต่คำชมของพ่อขอลูกอย่าเหลิง ถ้ามีความทะนงตนเมื่อไร ลูกก็เลวเมื่อนั้น จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด ในเวลานั้นก็ชื่อว่าเรายังไม่มีความดี เราจะพยายามเก็บความชั่วทุกอย่างที่มันขังอยู่ในจิต ทำลายให้มันตายสนิทอย่าให้มันเกิดขึ้นมา เมื่อกิเลส คือ ความชั่วตายหมด ชื่อว่าจิตว่างจากความชั่ว จะทรงไว้แต่เพียงความสุขอย่างเดียว หวังว่าลูกรักของพ่อคงจำได้
    11) ฉันมั่นใจ ลูกหลานของฉันทุกคนเวลาตายอย่างต่ำก็ต้องไปสวรรค์ชั้นกามาวจร อย่างกลางต้องไปพรหมโลก อย่างดีที่สุดมีอยู่แล้วก็คือพระนิพพาน แต่ใครจะหมุนกลับลงมามนุษย์โลก ฉันแน่ใจว่าลูกหลานของฉันไม่จน คนที่รวยอยู่แล้วจะรวยมากกว่านี้ คนที่ไม่เคยร่ำรวยจะพบกับความร่ำรวยอย่างคาดไม่ถึง นี่สิ่งเหล่านี้ฉันมีความมุ่งหวังมานาน ตั้งแต่บวชปีแรกฉันทำอย่างนี้ และฉันก็ทำตลอดมา ทำในสมัยที่ฉันมีกำลังร่างกายดี แต่เวลานี้ฉันไม่มีแรงแล้ว หาเงินไม่ไหว เทศน์ก็ไม่ไหว สวดมนต์ก็ไม่ไหว ร่างกายมันไม่อำนวย เงินทองที่จะใช้จะกินเข้าไป นอกจากลูกหลานทุกคนสงเคราะห์ฉันอย่างคาดไม่ถึง ผลความดีอันนี้แหละ ในฐานะที่ฉันเป็นหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ และก็เป็นพระแก่เจ้ากี้เจ้าการ ถือพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ คือ มีพระพุทธเจ้าเป็นประทาน ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพรหม เทวดาทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจดจำลูกหลานของฉันไว้ว่า บุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการ แก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูกเวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคนมีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว
    12) ที่พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังกายกำลังใจ ทำได้ทุกอย่างก็เพราะลูกทุกคนเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น ลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนความสุขที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ พระนิพพาน
    13) ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือ ตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ 5 ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่พอใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำ และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่า พ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ

    พิมพ์โดย: พ่อสอนลูก



    การขอพร

    พรให้ตายช้าๆ อย่าเอาเลยนะ ฉันไม่ค่อยชอบ ฉันชอบตายเร็วๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไป แล้วพรเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่างมันนะ ให้เป็นไปตามสังขารและขันธ์ จะทำให้สบายได้อย่างไร

    เอาพรที่ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ตาย ไม่เกิด ดีกว่า(คือไปพระนิพพาน)

    ฉันว่าถ้าให้พรอย่างทั่วๆไป อายุ วรรณะ สุขะ พละ แล้วรู้สึกว่าเป็นการแช่งให้คนทรมานในโลกมากไป สู้ตายให้พ้นๆไอ้เรื่องเวรกรรมดีกว่านะ ปู่ว่าคงถูก


    ที่มา: พรสวรรค์รวมเล่ม 1-2-3 พิมพ์โดย: เยาวยุทธ




    ทำไมธรรมะที่หลวงพ่อสอน จึงฟังเข้าใจง่าย

    ถาม หลวงพ่อคะ ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าโปรดนั้น เป็นมนุษย์ธรรมดาหรือว่าตอนท่านนิพพานแล้วคะ
    หลวงพ่อตอบ เทศน์โปรด หมายถึงร่างกายยังทรงพระชนม์อยู่ สมัยมีร่างกายเป็นมนุษย์ ถ้านิพพานไปแล้วท่านก็ยังเทศน์ ฉันฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าทุกวัน เวลาแนะนำคน ฉันต้องฟังข้างหลัง หรือบนหัว
    (ด้วยเหตุนี้เอง ธรรมะที่หลวงพ่อสอน จึงฟังเข้าใจง่าย)


    ที่มา: หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมฉบับพิเศษเล่มที่ 5 พิมพ์โดย: เยาวยุทธ




    การทรงสมาธิวิปัสสนา

    การทรงสมาธิวิปัสสนานั้น มิใช่การมานั่งหลับตาแต่เพียงอย่างเดียว เป็นการปฏิบัติ เพื่อให้ใจเรารู้จัก มีสติสัมปชัญญะ คือ สมาธิ มีปัญญา ในการพิจารณา ธรรมะ ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกนาที ที่เราได้พบเห็น ได้ยิน ในเหตุการณ์ทั้งปวง
    จงมุ่งไว้จุดเดียวว่า เราเข้ามาฝึกพระกรรมฐานนี้ เพื่อหวังการไม่เกิด หวังพระนิพพานเป็นจุดหมาย
    เมื่อรู้ความหวังของเราแล้ว ก็ต้องรู้ว่า
    ทำอย่างไรถึงจะไปพระนิพพานได้

    ที่มา: พรสวรรค์ 1-2-3 พิมพ์โดย: เยาวยุทธ



    ธรรมทาน
    การให้ธรรมทานเป็นปัจจัยใหญ่ เพราะการให้ธรรมทานบุคคลได้ฟังแล้วจะเกิดปัญญาสิ่งใดที่ไม่เคยรู้มาแล้วก็จะได้มีความรู้ขึ้น เมื่อมีความรู้แล้วก็เกิดความมั่นใจ มีปัญญาเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ใด บุคคลผู้นั้นก็เป็นผู้หลีกความทุกข์ได้ ถ้าปัญญามีมากก็หลีกความทุกข์ได้มาก ปัญญามีน้อยก็หลีกความทุกข์ได้น้อย ดีกว่าคนที่ไม่มีปัญญาเลย ไม่มีโอกาสที่จะหลีกความทุกข์ได้ นี่ว่ากันถึงธรรมทาน
    อภัยทาน
    ธรรมทานอีกส่วนหนึ่งที่มุ่งหมายจะเทศน์ วันนี้ก็คืออภัยทาน อภัยทานนี้เป็นการให้ทานที่ไม่ต้องลงทุนด้วยวัตถุ แล้วก็เป็นทานสูงสุด พระพุทธเจ้ากล่าวว่าใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว คำว่าปรมัตถบารมีนี้เป็นบารมีสูงสุด เป็นบารมีที่จะทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน คำว่าอภัยทานก็ได้แก่การให้อภัยซึ่งกันและกัน

    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 17 พิมพ์โดย: สุ จิ ปุ ริ(b-deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2010
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ลักษณะพระนิพพาน

    "พระนิพพานไม่มีสภาพสูญ เขาเรียกว่า ทิพย์วิเศษ เป็นแดน อมตะ ไม่มีการเคลื่อน ไม่เหมือน เทวดา หรือ พรหม เทวดาหรือพรหม หมดวาสนาบารมี ก็ต้องลงมา ถ้าเข้าถึงแดนพระนิพพาน เสร็จไม่มีการลง คงอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ มีความสุขเป็นปกติ ไม่มีความหนักแม้แต่อารมณ์ข้องขัดแม้แต่นิดเดียว ขึ้นชื่อว่าเป็นความดี"

    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤษภาคม 2009
  3. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    พระนิพพาน

    ลักษณะพระนิพพาน

    "พระนิพพานไม่มีสภาพสูญ เขาเรียกว่า ทิพย์วิเศษ เป็นแดน อมตะ ไม่มีการเคลื่อน ไม่เหมือน เทวดา หรือ พรหม เทวดาหรือพรหม หมดวาสนาบารมี ก็ต้องลงมา ถ้าเข้าถึงแดนพระนิพพาน เสร็จไม่มีการลง คงอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ มีความสุขเป็นปกติ ไม่มีความหนักแม้แต่อารมณ์ข้องขัดแม้แต่นิดเดียว ขึ้นชื่อว่าเป็นความดี"

    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  4. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การใช้ลมหายใจเข้าหายใจออก

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายรวบรวมกำลังใจให้ทรงตัว พยายามกำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้าหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก ตัวรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก เวลาฝึกนี่เป็นการฝึกสติสัมปชัญญะ ฉะนั้นเวลาที่เราจะทำงานทำการใดก็ดีต้องใช้อารมณ์นี้ ไม่ใช่ไปนั่งนับลมหายใจว่าเราจะทำอะไร นึกไว้ว่าเราจะทำ ขณะที่ทำไปแล้ว ก็รู้ตัวว่าเราทำแล้ว นี่การฝึกรู้ลมหายใจเข้า-ออกก็เพื่อผลงาน งานที่เราจะทำเป็นงานควรหรือไม่ควร ที่ทำไปแล้วมันดีหรือมันเลว รู้ตัว นี่ทรงตลอดวันแบบนี้ไม่ใช่มานั่งฝึกรู้ลมหายใจเข้า-ออกกันแล้ว เวลาเลิกไปแล้วก็ทำความระยำทุกอย่าง สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ ก็ทำดะ นี่มันก็หมายถึงว่า การฝึกไม่มีผล ฝึกไปฝึกมาไปอยู่กับเทวทัตทั้งหมดไม่มีใครเหลือ

    ที่มา: สายทางเข้าสู่พระนิพพาน พิมพ์โดย: เอ จี
     
  5. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ปลุกพระหรืออาราธนาบารมีพระเช้าค่ำ ตายไปอยู่สวรรค์ชั้นมายา
    เมื่อไม่นานมานี้ มีคนๆหนึ่งไปหาที่วัด ไปถามว่าคุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ความจริงอาตมาก็ไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่เมื่อเขาบอกชื่อก็นึกถึง แกก็มายืนข้างหน้า ถามว่าเวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน เขาตอบว่าเวลานี้ ผมอยู่ชั้นมายาครับ ถามว่าอยู่ชั้นมายา ปกติคุณทำอะไร จึงไปอยู่ชั้นมายาได้ บอกปกติผมทำสมาธิ ก็ถามว่า สมาธิคุณทำเวลาไหน เวลาตอนเช้ากับตอนค่ำครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ผมก้ห้อยสร้อยมีพระอยู่ที่สร้อย หยิบพระมา%

    ปลุกพระหรืออาราธนาบารมีพระเช้าค่ำ ตายไปอยู่สวรรค์ชั้นมายา
    เมื่อไม่นานมานี้ มีคนๆหนึ่งไปหาที่วัด ไปถามว่าคุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ความจริงอาตมาก็ไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่เมื่อเขาบอกชื่อก็นึกถึง แกก็มายืนข้างหน้า ถามว่าเวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน เขาตอบว่าเวลานี้ ผมอยู่ชั้นมายาครับ ถามว่าอยู่ชั้นมายา ปกติคุณทำอะไร จึงไปอยู่ชั้นมายาได้ บอกปกติผมทำสมาธิ ก็ถามว่า สมาธิคุณทำเวลาไหน เวลาตอนเช้ากับตอนค่ำครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ผมก้ห้อยสร้อยมีพระอยู่ที่สร้อย หยิบพระมาพนมมืออาราธนาบารมีพระ คือที่เขาเรียกกันว่าปลุกพระ หรืออาราธนาบารมีพระก็ได้ ตอนค่ำก็เกรงอันตรายก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน อย่างนี้ชื่อว่าเป็นการนึกถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งสองเวลา ทั้งตอนเช้าและตอนค่ำก็เป็นสมาธิ ไอ้สมาธิไม่จำต้องไปนั่งขัดสมาธิเฉย เฉย จะทำแบบไหนก็ได้ นั่งแบบไหนก็ได้ ถ้าอยู่ที่บ้านของเรา ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพุทธานุสสติ จิตนึกถึงพระธรรมเป็น ธัมมานุสสติ จิตนึกถึงพระสงฆ์เป็น สังฆานุสสติ นั่นเขาอยู่ชั้นยามาได้ แต่พอลูกชายถามว่าเวลานี้พ่อผมอยู่ไหน ก็บอกว่าถ้าคุณอยากรู้ก็ไปฝึกกรรมฐานก็แล้วกัน จะให้บอกคุณน่ะไม่บอก ไม่เกิดประโยชน์ เพราะการบอกคุณ คุณก็ไม่หายสงสัย คุณก็ถามเรื่อยไปและก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ ถ้าคุณอยากรู้คุณไปฝึกกรรมฐานกับเขาในวิหารไม่เกิน 3 วัน คุณก็พบกับพ่อคุณได้ และในที่สุดท่านผู้นั้นก็ตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นไปฝึกกรรมฐาน เพียงแค่วันแรกก็สามารถนั่งคุยกับพ่อได้



    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 4 พิมพ์โดย: ลูกๆ หลานๆ
     
  6. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    วิธีฝึกจิตให้ไปนิพพานอย่างง่ายๆ เมื่อตายไปแล้ว ทำอย่างไร

    ให้ฝึกอย่างนี้
    ในเมื่อจิตนึกถึง ความตายได้
    นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ได้
    ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ได้
    ก็ให้ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าตายแล้วจะไป พระนิพพาน


    โดยทำความเข้าใจ ตามความเป็นจริงว่า ร่างกายของเรามีสภาพไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สลายตัวไปในที่สุด ให้ถือว่าร่างกายนี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ไม่ช้ามันก็ตาย ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆอย่างนี้ เราไม่ต้องการมันอีก
    เราต้องการนิพพาน จุดเดียว คือไม่ต้องการเกิดเป็น มนุษย์ เทวดา พรหม ไปพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น
    ให้คิด ให้นึกอย่างนี้ทุกวัน นึกไว้ทุกลมหายใจเข้าออก ยิ่งดีหนักเข้าไปอีก เผลอไปชั่งมัน มีสตินึกได้ ก็นึกไว้
    เวลาป่วยหนักใกล้จะตาย อารมณ์ทั้งหมด ที่คิดที่นึกวันละเล็กวันละน้อย มันจะรวมตัวเพื่อนิพพานโดยตรง
    อารมณ์ของจิต จะสงบวางเฉยทั้งหมด การที่จะไปนิพพานได้จริงๆ อารมณ์จิตมันจะวางเฉยในทรัพย์สินทั้งหมด ขณะที่เราป่วย ไร่นาสาโทบ้านช่องทรัพย์สินต่างๆ มันก็เฉยเมยไม่สนใจ
    จิตมันเฉย ทำอารมณ์ให้ทรงตัวเกาะรูปพระพุทธเจ้าไว้โดยเฉพาะ หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ ด้วยก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องไปสนใจในทรัพย์สิน ไม่ต้องสนใจในร่างกาย
    ถือว่าร่างกายมันจะตายก็เชิญตาย เราจะไปนิพพานเท่านั้น เพียงเท่านี้ฝึกไว้ทุกวัน ถึงเวลาใกล้ตายเมื่อไร ไปนิพพานเมื่อนั้น


    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ พิมพ์โดย: ลูกๆหลานๆ
     
  7. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เขาเรียกว่าโง่น่ะ

    ถ้าคนทุกคน มีความไม่ฉลาดมากเกินไป เขาเรียกว่าโง่น่ะ จำให้ดี ต้องฉลาดพอดี ไม่ฉลาดมากเกินไป ก็ตั้งใจโดยเฉพาะ มันจะไปได้หรือไม่ได้ ก็ตามใจมัน
    เราทำบุญทุกอย่าง
    ตั้งใจไว้จุดเดียวคือ นิพพาน
    เราบูชาพระก็ปรารถนา นิพพาน
    เราใส่บาตรก็ปรารถนา นิพพาน
    เราสวดมนต์ก็ปรารถนา นิพพาน
    เราให้ ทาน ก็หวัง นิพพาน
    เราเจริญกรรมฐานก็หวัง นิพพาน
    จิตจับไว้จุดเดียวว่า
    ถ้าตายเมื่อไรขอไป นิพพานจุดเดียว


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๔ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  8. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ควรปลงขันธ์ ๕ ท่าเดียว

    ก่อนจะจบ ขอบอกกับญาติโยมพุทธบริษัทว่า ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ก็พึงทราบ ถ้ากำลังใจของเรายังอยากท่องเที่ยวไปตามภพต่างๆ ยังมีความกระหาย นั่นแสดงว่ากำลังกิเลสยังหนาอยู่
    ถ้ากำลังจิตมันหดหู่ไม่อยากไปเที่ยวไหน อยากจะไปปลงขันธ์ ๕ ท่าเดียว อันนี้แสดงว่ากิเลสมันเหลือน้อยเต็มที ถ้าจะขึ้นไปก็มีจุดสำคัญจุดเดียวที่องค์สมเด็จพระชินศรีทรงประทับ
    ถ้ากำลังใจมันน้อยตลบเข้ามาอยู่แค่นี้ละก็ ทราบเถอะว่ากิเลสของเรามันบางเต็มทีแล้วนะ จะกลายเป็นคนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดต่อไปข้างหน้า(๒๕๒๔)

    ที่มา: พ่อสอนลูกทศชาติที่๑ ปริชาต แสงหิรัญผู้รวบรวม พิมพ์โดย: ลูกๆหลานๆ
     
  9. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การทรงฌานใน พุทธานุสสติกรรมฐานอย่างง่ายๆ

    "เอาอย่างนี่นะ ทุกวันถ้าเวลาของเรามีน้อย
    ก็ใช้เวลาก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ นี่สำหรับท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธินะ พวกที่ได้มโนมยิทธินี่เขาได้กำไรมาก นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ คิดว่าองค์นี้คือพระพุทธเจ้าแล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ หายใจเข้านึกว่าพุท หายใจออกนึกว่า โธ สัก ๒ - ๓ ครั้ง ก็ได้ตามความพอใจ มากก็ได้น้อยก็ได้แล้วก็หลับไป

    พอตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีก แล้วก็ภาวนาว่าพุทโธ อีก ทำอย่างนี้ทุกวัน จนกระทั่งถึงวันไหน ถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ วันนั้นรำคาญต้องทำ วิธีทำก็ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิก็ได้
    กลางวันทั้งวันเราเหนื่อยยากในการงานมากก็นอน เวลาจะนอนก็กราบหมอนสัก ๓ ครั้ง นึกกราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระอริยสงฆ์ หลังจากนั้นเมื่อหัวถึงหมอนก็นอนภาวนา พุทโธ ทำอย่างนี้เพียงแค่ ๒ - ๓ ครั้ง แล้วก็หลับ แล้วตื่นขึ้นมาใหม่เอาอีกแหละ
    เอาแบบนี้ จนกระทั่งมีอาการชิน วันไหนถ้าไม่ได้ภาวนา พุทโธ วันนั้นรำคาญ ไม่สบายใจ ไม่ได้ ต้องภาวนา
    อย่างนี้ถือว่าทรงฌานใน พุทธานุสสติกรรมฐาน
    ถ้าอารมณ์ของท่านทรงฌานใน พุทธานุสสติกรรมฐาน แล้ว
    ถึงแม้ศีลมันจะขาด มันจะบกพร่องบ้าง ถึงอย่างไรก็ตาม
    ตายแล้วต้องไป สวรรค์แน่นอน
    เอาแค่สวรรค์ก่อนนะ


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม๔ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  10. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ทำบุญแล้วอย่าทิ้งบุญ

    ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า เมื่อทำบุญแล้วจงอย่าทิ้งบุญ เราทำบุญที่ศาลาหลังนี้เราได้บุญแล้ว เมื่อลุกขึ้นไปแล้ว อย่าให้บุญมันหล่น ให้เกาะติดไปถึงบ้าน ก่อนจะหลับอย่าลืมนึกถึงมา วัดท่าซุง รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เอามันทั้งวัด ทั้งวัดนี่เป็นเงินของญาติโยมทั้งหมด จงคิดว่าของทุกอย่างในวัดนี้เป็นของท่าน เดินดูเสียให้รอบๆ ว่ามันมีอะไรบ้าง นี่เป็นสมบัติของเราทั้งหมด นึกไว้เสมอว่า ทานเราเคยให้ ศีลเราเคยรักษา ภาวนาเราเคยทำ เทศน์เราเคยฟัง ธรรมทานเคยถวาย
    เท่านี้แหละท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจไว้ว่าตายแล้วจะไปไหน ถ้าอยากไปสวรรค์ก็สั้นเกินไป อยากไปพรหมก็สั้นเกินไป เพราะอานิสงส์มันสูง ควรอยากไปนิพพานดีกว่า

    ไปนิพพานได้อย่างไร
    พระท่านบอกว่าขณะที่เรา มีทุกขเวทนาหนักก่อนตาย เวลานั้นโลภมันไม่มี ความโกรธจะไปตีกับใครมันก็ไม่มี ความหลงติดในร่างกายก็ไม่มี เพราะมีทุกขเวทนาหนัก เวลานั้นนั่นแหละ อารมณ์พระนิพพาน(ไม่ขอเกิดเป็น มนุษย์ เทวดา พรหม)จะเข้าแทรกทันที ถ้าเราคิดไว้ทุกวัน หลังจากนั้น เมื่อดับจิตเมื่อไร ก็ไปนิพพานเมื่อนั้น

    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๔ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  11. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ตายแล้วไปนิพพานได้ มีแนวประพฤติตนในแต่ละวันอย่างไร

    หลวงพ่อบอกว่า ต้องตัดสังโยชน์ ๓ ให้ได้ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) คือ
    ๑. มีความรู้สึกไว้ทุกวัน เวลาตื่นตอนเช้าว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าตายแล้วเราไม่ยอมไปอบายภูมิ (นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน)
    ๒. เราจะยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจของเรา ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไม่สงสัยคำสอนใดๆของพระพุทธเจ้า
    ๓. เราจะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ทุกวัน
    เท่านี้แหละ แล้วหลังจากนั้นก็ใช้กำลังใจของพระอรหันต์ ไว้ประจำใจ คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์โลก มันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการมัน พรหมโลกกับเทวโลก สุขจริง แต่ไม่นาน เราไม่ต้องมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ”นิพพาน” อย่างนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ รักษากำลังใจตามนี้ไว้ เมื่อหมดอายุขัยเมื่อไร ก่อนตายจะเป็นพระอรหันต์ ตายแล้วก็ไปพระนิพพาน
     
  12. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    มรณานุสสติ

    "ท่านทั้งหลาย ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลาย จงอย่าประมาทในชีวิต อย่าคิดว่าเราจะไม่ตาย ในขณะใดที่เรายังทรงชีวิตอยู่

    องค์สมเด็พระบรมครู แนะนำให้สร้างแต่ความดี คือ

    ประการแรก พยายามตัดความโลภ ด้วยการให้ "ทาน"

    ประการที่สอง ให้ระงับอารมณ์ของโทสะและพยาบาท ด้วยการมีเมตตา ปรานี ทรงอยู่ในศีล ๕

    ประการที่สาม จงอย่าประมาทในชีวิต จงคิดไว้เสมอว่า เราจะตายเดี๋ยวนี้ เราจะตายอีกประเดี๋ยวหนึ่งก็ได้ อย่าพึงคิดว่า ชีวิตของเราจะยืนยาวเกินไป"


    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  13. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เทคนิคการเจริญกรรมฐาน

    การเจริญกรรมฐาน ควรถือคุณภาพเป็นสำคัญ การใช้ปริมาณของเวลานั่งครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง ถ้าหากจิตซ่านลอกแลกๆ หาการทรงตัวไม่ได้ มันก็จะมีสภาพไม่ต่างอะไรกับการเอาตะกร้าไปตักน้ำ ตักทั้งวันทั้งคืนไม่มีน้ำติดมา อย่างดีที่สุดก็เป็นตะกร้าเปียกๆเท่านั้น สู้เราเอาจอกเล็กๆเข้าไปตักจ้วงทีเดียวน้ำติดขึ้นมาหน่อยหนึ่งไม่ได้ ไม่ต้องเสียเวลามาก
    ข้อนี้อุปมาฉันใด ท่านนักปฏิบัติพระกรรมฐาน หวังเอาความดีกันจริงๆ ตามที่เขาปฏิบัติกันมาและมีผลดี คือใช้เวลาสั้นๆ สัก ๑๐ คู่ของลมหายใจเข้าออก ในช่วง ๑๐ คู่นี่เราจะไม่ยอมให้จิตคิดอย่างอื่นเลย ถ้าจะภาวนาด้วย จิตจะอยู่เฉพาะคำภาวนาที่เราต้องการ ถ้าบังเอิญในช่วง ๑๐ คู่นี้ ในระหว่างที่มันไม่ทันถึง ๑๐ จิตมันแวบไปสู่อารมณ์อื่น พอรู้สึกตัว ต้องเริ่มต้นใหม่ ทรมานมันเสีย อย่าตามใจมัน

    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๗ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  14. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    อารมณ์พระโสดาบัน

    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อารมณ์ที่เข้าถึงการเป็นพระโสดาบันนั้น ยังมีความรักความใคร่ ความอยากรวย ยังมีความโกรธ ความหลง ยังต้องการความสวยสดงดงาม แต่ก็ไม่เป็นภัย ความรักก็รักอยู่ในขอบเขตของพระธรรมวินัยและกฎหมาย ความร่ำรวยที่เราจะพึงหาได้ ก็หามาโดยชอบธรรมไม่โกงใคร ความโกรธในใจมีอยู่ แต่ไม่ไปประทุษร้ายใคร ความหลงในร่างกาย คือหลงในความสวยสดงดงามยังมีอยู่แต่คิดไว้เสมอว่า ร่างกายของเรานี้แก่ไปทุกวัน โดยการแต่งตัวให้เหมาะสมกับสังคมเท่านั้น ไม่ใช่คิดว่าการแต่งตัวให้สวย การประดับตัวให้งาม จะทำให้ตัวเลอเลิศมีความสุข แต่ก็ยังอายสังคมอยู่ถ้าแต่งตัวไม่เสมอเขา

    สรุปว่าพระโสดาบัน ความจริงก็ยังมีความรัก ยังมีการแต่งงาน ยังมีบุตรมีธิดา ยังมีสามี ภรรยา เพราะกิเลสต่างๆยังมีอยู่ครบ แต่ว่ามีอารมณ์ระงับ มีความรู้สึกรู้ตัวอยู่เสมอว่า กายมันจะแก่ มันจะเจ็บ มันจะตาย ความหวั่นไหวในการแก่ การป่วยไข้ ไม่สบายมีน้อย ค่อยๆหมดไป แล้วก็ มั่นใจในคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า มีศีลบริสุทธิ์ มีจิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา แล้วก็มี พระนิพพานเป็นอารมณ์

    ที่ว่ามานี้เป็นสายของ สุกขวิปัสสโก ถ้าอารมณ์ทรงได้ขนาดนี้ เรียกว่า พระโสดาบัน การได้อารมณ์พระโสดาบัน จะตัดอบายภูมิ คือโทษที่จะทำให้ลง นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่มี ถ้าเป็นพระโสดาบันชั้นหยาบ ก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีก ๗ ชาติ ขณะเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องรับเศษของกรรมชั่วที่ทำไว้แต่ปางก่อน ถ้าเป็นพระโสดาบันระดับกลาง ก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีก ๓ ชาติ ถ้าเป็นพระโสดาบันระดับละเอียด ก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีก ๑ ชาติ



    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๗ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  15. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การได้ปฐมฌาน

    ถ้าเราจะสังเกตลมหายใจเข้าออก พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้จับลมเป็น ๓ ฐาน
    หายใจเข้า กระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย
    หายใจออก กระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปาก หรือว่า จมูก

    เวลาจิตของเราสามารถกำหนดได้

    จับได้เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก กระทบแค่จมูกหรือแค่ริมฝีปาก เป็นศูนย์เดียว เป็นจุดเดียว อย่างอื่นจับไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า ขณิกสมาธิ คือ สมาธิเล็กน้อย ถ้าทรงอารมณ์ได้อย่างนี้วันละเล็กละน้อย ไม่มากนัก ครั้งละ ๒-๓ นาที ๕ นาที อย่างมาก ทรงได้แบบนี้ทุกวันๆ องค์สมเด็จพระทรงธรรม กล่าวว่าตายแล้วไปสวรรค์ได้แน่นอน

    ถ้าจับลมได้ ๒ ฐาน คือฐานจมูกกับฐานหน้าอก เวลาลมกระทบมีความรู้สึกอย่างนี้ท่านเรียกว่า อุปจารสมาธิ ถ้าตายจากคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น ยามา

    ถ้าจับลมได้ ๓ ฐาน คือลมหายใจกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือเล็กน้อย ทำได้แบบสบาย หูไม่รำคาญเสียงภายนอก อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน ถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม




    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๒ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  16. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    (b-deejai) การได้ปฐมฌาน

    ถ้าเราจะสังเกตลมหายใจเข้าออก พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้จับลมเป็น ๓ ฐาน
    หายใจเข้า กระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย
    หายใจออก กระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปาก หรือว่า จมูก

    เวลาจิตของเราสามารถกำหนดได้

    จับได้เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก กระทบแค่จมูกหรือแค่ริมฝีปาก เป็นศูนย์เดียว เป็นจุดเดียว อย่างอื่นจับไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า ขณิกสมาธิ คือ สมาธิเล็กน้อย ถ้าทรงอารมณ์ได้อย่างนี้วันละเล็กละน้อย ไม่มากนัก ครั้งละ ๒-๓ นาที ๕ นาที อย่างมาก ทรงได้แบบนี้ทุกวันๆ องค์สมเด็จพระทรงธรรม กล่าวว่าตายแล้วไปสวรรค์ได้แน่นอน

    ถ้าจับลมได้ ๒ ฐาน คือฐานจมูกกับฐานหน้าอก เวลาลมกระทบมีความรู้สึกอย่างนี้ท่านเรียกว่า อุปจารสมาธิ ถ้าตายจากคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น ยามา

    ถ้าจับลมได้ ๓ ฐาน คือลมหายใจกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือเล็กน้อย ทำได้แบบสบาย หูไม่รำคาญเสียงภายนอก อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน ถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม




    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๒ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  17. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    "การปฏิบัติกรรมฐาน พวกคุณนี่สามารถปฏิบัติกรรมฐาน จบกรรมฐาน ๔๐ มาแล้ว ๔ ชาติ (รู้ด้วยนะ) หลวงพ่อปาน อาจารย์คุณเป็นพระโพธิสัตว์คล่องในกรรมฐาน ๔๐ กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองจบได้ยาก แต่ว่าพวกคุณจบหมด เมื่อจบแล้วก็ไล่เบี้ยกรรมฐาน ๔๐ อย่างนี้มันคล่องตัวดี แต่ว่ายังเข้าไปหาจุดจบไม่ได้

    จุดจบต้องเข้าไปหาสังโยชน์ พวกคุณอ่านสังโยชน์ แต่ไม่สนใจกับสังโยชน์ เห็นไหม กรรมฐาน ๔๐ ก็ได้แต่เจริญถึงฌาน ๔ จากฌาน ๔ ไปอรูปฌาน ก็ฌาน ๘ มันก็แค่นั้น"

    "สังโยชน์ ๓ ประการ เป็นของไม่หนัก ถ้าเราไม่บกพร่องในสิกขาบทต่างๆ ที่เรียกว่า ศีล เราก็ทรงความเป็นพระโสดาบันได้ เพราะความรู้สึกว่า ชีวิตเราต้องตายมีอยู่แล้ว การยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เรามีอยู่แล้ว

    ส่วนการตัดสังโยชน์ ๕ สังโยชน์ ๑๐ ถ้าสามารถตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว ก็ไม่ต้องไล่สังโยชน์ ๔ , ๕, ๖, ๗, ๘, ๙ ให้จับสังโยชน์ตัวสุดท้ายทันที คือ อวิชชา"

    "สำหรับสังโยชน์ ๓ คุณจะทิ้ง สักกายทิฏฐิ ไม่ได้ กิเลสที่จะตัดจริงๆ มันตัดตัวเดียว ไม่ใช่ตัดทั้ง ๑๐ ตัว ตัดที่สักกายทิฏฐิตัวเดียว ถ้ามีอารมณ์เห็นว่า ร่างกายจะต้องตายมีความมั่นคงอย่างนี้แล้ว ก็ระวังศีล ถ้าศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง เราก็ไม่ลงอบายภูมิ นี่เป็นที่พอใจของเรา มีสังโยชน์แค่นี้ เป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น
    ต่อไปเมื่อทำลายสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว เราก็อย่ามัวไปว่า สังโยชน์ ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙ ให้ไปจับอวิชชาทันที ถ้าจับอวิชชาได้เมื่อไร เราก็ชนะเมื่อนั้น"

    อวิชชา "คือความหลงมัวเมาในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก " เรามีไหม ถ้าเราไม่เมามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เราต้องการพระนิพพานจุดเดียว นั่นคือเรามีหวังเป็น พระอรหันต์ แน่นอน



    ที่มา: พ่อสอนลูกเล่ม ๒ ปาริชาต แสงหิรัญผู้รวบรวม พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  18. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    และเมื่อบรรดาท่านทั้งหลาย กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกอย่างนี้เป็นปกติ อะไรที่ไหนมันจะเกิดขึ้น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นก็คือ
    ฌานสมาบัติ
    เมื่อตั้งใจ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกไว้เสมอ นั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ ทำงานอยู่ พูดอยู่หรือว่ากินอยู่ ก็ไม่ยอมละ กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้าพอใจในคำภาวนา ก็ภาวนาไปด้วย อย่างนี้ฌานโลกีย์ ที่จะบังเกิดกับท่านในอันดับของฌาน ๔ อย่างเลวที่สุดระยะ ๑ เดือนทุกท่านจะทรงฌาน ๔ หมด
    ถ้าจะถามว่าผมรู้ได้อย่างไร ผมขอพูดให้ชัดๆว่า ผมทำมาแล้ว และก็ผมก็ทำมาอย่างนี้ เพียงแค่วันที่ ๓ ของการอุปสมบท ในพระพุทธศาสนา ผมเองนี่แหละกับเพื่อนอีก ๒ คน เข้าถึงฌาน ๔ ด้วยกันทั้งหมด แล้วพวกท่านจะมาเถียงว่ามันเป็นไปไม่ได้นะ ได้หรือไม่ได้ ผมทำมาแล้ว"

    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๒ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  19. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    "เราจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่เป็นก็ตาม ไม่ต้องสนใจ สนใจอย่างเดียวว่า (๑)เราลืมความตายหรือเปล่า
    ถ้าเราไม่ลืมความตาย (๒) จิตใจเรายอมรับนับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจหรือเปล่า
    ถ้ายอมรับนับถือจริง (๓) ดูศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐
    ถ้าแค่ศีล ๕ ก็ถือว่าเขาถึงไตรสรณคมน์
    ถ้าทรงกรรมบถ ๑๐ ได้ ก็ถือว่าเป็น พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี "
    (และถ้าเพิ่ม การนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ก็จะยิ่งดีมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะตายแล้วอาจไปพระนิพพานเลย)

    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๒ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  20. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลใดสามารถ ทำจิตให้ว่างจากกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว เรากล่าวว่า บุคคลนั้น มีจิตไม่ว่างจากฌาน"
    ทีนี้ขณะใดที่ ท่านพุทธบริษัท
    รู้ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก็ดี
    หรือว่าจะรู้แต่ภาวนาอย่างเดียวก็ดี
    หรือว่ารู้พิจารณาอย่างเดียวก็ดี
    หรือรู้ว่าลมหายใจเข้าออกด้วยรู้คำภาวนาด้วย
    ไปสักนาทีหรือสองนาที เดี๋ยวจิตมันก็ซ่านไปแล้ว เมื่อรู้สึกตัวก็ดึงกลับเข้ามาใหม่ อย่างนี้ถือว่าขณะที่รู้คำภาวนาอยู่ก็ดี
    หรือว่ารู้การพิจารณาก็ดี
    หรือรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี
    ซึ่งอารมณ์อื่นไม่กวน ตอนนั้นพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ท่านเป็นผู้มีจิตว่างจากกิเลส
    ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกวันๆ ผลที่ท่านจะพึงได้ก็คือ
    กามาวาจรสวรรค์ เกิดเป็นเทวดา

    ที่มา: คำสอนสายกลางราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     

แชร์หน้านี้

Loading...