เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)...ตอนที่2ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 20 กันยายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    เรื่องจริงอิงนิทาน [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]พิเศษ[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    พระมหาวีระ ถาวโร [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ฤาษีลิงดำ[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    วัดจันทาราม [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ท่าซุง อ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]เมือง จ[FONT=Cordia New,Cordia New].[/FONT]อุทัยธานี[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]



    [FONT=Cordia New,Cordia New]ตัดตอนมาจากเทป [/FONT]​

    [FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ [/FONT]
    [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]พิเศษ[/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ลูกรักของพ่อทั้งหลาย วันนี้เรามานั่งคุยกันบนยอดดอยตุง จังหวัดเชียงราย คำว่า ตุง นี้ เขาแปลว่าธง [/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]พ่อมองหน้าลูกทั้งชายและหญิงทุกคนอยู่ในความสงบ ดีลูก นี่ลูกของพ่อเป็นคนดี แบบนี้พ่อชื่นใจในความดีของลูก ความจริงพ่อไม่เคยดุใครนะ แต่ลูกทุกคนของพ่อก็แสดงถึงความหวาดหวั่นและเกรงใจ เวลาพ่อใช้อะไร ลูกก็วิ่งกันอ้าว ทำงานกันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย มันจะปวด มันจะเมื่อย จะเหนื่อย จะล้าเป็นประการใดลูกไม่คำนึง มืดค่ำดึกดื่นก็ตาม ทุกอย่างทำเพื่อพ่อ ทุกคนมีความห่วงใยพ่อ นี่เป็นความดีของลูก และพ่อก็ดีใจที่พ่อมีลูกดี อย่างงานไปสงเคราะห์คนจนที่แม่ฮ่องสอน ของเรามีมาก พ่อคิดว่าใช้เวลา ๒ ชั่วโมง[/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]งลูกขนขึ้นหรือว่าขนลงก็ไม่เสร็จ และส่วนใหญ่ลูกของพ่อเป็นผู้หญิง แต่เมื่อทำเข้าจริง ๆ ลูกทำประเภทวิ่ง คิดไม่ถึงว่าใช้เวลาเพียง ๒๐ นาทีเศษ ๆ ก็เสร็จ นี่ถ้าลูกจะไม่ให้พ่อรักลูกในตอนนี้ในความดีของลูกแล้ว จะให้พ่อรักลูกเมื่อไร "ฉะนั้น ชีวิต และเลือดเนื้อของพ่อทุกอย่างพ่ออุทิศเพื่อความดีของลูก" [/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]เมื่อก่อนออกเดินทาง และตอนกลางคืนตอนหัวค่ำ พ่อย้ำอีกครั้งว่า ขอลูกทุกคนจงใช้กำลังอภิญญาสมาบัติที่ลูกได้ รับสัมผัสตั้งแต่การเดินทางมาจากวัดจนกว่าจะถึงเชียงราย และจากเชียงรายไปพระธาตุจอมกิตติ จากพระธาตุจอมกิตติมาพระธาตุดอยตุงนี่ ให้ใช้กำลังสมาธิของลูกทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ในรถจ้อกแจ้กจอแจ เอะอะโวยวายนั่นแหละ ดูว่าจะมีอะไรบ้างที่สัมผัสเข้ามาในความรู้สึกแล้วให้บันทึกรายงานพ่อ การทำอย่างนี้ ลูกก็อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตอนหนึ่งว่า "นัตถิ โลเก อนินทิโต" คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก [/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]
    สาหรับพ่อคนนี่มีคนเขาชอบว่าอวดฤทธิ์อวดเดชอวดวิเศษอะไรต่อมิอะไร นี่ก็เป็นเรื่องของเขาลูก ถ้าลูกทุกคนได้รับฟังแล้ว ลูกอย่าโกรธเขานะ เขามีปากไว้สำหรับพูด มีตูดไว้สำหรับขี้ เขามีจิตใจที่ประกอบไปด้วยกิเลส เป็นหนี้ของตัณหา อุปาท่าน และอกุศลกรรม เรื่องเขาจะด่า เรื่องเขาจะว่า ลูกอย่าไปรับฟัง รับฟังแล้วก็ทำใจเฉย ๆ ใช้นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในโลก และให้มีความรู้สึกว่า "โลกนี้เป็นอนิจจัง มันหาความเที่ยงอะไรไม่ได้ โลกเป็นทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์ โลกเป็นอนัตตา ในที่สุดก็ต้องสลายตัวไปหมด นี่ตอนหนึ่ง และอีกตอนหนึ่งขอลูกรักทุกคนจงฟังให้ดีนะว่า ํ
    "ทุกคนที่เกิดมาในโลกต้องสัมผัสกับเหตุ ๘ อย่าง ถ้าจิตใจของเราไม่วุ่นวายกับเหตุ ๘ อย่าง ใจก็ไม่เป็นสุข ถ้าใจของผู้ใดถึงนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่ายในเหตุ ๘ อย่างแล้ว และจิตเข้าถึง สังขารุเบกขาญาณ วางเฉยเหตุ ๘ อย่างไม่กระทบใจ เวลามันผ่านมาก็เหมือนลมพัดมาวูบหนึ่งแล้วก็หายไป หรือทำความรู้สึกเหมือนกับลมหายใจของเรา ความจริงเราหายใจทุกวัน ลมหายใจทำงานไม่ขาดสาย แต่เราไม่มีความรู้สึกว่าเราหายใจ ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะงานการหายใจมันเป็นงาน

    [/FONT]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2009
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ของอวัยวะ มันมีอาการชิน แต่พอเอาสติสัมปชัญญะเข้าไปจับเราก็รู้ว่ามีลมหายใจ ฉะนั้นโลกธรรม ๘ ประการที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งขอลูกทุกคนจงทำเหมือนกับลมหายใจเข้าออกของเรา เราหายใจเข้า หายใจออก แต่เราไม่รู้สึกว่าเราหายใจ เว้นไว้แต่จะเอาสมาธิจิตเข้าไปจับเป็นกรณีพิเศษ โลกธรรม ๘ ประการนี่ก็ต้องทำอย่างนั้น ทำให้ใจมันไม่รู้สึก ไม่หวั่นไหว นั่นก็คือ
    การมีลาภ เมื่อลูกทุกคนได้ลาภมาจงอย่ายินดีในลาภให้เกินไป ทำความรู้สึกว่า ลาภสักการะ เงินทองที่เราหามาได้นี่ เราหามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก มีความลำบาก บางทีต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เราไม่ได้หามาเก็บ เราหามาใช้ สักวันหนึ่งข้างหน้ามันจะหมดไป ถ้าลาภหมดไปอย่าแสดงความสะเทือนใจหรือเสียใจ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกับเราหายใจเข้าแล้วก็หายใจออก ปล่อยไปตามปกติ
    การมียศฐาบรรดาศักดิ์ ลูกของพ่อทุกคนเป็นข้าราชการ เรื่องยศ เรื่องเงินเดือนเป็นเรื่องใหญ่ อย่าทะเยอทะยานเรื่องยศ เราถือว่าเรารับราชการทำงานของชาติเพื่อกินก่อนที่เราจะเข้าทำงานนี่เราพอใจในงานนี้แล้ว ถือว่า เงินเดือนขั้นต้นที่เราได้รับก็พอกินพอใช้ แต่พอเข้ามาทำงานแล้วมีบางท่าน ซึ่งพ่อก็รู้สึกสลดใจ ที่บางคนหรือหลาย ๆ คนดิ้นรน อยากจะได้ตำแหน่งนั้น อยากจะได้ตำแหน่งนี้ อยากจะเป็นอย่างโน้น อยากจะเป็นอย่างนี้ นี่มันเป็นเรื่องของตัณหา เรื่องของกิเลส
    หรือพูดกันง่าย ๆ ก็เป็นเรื่องของความเลว ใจเลวเสียอย่างหนึ่ง ลูกรัก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็นำมาซึ่งความเดือดร้อน ฉะนั้นขอลูกของพ่อทุกคนจงพอใจในเงินเดือนที่ได้รับ ก่อนที่เราจะรับราชการหรือทำงานรับจ้างบริษัททุกคนก็ทราบอยู่แล้วว่าเขาจะให้เงินเดือนเท่านี้ เราพอใจในเงินเดือนเท่านั้น เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องทำงานให้เขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเราไม่สามารถทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ งานนั้นมันก็เสีย เมื่องานเสีย เงินก็เสีย ถ้าทำงานรับจ้าง ทำราชการ หรือทำงานบริษัทขอลูกทุกคนจงถือว่างานนั้นมันเป็นงานของเรา เพราะว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราได้มานี่เราได้มาเพราะงานชิ้นนั้น จงอย่าคิดว่านี่เป็นงานของราชการ นี่เป็นงานของนายจ้าง
    ถ้าเราทำแบบนั้น ถ้าบังเอิญงานของราชการส่วนนั้นต้องล้มไป เราจะได้เงินที่ไหน งานของนายจ้างก็เช่นกัน ถ้าเราขี้เกียจไม่ขยันทำงานให้เต็มความสามารถ ไม่หาผลประโยชน์ให้แก่นายจ้าง ถ้าบังเอิญนายจ้างต้องขาดทุน ล้มละลาย ลูกรักของพ่อ แล้วนายจ้างเขาจะเอาเงินเดือนที่ไหนมาให้ลูก นี่ขอลูกทุกคนจงอย่าสนใจว่านายเขาจะชอบหรือไม่ชอบ นายเขาจะขึ้นเงินเดือนให้หรือไม่ขึ้น นายเขาจะเลื่อนยศหรือไม่เลื่อนให้ ไม่สำคัญ ให้ลูกถือความสำคัญอยู่อย่างเดียว คือ ระเบียบ วินัย หน้าที่การงาน ระเบียบเขาวางไว้กี่ข้อปฏิบัติให้ครบถ้วน ตรงตามเวลา ตามกาล ตามกำหนดที่เขาวางไว้ วินัยปฏิบัติให้ครบถ้วน ประเทศไหนขาดระเบียบวินัย ประเทศนั้นพัง ประเทศเราที่พัง ๆ มาในสมัยก่อน ๆ ก็เพราะว่าคนในชาติขาดระเบียบวินัย
    อีกประการหนึ่งขอลูกจงรักการงานที่เราทำว่าเป็นงานของเราเองต้องดูผลว่า ตอนท้ายสุดขอ
    งเดือนเราก็ได้รับเงิน เงินที่เราได้รับนั้นเป็นเงินที่มาจากงาน ฉะนั้น งานนั้นเราจะถือว่าเป็นงาน
    ของคนอื่นไปไม่ได้ ต้องถือว่าเป็นงานของเรา ทีนี้ถ้าหากว่ารับเงินเดือนมาแล้ว ถ้าเงินเดือนมันหมดไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเราใช้ ลูกต้องทำใจเหมือนกับลมหายใจ
    ยศ ได้มาก็เหมือนกับลมหายใจเข้า ถ้ามันสลายไปก็เหมือนลมหายใจออก ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราทำดีที่สุดแต่ผู้บังคับบัญชาเขาอาจจะเป็นคนเลวที่สุด เขาจะไม่ชอบใจเรา ถ้าปฏิบัติตามระเบียบวินัย กฎข้อบังคับ ทำงานดีทุกอย่าง เขาจะไล่เราออกก็เป็นเรื่องของเขา ถือว่าเป็นกรรมของเราก็แล้วกัน คนที่เขาไม่มีเงินเดือนอย่างเรา เขาหาเช้ากินค่ำ เขายังทรงชีวิตอยู่ได้เขามีความสบายใจฉันใด ลูกรักของพ่อทุกคนก็ต้องทำใจอย่างนั้นนะลูกพยายามทำแบบนั้น ทำใจให้สบาย ๆ
    ประการต่อไป สรรเสริญ กับนินทา พ่อบอกแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “นัตถิโลเก อนินทิโต” คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก และคนไม่ถูกสรรเสริญเลยก็ไม่มีในโลก เรื่องการใช้กำลังสมาธิจิตใจด้านของอภิญญาที่ลูกได้ นี่ไงล่ะ พ่อน่ะถูกด่ามาจมไม่ใช่ถูกด่าแต่ข้างนอก บางคนเขาไปด่าพ่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฟังด้วย ลูกถามพ่อซิว่าพ่อมีความรู้สึกยังไง พ่อจะมีความรู้สึกยังไงรึลูก ก็เพราะพ่อถูกด่ามาจนใจด้านแล้วลูก พ่อถือว่า ถ้าอะไรมันจริง คนเราถ้าพูดจริงแล้วเขายัง

    นินทาว่าร้าย เราก็ถือว่าคนที่นินทาว่าร้ายนั่น เขาไม่ต้องการความจริง และคำสรรเสริญก็เหมือนกัน อย่าสนใจลูกรัก คำสรรเสริญก็ไม่มีความหมาย การนินทาว่าร้ายก็ปราศจากประโยชน์ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า “นินทา ปสังสา” พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า นินทา และสรรเสริญ เป็นโลกธรรมดา คือเป็นธรรมดาของโลก เราเกิดมาในโลกแล้วจะพ้นการนินทาและสรรเสริญไปไม่ได้
    ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ถูกด่ามากกว่าพวกเราทั้งหมดในกาลบางครั้ง มีพราหมณ์มาด่าต่อหน้าพระองค์ ต่อหน้าพระที่มาประชุมกันเป็นพัน ต่อหน้าประชาชนที่มาประชุมกันเป็นพัน แต่องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงฟังเขาด่าเฉย ๆ พอเขาด่าจบพระพุทธเจ้าไม่เถียง เขาบอกว่า พระสมณโคดม แกแพ้ข้าแล้ว สมเด็จพระทีปแก้วจึงได้ถามเขาว่า แพ้ตรงไหน เขาก็บอกว่า ข้าด่าแก แกไม่เถียงข้านี่
    สมเด็จพระมหามุนีจึงได้ตรัสว่า พราหมณ์ “ฉันคิดว่า คนใดโกรธฉัน และก็ด่าฉัน ถ้าฉันโกรธคนนั้นแล้วก็ด่าคนนั้นตอบ ฉันจะเป็นคนเลวกว่าคนนั้น” ทำในแบบนี้นะลูกรัก ผลที่สุดพราหมณ์คนนั้นก็ยอมจำนนเพราะเป็นคนมีปัญญา นั่งกระโหย่งยกมือไหว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่า “ภาษิตของท่านซึ้งใจเหมือนกับหงายของคว่ำขึ้นมารับน้ำฝน” แล้วพราหมณ์ก็ขอบวชในศาสนาขององค์สมเด็จพระทศพล ในที่สุดท่านก็เป็นพระอรหันต์
    ฉะนั้น ขอลูกทุกคนจงจำไว้ว่า “ถ้าการนินทาและสรรเสริญเกิดขึ้น ขอลูกจงทำใจเฉย ๆ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้ เพราะนินทา และสรรเสริญไม่ใช่ของดีมันเลวทั้ง ๒ อย่างนะลูก” นินทาก็เลว สรรเสริญก็เลว ลูกจงปล่อยนินทา และสรรเสริญไปตามสภาพของมัน เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราเป็นคนดีมันก็เลวไปไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนเลวเขาสรรเสริญว่าเราเป็นคนดีก็ดีไปไม่ได้ การกระทำของพ่อทุกอย่าง พ่อก็ไม่เคยปรารภทั้งคำนินทา และสรรเสริญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2009
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ในกาลบางครั้งลูกจะเห็นว่า พ่อน่ะลงทุนทุกอย่างทรัพย์สินของประชาชนที่ให้มา พ่อทำเป็นสาธารณประโยชน์ให้ความสุขให้ความเจริญ แต่ทว่าเจ้าของถิ่นเขาเปิดเครื่องขยายเสียงด่าพ่อ ลูกก็เคยได้ยินใช่ไหม นี่พ่อไม่ได้อวดตัวว่าวิเศษ แต่ว่าพ่อถือคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์คือพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ถ้าอะไรมันจะเกิดขึ้นกับพ่อนี่พ่อคิดถึงพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านดีขนาดนั้นแล้วยังมีคนทำแบบนั้น และทำมากด้วย ถ้าจะเทียบกับพวกเรานี่ลูกรักจะเทียบกันไม่ได้เลย
    อย่างนางมาคันทิยานี่จ้างคนด่าพระพุทธเจ้า พระองค์จะเดินไปบิณฑบาตที่ไหนคนก็ตามไปด่า นางมาคันทิยาเป็นเมียพระเจ้าแผ่นดิน คนที่รับจ้างก็รู้สึกว่ามีอำนาจ และบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายก็ให้นางจิญจมานวิกา มาประกาศว่า พระพุทธเจ้าทำให้เธอมีลูกกำลังท้องอยู่ มายืนประกาศต่อหน้าพระพุทธเจ้ากำลังเทศน์โปรดพุทธบริษัท พระองค์ก็ยังทรงเฉยแทนที่จะปฏิเสธก็ตรัสว่า “น้องหญิง เหตุที่เธอพูดนั้น ไม่มีใครเขารู้หรอก มีเธอกับฉัน ๒ คนเท่านั้นรู้กัน” คำพูดแบบนี้ ถ้าพ่อพูดบ้างเห็นจะพังแน่ แต่ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า ความจริงจะปรากฏ
    นั่นก็คือเหตุที่จิญจมานวิกาเธอแกล้งทำท้องโดยเอาไม้มาทำนูน ๆ ผูกที่ท้องแล้วทุบหลังมือหลังเท้าทำให้บวมคล้ายคนท้อง ในที่สุดเชือกผูกไม้นูน ๆ นั่นก็ขาดลงมาต่อหน้าประชาชน ทำให้คนรู้ความจริงว่าจิญจมานวิกาแกล้งพระพุทธเจ้า จึงพากันไล่ขว้างด้วยก้อนดินและท่อนไม้ นางจิญจมานวิกาก็วิ่งหนีไม่เท่าไรบาปมากเกินไปแผ่นดินก็แยกออกให้จิญมานวิกาจมลงไปในดินที่เรียกว่า ธรณีสูบ ลงไปสู่อเวจีมหานรกทั้งยังเป็นอยู่เหมือนกับเทวทัต สุปปพุทธะ นันทมานพ นันทยักษ์ เป็นต้น
    สำหรับพ่อบารมีไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ใครเขาจะด่าเท่าไร เท่าไร ชาตินี้เขาก็ยังไม่ลงอเวจี แต่ทว่าชาตินี้นั้นเขาก็มีอเวจีอยู่ในใจ นั่นก็คือ มีแต่ความทรุดโทรม มีแต่ความหายนะพ่อถือคติอยู่อย่างหนึ่งว่า “อะไรก็ตามถ้าใครส่งมาให้พ้อ พ่อขอถือว่าขอสิ่งนั้นจงถึงเขาด้วย” ถ้าใครปรารถนาดีกับพ่อ พ่อก็ตั้งใจคิดว่า ปูชะโก ละภะเต ปูชัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนบูชาย่อมได้การบูชาตอบ วันทะโก ปะฏิวันทะนัง ผู้ไหว้ย่อมได้ไหว้ตอบ เมื่อเขาสรรเสริญเราก็ขอให้คำสรรเสริญของเขาหรือความหวังดีของเขาจงถึงเขาด้วย ถ้าเขาประสงค์ร้ายพ่อ พ่อถือว่าพ่อไม่รับปล่อยให้มันหล่นอยู่ข้างหน้า
    เหมือนกับที่ท่านสัญชัยปริพาชก ด่า นินทาพระพุทธเจ้า จนกระทั่งลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าเกือบจะทนไม่ไหว องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบขณะนั้นอยู่ห่างกันพระพุทธองค์ทรงดำริว่า ถ้าเราไม่กำจัดเรื่องนี้ ต่อไปสัญชัยปริพาชกจะต้องถูกกรรมหนัก ดีไม่ดีก็จะถูกลูกศิษย์ของพระองค์ทุบตีเอาก็ได้ ฉะนั้นสมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา จึงเสด็จไปหาสัญชัยปริพาชก พอถึงท่านสัญชัยปริพาชกก็ปูอาสนะให้นั่ง เอาน้ำใช้น้ำบริโภคมาถวายพระองค์ เอาเภสัชมาให้ฉัน องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ไม่ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปู ไม่รับประเคนน้ำใช้ น้ำฉัน ที่ทำแบบนั้น ไม่ใช่ทำด้วยอาการโกรธ แต่พระพุทธองค์ทำเป็นปัญหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2009
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    แล้วต่อมาสมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “สัญชัย ท่านด่าตถาคตรึ” ท่านสัญชัยไปไหนไม่รอดก็ยอมรับ สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “สัญชัย คำสาปแช่งของท่าน คำด่าของท่านน่ะ ฉันไม่ได้รับหรอกนะ” แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสต่อไปอีกว่า “สัญชัย อาสนะก็ดี น้ำใช้ บริโภคก็ดี ที่ท่านส่งให้ตถาคต แต่ตถาคตไม่รับ เวลาที่ตถาคตกลับ ของเหล่านี้จะตกอยู่กับใคร” ท่านสัญชัยก็ตอบว่า “ก็ตกอยู่กับข้าพระพุทธเจ้าสิ พระพุทธเจ้าข้า” องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “สัญชัย คำสาปแช่งของท่านก็เหมือนกัน ที่ท่านสาปแช่งไปน่ะ ตถาคตไม่ได้รับหรอก เมื่อตถาคตไปแล้ว ของเหล่านั้นคือคำสาปแช่งน่ะ มันจะตกอยู่กับใคร” ท่านสัญชัยก็ตอบว่า “ก็ตกอยู่กับข้าพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับวัตถุต่าง ๆ ที่นำมาถวายพระองค์ แล้วพระองค์ไม่รับ เวลาเสด็จกลับแล้วไม่เอาไปมันอยู่ที่นี่ก็ต้องตกเป็นของข้าพระพุทธเจ้า”
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ท่านจะด่าตถาคตไปทำไมเล่า เมื่อด่าแล้วก็เป็นการด่าตัวเอง ก็ไม่ควรจะด่า” เป็นอันว่า ท่านสัญชัย ก็เลิกด่าพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นี่เป็นอันว่า คำนินทา และสรรเสริญน่ะลูกรัก เฉย ๆ ไว้ ทำให้มันเป็นธรรมดาของโลกเหมือนกับลมหายใจเข้าออกของเรา เราไม่อยากรู้มันมันก็ไม่รู้ว่าเราหายใจเข้าออกทั้ง ๆ ที่มันทำงานตลอดทั้งวันไม่มีเวลาพักผ่อนตั้งแต่วันเกิดยันตาย
    เรื่องโลกธรรม ๘ นี่ก็เหมือนกัน อย่าสนใจนะลูก ปล่อยมันไป มันจะมีลาภก็มีไป ลาภหมดไปก็ธรรมดา เขาให้ยศก็รับ เขาเอายศกลับคืนไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เขานินทาก็เฉย ๆ ยิ้ม ๆ เขาสรรเสริญอย่าสนใจ ความสุขความทุกข์ ที่เกิดมาในโลกก็เหมือนกัน ความสุขใด ๆ ที่เกิดมาในโลกมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เหมือบรรดาลูกที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อน เกิดจะแต่งงานเข้า ก่อนแต่งก็คิดว่า การแต่งงานนี่มันสุขจริง ๆ นะ พอแต่งเข้าแล้วสิ ไอ้คู่แต่งกันเองก็อดนินทากันไม่ได้ อดทะเลาะกันไม่ได้ สร้างความทุกข์เพิ่มขึ้นมา เราคิดว่าของนี่มันจะดีมันก็ไม่ดี ของอะไรในโลกนี้ไม่มีอะไรจะดีเลยลูกรัก ทุกอย่างมันเป็นวัตถุธาตุไปหมด ไอ้วัตถุธาตุนี่หมายความว่ามันจะต้องพัง ถ้าเอาจิตเข้าไปยึดเหนี่ยวว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เป็นทุกข์ ของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันเป็นเชื้อของไฟ คือ “ความทุกข์”
    ไฟมี ๓ กอง ราคัคคิ ไฟคือ ราคะ ได้แก่ ความกำหนัดยินดี อยากได้รูปสวย เสียง ไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
    โทสัคคิ ไฟคือ โทสะ อยากโกรธ อยากพิฆาตเข่นฆ่า อยากด่า อยากว่าเขา นี่มันเป็นความเร่าร้อน
    โมหัคคิ ไฟคือ โมหะ หลงว่าโลกนี้มันจะเป็นสุข หลงว่าชีวิตของเราจะทรงตัวอยู่มันไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น ลูก เป็นอันว่า "ขอลูกทุกคน จงทำใจของตนต่ออาการต่าง ๆ ในโลกนี้ ให้มีสภาพเหมือนความรู้สึกของลมหายใจ บางครั้งรู้สึกว่ามันหายใจเราก็ไม่หนักใจ บางครั้งรู้สึกว่ามันไม่หายใจ เราก็
    ไม่หนักใจ ใจเราไม่เคยเข้าไปยุ่งกับลมหายใจฉันใด ขอลูกรักทุกคนจงทำใจของลูกไม่เข้าไปยุ่งกับโลกธรรม ๘ ประการฉันนั้น แล้วลูกจะมีความสุข ถือว่า พอ ตัวเดียว
    การบันทึกเทปคราวนี้พ่อพูดถึงเรื่อง อภิญญาสมาบัติ ลูกคิดไหมว่าพ่อพูดแบบนี้จะมีคนนินทาพ่ออีกไหม ถ้าลูกคิดว่า ไม่มีคนนินทาพ่อละก็ ลูกจะกลุ้มใจตายในวันหน้า อย่าลืมว่า นัตถิ โลกเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก ตอนนี้พ่อพูดถึงเรื่องอภิญญาสมาบัติ ดีไม่ดี คนเขาจะฮึงฮังกันทั่วประเทศ ว่าพระองค์นี้อวดอุตริมนุสธรรมเสียแล้ว ใช้ไม่ได้ขาดจากความเป็นพระ ลูกก็จงอย่าลืมนะว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนที่อุตตริมนุสธรรม หมายความว่า คนที่ไม่มีธรรมนั้นอยู่ในตน แต่ทว่าลูกรัก ธรรมนี้ (อภิญญาสมาบัติ) พ่อสามารถทำให้ลูกของพ่อทุกคนทั้งผู้หญิงผู้ชายตั้งแต่เด็กอายุ ๖ ปี ถึงคนแก่อายุ ๘๐ ปีเศษ ทำได้ นี่หมายความว่า พ่อมีธรรมนี้หรือเปล่า ถ้าพ่อเป็นคนมีสตางค์แจกลูกไปโรงเรียนทุกวัน ถ้าใครเขาจะถือว่าพ่อเป็นคนไม่มีสตางค์ลูกจะเชื่อเขาไหม
    ก็ขอประกาศไว้ในที่นี้ด้วยว่า เวลาฟังพ่อพูดนี่ใช้ใจคิด ใช้อามรณ์จิตที่เป็นทิพย์ดูภาพไปด้วย ดีลูก ทำอย่างนี้ดีมาก พ่อชื่นใจลูกไม่ช้าพ่อก็ตาย ความตายมันคลานเข้ามาทุกทีงานสาธารณประโยชน์ ลูกอย่าทิ้งนะ ทั้งนี้พวกเราควรจะปลื้มใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเมตตาปรานี ให้พวกเราได้มีโอกาสได้ทำงานสาธารณประโยชน์ทั่วประเทศไทย พวกเรานี่ปิดทองในลำไส้พระ เขาทำงานกันเขาประกาศ เราทำงานกันเราเงียบ เอาแต่ความดีเถอะลูก อย่าเอาชื่อเสียงโดยการโฆษณาเลย จงคิดไว้เสมอว่าในเมื่อเราจะต้องตายอยู่แล้ว ทำไมจึงจะกลัวความตาย มันจะตายหรือไม่ตายก็ช่าง ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ก็ทำตนเป็นคนดีก็แล้วกัน
    คนดี คือ คนมีเมตตาปรานีต่อเพื่อน กับสงสาร สงเคราะห์ซึ่งกันและกันด้วยสังคหวัตถุ ๑. ให้กันด้วยวัตถุ ๒. มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน เป็นที่รัก ๓. ช่วยกิจการงานของเพื่อน ๔. ไม่ถือตัว ไปที่ไหนทำตนเสมอกัน
    "หลัก ๔ ประการนี้ ถ้ามีอยู่ในใจของลูก ลูกปฏิบัติได้ พ่อจะมีความสุขใจมาก พ่อมีชีวิตอยู่ก็มีความสุข พ่อตายไปแล้วเมื่อใดพ่อก็มีความสุขใจ หรือตายอย่างนอนตาหลับ ทั้งนี้เพราะลูกของพ่อเป็นคนดี"
    อีกประการหนึ่ง พรหมวิหาร ๔ ลูกจงรักทรงไว้ และอิทธิบาท ๔ ให้มีอยู่ตลอดเวลา ๑. ฉันทะ มีความพอใจในงานที่เราทำ ๒. วิริยะ มีความพากเพียรต่อการงาน อดทนต่อคำนินทาว่าร้าย ๓. จิตตะ เอาใจจดจ่อในกิจการงานอยู่เสมอ ๔. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำ
    ทั้งหมดนี้ ขอลูกรักษาไว้กับใจของลูกตลอดไป เทปหน้านี้หมดแล้วลูก ฟังหน้าต่อไป
    ลูกรักขอพ่อทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ พ่อขอพูดถึงประเพณีโบราณของไทยแท้หรือว่าระเบียบวินัย คนไทยโบราณเป็นคนที่มีระเบียบวินัยมากเรื่องระเบียบวินัยนี่ลูกรักทุกคนจงรักษาไว้ด้วยชีวิต เพราะว่าชาติของเราจะทรงอยู่ได้ เพราะรักษาระเบียบวินัยเป็นสำคัญ แต่ทว่าสมัยก่อนท่าน
    ไม่
     
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    เรียกว่าระเบียบวินัย ท่านชอบใช้คำว่า "ประเพณีนิยม" เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากลูกรัก เราจะเห็นว่า คนในบ้านในเมืองของเราที่ป่วนปั่นกันอยู่ในเวลานี้ก็เพราะคนที่ไม่รักษาระเบียบวินัยเป็นเหตุ อย่าไปโทษแต่เด็กนะ เด็กนี่ตามธรรมดามันจะดูผู้ใหญ่เป็นสำคัญ เด็กเห็นผู้ใหญ่ทำแบบไหนก็จะทำแบบนั้น คิดว่าเรื่องนั้นมันดี
    เวลานี้ถ้าเราจะดูผู้ใหญ่ จะเห็นว่าใหญ่แต่อายุ ใหญ่แต่กาลเวลาที่ล่วงมา บางทีก็ใหญ่แต่เพียงหนังสือฉบับเดียว กระดาษแผ่นเดียวที่ว่าใหญ่ แต่ที่ใหญ่ด้วยความดีก็มีมาก และที่ใหญ่เพราะอาศัยดีกรี อาศัยปริญญาก็มีมาก ใหญ่แบบดีกรีนี่ไม่ดี ใหญ่เพราะอาศัยปริญญาก็ไม่ดี จะต้องใหญ่เพราะมีจริยาดีมีความชำนาญในงาน รักษาระเบียบประเพณีกฎข้อบังคับกฎหมายของบ้านเมือง และก็มีศีลธรรม นี่จึงจะเรียกว่าใหญ่ วันนี้เราคุยกันแบบธรรมดา ๆ แบบโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสียก็แล้วกัน เรามาคุยกันระหว่างพ่อกับลูก ไม่ได้มานั่งเทศน์ให้ฟัง
    ลูกมองดูรอบ ๆ พระธาตุดอยตุง มีเส้นทางที่เราผ่านขึ้นมา เส้นทางนี้ท่านที่บุกเบิกเป็นคนแรก คือ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก แห่งวัดวังมุย จ.ลำพูน เวลานี้ท่านมรณภาพไปแล้วอาศัยที่ท่านมานั่งหนักคำว่า นั่งหนักก็หมายความว่า นั่งเป็นประธาน ให้พวกชาวเขาเป็นคนทำงาน ถากถางทางขึ้นมาเป็นระยะทาง ๑๗ กิโลเมตร การทำงานคราวนั้นปรากฏว่ามีเจ้าคณะอำเภอเวลานั้น (ขณะนี้สึกไปแล้ว) มีคนเขาเอาสตางค์มาช่วยเป็นค่าอาหารชาวเขาที่มาช่วยทำงาน แต่ทว่าเจ้าคณะอำเภอมาทำบัญชีรีบ รับแล้วก็เอาเงินไปหมด นี่ความเลวของคนที่อยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ก็ไม่ได้เลวทั้งหมด
    สำหรับ หลวงปู่ชุ่ม ท่านดี แต่ว่าเจ้าคณะอำเภอเลว แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยอยู่นิดหนึ่งว่า ความเลวของเขานี่ลูกรัก ไม่มีใครลงโทษเขา ผู้บังคับบัญชา ชั้นสูงขึ้นไป เช่น เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะตรวจการภาค และเจ้าคณะที่สูงสุดขึ้นไป ทำไมถึงกลายเป็นคนตาถั่ว ตาบอด หูหนวกไปหมดก็ไม่ทราบ ผู้ที่อยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ เลว ๆ เวลานี้มีเยอะ แต่พ่อคิดว่า ต่อไปพระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองขึ้น ความบรรลัยก็จะมาถึงคนเลวแบบนี้เอง เราจะไปมองพัดยศกันไม่ได้ ต่อไปนี้เราจะไม่มองพัดยศ เพราะว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นี่มันเป็นโลกธรรมลูกรัก ไม่ได้เกิดประโยชน์ คนที่ได้รับยศเป็นคนดีก็มีมาก คนที่รับยศยิ่งรับยิ่งเลวก็มีมาก ตำแหน่งยิ่งสูงเท่าไรยิ่งเลวเท่านั้น ไม่ใช่เฉพาะคน ผู้ที่อยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ก็เหมือนกัน อันนี้ขอให้ลูกรักของพ่อทั้งหลายจงจำเอาไว้
    ตอนนี้พ่อขอทบทวนความดีของคนไทยสมัยนั้น พ่อจะพูดระบบคนไทยแท้ ๆ ที่ไม่ขายชาติว่าคนไทยเรารักษากันมาตั้งแต่ต้น จนถึงพระเจ้าพังคราช ๓๕ รัชกาล แต่มีท่านท่านหนึ่งมาบอกว่า ๓๗ รัชกาล ท่านว่าอย่างนี้นะ ให้ดูประเพณีคนไทยโบราณ เขารักประเพณี เขาไม่ทะเยอทะยาน เข้าไม่บ้า ๆ บวม ๆ ทะนงตนว่าเป็นคนดี และอะไรก็ตามเป็นระเบียบ เป็นประเพณีนิยม ที่เรียกว่า ระเบียบวินัยเขารักษากันไว้ด้วยดี
    คนที่เป็นกษัตริย์ไม่ได้ทะนงตนว่าเป็นกษัตริย์ คนที่มีอำนาจวาสนาในการปกครอง ก็ถือว่าเป็นแต่เพียง "พ่อบ้าน" เป็นหัวหน้าเท่านั้น และก็ไม่คดไม่โกง ไม่ใช่ว่าก่อนที่จะเข้ามาบริหาร
    ประเทศกินข้าวต้มกุ๊ย แต่พอเข้ามาบริหารประเทศได้ไม่กี่วัน ก็มีตึกสวย ๆ มีรถยนต์ราคาแพง ๆ มีข้าทาสชายหญิง อันนี้มันเป็นความเลวของคนนะลูกรัก อย่าถือเป็นแบบแผน ถือตัวอย่างโบราณแบบไทยแท้ พ่อจะพูดให้ฟังสักนิดหนึ่ง พอพ่อพูดลูกฟังไว้แล้วตั้งใจดูนะลูก ว่าคนที่มีชื่อทั้งหลายเหล่านี้ เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน ใช้อำนาจทิพจักขุญาณซิลูก ติดตามเสียงพ่อพูดนะ
    ท่านบอกว่า สมัยเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันยังทรงพระชนม์อยู่ตอนปลาย เอาเฉพาะตัดตอนมานะ อย่าเอาไกล ๆ เลย ความจริงคนไทยเราอยู่กันมาในแดนนี้นานแสนนาน เราเริ่มกันสมัยพระราชา ทรงพระนามว่า พันนะติ หรือ พระเจ้าละวะจักราช ใช่หรือไม่ก็ไม่ทราบ ทรงเสวยพระราชย์อยู่ในเขตเชียงแสนนี่ใช้เวลาเสวยราชย์ ๒๙ ปี ก็สวรรคต ท่านเป็นพระราชบิดาของพระอชุตราช เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระเจ้าอชุตราช มีพระชนมายุได้ ๒๐ ปี ก็เสวยราชย์ต่อ
    พระเจ้าอชุตราชเสวยราชสมบัติมาจนอายุ ๑๒๐ ปี องค์นี้เป็นพระราชามาถึง ๑๐๐ ปี โอ้โฮต้องคิดนะลูกนะ ๑๐๐ ปี นี่น่าจะมีขบถไหม จะมีการโจมตีกระแนะกระแหนกันไหม เปล่าเลย ไม่มีนะ หลังจากพระเจ้าอชุตราช เสวยราชสมบัติมา ๑๐๐ ปี พอดี เป็นอันว่าพระเจ้าอชุตราชทรงมีพระชนมายุทันพระพุทธเจ้า ๒๐ ปี เห็นไหมลูกรัก อันนี้ พ่อถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่แน่นอน พ.ศ. นี่ เพราะว่าเป็น พ.ศ. ผี ต่อมาเมื่อพระเจ้าอชุตราชสวรรคตแล้ว พระเจ้ามังรายพระราชโอรสก็เสวยราชสมบัติแทน
    พระเจ้ามังรายมหาราชก็เป็นรัชกาลที่ ๒ เสวยราชสมบัติ ตอนนี้ท่านมาบอกว่ามีพระอรหันต์ นามว่า "วชิระ" นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย ๑๕๐ องค์ มาพร้อมกับพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป พระเจ้ามังรายมหาราชเสวยราชสมบัติได้ ๓๗ ปี อายุของท่านได้ ๘๙ ปี ก็สวรรคต รู้สึกว่า อายุยืนมาก ไม่ยักมีขบถ
    ต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๓ เป็นรัชกาลที่คุดในประวัติศาสตร์ เวลาที่พ่อพูดนี่ ท่านบอกว่า เขาเขียนคุดไว้ เขาเขียนไว้ที่ไหนบ้าง พ่อก็ไม่รู้ ตรงหรือไม่ตรงอย่าถือเป็นหลักฐานสำคัญ เราถือเอาธรรมะ คือเรื่องตาย ๆ เกิด ๆ เป็นสำคัญ แต่พ่อพูดไว้ให้ฟัง เพื่อจะให้ลูกรู้ว่า ชีวิตของคนน่ะมันเป็นของไม่เที่ยง อย่าเมาในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราไม่ตาย ถ้าเราคิดว่าเราไม่ตายละก็เสียท่า
    เป็นอันว่าเมื่อพระเจ้ามังรายมหาราชสวรรคตแล้ว พระราชโอรสชื่อว่า พระองค์เชียง เสวยราชสมบัติ เป็นรัชกาลที่ ๓ อยู่ ๓๑ ปี และมีอายุ ๘๙ ปี เท่าพ่อก็สวรรคตตายอีกเห็นไหมลูกเกิดแล้วก็ตาย เป็นกษัตริย์ก็ตาย ใหญ่ก็ตาย เล็กก็ตาย
    รัชกาลที่ ๔ มีพระนามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]"[/FONT]พระองค์ชิน[FONT=Cordia New,Cordia New]" [/FONT]ราชโอรสเสวยราชสมบัติได้ ๒๐ ปี มีพระชนมายุ ๘๐ ปี สวรรคต แหม ตอนนี้ไม่ยักมีใครขบถนะ ถ้าเป็นเวลานี้หนังสือพิมพ์คงโจมตี ว่าดีอย่างนั้น เสียแบบนี้ ทำดีแค่โน้น ทำดีแค่นี้ ทีตัวเองทำให้ประเทศชาติฉิบหายละก็ไม่ได้ดูละ ดีแต่กระแหนะกระแหนว่าคนนั้นว่าคนนี้ คนเรานะควรเอากระจกเงาส่องหน้าไว้บ้าง
    รัชกาลที่ ๕ ท่านกล่าวว่า พระราชาทรงพระนามว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]"[/FONT]คำตน[FONT=Cordia New,Cordia New]" [/FONT]มีอายุ ๕๘ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๗ ปี ก็สวรรคต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2009
  6. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    รัชกาลที่ ๖ พระราชาทรงพระนามว่า "องค์กิงตน" เสวยราชสมบัติได้ ๕๖ ปี ก็สวรรคต อายุเท่าไรท่านไม่ได้บอก
    รัชกาลที่ ๗ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์กิงกีราช" เสวยราชสมบัติได้ ๖๕ ปี องค์นี้มีอายุ ๑๐๐ ปี จึงสวรรคต เป็นพระราชโอรส คือเป็นลูกกันต่อ ๆ มา
    รัชกาลที่ ๘ พระราชาทรงพระนามว่า "พระชาติตน" เป็นราชโอรสสืบสันติวงศ์ต่อมาเสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี และมีอายุ ๗๑ ปี
    รัชกาลที่ ๙ พระราชาทรงพระนามว่า "พระเจ้าเว้าตน" เริ่มเสวยราชย์เมื่ออายุ ๖๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๙ ปี คือมีอายุได้ ๘๑ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๑๐ พระราชาทรงพระนามว่า "พระเจ้าแว่นตน" ราชโอรสเริ่มเสวยราชย์ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๗ ปี คืออายุ ๘๐ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๑๑ พระราชาพระนามว่า "พระเจ้าแก้วตน" ราชโอรสองค์ก่อน เสวยราชย์ เมื่ออายุ ๕๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี มีอายุ ๗๒ ปี ก็สวรรคต
    ไม่เห็นมีใครอยู่สักคน ตายกันหมด พ่อพูดมานี่ลูกเห็นไหม ดูตามไปนะว่าพระราชาแต่ละองค์ รูปร่างท่านเป็นอย่างไร เวลาท่านเสวยราชย์ ท่านทำอย่างไรบ้าง ท่านก็คลุกคลีตีโมงแบบพ่อคนนั่นแหละ ถ้าจะเทียบ ๆ กันไปก็คล้าย ๆ รัชกาลที่ ๙ เราปัจจุบัน แต่ต่างกันอยู่นิดที่สมัยนั้น ใช้เดินไปนั่งคุยกัน เวลานี้เรื่องกฎหมาย เรื่องระเบียบประเพณี เขาเขียนไว้มากเกินไป อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านต้องการอย่างสมัยก่อน เราจะเห็นว่าท่านคลุกคลีตีโมง แต่เครื่องแบบนี้เขาบังคับ สมัยก่อนเครื่องแบบไม่บังคับ กษัตริย์ไปไหนบางทีนุ่งกางเกง ใส่เสื้อ บางทีก็ไม่เสื้อ เอาผ้าขาวม้าผืนหนึ่งห่มเป็นสไบเฉียงบ้าง พาดไหล่บ้าง เดินไปคุยกับคนโน้นคนนี้ เป็นแบบกันเอง ปกครองกันแบบสบาย ๆ
    รัชกาลที่ ๑๓ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์เงิน" ซึ่งเป็นราชโอรส เริ่มเสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๖ ปี เสวยราชย์มาได้ ๑๕ ปี คือมีอายุได้ ๗๑ ปีก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๑๔ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์แว่นตน" ราชโอรส เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์มาได้ ๑๖ ปี อายุได้ ๖๘ ปีก็สวรรคต องค์นี้อายุน้อยหน่อย
    รัชกาลที่ ๑๕ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์งามตน" เป็นราชโอรสสืบต่อมา เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๐ ปี เสวยราชย์มาได้ ๓๓ ปี อายุได้ ๘๓ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๑๖ เป็นราชโอรสองค์ก่อนทรงพระนามว่า "พระองค์ลือตน" อายุ ๖๖ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี พออายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๑๗ "พระองค์ชินตน" เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๖ ปี พออายุ ๗๘ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๑๘ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์พันตน" อายุ ๕๖ ปี เสวยราชย์ ๑๖ ปี อายุ ๗๒ ปีก็สวรรคต
    ลูกดูเถอะว่าพระราชาแต่ละองค์ มีความเป็นอยู่ไม่นานก็ตาย แต่พระราชจริยาวัตรของพระองค์น่ะเป็นกันเองกับบรรดาประชาชน แหม พ่ออยากจะพูดอะไรสักนิดอย่างผู้แทนราษฎรนี่ไม่ได้เป็นพระราชา แต่อีตอนอยากจะเป็นผู้แทนนี่ แหม พินอบพิเทาอยากจะรับใช้ประชาชน แต่พอได้เป็นผู้แทนแล้วเท่านั้นแหละ ลืมตน กลายเป็นจอมชีวิตของปวงชนไป นี่มันเสียตรงนี้นะลูกนะ
    ฟังกันต่อไป รัชกาลที่ ๑๙ ทรงพระนามว่า "พระองค์เกลาตน" พระราชโอรสของพระราชาองค์ก่อน อายุ ๕๖ ปี ก็เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๗๓ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๒๐ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์พิงตน" พระราชโอรสขององค์ก่อนอายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๙ ปี อายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๒๑ พระราชาทรงพระนามว่า "ศรีตน" พระราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๕๔ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต
    นี่พ่อฟังมาแล้วก็พูดไป ขอลูกใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และอตีตังสญาณ เข้าไปดูว่าพระราชาแต่ละองค์ ๆ น่ะ เวลานั้น ท่านทำกันยังไงลูก เวลาที่จะออกขุนนางเวลาที่จะนั่งบังลังก์ท่านก็แต่งตัวโก้ พระราชฐานก็ทำด้วยไม้ เวลายามปกติท่านก็เดินไปเดินมา แต่งตัวสีสดบ้าง สีมัวบ้าง ดีไม่ดีก็เดินเอาผ้าขาวม้าพาดไหล่ไม่มีเสื้อไปเยี่ยมชาวไร่ ชาวนา คุยกับคนโน้น คนนี้ แนะนำคนนั้น แนะนำคนนี้ เป็นกันเองทุกอย่าง มีความหวังดี ไม่เอาเปรียบใคร
    ลูกอย่าลืมนะว่า โลกนี้มันเป็นอนิจจังนะลูกรัก ในสมัยนั้น ๆ ลูกเกิดบ้างหรือเปล่า จากนั้นมาถึงนี่ ลูกเกิดมาแล้วกี่วาระ ถอยหลังชาติไปแล้ว ทำลายความรู้สึกมันเสียนะลูกรักนะอย่าสนใจกับความเกิดต่อไป อะไรบ้างเล่าเป็นของดี
    "ราคัคคิ ไฟ คือ ราคะ โทคัสคิ ไฟ คือ โทสะ โมหัคคิ ไฟ คือ โมหะ อย่าให้มันมาสุมใจเรานะลูก จะมีความลำบาก"
    ขณะนี้พ่อมองเห็นลูกรักของพ่อทุกคน บางคนก็ลืมตา บางคนก็หลับตา และก็อยู่ในจิตสงบ วิชาที่พ่อให้ลูกไว้นี้ เป็นวิชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ที่พ่อกล้าท้าว่าใครจะหาว่า พ่ออวดอุตริมนุสธรรม หมายถึง อวดธรรม อันยิ่งที่ไม่มีในตน แต่ที่มีในตน ท่านปรับอาบัติปาจิตตีย์ จะมีความหมายอย่างไร แต่นี่พ่อไม่ได้ไปอวดกับใครเขานะ พ่อพูดกับลูกของพ่อที่ได้มโนมยิทธิ แล้วทุกคน และพ่อไม่ได้พูดเพื่อให้ลูกทั้งหลายมีความกำเริบเสิบสาน แม้ลูกจะได้วิชานี้มาไม่ถึง ๑๐ วัน เพิ่งได้กันใหม่ ๆ เป็นของใหม่เอี่ยมของลูก พ่อต้องการให้ลูกของพ่อทั้งหมด "ฝึกความชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ และญาณ ๘" เพราะว่า วิชานี้จะไปนั่งใช้กันเวลาค่ำ เวลาเช้ามืด เวลาสงัดนั้นไม่ได้ ต้องใช้ให้ได้ทุกขณะจิต ทุกอิริยาบท ทุกอาการ และทุกสิ่งแวดล้อม ที่เข้ามาล้อมเราอยู่
    ให้ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสกับพราหมณ์ ซึ่งพราหมณ์มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "พระอริยะนี่ต้องการสถานที่สงัด คือ ป่าช้า และป่าชัฏใช่ไหม เพราะที่นั่นเป็นที่สงัด" แต่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "พราหมณะ ดูก่อน พราหมณ์ สำหรับพระอริยเจ้านี่อยู่ที่ไหนก็สงัด เพราะว่าอารมณ์จิตของท่านสงัดแล้ว อยู่ในป่าท่านก็สงัด อยู่ในป่าช้าก็สงัด อยู่ในบ้านร้างก็สงัด อยู่ในบ้านซึ่งมีคนก็สงัด อยู่ในเมืองก็สงัด เพราะจิตสงัดจากกิเลส"
    ฉะนั้น เวลานี้มีเสียงดนตรีประโคมขณะพ่อพูด เสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวตามทำนองเพลงมอญ คือเพลงประโคมศพ เท่งทึ้ง ๆ เขาเชื่อมเสียงเข้ามาตามไมโครโฟน สำหรับไมโครโฟนที่พ่อพูดนี่ไม่ได้รับเสียงดนตรี เพื่อจะได้ไม่กลบเสียงพ่อในด้านนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่พ่อใช้ เจโตปริยญาณ เวลาพูด สำหรับเจโตปริยญาณของพ่อนี้ใช้ได้ทุกเวลานะลูกเวลาพ่อพูด พ่อใช้เจโตปริยญาณ ดูใจของลูก แต่พ่อรู้ว่า ลูกรู้ว่าพ่อดูลูก และใจของลูกสงบสงัดมีอารมณ์ใสเป็นแก้วเห็นเป็นแก้วแพรวพราว แต่กำลังความเป็นแก้วอาจจุไม่เสมอกันบ้างเป็นธรรมดา แต่หลายคนที่เหน็ดเหนื่อยในการจัดบริการต่าง ๆ แต่ว่าเวลาฟังเสียงพ่อพูดอยู่นี่กำลังใจลูกสะอาดมากลูกรักรักษากำลังใจนี้ไว้นะลูก
    แต่ว่าพ่อมองดูคนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่อง เขามานั่งฟังเราพูดด้วย บางทีเขาจะหาว่าเราบ้านะ บางคนคิดว่า พ่อเล่านิทานปรัมปราให้ลูกฟัง ก็ช่างเขาเถอะลูก เรื่องความคิดความอ่านนะ ลูกรักอย่าไปต้านทานเขา เขามีความรู้สึกอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา
    แต่ว่าเรื่องของเรา เราต้องรู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร อะไรมันดีอะไรมันชั่ว มันอยู่ที่ตัวของเรา อย่าไปสนใจเขา เรื่องใจของเราเท่านั้นเป็นสำคัญ
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษความผิด จิตของเราไว้เสมอ" "ดูใจของลูกให้มันเป็นแก้วใส ตลอดเวลา เวลารับคำชม ใจเราก็เป็นแก้ว ตั้งอยู่ในอุเบกขา เวลารับเสียด่า ใจเราก็เป็นแก้ว ตั้งอยู่ในอุเบกขา ใจยิ้ม พร้อมจะยิ้มรับคำด่าของเขาได้ ชื่อว่าใจเป็นสุข” เวลานี้ใจของลูกพ่อทราบว่า ไม่มีใครหวังในการเกิด “เบื่อหน่ายแล้วหรือลูก” เบื่อหน่ายในความเกิดแล้วใช่ไหม จิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วใช่ไหม ลูกทุกคนเงียบสงัด เพราะกำลังอยู่ในสมาธิ พ่อพอใจ แต่พ่อก็ทราบว่าจิตใจของลูกเวลานี้ จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความเบื่อหน่ายในสภาวะการเกิดการตาย
    ดูกษัตริย์ต่าง ๆ ที่พ่อเล่ามาทั้งหลายเหล่านี้ ท่านตายแล้วท่านไปไหนตามท่านไปดูนะลูกนะ
    ต่อไปนี้ พ่อขอพูดถึงพระราชาองค์ที่ ๒๒ ทรงพระนามว่า “พระองค์สมตน” ซึ่งเป็นพระราชโอรสของ พระองค์ศรีตน อายุ ๕๒ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๖๙ ปี ก็สวรรคต เห็นไหมลูกเป็นพระราชาก็ตาย
    ต่อมารัชกาลที่ ๒๓ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์สวนตน” ราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๔๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๘ ปี อายุ ๖๕ ปี ก็สวรรคต
    ต่อมารัชกาลที่ ๒๔ พระราชโอรสเสวยราชสมบัติทรงพระนามว่า “พระองค์แพงตน” อายุ ๔๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี อายุ ๖๘ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๒๕ พระราชโอรสองค์ก่อน สืบสันตติวงศ์ต่อมา ทรงพระนามว่า “พระเจ้ากวนตน” เสวยราชสมบัติได้ ๑๔ ปี อายุ ๖๗ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๒๖ พระราชโอรสองค์ก่อน เสวยราชย์ต่อมา ทรงพระนามว่า “พระองค์พูตน” อายุ ๓๖ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๒ ปี อายุ ๔๘ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๒๗ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ฟั่นตน” ซึ่งเป็นราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๓๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๕๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุได้ ๘๐ ปี
    รัชกาลที่ ๒๘ ทรงพระนามว่า “พระองค์มังสิงห์ตน” ราชโอรสองค์ก่อน อายุ ๓๕ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๕๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุได้ ๘๕ ปี
    ในเวลานั้นพระอรหันต์มาก พระราชาทุกพระองค์เป็นผู้ทรงธรรม ไหว้พระสวดมนต์กันอยู่ตลอดเวลา
    รัชกาลที่ ๒๙ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์มังสมตน” องค์นี้เป็นน้องของพระเจ้ามังสิงห์ตน ซึ่งไม่มีพระโอรส ดังนั้นน้องชายจึงเสวยราชย์ เมื่ออายุ ๗๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๘ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๓๐ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ทิพย์ตน” อายุ ๕๑ ปี เสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาได้ ๑๗ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๖๘ ปี
    รัชกาลที่ ๓๑ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์กะมะตน” ราชโอรสขององค์ก่อนเสวยราชสมบัติ เมื่ออายุ ๔๓ ปี เสวยราชย์ได้ ๕ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๔๘ ปี
    รัชกาลที่ ๓๒ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชายตน” ราชโอรสองค์ก่อนอายุ ๓๐ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๕๐ ปี
    รัชกาลที่ ๓๓ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชินตน” ราชโอรสมีอายุได้ ๓๒ ปี ขึ้นเสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี ก็สวรรคต คือตายเมื่ออายุได้ ๔๗ ปี ไม่เห็นใครอยู่ ตายหมด
    รัชกาลที่ ๓๔ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชมตน” เสวยราชย์เมื่ออายุ ๒๙ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๓๕ “พระองค์พังตน” อายุ ๒๘ ปี ขึ้นเสวยราชสมบัติได้ ๑๖ ปี อายุ ๔๔ ปี ก็สวรรคต นี่จะเห็นว่า การเป็นพระราชาก็ตายไม่เกิดประโยชน์
    รัชกาลที่ ๓๖ “พระองค์พิงตน” อายุ ๒๖ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี อายุ ๔๑ ปี ก็สวรรคต
    รัชกาลที่ ๓๗ พระราชาทรงพระนามว่า “พระเจ้าพังตน” ราชโอรสองค์ก่อน ที่เราเรียกว่า “พระเจ้าพังคราช” ที่มีความสัมพันธ์กับเมืองเชียงแสน พระธาตุจอมกิตติ ทรงมีอายุได้ ๑๘ ปี ขึ้นเสวยราชสมบัติ พออายุได้ ๒๐ ปี เจ้าขอมดำก็มาอาละวาด
    ตอนนี้สิลูกรักของพ่อ เราฟังมาถึงตอนนี้ เราพอจะสรุปใจความได้ว่า คนเราที่เกิดมาทุกคน จะมีฐานะเป็นยังไงก็ตามที เรื่องจะพ้นกฎของกรรมนั่นก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้ามันไม่เที่ยง เราก็จะเข้าไปยุ่งกับความไม่เที่ยง ให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์ อารมณ์ของคนที่เป็นทุกข์มันก็เพราะไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สอนตามความจริง คือ ให้คนทุกคนไม่ฝืนความจริงเท่านั้น ถ้าคนใดไม่ฝืนความจริง คนนั้นไม่มีทุกข์
    ดูตัวอย่างพระราชา ผ่านมาแล้วตั้ง ๓๗ รัชกาล สมัยพระเจ้าพังคราช นี่ท่านยืนยันเลยว่าเป็น พ.ศ.๙๐๐ ปี พอดี เป็นอันว่าราชวงศ์นี้ สืบราชสมบัติต่อมาเกินกว่า ๙๐๐ ปี ไม่มีการขบถ ไม่มีทรยศ ไม่มีการแย่งชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน
    ตอนนี้ พ่อขอพูดเรื่องประเพณีนิยมของคนไทยหรือระเบียบวินัย คนไทยที่เป็นไทยจริง ๆ นั้น เป็นผู้รักธรรม ประกอบไปด้วยพรหมวิหารสี่ แต่ทว่าอาศัยความดีของคนไทย นี่ลูกรัก เราจึงต้องขยับขยายพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา ผ่านมา ๓๗ รัชกาล ข่าวการรุกรานประเทศ ข่าวการรบไม่มี เราจึงขยายเขตออกไปให้มันกว้าง ให้พอกับคนจำนวนมาก เพราะยิ่งนานปี คนก็เกิดมาขึ้นทุกที เวลานั้นพื้นที่ขยายไม่ยาก มันเป็นป่า คนอยู่กันเป็นหย่อม ๆ สมัยพระเจ้าพังคราชนี่ เรามีประชาชน ตั้งแต่แบผ้าอ้อมถึงคนแก่เหลาเหย่ทำอะไรไม่ไหวแล้ว ประมาณ ๑ แสนคนเท่านั้น แต่กำลังคนที่จะรวมเป็นกองทัพจับอาวุธสู้ได้คือ ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๖๐ ปี ได้ประมาณ ๓ หมื่นคนเท่านั้น เป็นการระดมพลใหม่
    จงจำไว้ให้ดีลูกรักของพ่อทุกคนเป็นคนไทย เราเป็นคนไทย จงอย่าทำใจเป็นทาสทำใจของเราให้ทรงไว้ซึ่งความเป็นอิสรภาพ คือ ความเป็นไท สิ่งที่จะสร้างความสุขให้แก่ลูก อย่าลืมว่า ชีวิตของพ่อไม่นานนัก พ่อก็ตาย เวลานี้พ่อมีอายุใกล้ ๗๐ ปีเข้าไปแล้ว ดูพระราชาทั้งหลายเหล่านั้นท่านก็ตาย ความตายของพ่อก็มีจริง พ่อรู้ตัวว่าพ่อจะตาย ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง วิชาความรู้ที่พ่อให้ลูก ลูกของพ่อทุกคน พ่อมีความรัก อย่าลืมนะว่าพ่อรักลูกทุกคน แต่ลูกจงระวังนะ คนอีกพวกที่เขาไม่ใช่ไท เขามีใจเป็นทาส เขาอาจจะมีพ่อเป็นไทย มีแม่เป็นไทย แต่ว่าใจเขาเป็นทาส ที่เขาคอยเข้ามาทำลายความสามัคคีของมันมีอยู่ เขาจะใช้วิธีง่าย ๆ คือ บอกลูกคนนั้น บอกลูกคนนี้ ให้ดูทีรึ เห็นไหมว่า พ่อรักเราไม่เสมอกัน เราเป็นคนจน เราเป็นคนมีความรู้ไม่ดี พ่อไม่ได้สนใจเราเลย ตอนนี้เขาจะแหย่นิด แหย่หน่อย แหย่ให้ลูกแตกความสามัคคี
    ลูกจงระวังให้ดีนะ พ่อน่ะเป็นคนคนเดียวนะลูกนะ บางทีลูกของพ่อ พ่อนึกชื่อไม่ออกก็มีใช้อยู่ทุกวัน เพราะอะไร เพราะพ่อเหน็ดเหนื่อย ความเหนื่อยของพ่อนี่ลูก พ่อเหนื่อยจริง ๆ “แต่เพื่อลูกแล้วพ่อก็พร้อม แม้พ่อจะเหนื่อยแทบขาดใจตายเสียเวลานี้พ่อก็ทำ”
    อีกประการหนึ่ง สังคหวัตถุ ลูกรัก ที่จะยึดเหนี่ยวน้ำใจซึ่งกันและกันไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ คือ มโนมยิทธิ ที่พ่อให้ไว้ ต้องรักษาไว้ด้วยชีวิตจิตใจของลูก จับไว้เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
    การจะทบทวนชีวิตเป็นของดี ว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ มันเสียหายตรงไหนบ้าง มันทรงอะไรไว้ได้บ้าง ทรัพย์สินที่หาไว้ได้เวลานั้น มันมีอะไรบ้าง จงระมัดระวัง ขอลูกจงจำ การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้เราตั้งศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร แล้วทรงประทานพระราชทรัพย์ร่วมมาด้วย และของที่โดยเสด็จพระราชกุศลก็มา “ควรทำต่อไป ถ้าพ่อตายแล้ว พวกลูกยังทำกิจนี้อยู่ ก็ชื่อว่าลูกยังเกาะชายจีวรของพ่ออยู่”
    ในช่วงเวลาที่พ่อเปลี่ยนหน้าเทป มองไปทางด้านโน้นเขาเตรียมเพลงอะไรบ้างก็ไม่รู้ เห็นจะเป็นเพลงมอญ เล่นกัน เท่งทึ้ง ๆ เพื่อคลอเสียงพ่อพูด แต่เขาอยู่ไกลออกไป ลูกเห็นไหมลูก นี่แหละเรื่องของโลกจะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ใจตัวเองเป็นสำคัญ
    “การทำงานทุกอย่างต้องเป็นประเภท โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย” จะถือว่า ฉันต้องการสงบ ฉันมีกำลังใจสงบสงัดดีแล้ว ใครจะมายุ่งไม่ได้ต้องตามใจฉัน ถ้าทำแบบนี้ก็ชื่อว่า ฝืนคติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ เขายังเดินแนวทางไม่ถูก เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ ๓ แบบ คือ ๑.พระธรรมวินัย ๒.พระสุตตันตปิฎก ๓.พระอภิธรรม
    ถ้าจะเล่นเถนเด่ (พ่อไม่เรียกเถนตรง เรียกว่าเถนเด่) ว่า ฉันต้องการสงบสงัดอย่างเดียว นั่นต้องดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านทำอะไรไว้บ้าง ควรจะดูตอนท่านทรมานชฏิล ท่านทำยังไง ท่านนั่งเทศน์หลับตาปี๋อย่างเดียวยังงั้นรึ หรือว่าเวลาที่พระองค์ทรมานบุคคลทั้งหลาย เช่น พระเจ้าชมพูบดี ท่านทำยังไง ซึ่งตอนนั้นเป็นการแสดงละครโรงใหญ่กันจริง เป็นละครฉากใหญ่
    มาเลี้ยวถึงชีวิตของลูกชั่วเวลา ๒-๓ นาที ที่พ่อใช้เวลาหาคาสเซทมาเปลี่ยนหน้าเทป “ลูกบางคนน้ำตาไหล บางคนมีอาการสะอื้น บางคนมีอาการซึม” พ่อคิดว่า ความรู้สึกของลูกในเวลานั้น คงจะพบกับสภาพความเป็นจริงที่เรามีส่วนร่วมในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุบนดอยตุง ซึ่งพระเจ้าอชุตราช และพระเจ้ามังรายมหาราช นำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่ลูกเห็นเวลานี้ เป็นเจดีย์ที่เขาสร้างขึ้นภายหลัง สำหรับเจดีย์องค์เดิมอยู่ภายในเป็นทองคำทั้ง ๒ องค์ และในเจดีย์ทองนั่นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่กษัตราธิราชเจ้าทั้ง ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าอชุตราช พระราชบิดากับพระเจ้ามังรายมหาราช ราชโอรส นำมาบรรจุที่นี่ พระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวท่านได้มาโดยพระมหากัสสปเถรเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์อีก ๕๐๐ องค์ นำมาถวายพระเจ้าอชุตราช และภายหลังมีพระอรหันต์นามว่าวชิระองค์พระอรหันต์นำมาถวายพระเจ้ามังรายมหาราช การบูชาคราวนั้นเป็นงานยิ่งใหญ่มาก
    ขณะนี้ ลูกบางคนมีอำนาจธรรมปีติ ที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านไปอยู่นิพพานมีความสุข ฉะนั้น อารมณ์ของลูกทั้งหมด จงอย่าให้มีอารมณ์เป็นทุกข์ มีอย่างเดียว คือ “ธรรมสังเวช”
    ธรรมสังเวชตอนไหน ตอนที่เราเลวเกินไป จะว่าเลวเกินไปก็ไม่ถูก เพราะการบรรลุธรรมต้องอาศัยความดีพอสมควร เขามีกำหนดเวลา สำหรับสาวกภูมิต้องบำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๑ อสงไขยกับแสนกัป อัครสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยกับแสนกัป สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าทรงขั้นปัญญาธิกะ อย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณโคดม ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๘ อสงไขยกับแสนกัป และวิริยาธิกะต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป
    แต่พวกเราย่องมาถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปแล้ว ก็แสดงว่า เราเอาดีบ้าง ทำถูกทำผิดบ้าง เป็นของธรรมดา ฉะนั้นการผิดมาในกาลก่อนถือว่าเป็นครู ในสมัยนี้ชาตินี้อย่าให้ผิดต่อไป ลูกทุกคนที่นั่งอยู่นี่ ๒๐๐ คนเศษ เป็นผู้ทรงอภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ และมีวิชชา ๘ เข้าควบคุมใจ จงใช้วิชชา ๘ ของลูกนี้ควบคุมใจว่า “ทางใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงไปแล้ว พระอรหันต์ทั้งหมดท่านไปแล้ว ขอลูกจงเดินตามทางนั้นนะลูกเวลานี้” ถ้าพ่อพูดไม่ผิด จิตของพ่อไม่เสีย ลูกจะเห็นว่า ท่านปู่อชุตราชท่านทรงชุดสีทองเป็นพรหม ลูกบางคนเห็นท่านในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านแสดงให้เห็นคนละอย่างให้ลูก เทวดา พรหม องค์เดียวกัน ท่านแสดงเป็นคนละภาพได้ อย่าเถียงกันนะลูกนะ อำนาจความเป็นทิพย์ ถ้าลูกใช้กำลังใจของลูกให้เป็นทิพย์อยู่เสมอ ลูกจะรู้อานุภาพแห่งความเป็นทิพย์
    นี่การปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นคุณอย่างยิ่ง เรามากันวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ ซึ่งความจริงมโนมยิทธิที่ลูกเพิ่งได้ กระตุ๋มกระติ๋มมาก เพิ่งจะมาซู่ซ่ากันเมื่อวันที่ ๑๓ อาศัยรุ่นแรกก็ทำลำบากหน่อย เพราะไม่มีตัวอย่าง แต่เราก็ได้กันมากแล้วนี่ พ่อไม่ได้ขยายคนเดียว พ่อให้คนที่เขาทำได้แล้วไปขยายกันต่อไป แต่พ่อก็ทราบว่า คนที่รับไปสอนนั้นก็ดีบ้าง ชั่วบ้าง ก็ช่างปะไร บางคนก็ปฏิบัติตรง บางคนก็หวังลาภสักการ “ใครอยากจะได้ลาภก็ไปอยู่กับเทวทัต ใครหวังความดีก็ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า” ก็หมดเรื่องกันไป
    จะไปนั่งห่วงว่า คนที่ได้ไปแล้วดีไม่ดีพลาดท่าจะลงนรก คนลงจะไปนรกซะอย่างเดียว ยังไง ๆ เขาก็ลงนรกจนได้ แต่ให้เขาลงอย่างคนมีความดีอยู่บ้าง ดูตัวอย่างพระเทวทัตหรือว่าพระเจ้าอชาติศัตรูนั่นลงนรกก็ลงไม่เต็มที่ขึ้นมาก็ได้ดีเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าดีกว่าลงแบบดื่มลงไป อีกประการหนึ่งที่มีความรู้จากการฝึกอยู่บ้างการจะทำความชั่วก็มีการยับยั้งบ้างตามสมควรนี่เป็นปัจจัยที่ทำให้ถูกลงโทษไม่เต็มอัตราศึก หมายความว่าไม่เต็มกำหนดของอเวจี คือ ๑ กัป อยู่ไม่ถึงก็ขึ้นได้แล้ว
     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    เป็นอันว่า ตอนนี้ลูกก็สลดใจ ตั้งใจไว้ให้ดีนะลูกว่า เราจะไม่ต้องการความเกิดต่อไป ดูต้นไม้ที่มีความแข็งแรงมันหายไปมากไหมลูก ดูภูเขาที่เขียวชะอุ่มไปด้วยต้นไม้ ถูกชาวเขาทำเสียจนเป็นภูเขาหัวโล้น นี่มาเทียบกับชีวิตของเรามันก็เหมือนกัน
    “ชีวิตของเราต้องร่วงโรยเหมือนกับใบไม้ที่หล่น ร่วงโรยมาอย่างต้นไม้ที่ถูกโค่นกี่วาระแล้ว” ลูกจงใช้อำนาจปุพเพนิวาสานุสติญาณรวบรัดตัดความทันที อย่าไปนับชาติ ๑-๒-๓ นะลูก ดูว่าอัตภาพของเราเกิดมาเป็นคนก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี มีปริมาณเท่าไร ขอดูทันทีทันใดจะเห็นพร้อมกันทั้งหมด จงอย่านับด้วยกำลังของการนับ ๑-๒-๓ ต้องนับด้วยกำลังของจิตเป็นทิพย์จะทราบทันที และนอกจากเกิดเป็นคนเกิดเป็นสัตว์ที่มีชีวิตไม่เสมอกันในการเกิดเป็นคน บางคราวเกิดเป็นกษัตริย์ บางคราวเกิดเป็นยาจกเข็ญใจ บางคราวเป็นคหบดี บางคราวเป็นเศรษฐี บางคราวมีความสุขมาก บางคราวเราถูกเบียดเบียนมากนั่นเป็นเพราะกรรมอะไร ลูกจะใช้ยถากรรมมุตตาญาณเป็นเครื่องชี้ชัด จะบอกความดีความชั่วของเราที่รับผลดีผลชั่วไว้
    “รวมความแล้วเราดีไม่พอ ที่เรายังต้องเกิด จงแสวงหาความไม่เกิดต่อ”
    การวัดระดับของการเกิดจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน คน เทวดา พรหม และไปให้ถึงนิพพานเป็นของดี แต่ไม่ใช่ว่า รู้จุดนี้แล้วจะอยู่เฉพาะจุดนั้นต้องศึกษาหาทางลงโทษตัวเองว่า “เราลงนรกขุมไหมบ้าง เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ” นี่จะต้องรู้ ไม่ใช่จะไปรู้แต่ดี ถ้ารู้แต่ดีไม่ช้าเราก็ต้องพลาดมาหาชั่ว ต้องไปรู้ชั่วของเราไว้ด้วยเป็นครู ไปนรกขุมไหนถามเขาด้วยว่า เราเคยมากี่ครั้ง แต่ละครั้งเราทำอะไรจึงมาลงนรกขุมนี้ จะได้ชี้จุดชั่วของตัวเราแล้วหลีกเลี่ยงกรรมชั่วนั้นเสีย
    การเกิดเป็นมนุษย์แต่ละคราว เราเกิดเป็นคนยากจนเพราะอะไรจึงจน ถ้าเกิดเป็นคนรวยเพราะทำอะไรจึงรวย ความสุข ความทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้สุขให้ทุกข์ นี่ใช้ยถากรรมมุตาญาณ ทำไมเราจึงเป็นภุมเทวดา เพราะอะไรจึงเป็นรุกขเทวดา และเป็นอากาศเทวดา เราทำยังไงจึงไปเป็นพรหม แล้วทำไมจึงลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ทวนไปทวนมาอย่างนี้
    “ชาตินี้ควรเป็นชาติสุดท้ายของลูก ถ้าไม่ทำอย่างนี้นะลูกรัก มองแต่ด้านเดียวด้านความดีเท่านั้น มันจะเผลอ ดีไม่ดีไปเสียจุดใดจุดหนึ่ง เราก็จะกลับมาเกิดเป็นคนอย่างนี้อีก พ่อขอแนะว่า สักกายทิฐิตัวเดียว ลูกรัก คือ อย่าสนใจในรูป รูปเราก็ดี รูปเขาก็ดี รูปวัตถุธาตุก็ดี ตัดกันเสียที เรื่องการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือพรหม เลิกกัน เราไม่ต้องการมันต่อไป เพราะว่ามันเป็นของไม่ดี เราไปนิพพานกันดีกว่านอนให้เป็นสุข”
    มาเลี้ยวเขาเรื่องของเราต่อไป เป็นอันว่า เมื่อพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอต้องเถลิงราชสมบัติตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี ท่านเป็นกษัตริย์แบบราษฎรธรรมดา ๆ พระราชาสมัยก่อน ยามปกติท่านก็เดินไป ดีไม่ดีก็ไปคนเดียว กลางค่ำกลางคืนไปเยี่ยมราษฎร และเวลาจะทำอะไรก็ต้องปรึกษาหารือกัน เขาเรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราช พระราชามีอำนาจแต่ผู้เดียว ความจริงนั่นเขาสมมติให้ เนื้อแท้จริง ๆ งานทุกอย่างต้องปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน ไม่มีพระราชาองค์ไหนจะมีมัน
    สมองทำคนเดียวไหว ต้องมีเสนาบดีมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต้องมีข้าราชการชั้นผู้น้อย สมัยนั้นเราปกครองกันในวงแคบแค่เชียงแสนลงมาไม่ถึงเชียงใหม่แค่กว๊านพะเยานี่เดินมาก็ไม่ยาก ขี่ช้างชี่ม้ามาก็ไม่ยาก ดังนั้น พระราชาจึงเข้าถึงประชาชนได้ง่ายเพราะอยู่ในวงแคบ มีแต่ความรักกันมีความสุข ไม่เคยเกิดสงคราม ไม่เคยคิดว่าใครเขาจะมาทำสงคราม
    สมัยนั้นเราอยู่กันแบบเงียบ ๆ เราไม่มีกองทหารใหญ่ มีแต่ทหารรักษาพระองค์ ซึ่งก็คือมหาดเล็ก หรือคนรับใช้เท่านั้นเอง ถ้ามีเรื่องราวเกิดโจรผู้ร้ายขึ้น และถ้าเจ้าของหมู่บ้านเขาไม่สามารถปราบได้ก็รายงานเข้ามาหมาดเล็กนี่แหละจะออกไปช่วยปราบโจรผู้ร้าย จะเรียกกองทหารก็ไม่เป็นกองทหาร
    เวลานั้นเจ้าขอมดำหรือเจ้ามอญหริภุญไชย แถวนั้นคือเชียงใหม่ ลำพูน หากินไม่ได้ดี ทำนาก็ไม่ได้ดีเท่าเชียงราย ซึ่งเชียงรายหรือโยนกนคร หรือเชียงแสนสมัยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุขมาก ทำมาหากินทุกอย่างดีมาก จะค้าขาย ทำพืชไร่ก็ดีมาก ทองคำมีมาก เจ้าขอมดำมันมีกำลังมาก เวลานั้นกำลังของเขากระจายไปทั่วประเทศไทย ปกครองสายใต้สุดถึงเลยเขตทวาราวดี นครปฐมลงไปอีก คนไทยเราอยู่เกลื่อนเวลานั้น แต่เขาไม่เรียกว่าไทย มาสมัยหลังเรียก ละว้า อยู่เป็นหย่อม ๆ ไม่มีกำลังจะเข้ามารวมตัวกัน จึงตกอยู่ในอำนาจของขอมโดยคิดว่าเขาจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา เขาให้เสียภาษีอากรเล็กน้อยก็ให้เขาไม่คิดจะเป็นบ้านเป็นเมือง
    พวกขอมดำนี่ไม่ใช่เขมร เป็นพวกที่ขาดเมตตา มีจิตคิดเห็นแก่ตัวอยู่ตลอดเวลา เขาส่งคนมาดูความอุดมสมบูรณ์ของโยนกนคร ส่งคนมาทำการค้าขายทุกจุด พร้อมกับดำเนินนโยบายการเมืองไปด้วย พวกนี้เป็นทหารของเราไม่ทราบ รัชกาลที่ ๖ ท่านตรัสไว้ว่า “ถ้ารักสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” เขามาสืบกำลังคนของเราว่ามีกำลังคนจริง ๆ ทั้งหมดแสนเศษนิด ๆ เขากลับไปก็เรียกระดมพลได้แสนหนึ่งยกทัพมาเท่า ๆ กับประชาชนของเราที่มีอยู่จริง ๆ ม้าเร็วของเราจากกว๊านพะเยารีบเข้ามาแจ้งข่าวว่าขอมดำยกทัพตรงมาโยนกนครแล้ว
    พระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์พระองค์เสวยราชสมบัติตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี มาจนกระทั่งขอมดำยกทัพมาก็ ๒ ปี ผ่านไปเท่านั้น เวลานั้นพระองค์อายุ ๒๐ ปี ท่านก็ปรึกษามุขอำมาตย์และประชาชน ยกเว้นเด็กและคนชรา ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายออกรบหมด ถึงคราวจำเป็นแล้วก็รบเพื่อชาติ รบเพื่อความเป็นอยู่ ประมวลกำลังแล้วเวลานั้นท่านบอกว่าได้กำลัง ๓ หมื่นคน เศษอาวุธยุทโธปกรณ์ของเราก็ไม่พร้อม เรามีกองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพพลเดินเท้า กองเสบียง แต่ก็ไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ก็ยกไปตั้งทัพรับเจ้าขอมดำที่ท้ายกว๊านพะเยา และเพื่อความไม่ประมาทพวกที่อยู่ในเมืองพระองค์สั่งให้ขนของมีค่าไปเก็บไว้ในถ้ำที่ต่าง ๆ ที่ดองตุงนี่ และสั่งพวกเด็ก ผู้หญิงทั้งหลายว่าถ้าไม่ไหวจริง ๆ ให้ถอยหลังไปอยู่ที่ ที่เวลานี้กองพล ๙๓ อยู่นั่น บางส่วนขยายไปทางแม่สายข้ามเขตแดนไปบ้าง กระจายกันอยู่ตามหุบเขา ตามถ้ำที่มีทางเขาได้ทางเดียว ถ้ากองทัพที่เรายกออกไปรับเขาสู้ไม่ได้ ก็จะถอยมาสู้กันเป็นจุดสุดท้ายตามด้วยกันที่นี่
    การรบคราวนั้นรู้สึกสงสารพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์ เพราะกองทัพของเราไม่ได้เตรียมฝึกไว้ก่อน เมื่อกองทัพต่อกองทัพปะทะกันสู้กันด้วยความสามารถ ขึ้นชื่อว่าไทยพร้อมที่จะสู้จนตัวตาย เพียงแต่ทัพหน้าของเขาก็เท่ากับกองทัพเราทั้งหมดที่ยกไป แต่เมื่อทัพหน้าเขาปะทะกับเราจริงๆ เขาก็แตกไม่เป็นขบวน นี่น้ำใจคนไทยนะลูกนะ เรื่องการรบกันก็ต้องตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่พอทัพหลวงของเขายกเข้ามา ปีกซ้าย ปีกขวาของเขาก็โอบเข้ามานี่เราสู้เขาไม่ได้ตอนนี้ตายฝ่ายต่างตาย เขาตายมากกว่าเรา เพราะเขามากกว่าเรามากนัก เพียงเขาใช้มือดันเราก็ต้านไม่ไหวแล้ว เพราะกำลังเราน้อยกว่าเขามากนัก ทัพไทยก็จำเป็นต้องถอยแตกกลุ่มออกเป็นกองโจร คอยโจมตีข้าศึก การทำแบบนี้ไม่ได้หวังชนะหวังการประวิงเวลาของข้าศึกไว้ แล้วก็ส่งม้าเร็วเข้ามาในเมือง สั่งขนของไปยังที่นัดหมายกันไว้
    สำหรับพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์มีกองทัพคุ้มกันอยู่ส่วนหนึ่ง เมื่อขนของแล้วจะสั่งเผาเมืองก็กลัวขนของไม่ทัน คิดว่าเราแพ้เขาแน่ เขาได้แต่อาคารตัวเมืองไป ของมีค่าขนไปไว้ดอยตุงนี่บ้าง แม่สายนี่บ้าง ข้ามฝั่งไปบ้าง ประชาชนก็หลบตามเชิงเขา ตามถ้ำบ้าง กองโจรตีประวิงเวลาขนของนี่ประมาณเดือนเศษจนกองทัพใกล้โยนกนคร พระเจ้าพังคราชจึงให้ชักธงขาวขึ้นแสดงว่ายอมแพ้ เจ้าขอมดำเห็นเรายอมแพ้เขาก็วางอาวุธ เข้ามาจับพระเจ้าพังคราชไปพิจารณาโทษ
    แต่ทว่ามีอำมาตย์ของขอมดำคนหนึ่งท่านบอกว่าชื่อ “พันจาม” เป็นแม่ทัพสำคัญ มีมันสมอง ได้กราบทูลเจ้านายเขาว่า พระเจ้าพังคราชนี่ไม่มีความผิด เพราะไม่ได้ยกไปตีเมืองเรา แต่เรายกมาตีเขา ถ้าจะฆ่าพระเจ้าพังคราชก็จะผิดความมุ่งหมายไปมาก เพราะเราต้องการพื้นที่ แต่การจะให้เป็นกษัตริย์ต่อไปนั้นเป็นไปไม่ได้ ควรจะส่งพระเจ้าพังคราชไปที่ “วังสีทอง” อยู่ทางแม่สายให้มีเนื้อที่ทำมาหากินประมาณแสนไร่ต้อนคนไทยทั้งหมดไปอยู่ในเขตนั้น นอกจากนั้น แผ่นดินทั้งหมดเป็นของขอมดำหรือมอญหริภุญไชย
    เราต้องแพ้สงครามคราวนั้น ลูกรักของพ่อ ลูกใช้ปุพเพนิวาสานุสติญาณซิลูกว่าตัวลูกอยู่ในสมัยนั้นด้วยหรือเปล่า ถ้าลูกใช้กำลังของทิพยจักขุญาณด้านปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือระลึกชาติเฉพาะชาตินั้น ลูกจะเห็นภาพการรบ เห็นภาพการต่อสู้ ภาพการตาย ภาพการร้องไห้ เพราะกองทัพเราแพ้สงคราม ถ้าลูกมองไม่เห็นให้ใช้อตีตังสญาณดูแถวอดีตว่าสภาวะเป็นยังไง พ่อจะเล่าไม่ละเอียด
    ตอนนั้นพระเจ้าพังคราชทำยังไงรู้ไหมลูก พระราชาต้องทรงไว้ซึ่ง ขัตติยะมานะ ท่านเป็นชายชาติทหารแท้ ๆ เขาสั่งประหารชีวิตแล้วถามท่านว่า กลัวตามไหม พระองค์ก็ตรัสว่า "ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของธรรมดา เราเป็นคนไทย เป็นผู้บังคับบัญชาเขา เราพร้อมที่จะตายเพื่อคนอื่น ขอให้เราผู้เป็นกษัตริย์ตายแทนคนอื่นก็แล้วกัน คนอื่นไม่ต้องตายเพราะความเป็นผู้แพ้นี่ถือว่าเป็นความผิด แต่ความจริงเราไม่ได้คิดจะไปรบกับท่าน ท่านยกทัพมาเราก็ต้องสู้ เมื่อสู้ไม่ได้เราเป็นแพ้ ท่านต้องการอะไรก็เป็นเรื่องของท่าน เราเป็นคนของท่านซะแล้ว หมายความว่า เรื่องที่คิดจะสู้ท่านน่ะมันไม่มี เมื่อสู้ไม่ได้เรายอมแพ้ก็ต้องแพ้อย่างมีระเบียบวินัย นี่วิสัยไทยแท้"
    พอพูดเท่านี้เล่นเจ้าขอมดำยิ้ม หน้าตาสดชื่น คิดว่าเป็นผู้ชนะแน่นอน ความใจอ่อนพร้อมกับ "พันจาม" แม่ทัพเขาห้ามปราบว่าไม่ควรฆ่าพระเจ้าพังคราช แต่ก็ควรใช้อำนาจของความเป็นผู้ชนะบังคับให้เราไปอยู่จุดใดจุดหนึ่งในฐานะผู้แพ้สงครามต้องส่งส่วยให้ขอมดำด้วย ปรากฏว่ามีคนของเขาคนหนึ่งค้านเรื่องส่งส่วยว่าในเมื่อเรายึดพื้นที่ ยึดเมืองแล้ว ทำไมต้องให้เขาส่งส่วยด้วย นี่ความจริงคนของเขาก็มีดีเหมือนกัน
    แต่เจ้าขอมดำนายใหญ่ ในใจของมันคิดว่า คนไทยไม่ควรจะมีอยู่ในพื้นที่นี่ มันอยากจะขับไล่ไปเสียแล้ว ไปให้ไกลจากแดนอุดมสมบูรณ์ที่เขาต้องการ จึงบอกว่าการส่งส่วยเป็นของดีควรส่งส่วยเป็นทองคำปีละ ๘๐ ชั่ง (๑ ชั่ง = ๘๐ บาท ๘๐ ชั่ง ก็เป็นทองคำหนัก ๖,๔๐๐ บาท)
    พระเจ้าพังคราชยืนฟังแล้วก็หนักใจ ว่าจะหาทองคำที่ไหนให้เขาได้ยังไงปีละตั้ง ๘๐ ชั่ง แต่มุขอำมาตย์ขอมคนหนึ่งเขาก็เสนอว่า ๘๐ ชั่ง มากเกินไปสำหรับคนไทยไม่ถึงแสนคนในเนื้อที่แสนไร่ไม่พอกัน ควรให้เป็นปีละ ๒๐ ชั่งก็พอ แล้วถามพระเจ้าพังคราชว่า ท่านจะหาทองคำให้เราได้ไหม พระเจ้าพังคราชก็ตอบว่า "เราเป็นผู้แพ้ก็เหมือนเป็นทาสรับใช้ของท่าน ท่านสั่งทำอะไรเราก็ต้องทำตาม"
    นี่ลูกรักของพ่อ ตอนนี้ขอมดำเห็นใจ แต่ความโหดร้ายมันก็มีมาก จึงส่งพระเข้าพังคราชไปอยู่ที่ "วังสีทอง" ให้ไล่ต้อนคนไทยไปอยู่ที่นั่น ความโหดร้ายของขอม ลูกเขาเมียใครถ้ามันต้องการเอาไปบำรุงบำเรอมันชั่วคราวหรือตลอดกาลต้องเป็นของเขา การใช้งานต่าง ๆ ถ้าไม่เป็นที่ถูกใจมัน มันอยากจะฟัง อยากจะแทง อยากจะตี จะฆ่า ต่าง ๆ นานา ก็ทำได้ เพราะเป็นนโยบายไม่ต้องการให้คนไทยมีอยู่ในภูมิภาคนั้น
    ตอนนี้ความเศร้าโศกโศกาดุลยภาพก็เกิดขึ้น นับตั้งแต่กองทัพเราแพ้เขาลูกรักเสียงระงมร้องไห้เซ็งแซ่ ตอนที่บรรดาขอมดำกวาดต้อนคนไทยจากเชียงแสนจากเชียงรายจากพะเยาไปรวมกลุ่มเดียวกันที่แม่สาย เขากั้นเขตให้อยู่เป็นจุดน้อย ๆ จะไปยุ่งอะไรนอกเขตไม่ได้ เพราะเป็นเขตของขอมเขาต้องการ พระเจ้าพังคราชถึงกับน้ำตาตกใน แต่อาศัยที่เป็นกษัตริย์มีขัตติยะมานะ ต้องมีความเข้มแข็ง ต้องต่อสู้ด้วยความอดทน จะเหนื่อยจะยากเพียงใดก็ต้องพร้อมทุกอย่างที่จะยอมรับ พระองค์ก็สร้างวังพิเศษคือบ้านไม้ธรรมดาอยู่
    เจ้าขอมดำเข้าเมืองโยนกนครแล้วหาทรัพย์สินมีค่าไม่ได้ มันจึงถามว่า เมืองไทยนี่ไม่มีทรัพย์สินเลยรึ ทองแท่ง เพชรนิลจินดา ก็ตอบเขาไปว่าเมืองไทยไม่ได้เตรียมรบอยู่กันอย่างพ่อแม่ปกครองลูก ทรัพย์สินในท้องพระคลังจึงไม่มี เราทำมาหากินร่วมกันแบ่งปันกันเฉย ๆ แต่ความจริงขนไปหมดแล้ว
    เวลาผ่านไป พระมเหสีของพระเจ้าพังคราชก็ทรงพระครรภ์และคลอดพระราชโอรสให้นามว่า "ทุกภิกขะ" แปลว่าเกิดมาในท่ามกลางความทุกข์ ตลอดเวลาที่อยู่วังสีทองพระเจ้าพังคราชไม่ได้ทรงเครื่องแบบกษัตริย์เลย ทรงแต่งองค์แบบธรรมดา นุ่งกางเกงดำขา ๓ ส่วน ใส่เสื้อแขน
     
  8. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    กระบอกสีดำ แบบชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่บรรดาลูก ๆ เห็นแล้ว สรุปแล้วคนไทยต้องเป็นผู้แพ้สงครามเพราะ ๑.ไม่พร้อม ๒.บางครั้งมีคนขายชาติซึ่งเราต้องทำลายคนประเภทนี้ให้หมดไป ถ้าต้องการให้ไทยเป็นไทต่อไป
    ลูกรักทั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนคนไทยเศร้า ขณะที่ลูกกำลังนั่งฟังพ่อพูดอยู่นี่จงใช้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และอตีตังสญาณ คือรู้ถอยหลังไปในเรื่องเก่า ๆ และปุพเพนิวาสานุสติญาณรู้ถอยหลังชาติของตนเองไปด้วย แต่ถ้าลูกไม่ถนัดการใช้ญาณแบบนี้ก็ให้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือทูลถามท่านปู่ ท่านย่า หรือท่านแม่ ขอดูภาพในเวลานั้นว่าพวกเราที่นั่งฟังกันอยู่นี้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วยหรือเปล่า อันนี้ลูกต้องคิดว่า
    "ชีวิตของคนทุกคน ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ภาวะของโลกทั้งหมดไม่มีความหมาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย เกิดแต่ละคราวเต็มไปด้วยความทุกข์ จงวางภาระอันนี้เสีย" "จิตของลูกอย่าร่าเริงในกามารมณ์ อย่าร่าเริงในโทสะ อย่าร่าเริงในความหลง ตั้งจิตตรงเฉพาะพระนิพพาน" ที่พ่อนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อให้บรรดาลูกทุกคนมีความรู้สึกว่า "การเกิดแต่ละคราวมันมีแต่ความทุกข์"
    เรามาคุยกันต่อไปถึงเรื่องพระเจ้าพังคราช ในฐานะที่ตกเป็นเชลยศึก ลูกรัก เราไม่ได้ไปรบเขา อยู่ดี ๆ เขาก็มาตีเมืองเรา แล้วจับแม่ทัพนายกองทั้งหมด เราเป็นผู้แพ้ต้องยอมจำนน ลูกบางคนที่กำลังฟังพ่ออยู่คิดว่า "ทำไมคนไทยจึงไม่ยอมตายทั้งชาติเสียก็หมดเรื่อง" ลูกรัก ถ้าคิดอย่างนั้นก็ถือว่า "โง่เกินไป" ถ้าเราจะตายกันทั้งชาติน่ะตายได้ แต่เขาก็ครองเมืองเราสบาย การตัดสินใจคราวนั้น บรรดามุขมนตรีและนักรบทั้งหลายได้ประชุมกันโดยมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นหัวหน้า นี่เขาเป็นประชาธิปไตย เมื่อยามประชาชนลำบาก เช่น ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล เขาก็ขอให้พระราชาและพระเมหสีรักษาอุโบสถศีล หรือเมื่อข้าราชการบางคนทำไม่ดี ประชาชนก็มาประชุมกันที่พระลานหลวง ถวายฎีกา พระราชาก็รับไปชี้แจงเหตุผลเขาก็เข้าใจ เขาไม่ใช่มาเวิกว้าก ๆ แบบไฮปาร์คสนามหลวง พูดเอาเรื่องเอาราวไม่ได้ คนที่เชื่อก็แสดงว่าไร้ปัญญา
    เมื่อพระเจ้าพังคราชกับบรรดาแม่ทัพนายกองถูกโจรปล้นเมือง ลูกรัก การไปอยู่วังสีทองเลยสันทรายไปทางแม่สายก็พอหากินได้แต่มีความลำบากเพราะเนื้อที่จำกัด เป็นภูเขาลำเนาไม้เสียก็มาก และต้องหาทองคำแท่งส่งส่วยขอมดำปีละ ๒๐ ชั่งอีก ประการสำคัญคนไทยต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของขอมดำทุกอย่าง ขอมต้องการอะไร คนไทยทุกคนต้องหาให้ ใครจะมีลูกเมีย ผัวใครก็ตามถ้าขอมต้องการ ไทยต้องให้ ทรัพย์สินของคนไทยทุกคนที่มีอยู่เป็นส่วนตัวถ้าขอมต้องการไทยต้องให้ ถ้าขอมไปทำอันตรายของคนไทยมีเรื่องราวเกิดขึ้น ขอมต้องไม่มีความผิด และคนไทยเท่านั้นที่จะต้องมีความผิด นี่เป็นกฎหมายของขอม
    รวมความว่าสภาวะของคนไทยเวลานั้นตกอยู่ในความเป็นทาส ถ้าเราจะดูสมัยนี้ก็ดูลาว เขมร ตกเป็นทาสญวน ทรัพย์สินของคนทุกคนเป็นของรัฐ แม้ว่าไก่ตาย ๑ ตัวต้องแจ้งหัวหน้าหน่วย เขาอนุญาตให้กินจึงกินได้ ถ้าหัวหน้าเขาไม่อนุญาตก็ต้องนำไก่ไปให้เขาอาหารการกินเขาแจกให้ พอหรือไม่พอ อิ่มหรือไม่อิ่ม ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกา ก็ต้องพอเพราะเขาให้เท่านั้น ห้ามพูด ห้ามคัด
    ค้น จะแต่งตัวตามความต้องการไม่ได้ เสื้อผ้าเขาแจกให้เขมรที่หนี้เข้ามาบอกว่า ๓ ปีแล้วเขาแจกให้ชุดเดียว ลาวที่หนีเข้ามาบอกว่า เขาให้ข้าวเหนียววันละ ๑ ปั้นกับเกลือป่นแต่ต้องทำงาน ๘ ชั่วโมง
    เช้าก่อนทำงานต้องเข้าแถวรับการอบรม เย็นเลิกงานแล้วยังพักผ่อนไม่ได้ต้องเข้ารับการอบรมอีก การอบรมนี่ทุกคนต้องฟังเขาอย่างเดียว ถ้าใครลุกขึ้นคัดค้านเขาจะไม่ว่า แต่หลังจากอบรมจะมีคนมาถามว่า ทำไมจึงไม่เห็นด้วย คนนั้นเขาอธิบายว่าตามปกติควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็ตอบว่าคุณยังไม่เข้าใจ แล้วก็เชิญไปรับการอบรมใหม่แล้วก็หายสาบสูญไปเลย เป็นปุ๋ยไปคือตาย
    เห็นไหมลูก สมัยโน้นกับสมัยนี้ไม่ต่างกัน สมัยที่เราแพ้ขอมตกเป็นทาสขอม กับสมัยนี้ที่ลาวแพ้ญวน เขมรแพ้ญวนมีสภาพไม่ต่างกัน นี่เรายังจะยังเป็นผู้แพ้อยู่ต่อไปหรือยังไง ตอนนี้เราไม่มีที่ไป สมัยพระเจ้าพังคราชป่าเยอะ ขายออกไปได้มาก
    เป็นอันว่าพระเจ้าพังคราชก็ดี แม่ทัพนายกองก็ดี ต้องยอมให้ขอมดำปลดอาวุธมีสภาพเหมือนตุ๊กตา หลังจากนั้นต้องพยายามกวาดต้อนคนไทยทิ้งบ้าน ทิ้งเมืองไปอยู่แดนกันดารในวงแคบ ตอนนี้แหละลูกหลานที่รัก จงใช้อำนาจของปุพเพนิวาสานุสติญาณถอยหลังชาติของลูก หรือใช้อตีตังสญาณร่วมกัน แต่ถ้าไม่ถนัดก็ขอเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์คือพระพุทธเจ้า กราบทูลถามขอดูภาพในสมัยนั้น ว่า เราทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่อยู่ร่วมในที่นั้นด้วยหรือเปล่า ถ้าไม่ได้อยู่ร่วมก็ขอเห็นภาพเวลานั้นเป็นอตีตังสญาณ
    ภาพความโศก ความเศร้ามันหาอะไรดีไม่ได้เลย มันมีแต่ความระทม เสียงระงมไปด้วยความร่ำไห้ ส่วนหนึ่งของคนไทยที่ขนของไปเก็บไว้ที่ดอยตุงที่เรานั่งกันอยู่ที่นี่ เก็บตามถ้ำซอกซอย สุมทุมพุ่มไม้ และแถวกองพล ๙๓ อยู่เวลานี้ จุดนี้เรายึดสู้เป็นจุดสุดท้ายคิดว่าขอมบุกเข้ามาเมื่อไร เราสู้ตาย ในเมื่อเรายอมแพ้เขาแล้ว เขายังตามมา ก็แสดงว่าเขาจะสังหารเราทั้งชาติ เขาต้องการครอบครองที่เดินเรา เขาไม่ต้องการคน มีเสียงระงมร่ำไห้เสียดายทรัพย์สินที่ยังขนไปไม่ได้ ก่อนขอมจะเข้าเมืองเขาส่งคนไปบังคับขับไสคนไทยไล่ให้ไปอยู่ในเขตที่เขากำหนดไว้ มีสันทรายเป็นแดนกั้น เลยขึ้นไปเป็นของไทย ตั้งแต่แม่น้ำโขง เลยมาถึงแม่น้ำกก นี่เป็นที่ที่ไทยอยู่ นอกนั้นเป็นของขอม ข้าว ปลา นาเกลือ บ้านช่อง ทรัพย์สินทั้งหมด ขอมบอกว่า ไม่ต้องเอาไป ให้ไปแต่ตัวกับผ้าเก่า ๆ ห่อหนึ่ง
    ลูกหลานที่รัก ฟังแล้วเศร้าไหมลูก ความเป็นผู้แพ้ของคนไทยคราวนี้ ลูกจะคิดว่าพระเจ้าพังคราช ประมาทหรือไม่ที่ไม่เตรียมการรบ ก็อย่าลืมว่า ทุกคนนับถือพระพุทธศาสนา มีศีล มีเมตตา มีสังคหวัตถุซึ่งกันและกัน แต่เราก็ต้องย่อยยับถึงเพียงนี้นั้นเราจะโทษใคร โทษพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ เพราะพุทธศาสนาสอนให้คนอยู่ด้วยกันด้วยความสุข แต่ความทุกข์มันมาจากที่อื่น เราอยู่เป็นสุขมาตั้ง ๓๗ รัชกาล พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" หมายความว่าในขณะที่เราประพฤติธรรมเราก็ไม่ประมาท เวลาปกครองชาติเราก็ไม่ประมาท
    ความจริงสมัยนั้นเราประมาทไปนิดหนึ่งว่า ความจริงพวกขอมดำก็มีพระพุทธศาสนาสอนในเขตเขาอยู่แล้ว เขาก็พยายามก่อสร้างเจดีย์หรืออะไรก็ตามขึ้นมาเสริมบารมี ในเขตลำพูนหรือหริ
    ภุญไชย และที่จอมทอง เชียงใหม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคยเสด็จที่จอมทองมาก่อนแล้วทรงสั่งพระมหากัจจายนะมาประกาศพุทธศาสนา เราถือธรรม คิดว่าเขาจะถือธรรม รวมความว่าใจเขาถือสากปากเขาถือศีล
    เอาละลูก ตอนนี้ก็มีแต่เสียบระเบ็งเซ็งแซ่เสียดายทรัพย์สิน บ้านเรือนแต่ละหลังกว่าจะปลูกขึ้นมาได้ก็ต้องใช้กำลังงาน กำลังเงินมาก ทรัพย์สิน วัว ควาย ขอมบอกไม่ต้องเอาไป แต่ก็มีอยู่บ้างบางส่วนที่เราไล่วัวควายของเราไปไว้บ้างแล้ว รวมความว่าคนไทยทุกคนต้องเดินน้ำตาร่วง ก่อนคนไทยจะไป ขอมใช้ทำอะไรก็ต้องทำทุกอย่าง ถ้าไม่เป็นไปตามใจขอม เขาก็เฆี่ยน เราก็เตะ เขาก็กระทืบ เขาจะฟาดฟันทำให้เป็นแผล หรือฆ่าให้ตาย ยังไงก็ทำได้ เพราะเขาต้องการให้ไทยไปพ้นจากเขตนี้ นี่เป็นน้ำใจของขอม ในเมื่อเราเป็นทาสเขาก็ไม่มีอะไรดี ความเมตตาปรานีของคนที่เป็นนายไม่มีในเรา ลูกเขาเมียใคร ถ้าขอมต้องการต้องได้
    ดูตัวอย่างลาวแพ้ญวน หญิงสาวของลาวตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี ขึ้นไป ทุกคนต้องไปนอนสามัคคีกับทหารญวน ถ้าหากผู้ใหญ่ญวนต้องการ เขาเรียกว่าไปนอนส่องแสงหรือนอนแสงสว่าง ก็รวมความว่า เขาเอาไปทำปู้หย้ำปู้ยีเอาตามใจ แต่ไอ้ศัพท์ที่ใช้มันคนละเรื่อง เขาเลือกใช้ศัพท์เรียกดี แต่แท้จริงก็คือผู้หญิงลาวเป็นช้อคการีนั่นเอง มันช้ำใจไหมลูก ผู้หญิงน่ะมีหัวใจหรือเปล่า มีความต้องการในความรักตามที่ตนปรารถนาหรือเปล่า หรือว่าใครก็ได้ ความจริงผู้หญิงทุกคนมีหัวใจมีความปรารถนาตามน้ำใจของตนเอง
    เป็นอันว่า สภาพของคนไทยตอนนี้ต้องอุ้มลูกจูงหลานหอบหิ้วกันไป เดินไปนะ ยานพาหนะขอมก็ไม่ให้ใช้ มันยึดเอาไว้หมด ชักช้าประวิงเวลาเพราะเสียดายทรัพย์สินก็ไม่ได้ เพราะหวายในมือขอม มีด อาวุธในมือขอม จะถูกต้องร่างกายคนไทยขวับทันที เมื่อไปถึงที่แล้ว ก็ช่วยกันปลูกบ้านธรรมดา ๆ ให้พระเจ้าพังคราชอยู่ เพราะเขายังมีความเคารพพระองค์อยู่แบบชาวบ้านธรรมดา ๆ
    การอพยพไปเวลานั้นเป็นกลุ่ม ก็สร้างบ้านไม่ทันซีลูกเอ๋ย ก็ต้องกวาดบริเวณพื้นที่ดินตามโคนต้นไม้ แล้วก็ใช้เป็นที่นอนกัน อาหารการกินมีจำกัดคือจำกัดไม่พอ ต้องหุงข้าวด้วยกะทะใบใหญ่ ขุดหัวเผือกหัวมันมาต้มกินกัน เพราะไม่มีข้าวกิน ความยากลำบากมันสาหัสถึงเพียงนี้ แล้วเจ้าขอมดำอัปรีย์มันยังมารบกวนต่าง ๆ นานาอีก ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความเป็นทาส บางคราว ๔-๕ วัน ข้าวตกถึงท้องสักเมล็ดก็ไม่มี เพราะว่ามันไม่มีจะกิน ข้าวที่ขนไปก่อนก็น้อย เอามากินไม่พอ ก็พยายามทำทุกอย่าง ที่ไหนมีหนองน้ำ พยายามทำข้าวใกล้ ๆ วัวควายไม่พอก็ใช้ไม้กระทุ้งลงไป เอาเมล็ดข้าวหยอดลงไปเรียกว่า ข้าวหยอด โพงน้ำขึ้นมาจากสระ จากบ่อ ให้ต้นข้าวได้อาศัยเรียกว่า ข้าวพันธุ์เบา ๓ เดือน ออกรวงได้กิน แต่ก็ยังไม่พอกันกิน
    นอกจากนั้น ยังมีงานหนักคือหาที่ร่อนทองคำ แม้แต่พระเจ้าพังคราชเองก็ต้องเสด็จร่อนทองเหมือนกัน พยายามหาทองให้เขาให้ได้ปีละ ๒๐ ชั่ง ลูกหลานที่รัก มันไม่น้อยเลย ๒๐ ชั่ง นะ ไม่ใช่ ๒๐ บาท แต่ว่าคนไทยในสมัยนั้นฉลาดในการหาทอง ดูพื้นดินที่มีสีอรุณจะเป็นดินแข็ง
    ดินร่วนก็ตาม (ดินสีอรุณมี ๒ อย่าง แบบขุยปู กับแบบดินร่วน ดินแบบขุยปูนี่ไม่มีทองคำ แบบดินร่วนจึงมี) ดินสีอรุณดำมีเกล็ดอะไรระยิบระยับหน่อย ๆ เป็นเครื่องสังเกต และอีกประการหนึ่ง ถ้าทองคำมีที่ไหนดินตรงนั้นมีความอุ่นกว่าดินธรรมดานี่ท่านบอกมายั้งงี้ พ่อก็พูดตามท่าน
    การร่อนทองนี้พระเจ้าพังคราชเสด็จร่อนเอง บรรดาข้าราชบริพารก็ร่อนทองกันหมด บางคนที่มีความเคารพในพระเจ้าพังคราชก็เข้าไปกราบ แล้วทูลว่า "พระพ่อเจ้าอย่าทำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาระของลูก" ท่านก็บอกว่า เวลานี้เราทุกคนอยู่ในความลำบาก อยู่ในความทุกข์ยาก จะให้ท่านปลีกตัวไปแต่ผู้เดียว นั่งคอยรับรายงาน อันนี้เป็นไปไม่ได้ เวลานี้เรารับทุกข์ร่วมกัน การกินการอยู่ก็เหมือนกัน พระองค์มีอะไรกินคนอื่นก็มีด้วย กินหัวเผือกหัวมันก็กินด้วยกัน มีแกงมีกับก็ต้องมีเหมือนกัน บางทีพระองค์มีกับข้าวดี ๆ ก็เอาไปให้ราษฎรกิน พระองค์ก็ไปกินหัวเผือกหัวมัน กินพริกเผาที่ไม่มีกะปิ กับผักหญ้าธรรมดา พระองค์ตรัสว่า กินเท่านี้ก็อิ่ม ขอให้ทุกคนอิ่มก็แล้วกัน ท่านอิ่ม ถ้าทุกคนมีความสุขท่านก็มีความสุข ถ้าทุกคนมีความทุกข์ ท่านจะสุขไม่ได้
    ลูกรักของพ่อ ฟังเรื่องที่เล่ามารู้สึกยังไงบ้างลูก ขึ้นชื่อว่าความเกิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกะปริเทวทุกขโทมนัส สุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์" นี่มันทุกข์สำหรับเรา
    แต่ทุกข์ในสมัยนั้น ลูกรัก ทุกข์จากพ่อตาย พี่ตาย ลูกตาย ผัวตายในการทำสงคราม ความตายเกิดขึ้นแต่ละคนก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เห็นไหมลูก พ่อตายคนเดียวร้องไห้ไปตั้งหลายวัน แม่ตายคนหนึ่งร้องไห้กันไปตั้งหลายวัน เวลานั้นเรายกกองทัพไป ๓ หมื่นคนเศษ เราเสียกำลังคนไป ๒ พันคนเศษ ประเพณีคนไทย คนตายแล้วต้องทำศพนิมนต์พระมาสวด แต่เวลานั้นเราไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้ได้ ความเศร้าโศกเสียใจที่คนไทยต้องตายหรือบาดเจ็บมันมีอยู่แล้ว แถมยังเจ็บใจหนักไปกว่านั้น ขอมมันไล่ที่ ลูกหลานที่รัก มันบังคับให้เราไปอยู่ที่ไหนก็ต้องไปที่นั่น ความเป็นผู้แพ้มันเป็นอย่างนี้นะ ขอลูกรักจงจำไว้ว่าไทยเราต้องไม่เป็นผู้แพ้ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วพ่อจะพูดให้ฟังว่าการเป็นผู้ไม่แพ้มันจะมีสำหรับเรา
    นี่เราแพ้เพราะอะไร เราแพ้เพราะเราไม่พร้อมในการเตรียมรบ แต่เราจะโทษใครเล่า เรามีความสุข เราเชื่อพระพุทธศาสนา เรามีความสามัคคี ๓๗ รัชกาลไม่เคยมีปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีใครบ้า ๆ บอ ๆ แสดงความวิเศษอวดตัวว่าถ้าฉันทำจะดีอย่างนั้น ถ้าฉันทำจะดีอย่างนี้ และสมัยก่อนไม่มีการเปลี่ยนผลัดรัฐบาลบ่อย ๆ
    การเปลี่ยนผลัดรัฐบาลบ่อย ๆ การเลือกผู้แทนบ่อย ๆ ลูกหลานที่รัก ภาษีอากรที่เราต้องเสียไปเพราะการเลือกผู้แทนราษฎรครั้งละหลายร้อยล้านบาท และเงินหลายร้อยล้านบาท นี่ถ้าเราจะนำมาใช้ในแง่เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติมันก็ดี แต่การเลือกผู้แทนเข้ามา ถาได้คนดีมันก็ดี แต่ส่วนมากพ่ออยากจะคิดว่าผู้แทนรษาฎรควรจะมีประวัติผ่านการงานมาแล้ว ดูประวัติส่วนตัวเขาว่า
    เคยโกงเคยกินมาบ้างหรือเปล่า เคยอู้งานมาบ้างรึเปล่า บางทีเคยขึ้นไปบนสำนักงานที่ว่าการอำเภอ ที่ว่าการจังหวัด เวลาข้าราชการมาทำงาน ๘ โมงครึ่ง นี่ ๑๐ โมงครึ่งคนยังมาไม่ครบ ที่มาแล้วก็ไม่สนใจงาน สนใจสรวลเสเฮฮาคนประเภทนี้เขามีไว้ทำไม นี่เขาช่วยกันทำลายชาติ นี่ต้องดูประวัติงานประเภทนี้ ถ้าไม่ดีเราก็ไม่เลือก
    การเลือกเข้าไปบางทีเอาใครต่อใครเข้าไปก็ไม่ทราบ เราก็ยังต้องเสียเงินจ้างเขาอีก ไปนั่งถ่วงเวลางาน แทนที่จะก้าวหน้าไปได้ก็ไม่ไปไม่ได้ ถ่วงกันไปถ่วงกันมา ให้เวลา ๑๕ นาที พูดไม่เป็นเรื่องแต่อยากพูด จ้างให้เขาไปถ่วงความเจริญของชาติ คนที่เป็นรัฐบาลก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าดีทุกคนและก็ไม่ใช่ว่าเลวทุกคน การเลือกบ่อย ๆ มันก็เหมือนฝูงเหลือบหิว เหลือบฝูงก่อนกินจนอิ่มแล้สมันก็เกาะเฉย ๆ เหมือนเรื่องในสุภาษิต คนที่บริหารประเทศก็เหมือนกัน พ่อเห็นว่าเป็นพวกที่มีสภาพเหลือบนี่มาก
    แต่ทว่าคนชั่วก็มี คนดีก็มากนะลูกนะ เราสังเกตดูก็แล้วกันว่า ก่อนที่เขาจะเป็นผู้แทน ก่อนเป็นรัฐมนตรีน่ะเขามีฐานะแบบไหน พอเป็นผู้แทนเป็นรัฐมนตรีแล้ว เขามีฐานะแบบไหน มันดีขึ้นไหม ถ้าใครดีขึ้นกว่าเก่าคนนั้นเลิกคบ มันต้องแค่เก่านั่นแหละ ถ้าฐานะมันดีขึ้นกว่าเก่านั่นเขาโกงกินกัน เป็นอันว่า ๑. เงินเดือนเราก็ต้องให้เขา ๒. ค่าพาหนะต่าง ๆ นี่เขาไม่ต้องเสีย เราก็ต้องให้เขา ๓. มีอภิสิทธิ์ ๔. ยกมือมีค่านิ้วมือ ๕. ก่อกวนความเจริญของชาติ ๖. ถ่วงความเจริญของชาติ ๗. ทำลายชาติ และยังมีอีกหลาย ๆ อย่างสังเกตเอาก็แล้วกัน ใจพ่อน่ะไม่อยากให้มีผู้แทนนะ แต่ถ้ามีผู้แทนเป็นคนดีอยากให้มี
    แต่ถ้าเป็นผู้แทนเลวประเภทนั้นละก็เอาเงินจำนวนที่จ้างเขามาบำรุงประเทศชาติดีกว่า ถนนหนทางที่ไหนไม่ดี ชลประทานที่ไหนไม่ดี เอาเงินนั้นมาทำ เงินที่เราจ่ายไปนี่เป็นหมื่น ๆ ล้านนะ ทั้งเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เงินกิน ทั้งโกงทั้งกินน่ะ เราต้องเสียไปเป็นหมื่น ๆ ล้านบาท เอามาบำรุงเศรษฐกิจของชาติดีกว่า
    มาว่าถึงความยากลำบากของคนไทยสมัยนั้น จะทำศพคนตายก็ทำไม่ได้ ความเศร้าใจที่เกิดขึ้น ใช้อตีตังสญาณนะลูกรัก และก็ใช้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือลูกจะทำง่าย ๆ เอาจิตจับพระนิพพาน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูว่า พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ในสมัยนั้นไปนั่งร้องไห้กับเขาด้วยหรือเปล่า จับดาบเพื่อการรบหรือเปล่า ต้องถูกขอมดำข่มเหงทำอันตรายหรือเปล่า แล้วจำไว้ว่า ผู้แพ้ไม่ใช่ของดี
    ตอนนี้พระเจ้าพังคราชไม่เคยแต่งตัวเป็นกษัตริย์ เคยแต่นุ่งกางเกงดำอย่างเดียวบางครั้งก็ใส่เสื้อ บางครั้งก็ไม่มีเสื้อ แต่ความจริงรูปร่างท่านสวยสดงดงามมาก ผิวพรรณดีลงร่อนทองคำกับเขา และทำทุกอย่าง เช้าขึ้นตื่นแต่เช้าในฐานะผู้นำช่วยกันร่อนทองได้ ๒๐ ชั่ง ก็เก็บไว้ส่งส่วยขอม ต่อไปก็ร่อนเพื่อขายเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชน เมื่อทุกคนได้ทองมาแล้วก็มารวมที่พระราชา ท่านก็ขายทองเหล่านั้นเอาเงินซื้อของมาแบ่งปันกันกินการแบ่งปันก็เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
     
  9. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ตั้งหัวหมู่นายกองที่ดี ที่มีความยุติธรรมให้มารับส่วนแบ่งปันไปแบ่งกัน แต่ทว่าตอนนั้นก็ยังมีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง
    ตอนนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมศาสตร์ คือว่าท่านท้าวโกสีสักกะเทวราช คือพระอินทร์ ทนดูดีต้องรับความลำบากไม่ไหว ที่คนไทยมีความเคารพในพระพุทธศาสนาต้องมาลำบาก ตอนนี้ลูกกราบทูลถามพระองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อย่าใช้ญาณส่วนตัวมันจะผิด ขอดูภาพ ท้าวโกสีสักกะเทวราชมองดูความลำบากของพระเจ้าพังคราชมาประมาณ ๔ เดือน คือว่ามันเป็นกฎของกรรมอย่างหนึ่ง ในสมัยก่อนอดีตชาติท่านเคยทำให้เขาพลัดพรากจากกัน ชาติไหนก็ไม่ทราบ กรรมมันตามทัน และคนไทยพวกนี้ก็อาศัยกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าปลาตัวหนึ่งก็อย่าลืมว่า ปลามันก็มีผัวมีเมียมีพ่อมีแม่ โทษจากการทำลายชีวิตเขา
    การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ พลัดพ่อพลัดแม่มันก็เป็นกรรมตามสนองส่วนหนึ่ง ที่ต้องเสียทรัพย์สินไปก็เพราะโทษทำอทินนาทาน การลักการขโมย การยื้อแย่งทรัพย์สินบุคคลอื่นเขา ที่ต้องเสียผัว เสียเมียให้แก่ขอมเพราะโทษกาเมสุมิฉาจาร และที่เราขอร้องให้ขอมเมตตาเราว่าจะเป็นทาสก็ไม่ว่าขออยู่ที่เดิม ขอมก็ไม่ยอม นี่เป็นโทษมุสาวาท บางคนถึงกลับคลุ้มคลั่งไปบ้างถึงกับเสียอกเสียใจเพราะผัวตาย ลูกตายในสนามรบก็เป็นโทษของการดื่มสุราและเมรัย เป็นอันว่ากรรมเก่าทั้งหลายเหล่านี้มันมาสนอง แต่ความดีก็มีอยู่มาก
    ฉะนั้นท้าวโกสีสักกะเทวราชคือพระอินทร์ เห็นพระเจ้าพังคราชกับบรรดาประชาชนชาวไทยอดอยากมานาน เพราะกรรมเก่ามันลงโทษ และเห็นว่าบุคคลคณะนี้แม้ว่าจะเป็นทาสเขา เขาจะไล่เขาจะดี แต่การไหว้พระ การภาวนา การเจริญพระกรรมฐานยังคงเป็นไปตามปกติ และทุกคนยังมีจิตเผื่อแผ่สงเคราะห์กันในด้านสังคหวัตถุ คือมีอะไรก็ให้กันมีวาจาไพเราะเป็นที่รักซึ่งกันและกัน ช่วยกันทำงานทุกอย่าง ไม่ถือตัวถือตน คนดีอย่างพระเจ้าพังคราช หรืออำมาตย์ราชวงศ์ต่าง ๆ ไม่ถือตัวว่าเป็นจ้าว ทำตนเสมอกัน แต่งตัวเสมอกัน ไม่มีใครดีใครเด่นกว่ากัน ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ปันส่วนกัน รวบรวมกำลังกัน ไม่อิจฉาริษยาซึ่งกันและกันทั้งหมด
    เห็นไหม เขาดี คนมีศีล มีธรรม และกรรมเก่าที่ให้ผลสลายตัวไปแล้ว ก็ทำให้พระอินทร์ทรงทราบว่า เวลานี้พระเจ้าพังคราช และคนไทยที่เป็นนักบุญกำลังลำบากมาก จึงแปลงกายเป็นเด็กน้อยอายุประมาณ ๑๒ ปี ออกมาจากป่าใช้ใบไม้นุ่งเป็นผ้าเป็นเสื้อแทน ทำเงอะงะเซอะซะเข้าไปหาพระเจ้าพังคราช ทีแรกบรรดาประชาชนทั้งหลายเขากันไว้ แต่พระเจ้าพังคราชบอกอย่ากัน จะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม เราถือว่าเป็นคนเหมือนกัน เราจะต้องอยู่ร่วมกันได้
    พอเด็กนั้นเข้ามาหาพระเจ้าพังคราชแล้วก็แนะนำว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]แร่เพรียงไฟ มีอยู่ตรงโน้น ในป่าลึกเลยกว๊านพะเยาไปนิดหน่อย อยู่บนยอดเขา ดีบุก มีอยู่ที่นั่น แร่ทองแดงอยู่ตรงนี้ สารปากนกแก้ว มีอยู่ที่นั่น[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]แล้วเด็กคนนั้นก็พาไปดู ให้ขุดลงไป พบแล้วก็ชี้ว่า นี่เขาเรียกแร่เพรียงไฟ อันนี้เรียกดีบุก นี่เรียกทองแดง นี่เรียกสารปากนกแก้ว เอาส่วนต่าง ๆ มาผสมกัน
    สารปากนกแก้วใช้ ๑ ใน ๔ ของแร่เพรียงไฟ ดีบุก แร่ทองแดงซึ่งใช้อย่างละเท่า ๆ กัน หลอมในเตาธรรมดา ๆ หลอมให้ดู ทำอุปกรณ์แบบย่อม ๆ ให้ดูว่าทำแบบนี้ หลอมแบบนี้เมื่อหลอมแร่เพรียงไฟ ดีบุก แร่ทองแดง อย่างละเท่า ๆ กันดีแล้ว ก็เอาสารปากนกแก้ว ๑ ใน ๔ ของแต่ละอย่างใส่ลงไป ได้เป็นทองคำ ๑๐๐[FONT=Cordia New,Cordia New]% [/FONT]เด็กนั้นทำให้ดู ทุกคนยิ้มหน้าใส ตั้งกะทะใบใหญ่ ๆ เป็นกลุ่ม ๆ ทำกันมาก ๆ ตามโคนต้นไม้ แต่ว่าเด็กน้อยนั้นบอกว่า ต้องไปทำตามถ้ำตามป่าหลบไปทำ อย่าให้ขอมดำมันเห็นเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเสียผล ทุกคนก็ปฏิบัติตามนั้น
    คราวนี้ทองคำอุ่นหนาฝาคั่ง ทองคำ ๒๐ ชั่ง ทำเสร็จภายใน ๑ เดือน นอกนั้นเอาไปขาย เดินไปขายกันยันประเทศอินเดียโน่น สายใต้ก็เดินไปขาย เป็นอันว่าความอุดมสมบูรณ์เกิดขึ้นสำหรับคนไทย เพราะอาศัยความดีที่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เพราะเด็กคนนั้นบอกว่า ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์จึงจะทำทองได้ พวกร่อนก็ร่อนไป พวกทำก็ทำไป ทั้งผู้หญิงผู้ชาย
    เมื่อมีทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์แล้วก็เริ่มปลูกบ้าน พวกทำทองก็ทำไป ปลูกบ้านอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ มีหัวหน้ากลุ่มที่เรียกว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สำหรับพระเจ้าพังคราชประชาชนเขาก็บังคับว่า ให้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ห้ามไปยุ่งกับงานของชาวบ้าน พระองค์ก็บอกว่า ท่านทั้งหลาย เราจนด้วยกัน เราลำบากด้วยกัน ทำไมมากีดกันแบบนี้ แต่เอาละเมื่อทุกคนต้องการให้ฉันเป็นกษัตริย์ ฉันก็จะเป็น แต่ต้องเป็นกษัตริย์แบบพ่อคน พี่คนหรือน้องคน ไม่ใช่กษัตริย์แบบนายคน เอาเปรียบคน อันนี้ไม่เป็น และต้องมีอิสระไปไหนไปได้ ช่วยทำอะไรก็ช่วยได้ บรรดาประชาชนทั้งหลายเขามีความดี เขายอมรับ แต่เขาก็มีกฎบังคับว่า ถ้าพระองค์จะลงไปร่อนทองหรือทำทองต้องได้รับอนุญาตจากประชาชนก่อน นี่เห็นจะเป็นประชาธิปไตยแท้ ไม่งั้นท่านทำงานเรื่อย บางทีหนาว ๆ ทองอยู่ในน้ำท่านก็กระโดดลงไปก่อนนำคน นี่เป็นผู้นำแท้ ตอนนี้ทำทองได้แล้วเด็กที่มาแนะนำก็หายไปแล้ว การแบ่งของกันก็ให้เสมอกัน คนเอาทองไปขายก็ไม่มีค่าจ้างรางวัล คนร่อนทอง นำทองทั้งหมดเอาของมารวมกัน แล้วแบ่งปันเสมอกัน นี่ลูกรักคนไทยสมัยนั้นนะ
    พระเจ้าพังคราชก็เริ่มอยู่บ้านใหญ่ มีห้องโถงกว้าง แต่ไม่ถึงกับท้องพระโรง ประชาชนเขาปลูกให้ ทำด้วยไม้ เป็นที่ประชุมกัน พระองค์ออกตรวจตอนเช้า กลางคืน บางทีดึก ๆ ก็ออกตรวจตามหมู่บ้านต่าง ๆ มีอำมาตย์ ข้าราชบริวาร ถืออาวุธตามไปด้วยพร้อมที่จะห้ำหั่นใครก็ตามที่มาโกงคนไทย เพราะเจ้าขอมดำเข้ามาโกงบ่อย ๆ ดีไม่ดีมันขึ้นไปค้นบ้านเจอะอะไรมันก็เอา ถ้าขอมมาน้อยก็แสดงว่า ขอมหายไปเลย เก็บเงียบ ถ้าของมามากในเขตไทย ก็ไม่มีใครทำอันตรายขอม
    แต่พอเข้าเขตขอมลึกเข้าไปสัก ๒[FONT=Cordia New,Cordia New]-[/FONT]๓ กิโลเมตร จะถูกธนูอาบยางน่องตาย [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ยางน่องเป็นยางไม้ชนิดหนึ่ง ใช้ทาปลายธนู หน้าไม้ ถ้ายิงไปถูกแล้ว มีเลือดออกนิดเดียวก็ตาย[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]การริดรอนกําลังของขอมดำทำแบบนี้เป็นปกติ ถ้ามา ๙[FONT=Cordia New,Cordia New]–[/FONT]๑๐ คน นั่นขอมหายไปเลยเป็นปุ๋ยต้นไม้ นี่การปราบเขาปราบกันแบบนี้ สำหรับคนไทยที่ไม่ดีที่ประจบสอพลอก็ต้องหายไปเลยเหมือนกัน นี่วิธีการแบบนี้ยังใช้ได้ตลอดกาลตลอดสมัยในเมื่อโลกยังตั้งอยู่ ถ้าเรารักความเป็นไทละก็ต้องทำแบบนี้ จะมา
     
  10. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  11. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ปล่อยให้พูดปาว ๆ แล้วก็ยอมกลัวเขาหงอ ไม่ทันจะตีเลยยอมแพ้แล้ว เรื่องการรบไม่จำเป็นว่ากำลังมากจะชนะกำลังน้อย ดูตัวอย่างสงครามอินโดจีน เรามีกำลังน้อย อาวุธน้อย เราก็ชนะอินโดจีนได้
    นี่เป็นอันว่า เรื่องอุปาทานแห่งการแพ้น่ะ อย่าให้มีในใจลูก ถ้าเรากลัวเมื่อไรเราแพ้ แต่ถ้าเราไม่กลัวซะอย่างเดียว และใช้ปัญญา ความสามารถ ใช้ความไม่ประมาทคำว่าแพ้จะไม่มี ดูสมัยพระนเรศวรชนะพม่าซิ เรามีกำลังพลเท่าไร และพระเจ้าตากสินสามารถกู้ชาติไทยไว้ได้ มีกำลังพลแค่ ๕ พันคน พม่าเขามีกำลังพลเท่าไร ทำไมเราจึงกู้ชาติของเราได้ แล้วทำไมต้องไปกลัวญวน เวลานี้คนไทยที่รักชาติมี ๔๐ ล้านคนเศษ คนไทยขายชาติทำลายชาติมีไม่กี่คน วิธีปราบก็ต้องปราบแบบพระเจ้าพังคราชปราบขอมดำหรือปราบคนไทยทรยศตามที่กล่าวมา คือ ปล่อยเขาไปเมืองผีซะ เก็บเงียบ เก็บเล็กเก็บน้อยแบบนี้ ทำไมเขาทำกันไม่ได้น่ะ นี่พ่อไม่ได้หมายความว่า ยุให้เขาฆ่ากันนะ พูดถึงวิธีการเป็นนักรบ เป็นคนรักชาติ [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ถ้าเรารักชาติ ทำไมต้องไปกลัวคนเลวมันจะตาย[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    ตอนนี้ในเทป ใช้เพลงย่ำค่ำมอญ เป็นเพลงแสดงความรื่นเริงของคนไทย ที่ทำทองได้ มีความสุข เพราะพระอินทร์ ตอนนี้ลูกรักของพ่อขึ้นไปทูลถามปู่นะว่าความจริงเป็นอย่างไร
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    กราบ กราบ กราบ _/i\_ _/i\_ _/i\_ หลวงพ่อเจ้าค่ะ

    อนุโมทนาสาธุค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...