วิเคราะห์สงครามกลางเมืองในประเทศไทย และ ทางรอดของมนุษย์ชาติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย nut--tun, 21 พฤษภาคม 2010.

  1. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    าเหตุหลักของสงครามของมนุษย์ในโลกสีน้ำเงินของมนุษย์มีสาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งของ 2 ดินแดนหลักพื้นฐานคือ

    1.ชนบท อันเป็นดินแดนดั้งเดิมพื้นฐานของมนุษย์ที่สงบคงที่ ไมค่อยเปลี่ยนแปลง

    [​IMG]

    2.มหานคร อันเป็นดินแดนใหม่ของมนุษย์ที่่ปิติสุขขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    [​IMG]

    โดยในดินแดนชนบทจะเป็นดินแดนที่มนุษย์ใช้ชีวิตแบบครอบครัวที่เป็นลักษณะครอบครัวรวมร่วมกับญาติพี่น้องที่มีพ่อแม่พี่น้องพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างสงบยาวนานมาตลอด ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติที่ทุกข์ยากลำบากเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า โดยบุคคลที่ดินแดนนี้สนใจยกย่องเคารพ คือ นักบวช (ที่เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)ที่มีพลังทางจิต คือ ความดี โดดเด่น

    ส่วนในดินแดนมหานครนั้นจะตรงข้ามกันอย่างชัดเจนคือ มนุษย์จะใช้ชีวิตครอบครัว(ที่ส่วนมากมักจะเป็นครอบครัวเดี่ยว)ที่รักความปิติสุขสมบูรณ์ทางร่างกายวัตถุสสาร ใช้ชีวิตร่ำรวยหรูหราฟุ่มเฟือยแบบทุนนิยมที่เป็นบริโภคนิยม
    ชอบบริโภคสิ่งของที่สวยงามมีชื่อเสียงราคาแพงมากมายอย่างสนุกสบายปิติสุขไปวันๆในโลกที่ทันสมัยสวยงามล้ำยุค โดยบุคคลที่ดินแดนนี้สนใจยกย่องเคารพ คือ เด็กวัยรุ่น(ที่เป็นดารานักร้องวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีชื่อเสียง) ที่มีพลังทางร่างกายวัตถุสสาร คือ ความงาม โดดเด่น

    โดย วัฒนธรรมทุนนิยมบริโภคนิยมของมหานครจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในทุกระดับ ทั้งในระดับโลก ระดับชาติ และ ระดับสังคมขยายมายังดินแดนชนบทอย่างรวดเร็วตลอดเวลาอย่างหยุดไม่ได้
    ซึ่งวัฒนธรรมโลกาภิวัตน์แบบทุนนิยมของมหานครที่สนใจการบริโภคเป็นหลัก ที่ให้ความท่าเทียมกับทุกคนเท่ากันหมดตามวัฒนธรรมของตะวันตก เมื่อขยายตัวไปยังดินแดนชนบทในตะวันออกที่ขัดแย้งกัน
    ย่อมทำให้เกิดสงครามปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้สังคมชนบทที่มีวัฒนธรรมของศาสนา และ ครอบครัวรวม ที่เป็นพี่น้องเครือญาติช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยน้ำใสใจจริงค่อยๆเลือนหายไป
    ผู้คนค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นเห็นแก่ตัว แย่งกันบริโภค ตัวใครตัวมัน พี่น้องไม่รักกัน ฆ่ากันแย่งสมบัติแย่งอำนาจกัน
    ลูกไม่เคารพชื่อฟังพ่อแม่ปู่ย่าตายายเพราะเห็นว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด สามีีภรรยาหย่าร้างกัน นอกใจคบชู้ มักมากในกาม คนไม่เคารพพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่มีศีลธรรม ไม่สนใจศาสนา ไม่กลัวบาปบุณคุณโทษ
    นั่นคือ ระบบครอบครัวรวม และ ศาสนาศีลธรรมในชนบท จึงค่อยๆพังพินาศลงเรื่อยๆพร้อมกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของระบบทุนนิยมบริโถคนิยมของมหานครที่ขยายไปทั่วโลกอย่างหยุดไม่ได้

    ซึ่งในขณะเดียวกันระบบทุนนิยมในมหานครที่เน้นการบริโภคมหาศาลย่อมทำให้เกิดขยะมลพิษของเสียให้กับธรรมชาติมากมายมหาศาล จนทำให้เกิดเป็นสภาวะโลกร้อน ขยะล้นโลก ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
    เกิดเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงแก่มนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
    ดังนั้นการขยายตัวอย่างรวดเร็วของระบบทุนนิยมบริโภคนิยมโลกกาภิวัฒน์ของมหานครย่อมทำให้เกิดปัญหาทั้งกับมนุษย์ด้วยกันเองที่ระบบสังคมครอบครัวรวมเครือญาติล่มสลายเกิดเป็นปัญหาครอบครัวปัญหาสังคมต่างๆมากมาย และระบบสิ่งแวดล้อมธรรมชาติล่มสลายเกิดเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมภัพิบัติต่างๆมากมายด้วยเช่นกัน
    ข้อนี้จะเห็นได้ชัดเลยว่า ในขณะที่ระบบโลกาภิวัฒน์ยิ่งขยายตัวมากเท่าไหร่ ปัญหาสังคมปัญหาศีลธรรมเสื่อมโทรมของมนุษย์ปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมของโลกก้อยิ่งมากขึ้นตามเท่านั้น

    [​IMG]
    [​IMG]

    ซึ่งการเกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทยนั้น แสดงว่า ระบบโลกาภิวัตน์ทุนนิยมบริโภคนิยมของมหานครได้ขยายตัวมาถึงจุดหนึ่งซึ่งมากมายเต็มที่แล้ว จนเกิดปัญหาความขัดแย้งระดับประเทศแล้ว
    ซึ่งหากขยายตัวไปมากกว่านี้จนถึงจุดสูงสุดเต็มที่ ก็จะถึงปัญหาระดับโลก คือ เกิดสงครามโลกความพังพินาศของโลกด้วยน้ำมือของมุษย์ด้วยกันเอง และ จากภัยพิบัติธรรมชาติอย่างรุนแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในไม่ช้านี้แน่นอน


    ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นประเทศได้ชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นดินแดนที่เป็นระบบครอบครัวรวมที่เป็นพ่อแม่พี่น้องเครือญาติกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยน้ำใสใจจริงยิ้มแย้ม มีระบบกษัติริย์ที่ประชาชนรักเหมือนเป็นพ่อกับลูกกัน เป็นเมืองพุทธแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
    บัดนี้ ด้วยการขยายตัวอย่างมากมายของระบบโลกกาภิวัฒน์ทุนนิยมบริโภคนิยมทำให้ประเทศไทยค่อยๆปลี่ยนไปจากเดิม ลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่ปู่ย่าตายาย พี่น้องเครือญาติไม่รักกัน แบ่งแยกแตกแยกทะเละเข่นฆ่ากันเอง ผู้คนไร้ศีลธรรม แม้ในวัดซึ่งเป็นเขตอภัยทานก็ยังฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมได้
    ความขัดแย้งค่อยๆรุนแรง จนเป็นสงครามกลางเมืองนองเลือด ที่ประเทศไทยพินาศลงด้วยน้ำมือคนไทยด้วยกันเองในที่สุด เป็นการแสดงถึงการล่มสลายของระบบครอบครัวรวม และ ศาสนาศีลธรรมในชนบทในระดับประเทศ
    โดยเฉพาะประเทศที่เป็นประเทศครอบครัวรวม และ เมืองพุทธชัดเจนที่สุดในโลกอย่างประเทศไทยนี้ อันเป็นเรื่องที่หากไม่เกิดขึ้นมาให้เห็นจริงๆแล้ว คนก็คงไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับประเทศไทยได้

    [​IMG]
    [​IMG]

    อีกไม่นานที่ระบบโลกกาภิวัฒน์ทุนนิยมบริโภคในมหานครจะขยายตัวถึงขีดสุดไปถึงระดับโลก เมื่อนั้นก็จะเกิดการล่มสลายของระบบครอบครัวรวมและศาสนาศีลธรรมในชนบทระดับโลก ที่ประเทศต่างๆที่เคยเป็นพี่น้องกันที่เคยมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันจะทะเลาะกัน ทำสงครามกันเองแ่ย่ิงอำนาจไม่เชื่อฟังพ่อแม่สหประชาชาติอีกต่อไป ศาสนาต่างๆจะขัดแย้งทะเลาะกันอย่างรุนแรงนำไปสู่ความไร้ศีลธรรมสูงสุดผู้คนขาดที่พึ่งทางจิตวิญญาณ แล้วสงครามจะรุนแรงบานปลายไปถึงสงครามกลียุคล้างโลกอันเป็นสงครามโลกที่น่ากลัวสยดสยองที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่โลกธรรมชาติจะพินาศ ไปพร้อมๆกับความพังพินาศของประเทศ ของสังคม ของครอบครัวอย่างรุนแรงที่สุดในที่สุด อันเป็นเรื่องที่ถ้าไม่เกิดขึ้นมาให้เห็นจริงๆให้เห็นคนคงไม่มีทางเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้จริงๆกับโลกสีน้ำเงินที่แสนสวยงามของเราได้เลย


    ทางรอดของนุษย์ชาติแทบจะไม่มี ถ้าหากความขัดแย้งของ 2 ดินแดนในโลกสีน้ำเงิน คือ ชนบท กับ มหานครนั้นยังเป็นความขัดแย้งพื้นฐานที่ฝังรากลึกยุติไม่ได้
    นอกเสียจากว่าจะทำให้ความขัดแย้งนี้หมดไปโดยทำลายอารยธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อสร้างอารยธรรมใหม่ที่รวมดินแดนชนบทกับมหานครเป็นหนึ่งเดียวกันได้
    แต่ถึงยังไงก็ตามเมื่อความขัดแย้งรุนแรงถึงขีดสูงสุด คือ จุดที่ระบบโลกาภิวัฒน์ของมหานครขยายตัวสูงสุดทั่วโลกเต็มที่จนขยายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และ ปัญหาครอบครัวปัญหาสังคมปัญหาประเทศปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงถึงขีดสุดพร้อมกัน
    เมื่อนั้นโลกก็จะพินาศเกิดสงครามกลียุคล้างโลกมนุษย์จะถูกทำลายอารยธรรมทั้งจากมนุษย์ด้วยกันเอง และ ภัยพิบัติทางธรรมชาติโดยจะทำลายอารยธรรมทั้งหมดที่มีอยู่เองอย่างน่ากลัวที่สุดทันทีเหมือนกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

    [​IMG]
    [​IMG]

    ทางรอดในตอนนั้นของมนุษย์ชาติก็คือ จะต้องเกิดอารยธรรมใหม่ที่ไม่แบ่งแยกขัดแย้งระหว่างชนบท กับ มหานครอย่างชัดเจนเหมือนเดิมอีกต่อไป
    อันเป็นอารยธรรมจากมนุษย์ที่มาจากดวงดาวที่อยู่ไกลนอกระบบสุริยะจักรวาล อารยธรรมนั้นจะมีเพียงรัฐเดียว ชาติเดียว เมืองเดียว
    ไม่มีอารายธรรมที่แบ่งแยกออกเป็นชาติต่างๆ รัฐต่างๆ เมืองต่างๆ มากมายแบบตอนนี้อีกแล้ว ไม่มีความขัดแย้งระหว่างชนบท กับ มหานครอีกต่อไป
    โลกจะก้าวสู่อารยธรรมสากลจักรวาลภิวัฒน์แทน ไม่มีการแบ่งแยกเป็นคนชาติโน้นชาตินี้ดินแดนโน้นดินแดนนี้อีกต่อไป
    โลกก็จะมีแต่สันติสุขไปอีกยาวนาน ปัญหาครอบครัวปัญหาสังคมปัญหาประเทศต่างๆปัญหาศีลธรรมเสื่อมโทรมท่ี่ขัดแย้งรุนแรงจะหมดไป และ โลกจะขยายขอบเขตติดต่อสัมพันธ์กับดวงดาวต่างๆมากมายในสากลจักรวาลต่างๆอย่างแท้จริงในที่สุด ดังที่ชาวพุทธเรียกว่า ยุคพระศรีอารย์ หรือ ยุคชาววิไล
    ที่จะเกิดหลังจากกลียุคที่คนชั่วถูกกำจัดสิ้นไปจากโลก ยุคนี้จึงมีแต่คนดี ที่มีอายุยืดยาวเป็นหมื่นๆปีในสากลจักรวาล ที่มีแต่ความเป็นทิพย์ที่ปิติสุขอุดมสมบูรณ์ตลอดไป


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    สงครามกลียุคภัยพิบัติล้างโลก และ ทางรอดจากสู่ยุคพระศรีอารย์ตามความเชื่อของชาวพุทธจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? คำตอบนั้นเราทุกคนก็คงต้องรอดูกันต่อไปจนถึงวันนั้น

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2010
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,674
    ค่าพลัง:
    +51,948
    โลกจะสมบูรณ์ ด้วยน้ำจากทางช้างเผือก ที่มาเพิ่ม ให้ครบสัดส่วน เหมือนในอดีต
    หน้าตาผู้คน จะสวยสดงดงาม ข้าวจะเต็มทุ่ง มีข้าวก็ไม่ต้องหุง
     
  3. 1redstar

    1redstar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    622
    ค่าพลัง:
    +1,368
    อาจารย์สมภพได้เตือนทุกคนมาตั้งแต่ เดือนธ้นวาคม 2552 แล้วว่าอุบาทว์พระนารายณ์เกิดในประเทศไทยอย่างรุนแรง และจะก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งว่ากันโดยตรง เป็นความเสียหายที่เกิดกับพระมหากษัตริย์และประเทศชาติ ทั้งนี่ยังเกิดอุบาทว์อื่นๆตามมาอีกมาก แต่อาจารย์ไม่ได้บอกไว้ เพราะแค่บอกอย่างเดียวและให้รัฐบาลแก้ไขโดยการบวงสรวง ยังไม่มีใครทำเลย ผลที่เกิดขึ้นก็เป็นอย่างที่เห็นนะแหละครับ ทั้งการท่องเที่ยวเป็น แสนๆล้าน ทั้งการลงทุนความเชื่อมั่น ทั้งในแง่ GDP ที่ลดลง อย่างน้อย 0.5 % ทั้งชื่อเสียงประเทศไทยที่เสียหายในเรื่องที่เป็นเมืองที่เกิดความเหี้ยมโหดในการฆ่าฟัน เผาบ้านเมือง ให้เสียหายอีกเป็นหมื่นๆล้านบาท ถ้าทำพิธีบวงสรวงในเวลาที่อาจารย์บอก แค่ 10-20 ล้านเท่านั้นเหตุการณ์คงไม่ถลำลึกเสียหายมากถึงเพียงนี้แล้วยังจะมีกองโจรเสื้อแดงแฝงกายทั้งในวงราชการและทุกแห่งคอยทำลายบ้านเมืองอีก...คิดแล้วเศร้าใจจริงๆ...ที่ไม่เชื่ออาจารย์...เอาแต่สวดมนตร์ที่วัดพระแก้วซึ่งอาจารย์ก็ได้บอกแล้วว่าให้ผลไม่มากนักเพราะสวดมนต์โดยบุคคลธรรมดามีผลน้อย...ต้องสวดโดยอริยบุคคลจึงจะมีผลมาก..แต่ก็ไม่มีใครทำตามเลย..เฮ้อ..คิดแล้วเศร้าอีกๆๆๆๆๆๆ

    ที่มา อาจารย์สมภพ
    _____________
     
  4. 1redstar

    1redstar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    622
    ค่าพลัง:
    +1,368
    ความจริงมีชุดเดียว รัฐบาลต้องทำให้สังคมเข้าถึงเข้าใจความจริง

    แต่ทุกวันนี้ นักโกงเมือง ได้พยายามปลุกปั่นประชาชน
    จนกระทั่งเห็น กงจักร เป็นดอกบัว ปัญญามืดมิด มองไม่เห็นความจริง
    ไม่รู้อะไร คือความดีงาม แยกแยะไม่ออกระหว่างคนดี กับคนพาล
    สุดท้าย พอเชื่อคนพาลมาก ๆ เข้า คนพาลก็พาไปเผาบ้านเผาเมือง
    ร้านค้าวอดวายนับ พัน ๆ ร้าน
    ทำให้บาปหนักติดตัว โดยรู้เท่าไม่ถึงกรรม
    สงสัยการศึกษาสอนเอาไว้ไม่ดี บาปส่วนหนึ่งมาจากสังคมด้วย
    โดยเฉพาะพวกที่ ชอบบอกว่าเป็นกลาง ไม่เอาธุระของแผ่นดิน

    ประชาธิปไตย จะไปยิ่งใหญ่เกินกรรมได้ไง ไม่มีทาง
    ต่อไปคนเสื้อแดงเหล่านี้ รวมทั้งเครือข่าย รวมทั้งสื่อแดง
    เมื่อมีสมบัติอะไร ก็จะวิบัติหมดสิ้น ไม่รู้กี่ชาติ จนกว่าจะใช้หนี้หมด
    อันนี้คือโทษสถานเบา
    ก็ต้องปลงใจเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อทำอะไรไว้ ก็เป็นทายาท แห่งกรรมนั้น

    ส่วนแกนนำ ผู้ยุยง ปลุกปั่น เจอโทษสถานหนัก จะถูกสูบลงนรก ไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด
    เห็นหรือยังว่า การผิดศีลแค่ข้อมุสาฯ ข้อเดียวก็ สามารถทำให้ประเทศชาติ สังคมพินาศต่อหน้าต่อตา

    ใครล่ะที่บาป
    ๑.รัฐบาล ที่ไม่ตระหนักถึงปัญหา ตัดสินใจล่าช้า และผิดพลาดมาตลอด และไม่พยายามแก้ไขอะไรเลย จนความแตกแยกบานปลาย
    ๒.เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำรวจมะเขือเผาทั้งหลาย มีหน้าที่รักษาธรรมะ แต่กับไปรักษาฝ่ายอาธรรม
    ๓.สังคม ที่ทอดทิ้งพวกชาวชนบทให้เกิดความเหลื่อมล้ำมาก รวมทั้งพวกพลังเงียบ พวกขอเป็นกลาง นักสันติห่วยแตกทั้งหาล
    ๔.ขบวนการเสื้อแดง ที่เป็นนักฉวยโอกาสที่ไม่เกรงกลัวต่อบาป จึงบาปที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2010
  5. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    ขอเสนอทฤษฏีใหม่ล่าสุด.......อิอิอิอิ:cool:

    Nirvana เชื่อว่าประชาชนไทยตกอยู่ในการควบคุมของ Matrix
    แล้วจริงๆนั้น Matrix คือ อะไร......

    คำตอบก็หาได้จากภาพยนต์ Sci-Fi เรื่องเยี่ยมจากฮอลลี่วู๊ดเมื่อ2-3 ปี ก่อน ซึ่งนำแสดงโดยสุดหล่อ....คีนูรีฟ ซึ่งแสดงเป็น นีโอ และดาราสาวสุดเซ็กซี่ โมนิก้า บาลูชี่ ซึ่งแสดงเป็น ทรินิตี้......โอ้ว...สุดยอดพระเจ้าจอร์จ

    ในเรื่อง มอเฟียส ได้ตอบคำถามของนีโอว่า Matrix คือ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราในสังคมนี้ ทุกๆคนรู้จัก Matrix บางคนรักแต่บางคนไม่ชอบ แต่ก็ออกไปจาก Matrix ไม่ได้
    มีเพียงกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ต้องการประกาศความเป็นอิสระจาก Matrix จึงเกิดเป็นตำนานการสู้รบกันถึง 3 ภาค โกยเงินคนไทยไปเป็นร้อยล้านบาท....อิอิอิอิ

    Matrix จึงเป็นวาทกรรมซึ่งคล้ายๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยมาหลายปี แต่มาเข้มข้นเปิดหน้าชกกันและยิงกันซึ่งหน้ามาไม่นานนี้

    ท่านสมาชิกอันทรงเกียรติของพลังจิตอ่านทฤษฏีนี้แล้วอาจจะยังงง ก็ขอให้ไปเปิด DVD ดูภาพยนต์เรื่องนี้ใหม่อีก 1-2 รอบ โดยเฉพาะภาคแรก ก็คงจะพอมองออกว่าเรื่องนี้สัมพันธ์อะไรกับการเมืองไทยในวันนี้

    ถ้าบรรลุและเข้าใจแล้วท่านคงจะร้อง.."อ๋อ" และจะเข้าใจในรหัสลับของคำทำนายว่าด้วย......ชาววิไล ได้เป็นอย่างดี

    สงครามระหว่าง matrix กับ นีโอและพลพรรค ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าใครจะชนะในวันนี้
    แต่เชื่อว่าอีกไม่นานคงจะมีภาคต่อๆไป มาโกยเงินจากกระเป๋านักชมภาพยนต์ชาวไทยอีก

    คืนนี้ Nirvana ขอลาไปตรวจดู Profile ของนางเอกสุดเซ็กซี่ในดวงใจ โมนิกา บาลูชี่ ก่อน นะครับ เพราะหุ่นอันซ่าสุดสวาทเกินเร้าใจ ของเธอ ทำให้ต้อง Re-run Profile กันหลายรอบ อย่างมิรู้เบื่อ.....

    อย่าเครียดกับการเมืองมากไปจนเสียจริต นะครับ ถ้าเครียดก็เข้ามาดู profile ของเธอกับ Nirvana ได้ รับรอง.....ผ่อนคลาย ครับ

    นิทราสวัสดิ์....ครับ ท่านสมาชิก....ฝันดีทุกท่าน(kiss)
     
  6. tar2199

    tar2199 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +565
    ^
    ^

    Matrix จาก อิลลูมินาติ หรือเปล่าครับ
     
  7. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ที่เห็นตอนนี้นี่ยังน้อยครับ หากรัฐบาลแก้ปัญหาแบบที่ผ่านมา ราชอาณาจักรไทย ต้องเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม อย่างแน่นอน ที่เห็นน่ะเป็นการปฏิบัติการของคอมมิวนิสต์เดิม สูตรที่ใช้ก็เดิมๆ ในภาคใต้สมัยก่อนก็ใช้วิธีนี้ ครับ แต่ทักษิณเขายกเลิกกฏหมายการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ แล้วก็ยืมมือพวกนี้ทำงาน แต่ก่อนคนพวกนี้มีอุดมการณ์สังคมนิยม แต่ไม่มีเงิน พอได้เงินจากทักษิณก็เหมือนเสือติดปีกครับ หลอกใช้เงินพวกทุนเสรีเพื่อล้มทุน แล้วก็ปฏิรูปประเทศไปสู่ทุนแบบสังคมนิยม หากทำสำเร็จเมื่อไหร่จากนั้นก็ฆ่านายทุนทิ้ง เป็นการแสวงหาแนวร่วมที่สงวนจุดต่าง อย่างแยบยล ครับ

    จากรบในป่า - ป่าล้อมบ้าน -บ้านล้อมเมือง และ สุดท้าย รบในเมือง

    แค่ยกแรกรัฐบาลก็ถูกนับ ร่อแรๆ ยกต่อไปคงจะถูกจับแพ้น็อกครับ

    คลื่นใต้น้ำระรอกสอง นั้นรุนแรง เฉียบพลัน พึงต้องระวัง ครับ
     
  8. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    ถ้าหากเกิดสงครามกลียุคล้างโลกในโลกสีน้ำเงินจริง
    แล้วเกิดทางรอดคือ เกิดยุคพระศรีอารย์ หรือ ยุคชาววิไลจริงๆแล้ว
    มนุษย์แบบไหนถึงจะเหมาะสมที่จะรอดมาสู่ยุคชาววิไลนี้ได้?



    คำตอบก็คือ จะมีแต่คนดีเท่านั้นที่รอด ส่วนคนชั่วจะถูกกำจัดสิ้นในสงครามกลียุคล้างโลก
    คนดีที่ว่านี้ต้องเป็นคนดีในยุคชาววิไลนี้เท่านั้น หาใช่เป็นคนดีในยุคเก่าในอารายธรรมเก่าในโลกแบบตอนนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น
    ดังนั้น ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นคนดีแค่ไหนยังไงในอารยธรรมเก่าตอนนี้ แต่หากเขาไม่ได้เป็นคนดีที่สอดคล้องกับอารยธรรมใหม่แล้ว เขาก็จะกลายเป็นคนชั่วในยุคใหม่นี้ทันทีไม่สามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขปิติสุขสมบูรณ์ในยุคชาววิไลได้



    เนื่องจากยุคชาววิไล เกิดจากการโดยการช่วยเหลือของมนุษย์ต่างดาวจากดาวดวงอื่นที่อยู่จักรวาลอื่นนอกระบบสุริยะจักรวาล
    ที่ได้ถ่ายทอดอารยธรรมของเขามาฟื้นฟูโลกเก่าที่อารยธรรมเก่าที่เรามีอยู่ตอนนี้จะถูกทำลายล้างไปในกลียุคสงครามล้างโลก

    โดยมนุษย์ต่างดาวจะเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะแปลกแตกต่างจากมนุษย์เราปกติทั่วไป คือ มีรูปร่างเล็กหัวโตน่ารักแบบเด็กทารก และ มีอายุยืดยาวน่ากลัวแบบคนชรา
    โดยจะแสดงความเป็นอมตะที่รวมเอาความเป็นเด็กทารก และ คนชราไว้เปนหนึ่งเดียวกัน จึงเป็นความอมตะอย่างแท้จริงสมบูรณ์ที่ทั้งน่ารักและน่ากลัวพร้อมกัน เหนือความเป็นอมตะที่แบ่งแยกเป็น
    เด็กทารกที่แสดงถึงการไม่แก่ เจ็บ ตาย และ คนชราที่แสดงถึงความมีอายุยืนยาวของมนุษย์ในโลกสีน้ำเงิน มนุษย์ต่างดาวจึงมีอายุยืดยาวเป็นหมื่นๆปีในอวกาศสากลจักรวาลอย่างแท้จริงสมบูรณ์
    โดยไม่เกิดแก่เจ็บตายเหนือโลกสีน้ำเงิน นอกจากนี้มนุษย์ต่างดาวยังมีพลังจิต และ พลังวัตถุสสารร่างกายสูงสุดพร้อมกัน เหนือการแบ่งแยกของนักบวชที่มีแต่พลังจิต และ เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีแต่พลังทางวัตถุสสารร่างกายในโลกสีน้ำเงิน

    [​IMG]

    จึงทำให้อารยธรรมของมนุษย์ต่างดาวจึงเป็นอารายธรรมที่แท้จริงที่สมบูรณ์สูงสุดที่สมบูรณ์ทั้งทางจิต และ ทางสสารวัตถุร่างกายพร้อมๆกันได้ โดยจะเป็นอารยธรรมที่มีพลังของวัตถุสสารที่ไฮเทคสูงสุด และ มีพลังจิตสูงสุดพร้อมๆกัน
    อารยธรรมของมนุษย์ต่างดาวจึงไม่มีการแบ่งแยกเป็นชนบท กับ มหานครแบบอารยธรรมเก่าในโลกสีน้ำเงิน โดยจะเป็นอารยธรรมที่รวมชนบทกับมหานครเป็นหนึ่งเดียวกัน
    เป็นดินแดนมหานครไฮเทคอันยิ่งใหญ่ที่เงียบสงบแบบชนบทที่ทั้งน่ารักและน่ากลัวสูงสุดพร้อมกัน ไม่ได้เป็นมหานครที่มีแต่ความสวยงามอย่างเดียวสับสนวุ่นวายเต็มไปด้วยมลพิษแบบมหานครในโลกสีน้ำเงินตอนนี้แต่อย่างใด จะเป็นทั้งมหานครที่เงียบสงบแบบชนบทที่ทั้งมีแบบหยุดนิ่ง
    ที่ตั้งบนผืนดิน(ที่จะเรียกว่า เมืองแม่) และ แบบทั้งเคลื่อนไหวสามารถท่องเที่ยวไปในอวกาศสากลจักรวาลได้ ซึ่งก็คือ จานบิน(ที่จะมีทั้งยานแม่ และ ยานลูก) นั่นเอง

    [​IMG]

    ดังนั้น มนุษย์ที่จะเป็นคนดีที่รอดจากกลียุคสงครามล้างโลกมาสู่ยุคชาววิไลที่เป็นอารยธรรมใหม่จากมนุษย์ต่างดาวที่เป็นอารายธรรมที่สุขสบูรณ์สูงสุดทั้งจิต และ สสารวัตถุร่างกายพร้อมๆกันได้นั้น
    มนุษย์คนนั้นก็ต้องเป็นคนที่สุขสบูรณ์สูงสุดทั้งจิต และ สสารวัตถุร่างกายพร้อมๆกันได้เช่นกัน คือ ต้องเป็นทั้งนักบวชที่มีพลังจิต และ เป็นเด็กวัยรุ่นที่มีพลังทางวัตถุสสารร่างกายสูงสุดในคนเดียวกัน นั่นเอง
    นั่นคือ เล็งถึง มหาชนหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ในมหานครที่นิยมเล่นโยคะ และ อินเตอร์เนตนั่นเอง

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ซึ่งการเล่นโยคะ ก็เป็นการบริหารร่างกายที่มีการฝึกจิตไปด้วย โดยมีการควบคุมลมหายใจทำสมาธิให้จิตใจสงบมีสติแบบนักบวช
    และ การเล่นอินเตอร์เนตก็เป็นการศึกษาความรู้ปัญญา โดยส่วนมากเป็นที่นิยมของเด็กวัยรุ่นที่ชอบเล่นเวปเล่นแชทเล่นเกม ซึ่งการเล่นโยคะควบคู่ไปกับ การเล่นอินเตอร์เนตนั้น ก้อจะทำให้มนุษย์กลายเป็นคนที่มีทั้งพลังจิตสุงแบบนักบวช และ มีพลังวัตถุสสารร่งกายสูงแบบเด็กวัยรุ่นในคนคนเดียวกันได้ซึ่งจะสอดคล้องกับอารยธรรมใหม่ของมนุษย์ต่างดาว

    ดังนั้น การเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติ หรือ กลียุคสงครามล้างโลกของมนุษย์เหมาะสมที่จะรอดสุ่ยุคชาววิไลนั้น จึงไม่มีอะไรมาก ก็เป็นการเล่นโยคะ และ การเล่นอินเตอร์เนตตามปกติประจำวันของหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ในมหานครนั่นเอง โดยไม่ต้องทำอะไรแปลกใหม่ไปมากกก่าเดิมเลย โดยใช้เวลาว่างตามปกติเพื่อให้ค่อยๆพัฒนากลาย
    เป็นมนุษย์ที่มีพลังจิตสูงสุด และ พลังวัตถุสสารรางกายสูงสุดในคนคนเดียวกันให้สอดคล้องเหมาะสมกับอารยธรรมใหม่ สมมติว่าถึงสงครามจะไม่เกิดจริงก็ตาม เล่นไว้ตามปกติอยู่แล้วก็ไม่เสียหายอะไร ทำให้สุขภาพแข็งแรงจิตใจผ่องใสไม่ได้มีโทษอะไร


    ซึ่งคนรุ่นใหม่(Next generation)แสดงถึง มนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ที่จะรอดสู่ยุคชาววิไลที่จิตแบบนักบวชที่สวยงามประภัสสรผ่องใสไม่เศร้าหมอง และ ร่างกายแบบเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เป็นหนุ่มเป็นสาวสวยงามสดใสพร้อมๆกัน จึงวิไลอย่างแท้จริงสมบูรณ์ดีพร้อม
    ซึ่งเมื่อเจอเหตุการณ์รุนแรงอย่างกลียุคสงครามล้างโลก และ ภัยพิบัติที่รุนแรงสยดสยองสูงสุดขึ้นมาจริงๆ ด้วยการเล่นโยคะทำสมาธิฝึกพลังจิตอยู่อย่างสม่ำเสมอก็จะมีสติแบบนักบวช ไม่ตกใจหวาดกลัวหดหู่เศร้าหมองจนตรอมใจทำใจไม่ได้จนไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้แบบคนทั่วไปส่วนมากในตอนนี้ ด้วยมีพลังจิตที่เข้มแข็งเข้าใจในสัจธรรมด้วยสติปัญญา
    ยอมรับสัจธรรมความจริงไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับครอบครัว ประเทศของตัวเอง เมื่อระบบครอบครัว และ ชาติแบบเก่าล่มสลายพังพินาศ ธรรมชาติถูกทำลายย่อยยับไปแล้วจากสงครามล้างโลก และ ภัยพิบัติที่รุนแรงจากธรรมชาติ และ ด้วยร่างกายที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวสวยงามสดใสจึงยังไม่อยากตายตอนนี้ จึงยังสามารถใช้ชีวิตอย่างปิติสุขทั้งทางจิต และ สสารวัตถุร่างกายสูงสุดพร้อมกันในยุคชาววิไลร่วมกับมนุษย์ต่างดาวได้ ที่จะเต็มไปด้วยวัตถุสสารที่ไฮเทคสูงสุด และ มีพลังจิตสูงสุดได้ จึงไม่รู้สึกว่าตัวเองขัดแย้งกับอารยธรรมใหม่สามารถเรียนรู้อารยธรรมใหม่พัฒนาพลังจิต และ ใช้ชีวิตท่ามกลางวัตถุสสสารที่แปลกใหม่ไฮเทคได้ จึงเหมาะสมที่จะมีชีวิตรอดสู่ยุคใหม่ยุคชาววิไลนี้




    ดังนั้น ในยุคชาววิไลนี้จะไม่มีนักบวชที่โดดเด่นทางจิต และ เด็กวัยรุ่นที่โดดเด่นทางสสารวัตถุร่างกายที่แยกขัดแย้งกันเหมือนอารยธรรมเก่าในโลกตอนนี้อีกต่อไป
    จะมีแต่ชาววิไลที่ดีงามสมบูรณ์พร้อม ที่วิไลทั้งจิต และ วิไลทั้งสสารวัตถุร่างกายพร้อมกัน ร่วมอยู่เป็นสังคมวิไลเป็นยุควิไลอย่างแท้จริง อันเป็นยุคแห่งความดีงามเพรียบพร้อมปิติสุขสงบอย่างแท้จริง ปัญหาครอบครัวปัญหาสังคมปัญหาศีลธรรมความชั่วร้ายขัดแย้งรุนแรงต่างๆแบบอารยธรรมเก่าตอนนี้จะไม่มีอีก
    มีแต่ความเป็นทิพย์จากพลังจิตสูงสุดฌาณสมาบัติ และ ทิพย์จากวัตถุสสารที่ไฮเทคสูงสุดทำให้อายุยืดยาวอุดมปิติสุขสมบูรณ์เป็นหมื่นๆปีในสากลจักรวาลไปชั่วกาลนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2010
  9. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,358
    ค่าพลัง:
    +1,088
    Mahamotana_Satukan .... 4444
     
  10. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    หากมนุษย์ต่างดาวมีจริง ทำไมไม่เปิดเผยตัวแก่สายตาชาวโลกอย่างชัดเจน?




    ท่านก็ลองคิดดูสิว่า ถ้าหากเกิดกองทัพจานบินมหาศาลของมนุษย์ต่างดาวลอยเหนือน่านฟ้าโผล่แสดงแก่สายตามหาชนชาวโลกอย่างเปิดเผยชัดเจนในยามที่
    โลกกำลังอยุ่ในความสงบอยู่ คือ ยังไม่เกิดสงครามกลียุคล้างโลก ยังไม่เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงสูงสุดแล้ว คือ เหตุการณ์ยังไม่รุนแรงถึงจุดวิกฤตจริงๆแล้ว
    มหาชนชาวโลกจะมองว่ามนุษย์ต่างดาวนำกองทัพมารุกรานยึดครองโลก ทำลายล้างเผ่าพันธ์โลกอย่างแน่นอน ชาวโลกจะแตกตื่นตกใจหวาดกลัวมองมนุษย์ต่างดาวในแง่ร้ายทันที
    ซึ่งหากมนุษย์ต่างดาวจะทำจริงๆย่อมทำได้ เพราะกองทัพของมนุษย์ไม่สามารถสู้รบกับกองทัพที่มีอารยธรรมสูงกว่าของมนุษย์ต่างดาวได้เลย
    แต่การยึดครองโลกทำลายเผ่าพันธ์มนุษย์ไม่ใช่เจตนาของมนุษย์ต่างดาวที่มีอารยธรรมที่สูงส่งที่สมบูรณ์เหนือกว่าชาวโลกสีน้ำเงินแน่นอน
    อีกทั้งตอนนี้อารยธรรมของมนุษย์ชาวโลกสีน้ำเงินของเรายังเป็นอารายธรรมที่ไม่สมบูรณ์ขัดแย้งกับอารยธรรมสากลจักรวาลของมนุษย์ต่างดาวอยู่ ทำให้มนุษย์จะไม่เข้าใจมนุษย์ต่างดาว และ เห็นว่าไม่ใช่พวกเดียวกับตน ไม่มีวัฒนธรรมเดียวกับตน


    [​IMG]

    ดังนั้น มนุษย์ต่างดาวที่เปรียบเสมือนกองกำลังสหประชาชาติของจักรวาลที่มีหน้าที่ช่วยเหลือดวงดาวที่กำลังประสบปัญหารุนแรงถึงขั้นวิกฤตเท่านั้นจึงจะยื่นมือมาช่วยเหลือ
    หากเกิดสงครามล้างโลก และ ภัยพิบัติที่รุนแรงสูงสุดจนมนุษย์ไม่สามารถจัดการอะไรได้อีก ถึงจุดวิกฤตทางตันที่ต้องการความช่วยเหลือ
    เมื่อนั้นโลกจะมืดมนเต็มไปด้วยควันพิษจากไฟที่เผาจากสงครามล้างโลก มองไม่เห็นแสงสว่างบนฟากฟ้าใดๆที่ส่องมายังโลกอีก ไม่มีทั้งแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ และ แสงดาว
    เมื่อนั้น กองทัพจานบินของมนุษย์ต่างดาวก็จะลอยเหนือน่านฟ้าโผล่แสดงแก่สายตามหาชนชาวโลกอย่างเปิดเผยชัดเจน ส่องแสงสีขาวสว่างจ้าเหนือฟากฟ้าความมืดดำของโลก
    ซึ่งแสดงถึงแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษยชาติ
    ชาวโลกเองจะเข้าใจและยอมรับความช่วยเหลือของกองทัพมนุษย์ต่างดาว ไม่มองว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้มารุกรานยึดครองโลกแน่นอน
    แต่จะมองว่าเป็นผุ้มาช่วยเหลือให้รอดจากลียุคของโลกแทน

    ดังนั้น มนุษย์ต่างดาวจึงยังไม่สามารถปรากฏตัวแบบเปิดเผยชัดเจนในตอนนี้
    แต่จำเป็นต้องรอให้เกิดวิกฤตจนมนุษย์หมดหนทางแก้ปัญหาด้วยตัวเองแล้วเท่านั้นกองทัพมนุษย์ต่างดาวถึงจะปรากฏตัวอย่างชัดเจนให้ความช่วยเหลือมนุษย์ชาต รอให้อารยธรรมเก่าที่ป่าเถื่อนไม่สมบูรณ์ขัดแย้งสับสนของมนุษย์ถูกทำลายด้วยมนุษย์เองก่อนแล้วมนุษย์ต่างดาวจึงจะสามารถถ่ายทอดอารยธรรมใหม่สากลจักรวาลให้มนุษย์แทนต่อไป
    อย่างไรก็ตามมนุษย์ต่างดาวก็ปรากฏตัวมานานแล้ว ปรากฏตัวเรื่อยๆ ตลอดมา เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยชัดเจนเป็นกองทัพแก่สายตาชาวโลกเท่านั้นเอง เพราะจำเป็นต้องรอให้ถึงเวลาวิกฤตจริงๆเท่านั้น
    จึงทำให้คนทั่วไปสับสนไม่สามารถพิสจน์ได้ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?
    อย่างชัดเจนจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร


    ลิ้งค์ที่น่าสนใจสำหรับหัวข้อนี้

    http://palungjit.org/threads/มีการตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว-กระบวนการเริ่มต้นไปแล้ว.178081/


    http://palungjit.org/threads/ข้อความจาก-กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย-เขากะลา-ปิดกระทู้.86674/page-3

    http://palungjit.org/threads/รวมบทความ-ที่เป็นประโยชน์กับชีวิต-ของกลุ่มประสานงานฯ-เขากะลา-
    เพื่อออกจากทุกข์-ทำทันทีได้ทันที.162475/


    ลิ้งค์น่าสนใจสำหรับหัวข้อนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  11. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861

    เออ....อันนี้ไม่รู้ นิ

    ต้องไปถาม Mrs. Oracle ที่อพาทเม้นท์ ของเธอ ดู นิ....งิงิงิงิงิ:cool:
     
  12. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    มนุษย์เราไม่มีทางแก้ไขไม่ให้เกิดภัยพิบัติ และ กลียุคสงครามล้างโลกได้เลยหรือ?


    การเกิดภัยพิบัติ และ กลียุคสงครามล้างโลกที่จะทำลายเผ่าพันธ์ของมนุษย์ชาตินั้น เป็นไปตามกฏสัจธรรมความจริงที่อยู่เหนือมนุษย์ที่มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
    นอกจากการยอมรับโดยดุษณีเท่านั้น

    คือ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปตามหลักปฏิพัฒนาการ(dialectic) คือ บทยืน ไปสู่ บทแย้ง แล้วไปสู่บทสังเคราะห์ในที่สุด

    บทยืน(thesis) = บทพื้นฐาน ที่มีอยู่ก่อน จำเป็นต้องมี ขาดไม่ได้
    บทแย้ง(antithetic) = บทใหม่ที่ตรงข้ามกับบทยืน ที่เกิดขึ้นมาทีหลัง
    บทสังเคราะห์(synthetic) = บทสรุปรวมสุดท้ายที่รวมบทยืน และ บทแย้งเข้าด้วยกัน

    ซึ่งปฏิพัฒนาการเป็นวิวัฒนาการที่รู้จักยอมรับกันอย่างดีแล้วในหมู่นักปรัชญา แต่คนทั่วไปส่วนมากอาจยังไม่รู้จัก
    โดย บทยืน และ บทแย้งจะขัดแย้งตรงข้ามกัน ซึ่งจะขัดแย้งรุนแรงไปเรื่อยๆจนถึงขีดสุด ก็จะก้าวกระโดดวิวัฒนาการเป็นบทสังเคราะห์ที่อยู่เหนือความขัดแย้งโดยรวมบทยืนและบทแย้งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสังเคราะห์เป็นสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์แทน

    โดยปฏิพัฒนาการนี้ เป็นกฏธรรมชาติสัจธรรมความจริงของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไปทั้งหมด
    โดยจะเห็นได้ชัดเจนจากระดับใหญ่ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของยุคของโลก

    ลองมาพิจรณาที่ยุคไดโนเสาร์กันก่อน
    ในยุคนี้สิ่งมีชีวิตที่โดดเด่น คือ ไดโนเสาร์ โดยไดโนเสาร์จะเป็นจ้าวโลก
    โดยในยุคนี้จะมีความขัดแย้งของสิ่งมีชีวิต คือ พืช และ สัตว์

    โดย บทยืน = พืช ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่หยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว เกิดมาก่อนแผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วคงที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
    บทแย้ง = สัตว์ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหว เกิดมาทีหลัง มีขยายตัวแพร่พันธ์อย่างรวดเร็ว

    โดยความขัดแย้งของพืช และ สัตว์ในยุคนี้จะค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยสัตว์จะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นลักษณะแบบบริโภคนิยมที่มีการกินอย่างมหาศาลไม่หยุด
    ขยายตัวไปเรื่อยๆโดยการกินพืชอย่างมหาศาลจนวิวัฒนาการเป็นไดโนเสาร์ที่ตัวใหญ่โตมหาศาล(ถ้าเปรียบกับยุคมนุษย์ก็คงเป็นตึกสูงใหญ่โตมหาศาลที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของระบบทุนนิยมบริโภคนิยมที่เป็นจ้าวโลกในยุคนี้)
    ที่มีมากมายมหาศาลทุกที่ทั้งในทะเล ในน้ำ ในอากาศ และ บนบก ที่แพร่พันธ์ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก จึงมีการกินอาหารคือ พืชมากมายมหาศาลจนพืชขาดแคลนอาหารของสัตว์ขาดแคลน

    [​IMG]
    [​IMG]

    เมื่อความขัดแย้งเกิดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไดโนเสาร์จะฆ่ากันเองอย่างสยดสยองโดยไดโนเสาร์กินเนื้อจะกินไดโนเสาร์ด้วยกันเองที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นที่พืชถูกทำลายมากๆโลกก็ค่อยๆร้อนมากขึ้นเรื่อยๆเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงเรื่อยๆ ซึ่งจะเห็นว่าเกิดสงครามไดโนเสาร์ฆ่ากันเอง และ เกิดภัยพิบัติที่เริ่มรุนแรงขึ้นๆ


    จนถึงขีดสุดของความขัดแย้งของบทยืน และ บทแย้ง ก็จะเกิดการก้าวกะโดดวิวัฒนาการสู่บทสังเคราะห์ทันที
    จุดนี้ จะเกิดกลียุคสงครามล้างสิ่งมีชีวิตไดโนเสาร์ฆ่ากันเอง พืชจะถูกกินจนขาดแคลน เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงสูงสุดจนกำจัดไดโนเสาร์ และ พืชในยุคนั้นหมดสิ้น

    [​IMG]

    โดย บทสังเคราะห์ = มนุษย์ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตบทสรุปรวมที่รวมพืชและสัตว์เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยจะมีร่างกายที่เคลื่อนไหวได้เหมือนสัตว์แต่มีจิตที่หยุดนิ่งได้เหมือนพืช,โดยจิตที่หยุดนิ่งได้ของมนุษย์นี้ก็คือสติ(จิตที่หยุดนิ่งรู้ตัวอยู่) อันเป็นพื้นฐานให้จิตเคลื่อนไหวเป็นปัญญา(จิตที่เคลื่อนไหวเป็นความรู้ที่มีเหตุผลมีระเบียบมีหลักการชัดเจน)ได้ ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา(อันจะนำไปสู่อารยธรรมที่มีความรู้มีหลักการ) แตกต่างจากสัตว์และ พืช อยู่เหนือความขัดแย้งของสัตว์และพืชในโลกสีน้ำเงินได้

    ดังนั้น ในจุดวิกฤตการล้างโลกสูญพันธ์ของไดโนเสาร์ และ พืชในยุคนั้น จะมีสิ่งมีชีวิตในยุคนั้นที่รอดตายมาสู่ยุคใหม่จนวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ได้
    ซึ่งก็คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง



    จะเห็นว่า การสูญพันธ์หมู่ในยุคไดโนเสาร์นั้นทำให้เกิดบทสังเคราะห์มาเป็นยุคที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่น หรือ ยุคที่มนุษย์เป็นจ้าวโลกตอนนี้
    ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามกฏของหลักปฏิพัฒนาการ ที่ต้องเป็นอย่างนั้นเอง จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ไม่มีใครสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ ไดโนเสาร์เองก็ไม่ได้อยากสูญพันธ์
    แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้ มนุษย์ก็เช่นกันที่ต้องอยู่ภายใต้กฏปฏิพัฒนาการนี้ การสูญพันธ์ของมนุษย์การเกิดภัยพิบัติล้างโลกก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงแก้ไขอะไรไม่ได้
    แม้ว่ามนุษย์จะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นมาแค่ไหนยังไงก็ตาม แต่ความจริงย่อมเป็นความจริงไม่มีใครหนีความจริงได้ มนุษย์จะต้องยอมรับความจริงนี้ให้ได้เท่านั้น

    ในยุคมนุษย์นี้ บทยืน = ชนบท ดินแดนที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่มีนักบวชโดดเด่นในดินแดนนี้ อันเป็นดินแดนที่คงที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
    บทแย้ง = มหานคร ดินแดนที่เกิดใหม่ที่ตรงข้ามกับชนบทที่มีเด็กวัยรุ่นโดดเด่นในดินแดนนี้ อันเป็นดินแดนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    ความขัดแย้งของ 2 ดินแดนนี้จะค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยมหานครจะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นลักษณะแบบโลกาภิวัฒน์ทุนนิยมบริโภคนิยมที่มีการกินอย่างมหาศาลไม่หยุด
    ขยายตัวไปเรื่อยๆโดยกลายเป็นเมืองที่มีตึกสูงใหญ่โตมหาศาล(ถ้าเปรียบกับยุคไดโนเสาร์ก็คงเป็นไดโนเสาร์ที่ตัวใหญ่โตมหาศาลที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของสัตว์ที่เป็นจ้าวโลกในยุคนั้น)ที่มีมากมายมหาศาลทุกที่ทั้งในทะเล(เรือสำราญลำใหญ่) ในอากาศ(เครื่องบินลำใหญ่) และ บนบก ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วมากไปทั่วโลก ทำให้ระบบครอบครัว และ ศาสนาค่อยพังทลาย คนไร้ศีลธรรม สังคมเสื่อมโทรม

    เมื่อความขัดแย้งเกิดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์จะฆ่ากันเองอย่างสยดสยองรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นผลจากการบริโภคมากมายมหาศาลสิ่งแวดล้อมจะถูกทำลายมากๆเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมขยะมลพิษรุนแรงโลกก็ค่อยๆร้อน
    มากขึ้นเรื่อยๆเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงเรื่อยๆ ซึ่งจะเห็นว่าเกิดสงครามมนุษย์เข่นฆ่ากันเองอย่างไร้ศีลธรรม และ เกิดภัยพิบัติที่เริ่มรุนแรงขึ้นๆ

    จนถึงขีดสุดของความขัดแย้งของบทยืน และ บทแย้ง ก็จะเกิดการก้าวกะโดดวิวัฒนาการสู่บทสังเคราะห์ทันที
    จุดนี้ จะเกิดกลียุคสงครามล้างโลกประเทศต่างๆทำสงครามกันอย่างรุนแรงมนุย์ฆ่ากันเองอย่างสยดสยองที่สุด เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงสูงสุดจนกำจัดมนุษย์ในชนบท และ มหานครในยุคนั้นหมดสิ้น

    โดย บทสังเคราะห์ = ดินแดนใหม่ของมนุษย์พันธ์ใหม่(มนุษย์ต่างดาว) ที่เป็นมนุษย์บทสรุปรวมที่รวมนักบวชในชนบทและเด็กวัยรุ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยจะมีร่างกายที่มีพลังทางวัตถุสสารที่ไฮเทคแบบเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวแต่มีจิตที่มีพลังจิตได้เหมือนนักบวช อยู่เหนือความขัดแย้งของ นักบวช และ เด็กวัยรุ่นในโลกสีน้ำเงินได้

    ดังนั้น ในจุดวิกฤตการล้างโลกสูญพันธ์ของมนุษย์ในยุคนั้น จะมีสิ่งมีชีวิตในยุคนั้นที่รอดตายมาสู่ยุคใหม่จนวิวัฒนาการเป็นมนุษย์พันธ์ใหม่ได้
    ซึ่งก็คือ หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่นิยมเล่นโยคะ และ อินเตอร์เนตในมหานคร นั่นเอง
    คนรุ่นใหม่ที่รอดจากยุคนี้ก็จะใช้ชีวิตในยุคใหม่จนสามารถวิวัฒนาการเป็นมนุษย์พันธ์ใหม่ที่สามารถใช้ชีวิตแบบมนุษย์ต่างดาวในดวงดาวต่างๆในสากลจักรวาลได้ต่อไปดังเช่นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่รอดมาจนสามารถวิวัฒนาการเป็นมนุษย์เราในวันนี้ได้นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2010
  13. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    มนุษย์เราไม่มีทางแก้ไขไม่ให้เกิดภัยพิบัติ และ กลียุคสงครามล้างโลกได้เลยหรือ?


    คำตอบคือ ไม่ได้ ครับ

    เพราะเหตุว่า ภัยพิบัติเกิดจาก "วิบากกรรม" ที่สั่งสมกันมาเป็นเวลายาวนานนับภพชาติ
    ผู้ที่จะรู้การเกิด-ดับ ของกรรม จะต้องเป็นผู้มีอภิญญา สมาบัติ เท่านั้น

    ไม่สามารถเอาทฤษฏีใดๆที่มนุษย์บัญญัติขึ้น (ทฤษฏีไดอะเลกติค ของเลนิน อย่างที่ จขกท. ยกมานี้) มาเทียบเคียงได้ เพราะเป็นคนละระบบกัน

    ระบบกรรมไม่ใช่ระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้นจะใช้ภูมิปัญญาทั่วไปของมนุษย์ไปตัดสินไม่ได้ แต่กรรมเป็นระบบที่มีความเป็นเที่ยงธรรมสูงยิ่งและไม่ละเว้นแก่ผู้ใดในสามโลกนี้
     
  14. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    ใจครับที่แนะนำ

    แต่ก็ลองศึกษาดูไว้เป็นอาหารสมองก็ไม่มีไรเสียหายไม่ใช่หลอคับ
    ซึ่งทุกคนควรใช้สติปัญญาพิจรณาด้วยตัวเอง ก่อนเชื่อสิ่งใด
    ตามหลักกามาลาสูตรของพระพุทธเจ้านะคับ
     
  15. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    คนเราตายแล้วไปไหน?

    หลักปฏิพัฒนาการสามารถอธิบายวิวัฒนาการชีวิตของมนุษย์ในโลกสีน้ำเงินได้อีกด้วย

    โดยมี บทยืน = จิต ที่เป็นบทยืนพื้นฐานของมนุษย์ที่ลึกลับ หยุดนิ่งไม่มีเวลา(เหนือเวลาที่จิตสามารถคิดไปอดีตไปอนาคตได้)ไม่มีตำแหน่งแหล่งที่(คิดไปตรงไหนก็ได้) ว่างเปล่าคงที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
    บทแย้ง = ร่างกาย ที่เป็นวัตุถุสสารที่เคลื่อนไหวได้กินอาหารได้มีเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีอายุมีรูปร่างลักษะตำแหน่งแหล่งที่

    โดยความขัดแย้งของจิต และ ร่างกายของมนุษย์นี้จะค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยร่างกายจะมีการเติบโตตัวอย่างรวดเร็วเป็นลักษณะแบบบริโภคนิยมที่มีการกินอย่างมหาศาลไม่หยุด

    เติบโตจากเด็กทารกตัวเล็กๆจนกลายเป็นหนุ่มสาวที่ตัวสูงใหญ่ ซึ่งการบริโภคอาหารจำนวนมากย่อมทำให้ร่างกายทำงานหนักในการย่อย ทำให้เกิดสะสมโรคต่างๆสารพิษที่มาจากอาหารและ ทางอื่นขึ้นมามากมาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ
    หนุ่มสาว หรือ ผู้ใหญ่จะไม่สนใจจิต สติปัญญาความอยากรู้อยากเห็นเข้าใจโลกแบบในวัยเด็กค่อยๆจะหมดไป สนใจแต่กิเลสตัณหา กิน กาม เกรียติ เมื่อความขัดแย้งเกิดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จิตจะเกิดควมสับสนเครียดรุนแรงกับปัญหาชีวิตที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาจิตจะขัดแย้งกันเองทำให้เครียดเศร้าหมองอย่างหนักที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นร่างกายก็เต็มไปด้วยกรสะสมของโรคร้ายต่างๆรุมเร้า
    มากขึ้นเรื่อยๆทำให้ร่างกายเ็จ็บปวดทรมานเสื่อมโทรมแก่ชราเรื่อยๆ

    จนถึงขีดสุดของความขัดแย้งของบทยืน และ บทแย้ง ก็จะเกิดการก้าวกะโดดวิวัฒนาการสู่บทสังเคราะห์ทันที
    จุดนี้ จะเกิดจุดวิกฤตสุดท้ายทางชีวิตของมนุษย์ โดยจิตจะเครียดเศร้าหมองอย่างสูงสุดจนคิดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ ร่างกายเสื่อมโทรมจะสู้กับโรคร้ายต่อไปไม่ไหว อันจะเป็นการเสียชีวิต หรือ การตายของมนุษย์นั่นเอง

    โดย บทสังเคราะห์ = กายทิพย์ ที่เป็นชีวิตใหม่บทสรุปรวมที่รวมจิตและร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยจะมีร่างกายที่ มีอายุมีรูปร่างลักษะตำแหน่งแหล่งที่ เหมือนร่างกายก่อนตายแต่สามารถหายตัวไปตรงไหนก็ได้ไม่ขึ้นกับเวลาไม่ต้องเจริญเติบโตไม่ต้องกินอาหารเหมือนจิต

    (แต่กายทิพย์จะกินเวทนาเป็นอาหารแทนและค่อยๆสลายจุติแทนการเติบโต)ทำให้อยู่เหนือความขัดแย้งของจิตและร่างกายตอนมีชีวิตอยู่ได้

    [​IMG]

    นั่นคือ ในขณะที่คนเราตาย จิตคิดนึกไม่ได้ ร่างกายไม่ทำงานไม่มีลมหายใจอีกต่อไปนั้น จะเกิดการก้าวกระโดดกลายเป็นกายทิพย์ฉับพลัน ซึ่งกายทิพย์จะไม่ขึ้นกับมิติอวกาศกาลในโลกของร่างกายตอนมีชีวิตอยู่ กายทิพย์นี้จึงสามารถหายตัวได้ ล่องลอยหายไปตรงไหนก็ได้ตามอธิฐานตามกำลังของกายทิพย์นั้นๆ
    โดยกายทิพย์จะกินเวทนาเป็นอาหาร ถ้าก่อนตายเศร้าหมองเจ็บปวดทรมานก็จะกินความเจ็บปวดทรมานเป็นอาหารไปตลอด และ ไม่เจริญเติบโตแต่จะสามารถสลายตัวฉับลันจุติตรงโน้นตรงนี้ได้ทันที

    ซึ่งคนปกติธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกจิตทำสมาธิจนมีปิติสุขในฌาณสมาบัติได้ เมื่อเสียชีวิตตายไปอย่างเจ็บปวดทรมานขาดสติ กายทิพย์นี้ก็จะกลายเป็น ผี นั่นเอง

    [​IMG]

    แต่ถ้าผู้ฝึกจิตได้จนได้ฌานสมาบัติ เมื่อตายไปในการดับลมหายใจในสมาบัติ ด้วยอำนาจปิติสุขของสมาบัติ จึงไม่เป็นการตายแบบเจ็บปวดทรมานแบบคนทั่วไป
    กายทิพย์มีพลังอำนาจของฌาณสมาบัติ สามารถไปจุติในโลกทิพย์แดนสวรรค์ชั้นต่างๆเป็นเทวดาเป็นพรหมในชั้นต่างๆได้ตามกำลังอำนาจของฌาณสมาบัติ เป็นรูปพรหม เป็นอรูปพรหมไปตามพลังฌาณกินเวทนาปิติสุขเป็นอาหารไปจนกว่าหมดอำนาจของฌาณ

    ซึ่งคนทั่วไปที่ตายไปกลายเป็นผีนั้น กายทิพย์จะไม่มีพลังอำนาจมากพอ ไม่สามารถอธิฐานไปจุติโลกทิพย์ที่เป็นสวรรค์ หรือ พรหมโลกแบบผู้มีฌาณสมาบัติได้ ต้องกลายเป็นผีวนเวียนเฝ้าอยู่ที่ตัวเองก่อนตายไปไหนไม่ได้ ล่องลอยได้แค่ในโลกไม่รู้ไปไหน
    ส่วนคนที่ก่อนตายทำความชั่วหนักไว้มาก เศร้าหมองด้วยกิเวลสตัณหามากๆ กายทิพย์ก็จะหนักล่องลอยไม่ได้ถูกความชั่วร้ายดึงต่ำลงไปโลกนรกทันที ชดใช้กรรมในโลกนรกอย่างทุกข์ทรมานอย่างยืดยาวแสนนาน


    ซึ่ง กายทิพย์จะไปไหนจะยังไงต่อหลังจากที่ร่างกายตายแล้วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผลบุญผลบาปที่ทำไว้ขณะมีชีวิตอยู่ก่อนตายนั่นเอง
    นั่นคือ สิ่งที่รอดจากการเสียชีวิตของมนุษย์ที่จะถ่ายทอดมาสู่กายทิพย์หลังความตาย ก็คือ ผลบุญผลกรรมที่สะสมในจิตของมนุษย์คนนั้นก่อนตาย
    คือ ไปสวรรค์ไปพรหมโลกได้ถ้ามีอำนาจฌาณสมาบัติมีผลบุญมากๆปิติสุขในฌาณสมาบัติมากๆ หรือ ไปนรกถ้าทำก่อนตายชั่วมากๆตายอย่างเศร้าหมองเจ็บปวดทรมานมากๆ
    หรือยังหลงผิดผูกพันยึดมั่นถือมั่นมากๆก็จะวนเวียนกลายเป็นผีอยู่ในโลกอยู่ที่ก่อนตายไปจุติที่ไหนไม่ได้เสพทุกขเวทนาโหยหวนทรมานเป็นอาหารต้องขอส่วนบุญจากผู้คนอยู่เรื่อยๆ
    โดยพยายามปรากฏตัวให้ผู้คนเห็นทั้งทางในการเข้าฝัน และ การปรากฏตัวให้เห็นจริงๆในรูปของ ผีหลอก นั่นเอง


    [​IMG]

    ส่วนมนุษย์ต่างดาวจากจักรวาลอื่น ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังจิต และ พลังสสารสูงสุดพร้อมกันนั้น จะมีร่างกายที่เป็นทิพย์เช่นเดียวกับกายทิพย์ คือ เป็นมนุษย์ที่มีจิตและร่างกายรวมเป็นอันเดียวกันได้
    ไม่ได้มีจิต กับ ร่างกายแยกกันแบบมนุษย์ในโลกสีน้ำเงิน มนุษย์ต่างดาวจึงไม่ต้องหายใจแบบมนุษย์เรา ไม่ต้องกินอาหารหยาบ ไม่ต้องขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
    โดยจะกินอาหารทิพย์ที่ปิติสุขย่อยสลายทันทีให้อิ่มทิพย์ทันทีไม่ต้องอดอยากไม่ต้องทุกข์เจ็บปวดทรมาน จึงมีอายุทิพย์ยืดยาวเป็นหมื่นๆปีในสากลจักรวาลเหนือโลกสีน้ำเงินได้ สามารถท่องเที่ยวในสากลจักรวาลได้โดยไม่ต้องใส่ชุดอวกาศ
    มนุษย์ที่รอดจากกลียุคสงครามล้างโลกก็จะมีร่างกายใหม่ที่เป็นทิพย์เหมือนมนุษย์ต่างดาว คือ ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องกินอาหารหยาบ ไม่ต้องขับถ่ายของเสีย สามารถท่องเที่ยวไปในอวกาศได้ด้วยยานอวกาศ
    ที่มีเทคโนโลยีไฮเทคสูงสุดที่จานบินสามารถหายตัวได้ฉับพลัน เคลื่อนที่ไปจุดไหนก็ได้ในอวกาศ เคลื่อนที่หักเททิศทางได้ฉับพลัน ฯลฯ

    นั่นคือ โลกใหม่อารยธรรมใหม่จะเป็นทิพย์ กายทิพย์ วัตถุทิพย์ โลกทิพย์ คล้ายๆกายทิพย์ โลกทิพย์ของมนุษย์โลกสีน้ำเงินที่ตายไปแล้วนั่นเอง
    แต่เป็นโลกทิพย์ระดับสากลที่มีอยู่จริงๆที่สามารถรับรู้มองเห็นได้จริงๆทุกคนในโลกวัตถุสสารสากลจักรวาลนี้ ส่วนโลกทิพย์กายทิพย์ของมนุษย์ในโลกเรานี้เป็นโลกทิพย์ส่วนตัวของแต่ละคนในระดับเฉพาะ
    เสมือนเป็นความฝันความคิดนึกของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน โลกทิพย์สวรรค์นรกของแต่ละศาสนาความเชื่อลัทธิก็ไม่ตรงกันขึ้นกับประเทศดินแดนนั้นๆ เป็นโลกทิพย์มายาของมนุษย์ที่หลงผิดเกิดแก่เจ็บตายในโลกสีน้ำเงินนี้เท่านั้นเอง
    ผี หรือ เทวดา หรือ เปรต หรือ ปีศาจนรก จะมีอยุ่จริงเฉพาะในโลกสีน้ำเงินเท่านั้น ที่จะมีแต่เฉพาะดินแดนความเชื่อของแต่ละคนไป ในสากลจักรวาลจะมีแต่กายทิพย์ที่แท้จริงของมนุษย์ต่างดาวที่เป็นสากลจริงๆเท่านั้น

    ดังนั้น โลกทิพย์ของมนุษย์เราจึงไม่ใช่โลกทิพย์ที่แท้จริงที่เป็นสากลแก่ทุกคน ซึ่งมีเพียงโลกทิพย์ของมนุษย์ต่างดาวเท่านั้นที่จะเป็นโลกทิพย์จริงๆที่แท้จริงสมบูรณ์ สามารถสัมผัสได้จริงๆเป็นสากลเหมือนกันในสากลจักรวาลเท่าเทียมกันหมดทุกคน


    ลิ้งค์ที่น่าสนใจสำหรับหัวข้อนี้

    http://palungjit.org/threads/
    เจตภูตคืออะไร.206931/


    http://palungjit.org/threads/ผี-ก็คือ-คนที่ตายแล้ว-ลำบาก.232119/

    http://palungjit.org/threads/ตกลงว่า-ผีทำร้ายคนได้-หรือไม่ได้กันแน่.240156/

    http://palungjit.org/threads/ผีคืออะไร-เปิดประสบการณ์เจอผี.235346/

    ลิ้งค์น่าสนใจสำหรับหัวข้อนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2010
  16. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    จักรวาลนี้กำเนิดมาจากไหน?


    หากจะใช้หลักปฏิพัฒนาการมาอธิบายจักรวาล ก็จะได้ดังนี้

    บทยืน = จิต ที่เป็นสิ่งที่มีอยู่เดิมเป็นพื้นฐาน ที่เป็นความว่างเปล่าลึกลับที่ไม่มีตำแหน่งแหล่งที่ ที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
    บทแย้ง = สสาร ที่เป็นสิ่งที่เกิดใหม่ ที่เป็นสิ่งที่มีรูปร่างเปิดเผยมีตำแหน่งแหล่งที่ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    โดยจิตนี้จะเป็น สิ่งที่เป็นต้นกำเนิดสูงสุดของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล หรือ สิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า(God) หรือ พระพรหม(Bhama)ในศาสนาพรามหณ์ นั่นเอง จิตนี้เป็นบทยืนพื้นฐานที่มีอยู่เองได้ด้วยตัวเอง
    เป็นสภาพรู้ที่รู้อยู่ในตัวเองล้วนๆ เป็นจิตเดิมแท้จิตต้นกำเนิด ที่รู้ได้ด้วยตัวเอง มีอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยปราศจากสิ่งต่างๆสิ้นเชิง จึงเป็นจิตที่ดับไม่เหลือซึ่งกิเสสตัณหาที่เศร้าหมองต่างๆ เป็น นิพพาน(Nirvana) ที่จิตนี้ได้สร้างสสารขึ้นมาโดยเป็นสิ่งที่ขัดแย้งตรงข้ามกัน
    ความขัดแย้งของจิตและสสารจะค่อยๆรุนแรง จนถึงขีดสุดจะเกิดการพังนาศสูงสุดของสสาร และ จิตพร้อมๆกัน(ตรงจุดนี้เราไม่สามารถรับรู้เข้าใจได้ด้วยอยู่เหนือการเกิดขึ้นของจักรวาล)

    เกิดเป็นการระเบิดใหญ่ของจักรวาลที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า บิ๊กแบง(big bang)ที่จะเป็นจุดวิกฤตสุงสุดของจิตและสสารที่ให้เกิดการก้าวกระโดดสู่ระดับใหม่

    [​IMG]

    เกิดเป็น บทสังเคราะห์ = ธรรมชาติ ซึ่งก็คือ จักรวาลของเราที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งจิตและสสารพร้อมกัน เกิดเป็นจักรวาลต่างๆ เกิดเป็นโลกต่างๆที่อยูู่่ที่รอบตัวเป็นธรรมชาติที่มีสิ่งมีชีวิตต่างๆอาศัยอยู่ร่วมกันมากมาย จนเกิดเป็นมุษย์ชาวโลกสีน้ำเงินเราที่เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลอันเป็นเพียงจักรวาลหนึ่งในสากลจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล

    [​IMG]
    [​IMG]

    จะมีสิ่งหนึ่งที่รอดจากระเบิดใหญ่บิ๊กแบงมาอยู่ในสากลจักรวาลธรรมชาตินี้ ก็คือ จิตวิญญาณ(spirit)คือ จิตสภาพรู้ที่คิดนึกปรุงแต่งที่ลึกลับแบบจิตแต่มีรูปร่างเคลื่อนไหวคิดนึกได้รวดเร็วแบบสสาร(ที่จะเป็นสิ่งที่รวมจิตพระเจ้าและสสารเข้าด้วยกัน) สิ่งนี้ก็คือ จิตที่แยกตัวมาจากพระเจ้ามาอยู่ในสิ่งมีชีวิตต่างๆในสากลจักรวาล
    ซึ่งเป็นจิตที่เหมาะสมที่รอดมาเพื่ออยู่กับสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งจิตและสสารพร้อมกัน(เช่นเดียวกับคนรุ่นใหม่ที่เล่นโยคะและอินเตอร์เนตที่เหมาะสมที่จะรอดจากกลียุคสงครามล้างโลกสู่ยุคใหม่ที่สมบูรณ์ทั้งจิตและสสารพร้อมกันในระดับโลกนั่นเอง)
    โดยจิตนี้จะมาอยู่ในจิตของสัตว์ และ มนุษย์ในโลกสีน้ำเงิน

    ดังนั้น จะเห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งขึ้นมา ทั้งสสาร สิ่งมีชีวิต โลก และ จักรวาลสอดคล้องกับศาสนา
    โดยการระเบิดใหญ่บิ๊กแบง ก็ทำให้เกิดสากลจักรวาลขึ้นมา เกิดเป็นโลกสีน้ำเงิน เกิดสิ่งมีชีวิตธรรมชาติ เกิดมนุษย์ในโลกสีน้ำเงินในสากลจักรวาลขึ้นมาสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์
    มนุษย์จึงเปรียบเสมือนลูกหลานของพระเจ้า ทางเดียวที่มนุษย์จะติดต่อกับพระเจ้าได้คือ ทางจิตวิญญาณ ย้อนกลับไปสู่ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเรา
    แต่จิตของมนุษย์เป็นจิตวิญญาณที่คิดนึกปรุงแต่งเคลื่อนไหวไม่สามารถรับรู้ติดต่อกับพระเจ้าได้ มีทางเดียวเราต้องฝึกจิตให้สงบนิ่ง
    จนเกิดสติในการฝึกสมาธิโยคะ ก็จะเป็นจิตเดิมแท้จิตต้นกำเนิดที่สงบนิ่งเช่นเดียวกับพระเจ้าจึงติดต่อกับพระเจ้าได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2010
  17. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    ข้อสังเกต

    ข้อสังเกตอันหนึ่งของหลักปฏิพัฒนาการในระดับยุคของโลกนั้น พืชยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตพื้นฐานในโลก โดยในยุคมนุษย์เป็นจ้าวโลกก็ยังคงมีพืชอยู่มากมายมหาศาลแพร่พันธุ์ครอบคลุมไปทั่ว แม้จะเกิดสงครามภัยพิบัติล้างโลกของพืช และ ไดโนเสาร์จนหมดสิ้นในยุคไดโนเสาร์มาแล้วก็ตาม มีแต่
    การเพียงเปลี่ยนสัตว์ที่เป็นจ้าวโลกจากไดโนเสาร์มาเป็นมนุษย์เท่านั้นเอง

    ดังนั้น สิ่งที่เป็นบทยืนพื้นฐานของปฏิพัฒนาการจะเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องคงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะเกิดวิวัฒนากการก้าวกระโดดไปสู่ระดับใหม่
    เป็นบทสังเคราะห์แล้วก็ตาม จะมีเพียงบทแย้งที่ถูกกำจัด โดยเปลี่ยนแปลงไปเป็นบทสังเคราะห์แทน

    นั่นคือ ถ้าจะนำไปพิจรณากับระดับอื่นๆก็น่าจะเป็นไปตามนี้ด้วย คือ

    ในระดับมนุษย์
    ในระดับชีวิตของมนุษย์ จิตบทยืนพื้นฐานจะเป็นสิ่งที่คงที่ไม่ตายไปตามร่างกายมนุษย์ โดยร่างกายจะเปลี่ยนแปลงเป็นร่างกายใหม่คือ กายทิพย์แทน ,เมื่อจิตไม่ตาย แต่ร่างกายตาย จิตย่อมจำเป็นต้องหาร่างกายใหม่อยู่ จึงสร้างร่างกายใหม่ในโลกสีน้ำเงินอีก ซึ่งจะสร้างได้แค่ไหนยังไงก็แล้วแต่ผลบุญผลกรรมของแต่ละคนไป การตายจึงไม่ขาดสูญ มีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอด จิตมีการสร้างร่างกายใหม่แทนร่างกายเดิมที่ตายไป กายทิพย์จึงเป็นร่างกายชั่วคราวเพื่อรอการเกิดใหม่ที่มีร่างกายใหม่จริงๆต่อไปของจิต
    แต่ช่วงเวลาที่ไม่ต่อเนื่องนี้ทำให้จิตที่ตายไปพร้อมกับร่างกายเดิมไปเกิดจิตดวงใหม่ที่สนใจกายทิพย์แทนก่อนที่จะที่สร้างร่างกายใหม่เป็นจิตดวงใหม่
    ทำให้เราจำชาติก่อนไม่ได้ว่าเราเคยตายมาแล้วกี่ชาติ แค่มีกรณีของผู้ที่เคยฝึกจิตที่จิตที่มีพลังมากๆ หรือ ตายอย่างฝังใจเวทนารุนแรงมากๆ หรือ การเกิดใหม่ของร่างกายที่ไม่นานมากหลังจากตายไปก็จะสามารถระลึกชาติได้

    [​IMG]

    ในระดับโลก

    ในระดับยุคของโลกที่เป็นยุคมนุษย์ตอนนี้นั้น ดินแดนชนบทบทยืนพี้นฐานจะไม่ถูกทำลายไปตามดินแดนมหานคร โดยมหานครเท่านั้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นมหานครใหม่ตามอารยธรรมใหม่ของมนุษย์ต่างดาวแทน,ดังนั้น คนที่รอดจากกลียุคสงครามภัยพิบัติล้างโลกนั้นนอกจากหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่เล่นโยคะ และ อินเตอร์เนตที่จะใช้ชีวิตในมหานครใหม่ตามอารยธรรมใหม่ของมนุษย์ต่างดาวแล้ว ก็จะยังมีคนในชนบทที่จะรอดมาด้วย ,
    ด้วยสงครามภัยพิบัติกลียุคล้างโลกจะทำลายอารยธรรมมหานครยุคเก่าทิ้งหมด ผู้คนส่วนมากจะหนีตายจากมหานครไปอยุ่ตามชนบทแยกกันอยู่เป็นหย่อมๆแทน อยู่ตามภูเขาที่สูงเพื่อหนีอุทกภัยน้ำท่วมโลก หนีไปอยู่ตามถ้ำต่างๆเพื่อหลบภัยจากหมอกควันไฟพิษที่ปกคลุมโลกจนมืดมิดด้วยไฟสงครามล้างโลก นั่นคือ เป็นชนบทในยุคใหม่แต่ไม่ใช่ชนบทแบบเดิมตอนนี้ มนุษย์จะคล้ายกับมนุษย์ยุคหินที่ยังไม่มีอารยธรรมที่อาศัยเป็นหย่อมๆ
    ตามป่าเขาตามถ้ำ ดังที่มีคนเคยบอกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 4 มนุษย์จะใช้ก้อนหินขว้างปากัน”เพราะอารยธรรมเก่าของมนุษย์จะถูกทำลายหมดสิ้นในสงครามโลกครั้งที่ 3 อีกทั้งมนุษย์ในชนบทที่รอดมาเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับอารยธรรมใหม่จึงไม่สามารถใช้ชีวิตในมหานครใหม่ตามอารธรรมใหม่
    ของมนุษย์ต่างดาว ต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆไม่ได้เป็นมนุษย์ที่เป็นจ้าวโลกเหมือนเก่า แต่มนุษย์พันธ์ใหม่ที่ใช้ชีวิตในมหานครใหม่ตามอารยธรรม
    ใหม่ของมนุษย์ต่างดาวจะวิวัฒนาการกลายเป็นจ้าวโลกใหม่แทน(เหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่รอดมาจากยุคไดโนเสร์ที่รอดมาก็จะวิวัฒนาการเป็นมนุษย์เป็นจ้าวโลกแทนต่อไป)





    และ ในระดับสากลจักรวาล
    จิต หรือ พระเจ้าเป็นบทยืนพื้นฐานจะเป็นสิ่งที่คงที่ไม่สลายไปกับสสาร โดยสสารจะเปลี่ยนแปลงเป็นสสารใหม่คือ ธรรมชาติ หรือ สากลจักรวาลแทน.ดังนั้น จิต หรือ พระเจ้าจึงเป็นเหตุแรกของเอกภพ ของสากลจักรวาลที่เป็นอมตะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่มี
    อยู่ก่อนสสาร และ ธรรมชาติจัการวาล หรือ จะมองว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนปฏิพัฒนาการ ก่อนที่จะมีบทแย้ง คือ สสาร และ บทสังเคราะห์ คือ ธรรมชาติ , พระเจ้าจึงอยู่เหนือการเปลี่ยนแปลง จิตที่มีใหม่หลังจากที่จิตเก่าสลายไปพร้อมกับสสารในระเบิดใหญ่บื๊กแบงก็เป็นจิตๆเดียวกัน เพราะเป็นเหตุ
    แรกของเอกภพไม่มีสิ่งใดอยู่ก่อนจากนี้ได้เลย(พระเจ้า หรือ จิตนี้จึงแตกจ่างจากจิตมนุษย์ที่จิตใหม่ของร่างกายใหม่และจิตเก่ากับร่างกายเก่าเป็นคนละดวงกัน เพราะจิตมนุษย์ไม่ใช่เหตุแรกของเอกภพเช่นเดียวกับพระเจ้า) พระเจ้า หรือ นิพพานเท่านั้นที่เป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งเดียวที่อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลง อยู่่เหนือกฏปฏิพัฒนาการ อยู่เหนือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไ ป อยู่เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย อันเป็นจิตต้นกำเนิดเดิมแท้ที่รู้ได้ด้วยตัวเอง มีอยู่ได้
    ด้วยตัวเอง โดยปราศจากสิ่งต่างๆสิ้นเชิง จึงเป็นจิตที่ดับไม่เหลือซึ่งกิเสสตัณหาที่เศร้าหมองต่างๆพ้นทุกข์สูงสุดนั่นเอง


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2010
  18. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    พระเจ้า หรือ นิพพาน คือ ทางรอดของมนุษย์

    มาถึงตรงนี้จะเห็นว่า จิต หรือ พระเจ้า หรือ นิพพาน เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่อยู่เหนือหลักปฏิพัฒนาการ เหนือการเปลี่ยนแปลงเกิด แก่ เจ็บตายทั้งหมดทั้งสิ้นได้ เป็นสิ่งเดียวที่จะหยุดปฏิพัฒนาการได้
    ดังนั้น ทางรอดจากจุดวิกฤตกลียุคสงครามภัยพิบัติล้างโลกที่เกิดจากกฏหลักปฏิพัฒนาการนั้น ก็ต้องอาศัยพระเจ้านี้ หรือ นิพพานเท่านั้น โดยการติดต่อกับพระเจ้าให้ได้ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า อยุ่ในโลกของพระเจ้าที่มีแต่สันติสุขตลอดกาลแทน มนุษย์ก็จะอยู่เหนือกฏปฏิพัฒนาการได้

    แต่การจะช่วยเหลือโลกให้รอดจากจุดวิกฤตได้ เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้รอดได้ก่อน คือ เอาตัวเองให้รอดก่อนแล้วค่อยไปช่วยคนอื่น
    นั่นคือ เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากวิกฤตชีวิตมนุษย์ หรือ ความตายของเราให้ได้ก่อน โดยเราจะต้องติดต่อกับพระเจ้าให้ได้ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้วเราจะอยู่เหนือความตายได้ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกสีน้ำเงินที่มีสติ โดยสติเท่านั้นที่เป็นจิตเดิมแท้ที่รู้สึกตัวอยู่กับตัวเอง
    รู้อยู่ด้วยตัวเองล้วนๆ หยุดนิ่งคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง จึงเป็นจิตที่สอดคล้องกับจิตต้นกำเนิดเดิมแท้ หรือ พระเจ้า,ดังนั้น มนุษย์จะติดต่อกับพระเจ้าได้ด้วยสติเท่านั้น หากขาดสติแล้วมนุษย์ก็ไม่มีทางติดต่อกับพระเจ้าได้เลย

    ซึ่งจุดวิกฤตของมนุษย์ คือ จุดที่มนุษย์ต้องตาย ที่จิตจะคิดอะไรไม่ออก ร่างกายจะไม่ทำงานไม่หายใจ(จุดนี้เปรียบได้กับจุดวิกฤตกลียุคสงครามภัยพิบัติล้างโลกในระดับโลก) จุดนี้จะเป็นจุดก้าวกระโดดของวิวัฒนาการ ถ้าเรามีพลังฌาณสมาบัติมีสติมีพลังจิตเราก็จะตายอย่างปิติสุขในฌาณไปจุติในสววรค์ หรือ พรหมโลกตามกำลังของฌาณ แต่ถ้าเราไม่มีฌาณสมาบัติเราจะตายอย่างทรมานขาดสติตายไปเป็นผีแน่นอน เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตและร่างกาย ไม่ได้เป็นวัตถุสารที่จะได้ขาดสูญสลายไป ส่วนจะไปลงนรก หรือ วนเวียนในโลกอยุ่ก็แล้วแต่ผลบุญบาปกรรมที่เคยทำไว้
    ตอนมีชีวิตอยู่แต่ทุกทางนั้นผลสุดท้ายเราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดด้วยจิตของเราไม่ได้ตายไปพร้อมกับร่างกาย จึงต้องหาร่างกายใหม่ไปเรื่อยๆตามผลบุญกรรมนำพาซึ่งเราเลือกเกิดไม่ได้ เราอาจเกิดเป็นสัตว์ เป็นอะไรก็ได้ที่เรายังไม่รู้ เหมือนความฝันที่เราขาดสติควบคุมอะไรไม่ได้ ,โดยเมื่อเราไปจุติในสววรค์ หรือ พรหมโลกแม้จะปิติสุขมีอายุยืดยาวเป็นกัปปฺกัลป์ในโลกทิพย์พรหมโลกก็ตาม แต่เมื่อหมดอำนาจของฌาณ เราก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกอยู่ดี และ เมื่อเราตายแล้วกลายเป็นผีก็ต้องอยู่อย่างทรมานอยู่แล้ว ต้องสิงอยู่ในที่ก่อนตายไปไหนไม่ได้ต้องคอยหลอกหลอนผู้คนเพื่อขอส่วนบุญ ยิ่งเราตกนรกก็ยิ่งทุกข์ทรมานสูงสุดตลอดเวลา ซึ่งเมื่อคนทั่วไปตายไปกายทิพย์ของเราจะควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะขาดสติ ไม่มีพลังมากพอเหมือนผู้มีพลัง
    จิตมีฌาณสมาบัติ ตายไปเราอาจเป็นผี หรือ ตกนรกก็ได้ เราก็ยังไม่รู้ มันแล้วแต่บุญแต่กรรมจริงๆ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    นั่นคือโลกทิพย์หลังความตายของมนุษย์ในโลกสีน้ำเงินทุกแห่งล้วนเป็นที่อันตรายที่นำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดตามบุญกรรมที่ไม่มีความแน่นอนมั่นคงอะไรเลย(ซึ่งโลกของร่างกายจริงๆตอนมีชีวิตอยู่ก็เช่นกัน)
    ดังนั้น โลกทิพย์นี้จึงไม่ใช่ทางรอดของมนุษย์เรา ทางรอดของมนุษย์เราก็คือ ดินแดนของพระเจ้า อันเป็นดินแดนที่สงบมั่นคงสันติสุขตลอดกาล ที่จุดวิกฤตของชีวิตของควมตายของมนุษย์นี้เราต้องมีสติข้ามไปยังดินแดนของพระเจ้าให้ได้ หากเราตายอย่างเจ็บปวดทรมานขาดสติแล้วกลายเป็นกายทิพย์กลายเป็นผีแล้ว เราก็จะผิดพลาดไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนของพระเจ้าได้เลย ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วแต่บุญแต่กรรม จิตกลายเป็นจิตใหม่ สร้างร่างกายใหม่ร่ำไปทเราี่อาจไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์แบบตอนนี้ก็ได้

    ซึ่งคนทั่วไปส่วนมากจะตายอย่างเจ็บปวดทรมานทางร่างกายด้วยไม่ได้มีปิติสุขฌาณสมาบัติในขณะดับลมหายใจ ความเจ็บปวดก่อนตายย่อมทำให้ขาดสติ จึงทำให้ส่วนมากตายแล้วต้องกลายเป็นผีอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องอาศัยฌาณสมบัติในการทำให้ร่างกายมีปติสุขจากฌาณไม่
    เจ็บปวดทรมานในขณะตาย โดยเราจะยังคงมีสติอยู่ไม่หลงกับปิติสุขในฌาณ เพื่อไม่ให้ไปจุติในสวรรค์ หรือ พรหมโลก เราจึงต้องไล่ฌาณกลับไปกลับมาระหว่างฌาณ8 คือ รูปฌาณ4 และ อรูปฌาณ4 โดยไม่ให้จิตติดกับฌาณไหน จากฌาณ 1-8 กลับเป็น 8-1 กลับไปกลับมาอย่างมีสติสูงสุด จนมาถึงกึ่งกลางระหว่างรูปฌาณและอรูปฌาณ จุดนี้จิตจะไม่พักที่ใดไม่พักในฌานใดอย่างแท้จริงสามาถสลัดฌาณทิ้งไปแล้วข้ามรอดสู่ดินแดนของพระเจ้า หรือ นิพพานได้

    [​IMG]

    นี่คือ ทางรอดของชีวิตมนุษย์ที่จะอยู่เหนือจุดวิกฤตของชีวิตมนุษย์ เหนือความตาย เหนือกรรม เหนือการเวียนว่ายตายเกิดได้ ซึ่งต้องใช้การฝึกสมาธิจนถึงขั้นฌาณ 8 การฝึกจิตสติอย่างสูงสุด จนมีสติสูงสุดสลัดคืนทุกสิ่งทุกอย่างนิพพานเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ ซึ่งมีแต่นักบวชไม่กี่คนเท่า
    นั้นที่ทำได้ซึ่งทำได้มากในยุคพุทธกาล แต่ในยุคบริโภคนิยมแบบนี้คนทั่วไปส่วนมากทำไม่ได้แน่ๆ

    แต่ยังมีทางรอดอีกทางหนึ่งที่จะง่ายกว่ามาก คือ ต้องมีชีวิตรอดจากกลียุคให้สามารถใช้ชีวิตในยุคใหม่ร่วมกับมนุษย์ต่างดาวให้ได้ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวจะช่วยเหลือสร้างอารยธรรมใหม่เรา และ ชุบร่างกายใหม่ให้เราให้มีร่างกายใหม่เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องกินอาหารหยาบ ไม่ต้องขับถ่าย ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานอีกต่อไป มีอายุยืดยาวเป็นหมื่นๆปีในสากลจักรวาล เราจึงเหมือนมีฌาณสมบัติร่างกายจุติใหม่ในโลกสววรรค์ พรหมโลกในโลกทิพย์ในโลกสีน้ำเงิน ที่รับประกันว่าเราไม่ตายกลายเป็นผีแบบในโลกสีน้ำเงินอย่างแน่นอน ด้วยผีมีแต่ในโลกสีน้ำเงินเท่านั้นไม่ได้มีอยู่ในระดับสากลจักรวาลอีกต่อไป

    ทีนี้ที่เหลือเราเพียงแค่มีสติพิจรณาว่าแม้มนุษย์ต่างดาวในสากลจักรวาลจะมีอายุยืดยาวแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดีแม้สากลจักรวาลนอก
    ระบบสุริยะจักรวาลจะมีอายุเป็นล้านๆกัปป์กัลป์แค่ไหนสุดท้ายก็ต้องพังพินาศอยู่ดี(มีเพียงพระเจ้า หรือ นิพพานเท่านั้นที่อยู่เหนือกรเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง) โดยการท่องเที่ยวไปทั่วสากลจักรวาลร่วมกับมนุษย์ต่างดาวไปทุกดวงดาวทุกดินแดนกลับไปกลับมาอย่างมีสติ(คล้ายการไล่
    ฌาณ8 กลับไปกลับมาในโลกสีน้ำเงินนั้นเอง)จนเบื่อหน่ายสลัดคืนสากลจักรวาลหยุดท่องเที่ยว
    นอนหลับไปชั่วนิรันดรในแคปซูลอวกาศล่องลอยในห้วงอวกาศยอมตายอย่างมีสติโดยไม่มีควมเจ็บปวดทรมานเหมือนในโลกสีน้ำเงินอีกเลย
    เราก็จะตายอย่างสงบอย่างมีสติ นิพพานดับไม่เหลือเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน

    ซึ่งจะเห็นว่าง่ายกว่าวิธีนิพพานเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าในโลกสีน้ำเงินมาก เพราะชาววิไลที่เป็นมนุษย์หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ย่อมสามารถทำได้เท่าเทียมกันหมดทุกคน เพราะมันไม่มีอะไรมากแค่นอนหลับครั้งสุดท้ายอย่างมีสติในห้วงอวกาศชั่วนิรันดรเท่านั้นเอง ไม่ต้องฝึกฝนฌาณ8 ให้ยากลำบากเหมือนในโลกสีน้ำเงิน ซึ่งจะเป็นทางรอดที่แท้จริงของมนุษย์เพราะจะเป็นทั้งรอดจากวิกฤตชีวิตมนุษย์ของตัวเองแล้ว ยังรอดจากวิกฤตกลียุคสงครามภัยพิบัติล้างโลกในระดับโลกอีกด้วย จึงเป็นการรอดของ
    มนุษย์ที่แท้จริงสมบูรณ์ที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นเป็นสากลแก่ทุกคนได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2010
  19. nut--tun

    nut--tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +113
    ประเทศไทยจะเกิดภัยภิบัติร้ายแรงหรือไม่?

    โดยการทำนายด้วยหลักปฏิพัฒนาการ นั้น จะพบว่าจะต้องเกิดขึ้นจริงๆแน่นอนในไม่ช้านี้ เพราะสงครามกลางเมืองได้เกิดขึ้นจริงๆให้เห็นในไทยแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาภัยผลของระบบโลกภิวัฒน์ทุนนิยมบริโภคนิยมได้ขยายตัวมาถึงระดับประเทศแล้ว ประเทศที่เป็นประเทศครอบครัวเมืองพุทธที่ชัดเจนที่สุดในโลกจะพังพินาศเพราะสงครามจากมนุษย์ในประเทศด้วยกันเองอย่างรุนแรงไม่เคยเห็นมาก่อน และ พร้อมกันนั้นจะเกิดภัยพิบัติจากธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เห็นมาก่อนที่จะมีการสูญเสียจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยพร้อมๆกันเช่นกันอันเป็นภัยที่ธรรมชาติจะทำลายธรรมชาติด้วยกันเองที่สุดวิสัยที่มนุษย์จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได

    [​IMG]


    ถ้าหากผมทำนายถูก โดยเกิดภัยพิบัติรุนแรงในประเทศไทยขึ้นจริงๆแล้ว คือ การแสดงถึงล่มสลายพังพินาศสูงสุดของระบบศาสนาและระบบครอบครัวในระดับประเทศ ต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ สงครามภัยพิบัติล้างโลกอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัยลังเลอะไรอีกแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาภัยผลของระบบโลกภิวัฒน์ทุนนิยมบริโภคนิยมได้ขยายตัวมาถึงระดับโลกนั่นเอง


    ซึ่งการทำนายของผมไม่ได้เกิดจากการนั่งทางใน หรือ ใช้วิชาโหราศาสตร์แบบคนอื่นๆ แต่ทำนายโดยวิเคราะห์จากหลักปฏิพัฒนาการที่แน่นอนชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว ที่ทุกคนสามารถใช้สติปัญญาพิจรณาได้ อย่าเพิ่งเชื่อ ลองวิเคราะห์ด้วยเหตุผลของท่านเองว่าสอดคล้องตรงตามที่ทำนายจริงหรือไม่?



    ซึ่งประเทศไทยจะเกิดภัยพืบัติเป็นภัยอะไรนั้น? ก็ต้องมาพิจรณาภัยพิบัติระดับโลกกันก่อน
    โดยในการใช้หลักปฏิพัฒนาการกับวัตถุสสารในโลกสีน้ำเงิน จะได้ดังนี้

    บทยืน=ไฟอันเป็นธุาตุวัตถุสสารที่เป็นพื้นฐานหลักของโลกสีน้ำเงินที่มีมาก่อน ที่เบาไม่มีรูปร่าง
    บทแย้ง = ดิน อันเป็นธาตุวัตถุสสารที่เกิดขึ้นมาใหม่ในโลกสีน้ำเงิน ที่หนาแน่นหนักมีรูปร่างชัดเจน

    โดยจะเกิดความขัดแย้งของไฟ และ ดิน โดยบทยืนโลกเกิดจากลูกไฟสะเก็ดของดวงอาทิตย์ จนเย็นลงเป็นดินเป็นดาวเคราะห์ห้อหุ่มลูกไฟ
    แกนกลางของโลกไว้ ความขัดแย้งของไฟและดินค่อยๆรุนแรงในรูปภูเขาไฟประทุ จนเกิดจุดวิกฤตสูงสุดก้าวกระโดดเป็นสสารใหม่

    บทสังเคราะห์ = น้ำ อันเป็นธาตุวัตถุสสารบทสรุบรวมของโลกสีน้ำเงินที่ทั้งเบาไม่มีรูปร่างและหนาแน่นหนักพร้อมกัน

    ซึ่งจะเกิดน้ำแผ่กระจายไปทั่วโลก เป็นมหาสมุทธ และ แม่น้ำต่างๆมากมาย แล้วทำให้เกิดเป็นธรรมชาติสิ่งมีชีวิตต่างๆในโลกในที่สุด

    โดยจะมี่สิ่งที่รอดมาจากจุดวิกฤตสุงสุดของความขัดแย้งของไฟ และ ดินที่จะถ่ายทอดมายังน้ำ คือ ลม หรือ อากาศนั่นเอง ซึ่งเป็นธาตุที่เบาเหมือนไฟแต่ไม่ร้อนเหมือนดิน จึงสอดคล้องเข้าได้กับน้ำ อันเป็นธาตุที่ไม่มีรูปร่างเหมือนไฟ และหนาแน่นเหมือนดิน ,อากาศ และ น้ำจึงเป็นธาตุเป็นสิ่งที่สำคัญในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในโลกสีน้ำเงิน



    โดยใช้หลักปฏิพัฒนาการอธิบายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลกสีน้ำเงิน จะได้ว่า

    บทยืน = ยุคของพืช(สิ่งมีชีวิตเซลเดียว) อันเป็นยุคของสิ่งมีชีวิตพื้นฐานขนาดเล็กที่มองไม่เห็นลึกลับไม่มีรูปร่างที่หยุดนิ่ง
    ยุคนี้จะมีปฏิพัฒนาการย่อย คือ
    บทยืน = สสาร(ดินน้ำลมไฟ) สิ่งไม่มีชีวิตที่หยุดนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวมีขนาดใหญ่โต(สสารทั้งหมดในโลก)
    บทแย้ง = สิ่งมีชีวิตเซล์เดียว ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวมีขนาดเล็ก ที่แม้จะเคลื่อนไหวแต่เนื่องจากมีขนาดเล็กมากเมื่อมองดูในระดับปกติแล้วจึงดูเหมือนหยุดนิ่ง จึงเรียกว่า พืช เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่หยุดนิ่ง

    จะเกิดความขัดแย้งของ สิ่งไม่มีชีวิต และ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็กขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดวิกฤตสูงสุดจะเกิดการก้าวกระโดดสู่ยุคใหม่
    บทสังเคราะห์ = ไดโนเสาร์ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ที่มีขนาดใหญ่โต
    โดยธาตุวัตถุสสารที่โดดเด่นในยุคนี้ที่เป็นบทยืนเหมือนกัน คือ ไฟ ,นั่นคือจะเกิดภัยพิบัติไฟเผาโลกทำลายยุคนี้ให้พินาศย่อยยับ
    สิ่งมีชีวิตเซลเดียวที่สามารถวิวัฒนาการเป็นสัตว์ได้ก็จะรอดมา สามารถวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่ซับซ้อนจนกลายเป็นไดโนเสาร์ต่อไปได้


    [​IMG]

    บทแย้ง = ยุคของสัตว์(ไดโนเสาร์) อันเป็นยุคของสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่ทีหลัง ของสัตว์ขนาดใหญ่โตมหาศาลที่มีรูปร่างชัดเจนที่เคลื่อนไหว
    ยุคนี้จะมีปฏิพัฒนาการย่อย คือ

    บทยืน = พืช ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
    บทแย้ง = สัตว์(ไดโนเสาร์) ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหว
    จะเกิดความขัดแย้งของพืช และ สัตว์ขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดวิกฤตสูงสุดจะเกิดการก้าวกระโดดสู่ยุคใหม่
    บทสังเคราะห์ =มนุษย์ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเคลื่อนไหว และ มีจิตที่หยุดนิ่งได้
    โดยธาตุวัตถุสสารที่โดดเด่นในยุคนี้ที่เป็นบทแย้งเหมือนกัน คือ ดิน ,นั่นคือจะเกิดภัยพิบัติจากดินทำลายยุคนี้ให้พินาศย่อยยับ นั่นคือ จะมีอุกาบาต(ก้อนดิน)จากนอกโลกตกสู่โลกในยุคนี้อย่างมากมายจนทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธ์หมด
    สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สามารถวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ได้ก็จะรอดมา สามารถวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ต่อไปได้

    [​IMG]
    [​IMG]

    บทสังเคราะห์ = ยุคของมนุษย์ อันเป็นยุคของสิ่งมีชีวิตบทสังเคราะห์ที่มีรุปร่างขนาดพอดี
    ยุคนี้จะมีปฏิพัฒนาการย่อย คือ บทยืน = นักบวช(ในชนบท) อันเป็นมนุษย์ที่มีการสนใจจิตโดดเด่นในชนบทที่หยุดนิ่งไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
    บทแย้ง = เด็กวัยรุ่น(ในมหานคร) อันเป็นมนุษย์หนุ่มสาวที่สนใจวัตถุสสารโดดเด่นในมหานครที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
    จะเกิดความขัดแย้งของนักบวช(ชนบท) และ เด็กวัยรุ่น(มหานคร)ขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดวิกฤตสูงสุดจะเกิดการก้าวกระโดดสู่ยุคใหม่
    บทสังเคราะห์ = มนุษย์ด่างดาว(ในสากลจักรวาล) อันเป็นมนุษย์ที่สนใจทั้งจิต และ สสารสูงสุดพร้อมกันที่ท่องเที่ยวในสากลจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด
    โดยธาตุวัตถุสสารที่โดดเด่นในยุคนี้ที่เป็นบทสังเคราะห์เหมือนกัน คือ น้ำ ,นั่นคือจะเกิดภัยพิบัติจากน้ำทำลายยุคนี้ให้พินาศย่อยยับ นั่นคือ จะมีอุทกภัยน้ำท่วมโลกอย่างมากมายจนทำให้มนุษย์สูญพันธ์หมด
    หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่เล่นโยคะและอินเตอร์เนตในมหานครที่สามารถวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ต่างดาวได้ก็จะรอดมา สามารถวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ต่างดาวต่อไปได้โดยการช่วยเหลือของมนุษย์ต่างดาว

    [​IMG]
    [​IMG]

    นั่นคือ ภัยพิบัติหลักที่โด่ดเด่นที่จะทำลายล้างโลกในยุคมนุษย์นี้ก็คือ น้ำ ในรูปของน้ำท่วมโลกอย่างรุนแรงทำลายล้างอารยธรรมของมนุษย์ทิ้งหมด
    โดยที่มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเป็นการลงโทษของธรรมชาติ

    ดังนั้น ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นจริงๆในประเทศไทย ก็คือ น้ำท่วมใหญ่อย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาก่อนในประเทศไทยนั่นเอง ที่จะทำลายล้างประเทศไทยให้พังพินาศซ้ำหลังจากเกิดสงครามกลียุคกลางเมืองจากมนุษย์คนไทยด้วยกันเองมาแล้ว
    แต่จะไม่รุนแรงเท่าน้ำท่วมใหญ่ในระดับโลกเพราะยังเป็นระดับประเทศอยู่ ซึ่งน้ำจะไม่ท่วมประเทศไทยทั้งประเทศแต่จะท่วมแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2010
  20. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ขออนุโมทนา กระทู้ที่ดี
    ขออนุญาตคัดลอกไปเก็บไว้ในคลังข้อมูล
    ของเว็บไซต์สามร่มโพธิ์ศรีฯดอทคอมครับ

    วสุธรรม
    www.3romphosri.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...