รวมเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า 4 ตอน พระอนุรุทธ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 6 เมษายน 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ต่อจากนี้ไปผมจะขอรวมรวบร่วมเรื่องเกี่ยวพระปัจเจกพุทธเจ้าและองนิสงค์เกี่ยวกับการทำการบุญกับพระปัจเจกและเพื่อรวบรวมเป็นความรู้ต่อไป<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    [​IMG]

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
    อังคุตตรนิกายเอก-ทุก-ติกนิบาต
    เอตทัคคบาลี

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอนุรุทธะเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีทิพยจักษุฯ"


    ประวัติพระอนุรุทธะ

    (อธิบายพระสูตรนี้จาก อรรถกถาอังุคตรนิกายเอกนิบาต)

    ทรงตรัสว่าพระอนุรุทธเถระ เป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์พึงทราบว่า พระอนุรุทธเถระ นั้นเป็นผู้เลิศ เพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสั่งสมไว้แล้ว.ได้ยินว่า พระเถระ เว้นแต่ชั่วเวลาฉันเท่านั้น ตลอดเวลาที่เหลือเจริญอาโลกกสิณตรวจดูเหล่าสัตว์ด้วยทิพยจักษุอย่างเดียวอยู่ ดังนั้นพระเถระนี้จึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุเพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสะสมไว้ตลอดวันและคืน.

    อีกอย่างหนึ่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุที่เหลือเพราะปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป

    ก็ในเรื่องบุรพกรรมของท่านในข้อนั้นมีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไป

    ความพิสดารว่าครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตรนั่นแลกุลบุตรผู้นี้ได้ไปกับมหาชนผู้ไปยังวิหารเพื่อฟังธรรมภายหลังภัตตาหาร. ก็ครั้งนั้นกุลบุตรผู้นี้ได้เป็นกุฎุมพีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่ง.เขาถวายบังคมพระทศพลแล้วยืนอยู่ท้าย บริษัทฟังธรรมกถา.พระศาสดาทรงสืบต่อพระธรรมเทศนาตามอนุสนธิแล้วทรงสถาปนาภิกษุผู้มีทิพยจักษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ.ลำดับนั้น กุฎุมพีได้มีดำริดังนี้ว่า ภิกษุนี้ใหญ่หนอพระศาสดาทรงตั้งไว้ในความเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุเอง ด้วยประการอย่างนี้โอหนอแม้เราก็พึงเป็นยอดของภิกษุผู้มีจักษุทิพย์ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะอุบัติในอนาคตดังนี้แล้วเกิดความคิดดังนี้ขึ้น เดินเข้าไประหว่างบริษัททูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระภิกษุแสนหนึ่ง เพื่อเสวยวันวันพรุ่งนี้ในวันรุ่งขึ้นถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข คิดว่าเราปรารถนาตำแหน่งใหญ่ จึงทูลนิมนต์ในวันนี้เพื่อเสวยวันพรุ่งนี้แล้วทำมหาทานให้เป็นไปถึง ๗ วัน โดยทำนองนั้นนั่นแลถวายผ้าอย่างดีเยี่ยมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งบริวารแล้วทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าข้าพระองค์ทำสักการะนี้เพื่อประโยชน์แก่ทิพยสมบัติหรือมนุษย์สมบัติก็หามิได้ก็พระองค์ทรงตั้งภิกษุใดไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุใน ๗วันที่แล้วมาจากวันนี้แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็พึงเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุเหมือนภิกษุองค์นั้นในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลดังนี้แล้วหมอบลงแทบพระบาทของพระศาสดา.

    พระศาสดาทรงตรวจดูในอนาคตทรงทราบว่าความปรารถนาของเขาสำเร็จ จึงตรัสอย่างนี้ว่าดูก่อนบุรุษผู้เจริญในที่สุดแสนกัปในอนาคต พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมจักอุบัติขึ้นท่านจักมีชื่อว่าอนุรุทธะเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุในพระศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้านั้นก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้วทรงกระทำภัตตานุโมทนาเสด็จกลับไปพระวิหาร.

    ฝ่ายกุฎุมพีทำกรรมงามไม่ขาดเลย ตราบที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อสร้างเจดีย์ทองประมาณ ๗ โยชน์สำเร็จแล้วจึงเข้าไปหาภิกษุสงฆ์ถามว่าอะไรเป็นบริกรรมของทิพยจักษุขอรับ.ภิกษุสงฆ์บอกว่าควรให้ประทีปนะอุบาสก.อุบาสกกล่าวว่า ดีละขอรับผมจักทำจึงให้สร้างต้นประทีปพันต้นเท่ากับประทีปพันดวงก่อน ถัดจากนั้นสร้างให้ย่อมกว่านั้นถัดจากนั้นสร้างให้ย่อมกว่านั้น รวมความว่าได้สร้างต้นประทีปหลายพันต้น.ส่วนประทีปที่เหลือประมาณไม่ได้เขาทำกัลยาณกรรมอย่างนี้ตลอดชีวิตท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายล่วงไปแสนกัป

    ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า บังเกิดในเรือนกุฎุมพีใกล้กรุงพาราณสีเมื่อพระศาสดาปรินิพพาน เมื่อสร้างเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์สำเร็จแล้วให้สร้าง
    ภาชนะสำริดเป็นอันมาก บรรจุเนยใสจนเต็ม ให้วางไส้ตะเกียงเว้นระยะองคุลี๑ ๆ ในท่ามกลาง ให้จุดไฟขึ้นให้ล้อมพระเจดีย์ให้ขอบปากต่อขอบปากจดกันให้สร้างภาชนะสำริดใหญ่กว่าเขาทั้งหมดสำหรับตนใส่เนยใสเต็ม จุดใส้ตะเกียงพันดวงรอบๆ ขอบปากภาชนะสำริดนั้น เอาผ้าเก่าที่เป็นจอมหุ้มไว้ตรงกลาง ให้จุดไฟเทินภาชนะสำริดเดินเวียนเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์ ตลอดคืนยังรุ่ง.

    เขาทำกัลยาณกรรมตลอดชีวิตด้วยอัตตภาพแม้นั้น ด้วยอาการอย่างนี้ แล้วบังเกิดในเทวโลก.

    เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น.เขาถือปฏิสนธิในเรือนของตระกูลเข็ญใจในนครนั้นนั่นแลอีก เป็นคนหาบหญ้า อาศัยสุมนเศรษฐีอยู่ เขาได้มีชื่อว่า อันนภาระ.ฝ่าย สุมนเศรษฐีนั้น ให้มหาทานที่ประตูบ้าน แก่คนกำพร้า คนเดินทางวณิพกและยาจก.ทุกวัน ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2008
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ภายหลัง ณ วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะเข้านิโรธสมาบัติ ที่ภูเขาคันธมาทน์ออกจากสมาบัตินั้นแล้วพิจารณาว่าวันนี้ควรจะทำการอนุเคราะห์ใคร.

    ก็ธรรมดา พระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้อนุเคราะห์คนเข็ญใจท่านคิดว่าวันนี้เราควรทำการอนุเคราะห์นาย ทราบว่า นายอันนภาระ จักออกจากดงมายังบ้านตน จึงถือบาตรและจีวรจากภูเขาคันธมาทน์เหาะขึ้นสู่เวหาสมาปรากฏเฉพาะหน้านายอันนภาระที่ประตูบ้านนั่นเอง.

    นายอันนภาระเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าถือบาตรเปล่าจึงอภิวาทพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วถามว่าท่านได้ภิกษาบ้างไหมขอรับ. พระปัจเจกพุทธ เจ้ากล่าวว่า จักได้ผู้มีบุญมาก.

    เขากล่าวว่า โปรดรออยู่ที่นี้ก่อนเถิดขอรับ แล้วรีบไปถามแม่บ้านในเรือนของตนว่า นางผู้เจริญ ภัตอันเป็นส่วนเก็บไว้เพื่อเรามีหรือไม่.นางตอบว่า มี จ้ะนาย.เขาไปจากที่นั้นรับบาตรจากมือ พระปัจเจกพุทธเจ้า มากล่าวว่า นางผู้เจริญเพราะค่าที่ไม่ได้ทำกัลยาณกรรมไว้ในชาติก่อน เราทั้ง ๒ จึงหวังได้อยู่แต่การรับจ้างเมื่อความปรารถนาจะให้ของพวกเรามีอยู่ แต่ไทยธรรมไม่มีเมื่อไทยธรรมมีก็ไม่ได้ปฏิคาหกวันนี้เราพบ พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า เข้าพอดีและภัตอันเป็นส่วนแบ่งก็มีอยู่เจ้าจงใส่ภัตที่เป็นส่วนของฉันลงในบาตรนี้.

    หญิงผู้ฉลาดคิดว่าเมื่อใดสามีของเราให้ภัตซึ่งเป็น ส่วนแบ่งเมื่อนั้นแม้เราก็พึงมีส่วนในทานนี้จึงวางแม้ภัตอันเป็นส่วนของตนลงในบาตรถวายแก่ อุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า.นายอันนภาระ นำบาตรอันบรรจุภัตมาวางในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกล่าวว่าขอให้พวกข้าพเจ้าพ้นจากความอยู่อย่างลำบากเห็นปานนี้เถิดขอรับ.

    พระปัจเจกพุทธเจ้า อนุโมทนาว่าจงสำเร็จอย่างนั้นเถิดผู้มีบุญมาก.เขาลาดผ้าห่มของตนลง ณ ที่ส่วนหนึ่งแล้วกล่าวว่าขอจงนั่งฉันที่นี้เถิด ขอรับ. พระปัจเจกพุทธเจ้า นั่ง ณ อาสนะนั้นแล้วพิจารณาความเป็นของปฏิกูล ๙ อย่าง แล้วจึงฉันเมื่อฉันเสร็จแล้วนายอันนภาระจึงถวายน้ำสำหรับล้างบาตร พระปัจเจกพุทธเจ้าเสร็จภัตกิจแล้วกระทำอนุโมทนาว่า

    สิ่งที่ท่านต้องการแล้วปรารภนาแล้วจงสำเร็จพลันเทียวความดำริจงเต็มหมดเหมือนพระจันทร์เพ็ญ ๑๕ ค่ำ ฉะนั้นสิ่งที่ท่านต้องการแล้วปรารถนาแล้ว จงสำเร็จพลันเทียว ความดำริจงเต็มหมดเหมือนมณีมีประกายโชติช่วง ฉะนั้น.แล้วออกเดินทางไป.

    เทวดาที่สิงอยู่ที่ฉัตรของสุมนเศรษฐีกล่าวว่าน่าอัศจรรย์ทานที่ตั้งไว้ดีแล้วใน พระปัจเจกพุทธ เจ้านามว่าอุปริฏฐะเป็นทานอย่างยิ่งถึง ๓ ครั้ง แล้วได้ให้สาธุการ สุมนเศรษฐีกล่าวว่าท่านไม่เห็นเราให้ทานอยู่ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ดอกหรือ เทวดากล่าวว่าเราไม่ให้สาธุการในทานของท่าน เราเลื่อมใสในบิณฑบาตที่นายอันนภาระถวายแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อุปริฏฐะ จึงให้สาธุการสุมนเศรษฐีดำริว่า เรื่องนี้น่าอัศจรรย์หนอเราให้ทานตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ก็ไม่อาจทำให้เทวดาให้สาธุการนายอันนภาระนี้อาศัยเราอยู่ด้วยการถวายบิณฑบาตครั้งเดียวเท่านั้นทำให้เทวดาให้สาธุการได้เพราะได้บุคคลผู้เป็นปฏิคาหกที่สมควร เราให้สิ่งที่สมควรแก่นายอันนภาระนั้นแล้วทำบิณฑบาตนั้นให้เป็นของของเราจึงจะควร ดังนี้

    จึงเรียกนายอันนภาระมาแล้วถามว่าวันนี้เจ้าให้ทานอะไร ๆ แก่ใครหรือขอรับนายท่านข้าพเจ้าถวายภัตรที่เป็นส่วนของข้าพเจ้าแก่ พระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า อุปริฏฐะ เศรษฐีกล่าวว่าเอาเถอะเจ้าเธอจงรับกหาปณะไปแล้วให้บิณฑบาตนั้นแก่เราเถอะ ให้ไม่ได้หรอกนายท่านเศรษฐีเพิ่มทรัพย์ขึ้นจนถึงพันกหาปณะ นายอันนภาระก็ยังกล่าวว่าแม้ถึงพันกหาปณะก็ยังให้ไม่ได้ เศรษฐีกล่าวว่า ช่างเถอะเจ้าหากเจ้าไม่ให้บิณฑบาตก็จงรับทรัพย์พันกหาปณะไปแล้วจึงให้ส่วนบุญแก่ฉันเถอะนายอันภาระกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าแม้ส่วนบุญนั้นควรให้หรือไม่ควรให้แต่ข้าพเจ้าจะถาม พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ ดูถ้าควรให้ก็จักให้ ถ้าไม่ควรให้ก็จักไม่ให้

    นายอันนภาระเดินไปทัน พระปัจเจกพุทธเจ้า ถามว่า ท่านเจ้าข้าสุมนเศรษฐีให้ทรัพย์แก่ข้าพเจ้าพันหนึ่ง เพื่อขอส่วนบุญในบิณฑบาตที่ถวายแก่ท่านข้าพเจ้าควรจะให้หรือไม่ให้ พระปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวว่า บัณฑิต เราจักทำอุปมาแก่ท่านเหมือนอย่างว่า ในบ้านตำบลนี้มีร้อยตระกูล เราจุดประทีปไว้ในเรือนหลังหนึ่งเท่านั้นตระกูลพวกนี้เอาน้ำมันเติมให้ใส้ตะเกียงชุ่มแล้วมาต่อไฟถือไปแสงของประทีปดวงเดิมยังมีอยู่หรือหาไม่

    นายอันนภาระกล่าวว่าท่านเจ้าข้า แสงประทีปก็สว่างขึ้นไปอีก เจ้าข้า

    ข้อนี้อุปมาฉันใดดูก่อนบัณฑิต ข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง หรือข้าวสวยทัพพีหนึ่งจงยกไว้เมื่อท่านให้ส่วนบุญแก่คนเหล่าอื่นในบิณฑบาตของตน พันคนหรือแสนคนก็ตามให้แก่คนเท่าใด บุญก็เพิ่มขึ้นแก่ตนมีประมาณเท่านั้นเมื่อท่านให้ก็ให้บิณฑบาตอันเดียวนั่นแหละ ต่อเมื่อให้ส่วนบุญแก่สุมนเศรษฐีอีกเล่าบิณฑบาตก็ขยายไปเป็น ๒ คือของท่านส่วนหนึ่ง ของเศรษฐีส่วนหนึ่งดังนี้

    <FONT size=4>นายอันนภาระกราบ พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วกลับไปยังสำนักของสุมนเศรษฐีกล่าวว่าขอท่านจงรับส่วนบุญในบิณฑบาตทานเถิดนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]อันนภาระ<font color=" /><st1:personName ProductID="ท่าน เศรษฐีกล่าวว่า" w:st="on">ท่าน เศรษฐีกล่าวว่า</st1:personName><FONT face=Tahoma>เชิญท่านรับทรัพย์พันกหาปณะไปเถิด<FONT color=#ff6600>นายอันนภาระกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขายบิณฑบาตทาน<FONT face=Tahoma>แต่ข้าพเจ้าให้ส่วนบุญแก่ท่านด้วยศรัทธา เศรษฐีกล่าวว่า พ่ออันนภาระ<FONT face=Tahoma>พ่อให้ส่วนบุญแก่เราด้วยศรัทธา แต่เราบูชาคุณ<st1:personName ProductID="ของพ่อ ฉันให้พันกหาปณะนี้" w:st="on">ของพ่อ ฉันให้พันกหาปณะนี้</st1:personName><FONT face=Tahoma>จงรับไปเถอะ<FONT color=#ff6600>พ่ออันนภาระ <FONT color=#ff6600>นายอนันภาระกล่าวว่า<FONT face=Tahoma>จงเป็นอย่างนั้นจึงถือเอาทรัพย์พันกหาปณะไป

    เศรษฐีกล่าวว่า พ่ออันนภาระตั้งแต่พอได้ทรัพย์พันกหาปณะแล้ว ไม่ต้องทำกิจเกี่ยวแก่กรรมกรด้วยมือของตนจงปลูกเรือนอยู่ใกล้ถนนเถิด ถ้าพ่อต้องการสิ่งใด ฉันจะมอบสิ่งนั้นให้พ่อจงมานำเอาไปเถอะ

    ธรรมดาบิณฑบาตที่บุคคลถวายแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติย่อมให้ผลในวันนั้นนั่นเองเพราะฉะนั้นสุมนเศรษฐีในวันอื่นแม้ไปสู่ราชตระกูลไม่เคยชวนนายอันนภาระ ไปด้วยแต่ในวันนั้นได้ชวนไปด้วย เพราะอาศัยบุญของนายอันนภาระ

    พระราชาไม่มองดูเศรษฐีเลย ทรงมองแต่นาย<st1:personName ProductID="อันนภาระ เท่านั้น" w:st="on">อันนภาระ
    เท่านั้น</st1:personName>เศรษฐีจึงทูลถามวา เทวข้าแต่สมมติเทพเหตุไฉนพระองค์จึงทรงมองดูแต่บุรุษผู้นี้ยิ่งนักพระเจ้าค่ะ

    พระราชาตรัสว่าเรามองดูเพราะไม่เคยเฝ้าในวันอื่น ๆ เศรษฐีทูลว่า เทว เขาสมควรมองดูอย่างไรคุณที่ควรมองดูของเขาคืออะไร เพราะวันนี้เขาไม่บริโภคภัตรที่เป็นส่วนของตนด้วยตนเองแต่ถวายแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะเขาได้ทรัพย์พันกหาปณะจากมือของข้าพระองค์พระเจ้าข้า

    พระราชาตรัสถามว่าเขาชื่อไร ชื่อนายอันภาระพระเจ้าข้า
    เพราะได้จากมือของท่านก็ควรจะได้จากมือของเราบ้าง เราเองก็จักทำการบูชาเขาจึงพระราชทานทรัพย์พันกหาปณะแล้วตรัสว่า พนาย จงสำรวจดูเรือนที่คนนี้จะอยู่ได้ราชบุรุษทูลว่า พระเจ้าข้า

    ราชบุรุษทั้งหลายจัดแจงแผ้วถางที่สำหรับเรือนนั้นได้พบขุมทรัพย์ชื่อปิงคละในที่ ๆจอบกระทบแล้ว ๆ ตั้งเรียงกัน จึงมากราบทูลพระราชาให้ทรงทราบพระราชาตรัสว่าถ้าอย่างนั้นจงไปขุดขึ้นมา เมื่อราชบุรุษเหล่านั้นขุดอยู่ ขุมทรัพย์ก็จมลงไปราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลพระราชาอีก พระราชาตรัสว่าจงไปขุดตามคำของนายอันนภาระราชบุรุษก็ไปขุดตามคำสั่ง ขุมทรัพย์เหมือนดอกเห็ดตูม ๆ ผุดขึ้นในที่ ๆจอบกระทบแล้วราชบุรุษเหล่านั้นขนทรัพย์มากองไว้ในพระราชสำนักพระราชาประชุมอำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสถามว่าในเมืองนี้ใครมีทรัพย์มีประมาณถึงเท่านี้ไหม อำมาตย์ทูลว่าไม่มีของใคร
    พระเจ้าข้า ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น นายอันนภาระนี้จงชื่อว่าธนเศรษฐีในพระนครนี้ เขาได้ฉัตรประจำตำแหน่งเศรษฐีในวันนั้นนั่นเอง.

    ตั้งแต่วันนั้น เขากระทำแต่กรรมอันดีงามจนตลอดชีวิตจุติจากภพนั้นไปเกิดในเทวโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์เป็นเวลานานครั้งที่พระศาสดาของพวกเราทรงอุบัติ ก็มาถือปฏิสนธิในนิเวศน์เจ้าศากยะพระนามว่าอมิโตทนะ กรุงกบิลพัสดุ์ในวันขนานนาม ผู้คนทั้งหลายตั้งชื่อเขาว่า เจ้าอนุรุทธเป็นกนิษฐภาคาของเจ้าศากยะพระนามที่ มหานามะ เป็นโอรสของพระเจ้าอาของพระศาสดาเป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง เป็นผู้มีบุญมาก ภัตรเกิดขึ้นในถาดทองแก่เขาทีเดียว

    ภายหลังพระมารดาของเขาคิดว่าจักให้ลูกของเรารู้จักคำว่า"ไม่มี"เอาถาดทองปิดถาดทองอีกใบหนึ่ง แล้วส่งใบแต่ถาดเปล่า ๆ ในระหว่างทางเทวดาทำให้เต็มด้วยขนมทิพย์ เขามีบุญมากถึงเพียงนี้อันเหล่านางฟ้อนที่ประดับ
    ตกแต่งแล้วแวดล้อมเสวยสมบัติบนปราสาท ๓ หลังเหมาะแก่ฤดูทั้ง ๓เหมือนเทวดา.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2008
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ส่วนพระโพธิสัตว์ของเราจุติจากดุสิตในสมัยนั้นมาถือปฏิสนธิในครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงเจริญวัยโดยลำดับทรงครองเรือนอยู่ ๒๙ ปี แล้วทรงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณโดยลำดับ ทรงยับยั้งที่โพธิมัณฑสถาน ๗ สัปดาห์ประกาศพระธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ทรงกระทำการอนุเคราะห์โลก ทรงให้อำมาตย์ ๑๐คน พร้อมทั้งบริวารคนละพัน ที่พระราชบิดาทรงสดับข่าวว่าบุตรของเรามายังกรุงราชคฤห์แล้วตรัสว่า ไปเถิดพนาย พวกเจ้าจงนำบุตรของเรามา ดังนี้ให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาแล้วอันพระกาฬุทายีเถระทูลวิงวอนให้เสด็จจาริกจึงมีภิกษุแสนรูปเป็นบริวารเสด็จออกจากรุงราชคฤห์ไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ทรงทำพระธรรมเทศนาอันวิจิตรมีปาฏิหาริย์ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์เป็นอันมากในสมาคมแห่งพระญาติ ยังมหาชนให้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว ครั้นวันที่ ๒ทรงถือบาตรและจีวรไปประทับยืนที่ทวารพระนคร ทรงรำพึงว่าพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประพฤติการเสด็จกลับยังพระนครแห่งสกุลอย่างไรหนอดังนี้แล้งทรงทราบว่า ทรงประพฤติเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกจึงทรงเสด็จเพื่อบิณฑบาตตามลำดับตรอก ทรงตรัสธรรมถวายพระราชาผู้ทรงสดับข่าวว่าบุตรของเราเที่ยวบิณฑบาตเสด็จมคธแล้วผู้มีสักการะสัมมานะที่พระราชบิดาทูลเชิญให้เสด็จมาแล้วทูลเชิญให้เสด็จเข้านิเวศน์
    ของพระองค์ทรงกระทำแล้วทรงอนุเคราะห์พระญาติที่พึงทรงกระทำในที่นั้นทรงกระทำแล้วทรงอนุเคราะห์พระญาติที่พึงทรงกระทำในที่นั้นแล้วให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว ไม่นานนักก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ไปจาริกในมัลลรัฐแล้วเสด็จกลับมายังอนุปิยอัมพวัน

    สมัยนั้นพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงประชุมศากยะสกุลทั้งหลายตรัสว่า ถ้าบุตรของเราจักครองเรือนจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ประกอบด้วยรัตนะ ๗แม้ราหุลกุมารนัดดาของเราจักแวดล้อมพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้นเที่ยวไปกับหมู่กษัตริย์อนึ่ง ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงทราบความข้อนี้ไว้เถิดว่า แต่บัดนี้บุตรของเราทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขัตติยกุมารจงเป็นบริวารของพระองค์เถิดพวกท่านจงให้ทารกคนหนึ่ง จากตระกูลหนึ่ง ๆ ครั้น
    พระเจ้าสุทโธทนตรัสอย่างนี้แล้วขัตติยกุมารถึงพันองค์จึงออก ผนวชโดยพระดำรัสครั้งเดียวเท่านั้น

    สมัยนั้นเจ้ามหานาม เป็นเจ้าแห่งกุฎุมพี จึงเข้าไปหาเจ้าศากยะพระนามว่าอนุรุทธะ ได้กล่าวคำนี้ว่า พ่ออนุรุทธะ บัดนี้ศากยะกุมารที่มีชื่อเสียงออกผนวชตามพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงผนวชแล้ว ไม่มีใคร ๆออกผนวชจากสกุลของเราเลย ถ้ากระนั้นเจ้าจงบวชหรือว่าพี่จักบวช

    เจ้าอนุรุทธได้ฟังดำรัสของเจ้าพี่แล้วไม่ยินดีในการครองเรือนได้ออกผนวชเป็นพระองค์ที่๗ ลำดับแห่งการผนวชของเจ้าอนุรุทธนั้นมาแล้วในคัมภีร์สังฆเภทขันธกะเจ้าอนุรุทธเสด็จไปยังอนุปิยอัมพวัน บวชแล้วด้วยประการฉะนี้บรรดาเจ้าศากยะกุมารเหล่านั้นพระภัททิยเถระบรรลุพระอรหัตภายในพรรษานั่นเองพระอนุรุทธเถระทำทิพยจักขุให้บังเกิด พระเทวทัตทำสมาบัติ ๘ให้บังเกิด
    พระอานนทเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลพระภัคคุเถระและพระกิมภิละเถระได้บรรลุอรหัตในภายหลัง

    ก็อภินิหารแห่งความปรารถนาแต่ปางก่อนของพระเถระทุกรูปนั้นจักมาถึงในเรื่องของแต่ละคน

    ก็พระอนุรุทธเถระนี้เรียนกรรมฐานในสำนักของพระธรรม
    เสนาบดีแล้วไปบำเพ็ญสมณธรรมปาจีนวังสทายวันแคว้นเจติยก็ตรึกแล้วถึงมหาปริวิตก๗ ประการ ลำบากในวิตกที่ ๘ พระศาสดาทรงทราบว่า พระอนุรุทธลำบากในมหาปุริสวิตกที่ ๘ทรงพระดำริว่า เราจักทำความดำริของเธอให้เต็มจึงเสด็จไปในที่นั้นประทับนั่งบนพุทธอาสน์อันประเสริฐที่เขาปูลาดไว้ ทรงทำมหาปุริสวิตกที่ ๘ให้เติมแล้วตรัสมหาอริยวงสปฏิปทา ประดับไปด้วยความสันโดษด้วยปัจจัย ๔และมีภาวนาเป็นที่มายินดีแล้วเสด็จเหาะไปถึงเภสกฬาวันเทียวพอพระตถาคตเสด็จไปแล้วเท่านั้นพระเถระมีวิชา ๓ เป็นพระมหาขีณาสพใหญ่ คิดว่าพระศาสดา รู้ใจของเรา เสด็จมาประทานมหาปุริสวิตกที่ ๘ ให้เต็ม อนึ่งมโนรถของเรานั้นถึงที่สุดแล้วปรารภธรรมเทศนาอันไพเราะของพระพุทธเจ้าทั้งหลายและธรรมที่ตนแทงตลอดแล้วได้ภาษิตอุทาน

    คาถาเหล่านี้ว่า

    พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลกทรงทราบความดำริของเราแล้วเสด็จมาหาเราด้วยมโนมยิทธิทางกายเมื่อใดความดำริได้มีแก่เราเมื่อนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้สูงขึ้นพระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้าได้ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้าเรารู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์แล้วเป็นผู้ยินดีในพระศาสนาอยู่
    วิชา ๓ เราก็บรรลุโดยลำดับแล้วคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราก็ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

    ต่อมาภายหลังพระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่าอนุรุทธะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีทิพยจักขุในศาสนาของเรา.
    จบอรรถกถาสูตรที่ ๕
    <TABLE class=MsoNormalTable style="mso-cellspacing: 1.5pt" cellPadding=0 border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #f4f4f4; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #f4f4f4; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BORDER-LEFT: #f4f4f4; PADDING-TOP: 0.75pt; BORDER-BOTTOM: #f4f4f4; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top>
    คาถาเงินล้าน



    ตั้ง นะโม ๓ จบ


    นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา


    (บูชา 30 จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)

    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี




    บทสวดคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือคาถาเงินล้าน
    นำสวดโดยหลวงพ่อและวิธีสวด
    รวมเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนที่ 20 หลวงพ่อเล่าเรื่องประวัติคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า





    <O:p</O:p

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คาถาบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือคาถาเงินล้าน<O:p</O:p<O:p</O:p



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2008
  4. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขออนุโมธนาครับ
    ผมเองก็ประสงค์ทางแห่งปัจเจกพุทธเช่นกัน ขอบคุณครับสำหรับเรื่องที่ให้ศึกษา เป็นประโยชน์มากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...