โสเภณีก็เป็นพระโสดาบันได้...โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 2 มิถุนายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]

    โสเภณีก็เป็นพระโสดาบันได้...โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ<O:p</O:p
    ลูกศิษย์: ไข่ไก่ที่มันมีเชื้ออยู่นะคะ ถ้าทานไปมีเชื้ออยู่นะคะ ถ้าทานไปนี่จะผิดศีลไหมคะ<O:p</O:p
    หลวงพ่อ: ไม่ผิดล่ะชนศีลเลย (หัวเราะ)<O:p</O:p
    ลูกศิษย์: ที่เขาทานเป็นยากันน่ะค่ะ <O:p</O:p
    หลวงพ่อ: ไม่รู้ล่ะ กินไม่เป็น แต่ทุบเป็น ใครเป็นคนทุบให้แตก<O:p</O:p
    ลูกศิษย์: ไม่ใช่ ไข่เขาอบไว้จะเอามาฟักน่ะคะ เขาตอกออกมามันจะเป็นตัวเล็กๆ เขาทานกันน่ะค่ะ<O:p</O:p
    หลวงพ่อ: ได้เดินลงนรกได้เขาไม่ห้าม ปาณาติปาตา เวรมณี<O:p</O:p
    ลูกศิษย์: หนูไม่ได้ทานน่ะค่ะ<O:p</O:p
    หลวงพ่อ: ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ถือว่านับตั้งแต่วันแรกที่ปฏิสนธิ เขามีชีวิตแล้ว <O:p</O:p
    ลูกศิษย์: แต่ตัวนิดเดียวน่ะค่ะ<O:p</O:p
    หลวงพ่อ: ตัวนิดเดียวน่ะมันแทรกได้มาก มันเข้าไปสิงในตัวได้มาก เวลาตายเขาจะช่วยดันลงนรกเลย นี่ถ้ายักษ์ตัวใหญ่ๆ มานะ เห็นเธอตัวเล็กนิดเดียว จะกินเลย นี่ถ้ายักษ์ตัวใหญ่ ๆ มานะ เห็นเธอตัวเล็กนิดเดียว จะกินเธอ เอาไอ้คนเล็กดี ไอ้คนโตๆ นั้นกินเลยคำพอตักเขาปากกรุ๊บกินหมดเลย ยุ่งล่ะซิ เราชอบไหม<O:p</O:p
    ลูกศิษย์: เพราะว่าเคยอ่าหนังสือพ้นโลกน่ะค่ะ แล้วเขาบอกให้ทานอย่างนี้ก็เลยซื้อมาให้คุณพ่อทาน อย่างนี้หนูผิดศีลซิคะนี่<O:p</O:p
    หลวงพ่อ: ผิดศีลไม่เป็นไร ศีลไม่ขาด แต่มันชนศีลจนศีลบุบ (หัวเราะ ) เธออย่าไปชนศีลเข้าซิ ศีลตั้งอยู่นี่เราเดินทางนี้ศีลจะขาดอย่างไร มันผิดกันชนศีลขาดไปแล้ว เออ เป็นเรื่องธรรมดา คนที่ไม่ละเมิดศีล อย่างจริงจังคือ พระโสดาบัน อย่างต่ำก็พระโสดาบันขึ้นไป คือ ไม่สงสัยในพระพุทะเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ไม่ละเมิดศีล 5 มีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าเราบอกว่าไม่สงสัยในคำสอนนี่ เขาจะเลยว่าต้องเป็นพระโสดาบัน แต่อย่าลืมว่าในเวลานี้พระโสดาบันเกลื่อนโลก จะไปรู้ได้อย่างไร ดีไม่ดีเขาเป็นขอทาน ขอทานนี่เป็นพระโสดาบันได้ง่ายกว่าเรา แก่ไม่ต้องขโมยใครอย่างโสเภณีเขาก็เป็นพระโสดาบันก็ได้ เพราะศีลเขาไม่ขาดโสเภณีเขาเป็นโสเภณีจริงๆ แล้วเขาก็ขายตัวจริงๆ นะ ไม่ได้มีศีลขาดเลย จะไปโทษเขาว่าเขาเป็นคนชั่ว เขาชั่วที่ไหน ไอ้เราซิ เอ่อเอาตังค์ไปให้เขา (หัวเราะ) ไอ้ตัวเองชั่วยังจะไปโทษคนอื่นชั่ว เราไปวัดกันที่ศีล โสเภณีตัด ปาณาติบาต ตรงไหน เอาอย่างแท้นะ เขาเป็น อทินนาทาน ตรงไหน ตกลงราคากัน เขาเป็น กาเม ที่ไหน เขาไม่แย่งผัวใคร มันเป็นการค้า มุสาตรงไหน เขาเป็นโสเภณีแล้วขาด สุรา หรือก็เขาไม่กิน สิริมา อัครโสเภณี หญิงมีความงดงาม เป็นโสเภณีแล้วยังมีราคาสูง ท่านเป็นพระโสดาบัน<O:p</O:p
    ลูกศิษย์: แต่เขาไปเบียดเบียนสามีเขา<O:p</O:p
    หลวงพ่อ:ไม่ผิด เขาไม่ได้แย่ง ไอ้นั้นมันมาหาเขา อันนี้เขาไม่ได้แย่งสามีเขานี่ เขาถือเป็นการค้าอย่างเดียว นี่เขาผิดศีลสามีจริง เขาไม่ถูกศีลสามี (หัวเราะ) หันมาแย่งคนรัก ไอ้นั่นวิ่งไปหาเขา มันเอาความใคร่ก็ตัดไป เขาก็ไม่ดึงเอาไว้ จะหาว่าเขาผิดไม่ได้ ศีลมีก็ต้องหลายตัว ตัวข้อเท็จจริงตามข้อของศีล ถ้าหากว่าเป็นคนไปหลอกลวงเขามาล่วงเกินสามีของตน อันนี้เป็นการเลว อันนี้เข้าตั้งร้านค้าใช่ไหม พวกรถแท็กซี่ เราจะถือสิทธิ์ รถคันนั้นเป็นของเราได้ไหม หือ หมอ หมอขึ้นแท็กซี่หรือขึ้นรถเขาไม่ได้ใช่ไหม เดี๋ยวจะไปตั้งค่าโดยสาร (หัวเราะ)<O:p</O:p
    ผู้หญิงหรือผู้ชายนี่มีคนปกครอง ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ก็ต้องมีเมียปกครอง ไม่ใช่ว่าเฉพาะสามี ภรรยาใคร หญิงโสดยังมีคนปกครอง ผู้ปกครองมี ถ้าอย่างอาตมาไม่มีใครปกครอง ไม่เป็นไร (หัวเราะ) แต่ว่ารับรอง โทษกาเมไม่มี (หัวเราะ)<O:p</O:p
    จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม 8 <O:p</O:p
    หน้า492-493<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lp081.jpg
      lp081.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.8 KB
      เปิดดู:
      232
    • lp071.jpg
      lp071.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.6 KB
      เปิดดู:
      3,291
  2. โกสโล

    โกสโล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +50
    ผมยังงงอยู่นิดหน่อยครับ
    ผมนึกว่าศีลข้อ 3 มันผิดตั้งแต่มีอะไรกันแล้ว
    แล้วแบบนี้พวกอยู่ก่อนแต่งทำไมถึงผิดศีลข้อ 3 ครับ

    วานผู้รู้ช่วยตอบหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ



    ขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุ
     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    โอวาทหลวงพ่อฯ เล่ม 1----> หน้า 40

    *** อย่าลืมว่า พระโสดาบัน ทรงคุณธรรมเพียง ๓ ประการเท่านั้น คือนึกอยู่เสมอว่า เราจะต้อง
    ตายเป็นปกติ เห็นความเกิด ความแก่ ความกลัดกลุ้มใด ๆ ก็ตามมันเป็นของธรรมดา แต่ความโลภ
    อยากรวยยังมีอยู่ ความโกรธยังมีอยู่ ความหลงยังมีอยู่ แต่ความอยากสวย อยากรวย อยากโกรธ
    อยากหลงมันอยู่ในขอบเขตของศีล อยากสวยก็สวยโดยไม่ผิดศีล อยากรวยได้มาโดยไม่ผิดศีล
    ไม่คดไม่โกงใคร โกรธได้แต่ทำร้ายใครเขาไม่ได้ กลัวศีลขาด ยังหลงในร่างกายว่าเป็นเรา เป็น
    ของเรามีอยู่แต่ว่ารู้อยู่เสมอว่า เราจะต้องตาย จิตใจมันปล่อยได้ งานทุกอย่างทำตามหน้าที่
    แล้วมีอารมณ์ยอมรับนับถือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มี ศีล ๕ บริสุทธิ์ มีอารมณ์รักพระนิพพาน
    เป็นปกติ นี่แค่นี้เอง พระโสดาบัน

    *** ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่มีกำลังใจย่อหย่อนอยู่ ยังเข้าไม่ถึงธรรมขององค์-
    สมเด็จพระบรมครู คือพระโสดาบัน ก็จงตั้งใจกำหนดจิตของเรานั้น ให้ทรงความเป็นพระโสดาบัน
    ให้ได้ ถ้าเราไม่สามารถ จะทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ก็ชื่อว่าความดีขั้นเล็กน้อยที่องค์สมเด็จ-
    พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ให้ เราไม่สามารถทรงได้ ก็เป็นที่น่าเสียดายความดี
    ของเรา

    *** ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน หรือกำลังจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จะต้องทรง
    พรหมวิหาร ๔ ตามปกติ เมื่อทรง พรหมวิหาร ๔ แล้วก็เป็นปัจจัยให้ศีลบริสุทธิ์ ด้วยทรง
    พรหมวิหาร ๔ เป็นปัจจัยระงับโทสะและ พยาบาท ทำให้ โทสะ และ พยาบาท คลายตัว
    แล้วก็ พรหมวิหาร ๔ เป็นปัจจัยให้คนใจดี พอใจในการให้ทาน แล้วก็ทานตัวนี้เป็นปัจจัยตัด โลภะคือความโลภคือปรารถนาในการยื้อแย่งเขา พอใจในการหาได้ด้วยสัมมาอาชีวะฉะนั้น
    ขอบรรดาท่านพระโยคาวจรทั้งหลายจงปรับกำลังใจของท่านให้ดีตามนี้ การเข้าสู่ความเป็น
    พระโสดาบัน จะเป็นของไม่ยาก ไม่มีอะไรลำบาก ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะต้องหนักใจ

    *** ความเป็นพระโสดาบันนี้มีความสำคัญอยู่ที่ศีล ถ้าหากว่าทุกท่านมีศีลบริสุทธิ์
    ก็ไม่ต้องกล่าวย้อนไปถึงการเคารพในพระรัตนตรัย ทั้งนี้เพราะว่าศีลมาจากพระรัตนตรัยทั้ง
    ๓ ประการการที่เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ก็แสดงว่าเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยอยู่แล้ว ฉะนั้นศีลของท่าน
    ทั้งหลายจึงบริสุทธิ์ ศีลจะบริสุทธิ์ได้ต้องอาศัย เมตตากับ กรุณา เป็นสำคัญ และยังมีเพื่อน
    อีกสอง เป็นฝ่ายสนับสนุน นั่นก็คือมุทิตากับ อุเบกขา

    *** พระโสดาบัน ไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    คำสั่งก็ได้แก่ศีล คำสอนก็ได้แก่ จริยาอันหนึ่งที่เราเรียกกันว่า ธรรมะเป็นความ
    ประพฤติดีประพฤติชอบศีล พระพุทธเจ้าสั่งให้ละตามสิกขาบทที่กำหนด ธรรมะคำสอนทรง
    แนะนำว่าจง จงอย่าทำอย่างนี้จะมีความสุข ทั้งคำสั่งก็ดี ทั้งคำสอนก็ดี พระโสดาบันมีความ
    เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย

    *** พระโสดาบัน มีปัญญาเพียงเล็กน้อย รู้แค่ตายเท่านั้น ยังไม่สามารถจะจำแนกร่างกาย
    ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราได้ พระโสดาบัน ยังมีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา
    ทรัพย์สินทั้งหลายยังเป็นเราเป็นของเรา แต่ทว่ามีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายที่เป็นของเรานี้
    ทั้งหมดเมื่อตายแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้ามาครอบครอง หรือถ้าว่าเรายังไม่ตาย สักวันหนึ่ง
    ข้างหน้ามันก็ต้องสลายตัวไป

    *** ถ้าเราจะคิดว่า หญิงโสเภณีเป็นพระโสดาบันไม่ได้ มันก็ผิด ถ้าเขาเป็นด้วยการสุจริต
    การเช่าเขาไป เขาไม่ได้คด ไม่ได้โกง เขาตกลงราคาซึ่งกันและกัน ศีล ๕ ของเขาก็ไม่มี
    การขาดเขาไม่ได้ไปฆ่าใคร เขาไม่ได้ไปขโมยใคร หรือหลอกลวงใคร เขาไม่ได้ไปแย่งสามี
    ของใคร เขาถือว่าเขาเป็นสินค้าประเภทหนึ่งชั่วคราว เขาไม่ได้โกหกมดเท็จว่า เขาไม่ได้
    เป็นหญิงโสเภณี เขาไม่ได้ดื่มสุราเมรัย เราจะเอาคำว่าเสียตรงไหนมากล่าวกับหญิงโสเภณี
    ถ้าปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์ นางสิริมาเธอก็มีลักษณะอยู่ในเกณฑ์นี้ องค์สมเด็จพระชินศรี
    จึงได้ทรงรับรองว่านางพระโสดาบัน</B>

    *** คนที่เขาไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน แต่ชอบสวดมนต์เป็นปกติ มีศีลห้าบริสุทธิ์ จะ
    ถามว่าคนประเภทนี้เป็น พระโสดาบัน ได้ไหม ก็ต้องตอบว่าได้ คนที่เขานั่งสวดมนต์เป็นปกติ
    เขาสวดด้วยความเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรมในพระอริยสงฆ์ เพราะบทสวดมนต์
    ทุกบทมีค่าเท่ากันคือสรรเสริญความดีของพระพุทธเจ้า สรรเสริญความดีของพระธรรม
    สรรเสริญความดีของพระอริยสงฆ์ แล้วเขาก็มีศีลบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ต้องระวังนิดหนึ่ง ถ้าเรา
    มีจิตเบา เพียงเท่านี้อาจจะยังไม่ได้ พระโสดาบัน อาจจะเรียกว่า กัลยาณชน
    ที่นี้ ถ้าบุคคลผู้นั้นเขามีกำลังใจเพิ่มไปอีกนิดหนึ่งว่า ที่เขายอมเคารพในพระพุทธเจ้า
    ยอมเคารพในพระธรรม ยอมเคารพในพระสงฆ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์อย่างนี้ เขามีความประสงค์
    อย่างเดียวคือพระนิพพาน ถ้าอารมณ์ใจเขาหยั่งถึงพระนิพพานอย่างนี้เป็น พระโสดาบัน แน่
    นี่อารมณ์ของ พระโสดาบัน มีเท่านี้ พระสกิทาคามี ก็เหมือนกัน

    *** จิตใจของท่านที่มีอารมณ์ถึง โคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน
    เป็นปกติ แต่ทว่าพอจิตพ้นโคตรภูญาณ ไปแล้ว ถ้าเข้าสู่ความเป็น พระโสดาบัน เต็มที่
    ที่เรียกว่าโสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระ-
    นิพพานเป็นอารมณ์แล้ว ก็มีความรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นของธรรมดา การนินทา
    ว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตตัวนี้จะมีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมา
    ในโลก มันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น
    มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของ พระโสดาบันยังอ่อนกว่าธรรมดา
    ของพระอรหันต์มาก ฉะนั้นท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ
    ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง<O:p</O:p
    *** คำอธิบายเพื่อ พระโสดาบัน ว่ากันไปว่ากันมาก็เลี้ยวลง ๗ จุด คือ มรณานุสสติกรรมฐาน
    พุทธานุสสติกรรมฐาน
    ธัมมานุสสติกรรมฐาน
    สังฆานุสสติกรรมฐาน
    สีลานุสสติกรรมฐาน
    จาคานุสสติกรรมฐาน และก็ อุปสมานุสสติกรรมฐาน <O:p</O:p
    เพียงเท่านี้ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททรงได้ ท่านก็เป็นพระโสดาบัน


    http://www.sitluangpor.com/ovat/ovat_1/page42.htm<O:p</O:p
     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ประวัติ โสเภณีที่บรรลุโสดาบัน

    ในสมัยพุทธกาล มีเมืองๆ หนึ่งชื่อว่าเวสาฬีเป็นเมืองที่มั่งคั่งกว้างใหญ่ไพศาล มีประชาชนมากมายเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหาร การค้าขายเจริญรุ่งเรืองมีพ่อค้าต่างเมืองเดินทางมาติดต่อค้าขายอย่างคับคั่ง และหนึ่งในความเสื่อมแต่เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองคือ มีหญิงงามเมืองที่มีความงดงาม ชื่อว่าอัมพปาลี<O:p</O:p
    (คือเธอมีความงามมากสมัยนี้เรียกว่านางงาม สมัยนั้นเรียกว่างามเมือง)<O:p</O:p
    นางเป็นสตรีผู้เลอโฉม มีผิวพรรณผุดผ่องเฉิดฉายยิ่งนัก น่าดู น่าพอใจและนางยังเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมซึ่งประกอบไปด้วย การฟ้อนรำ และการขับร้องซึ่งหาผู้ใดเปรียบเทียบได้ยาก บุคคลทั้งหลายที่มีความต้องการพานางไปร่วมอภิรมย์ด้วยจะต้องจ่ายค่าตัวคืนละห้าสิบกหาปณะ<O:p</O:p
    ครั้งหนึ่งพวกพ่อค้าชาวกรุงราชคฤห์ได้ไปทำธุรกิจที่เมืองเวสาฬีก็คิดว่าเมืองเวสาฬีนี้รุ่งเรืองงดงามเพราะมีนางอัมพปาลีเป็นหญิงงามเมือง<O:p</O:p
    (คือพ่อค้าก็มักจะคิดไปแบบนี้ซึ่งก็เป็นความคิดที่ไม่ค่อยถูกต้องอะไรเท่าไหร่ คือมองเห็นเม็ดเงินและมองเห็นความเพลิดเพลิน คือผู้ที่ข้องอยู่ในกาม ที่นี่คือกามภพที่อยู่ของผู้ที่ข้องอยู่ ก็มีความคิดที่แปรปรวนกันไปอย่างนี้จากเมืองราชคฤห์มาเห็นเมืองเวสาฬี)<O:p</O:p
    เพราะมีนางอัมพปาลีนี่แหละที่เวสาฬีพ่อค้าจึงเข้าใจว่าจึงทำให้มีคนต่างเมืองหลั่งไหลกันเข้ามามากมายเพราะได้ยินกิตติศัพท์ของนางอัมพปาลี ทำให้ธุรกิจการค้าทางด้านอื่นๆเจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย<O:p</O:p
    (คือเข้าใจว่าเธอเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเอานักธุรกิจต่างเมืองเข้ามาก็ทำให้มีการค้าขายกันเกิดขึ้นจนเจริญรุ่งเรือง แต่ที่จริงมันเป็นคนละเรื่องมันเป็นกรรมของเธอต่างหาก แต่นี่คือความเข้าใจ คือพวกที่มุ่งแต่เศรษฐกิจแต่ไม่คิดเรื่องจิตใจก็จะคิดกันอย่างนี้)<O:p</O:p
    พ่อค้ากลุ่มนั้นจึงพากันเข้ามากราบถวายบังคมทูลพระเจ้าพิมพิสารถึงอานุภาพความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเวสาฬีให้ทราบว่าเวสาฬีนี้เจริญรุ่งเรืองมากแล้วกราบถวายบังคมว่า<O:p</O:p
    เมืองเวสาฬีมีนางอัมพปาลีเมืองราชคฤห์ของเราควรจะมีหญิงงามเมืองอย่างเธอบ้าง<O:p</O:p
    (พระเจ้าพิมพิสารตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพระโสดาบันยังไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตและพวกนักธุรกิจก็พยายามมากระทุ้งกันอยู่เรื่อยๆมีทั้งมหาอำมาตย์ เสนาบดี นักธุรกิจก็อ้างเหตุผลกันต่างๆ นาๆ ท่านก็ไม่อยากขัดใจ จึงตรัสอนุญาต ตามสะดวก)<O:p</O:p
    ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จงไปดูว่ากุมารีคนไหนที่มีลักษณะงดงามและมีคุณสมบัติเช่นนั้น แล้วตั้งให้นางเป็นหญิงงามเมืองเถิด<O:p</O:p
    (เพราะฉะนั้นคนสวยๆ สมัยนั้นยุ่งเลย ต้องไปเป็นอย่างนี้ไม่งั้นเดี๋ยวทะเลาะกัน เอามาเป็นของกลางซะ ใครจะใช้บริการก็จ่ายเงินซะส่วนหนึ่งเป็นของเธอ อีกส่วนหนึ่งเข้ารัฐถนนหนทางที่เดินอาจจะได้มาจากภาษี)<O:p</O:p
    ในขณะนั้นในเมืองราชคฤห์มีกุมารีคนหนึ่งชื่อ สารวดีนางเป็นหญิงผู้เลอโฉมสะคราญตา น่าเสน่หา ทั้งเป็นผู้มีผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก<O:p</O:p
    พวกพ่อค้าชาวกรุงราชคฤห์เหล่านั้นจึงได้ตั้งนางสารวดีกุมารีเป็นหญิงงามเมืองกลางกรุงราชคฤห์<O:p</O:p
    (คงจะไปตกลงต่อรองอะไรกัน แล้วก็จูงใจ คงไม่ได้บังคับหรอก ว่างานนี้มันง่ายไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร แค่สวยๆ ร้องรำทำเพลงให้เพราะๆ บริการ แล้วเธอจะได้เงินมากนางก็ตกลง เพราะวิบากกรรมของเธอนั่นแหละทำให้เธอดูแต่ได้อย่างเดียว แต่ไม่ได้ดูเสีย)<O:p</O:p
    เมื่อนางสารวดีได้รับเลือกเป็นหญิงงามเมืองแล้วนางจึงฝึกฝนการฟ้อนรำขับร้อง ดีด สี ตี เป่า จนมีความชำนาญทำให้นางมีค่าตัวคืนละหนึ่งร้อยกหาปณะ<O:p</O:p
    นางสารวดีประกอบอาชีพเป็นหญิงงามเมืองได้ไม่นานก็เกิดความประมาทขาดการระมัดระวังตัว จึงตั้งครรภ์<O:p</O:p
    นางสารวดีได้ปกปิดเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอไว้ได้จนถึงกำหนดคลอดในวันคลอด ทันทีที่นางทราบว่า บุตรที่คลอดออกมาเป็นชายนางก็ตัดสินใจที่จะให้คนนำบุตรของนางไปทิ้งเสียแต่วันนั้นเพราะมีความคิดเห็นว่าบุตรชายไม่สามารถสืบทอดอาชีพโสเภณีได้<O:p</O:p
    (คิดเพียงสั้นๆ แค่นี้ คิดสั้นตั้งแต่มาเป็นโสเภณีเพราะเห็นแก่เม็ดเงินพอพลาดมีเด็กขึ้นมา ก็คิดสั้นๆ ว่าเป็นลูกชายเป็นโสเภณีต่อสืบทอดไม่ได้)<O:p</O:p
     
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    นางได้สั่งให้สาวใช้คนสนิท(แสดงว่ารวยมากจนกระทั่งมีสาวใช้)นำลูกชายของตนใส่ในกระด้งเก่าๆ นำไปทิ้งที่กองขยะกำชับให้ระวังไม่ให้ใครรู้เห็น สาวใช้ก็ทำตามคำสั่งทุกประการเวลาที่นำทารกไปทิ้งนั้นก็เป็นเวลากลางดึก<O:p</O:p
    ในเช้าวันนั้นเอง เจ้าชายอภัย พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสารกำลังเสด็จเข้าเฝ้าพระราชบิดา ได้เสด็จผ่านมาทางนั้นได้เห็นฝูงการุมล้อมเด็กนั้นอยู่ จึงได้ตรัสถามมหาดเล็กว่า<O:p</O:p
    ฝูงการุมล้อมอะไร<O:p</O:p
    มหาดเล็กจึงรีบเข้าไปดู เห็นทารกเพศชายอยู่ในกระด้งจึงถือกลับมาแล้วกราบทูลให้ทรงทราบว่า<O:p</O:p
    ฝูงกากำลังรุมล้อมทารกเพศชายอยู่พระเจ้าข้า<O:p</O:p
    เจ้าชายอภัยจึงถามมหาดเล็กว่า<O:p</O:p
    ทารกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า<O:p</O:p
    มหาดเล็กจึงกราบทูลว่า<O:p</O:p
    ทารกนั้นยังมีชีวิตอยู่พระเจ้าข้า<O:p</O:p
    เจ้าชายอภัยเมื่อทราบว่าทารกยังมีชีวิตจึงรับสั่งให้นำทารกกลับไปที่วังของตน แล้วนำให้แม่นมเลี้ยงดูอย่างดี<O:p</O:p
    (มีทั้งบุญทั้งกรรม กรรมไปเกิดเป็นลูกโสเภณีแต่บุญเจ้าชายเอาไปเลี้ยง มันต้องแยกกัน ชนกกรรมนำมาเกิดเป็นลูกโสเภณีแต่บุญบันดาลให้เจ้าชายเอาไปเลี้ยง บุญปาบมันอยู่ในตัวนั่นแหละ)<O:p</O:p
    ต่อมาภายหลัง ทารกนั้นเมื่อเจริญเติบโตแล้วได้ศึกษาวิชาแพทย์จนเชี่ยวชาญและก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นแพทย์หลวงประจำสำนักของพระเจ้าพิมพิสารนามว่าชีวกโกมารภัจ แปลว่า กุมารที่พระราชาทรงชุบเลี้ยงไว้<O:p</O:p
    ต่อมาภายหลังนางสารวดีก็ได้ตั้งครรภ์อีก แต่ได้คลอดออกมาเป็นธิดาเธอก็ดีใจสุดขีด นางจึงได้เลี้ยงเอาไว้สืบทอดตระกูลหญิงงามเมืองของตน (กลัวตระกูลเธอหายไป)แล้วตั้งชื่อลูกหญิงของตนว่าสิริมาแปลว่า นางผู้มีสิริ<O:p</O:p
    นางสิริมาเมื่อเติบโตขึ้นมา ก็ได้เป็นหญิงมีรูปงามมากเป็นที่ปรารถนาของชายหนุ่มทั้งหลายจึงได้รับตำแหน่งสืบทอดกิจการจากนางสารวดีผู้เป็นมารดาของเธอ(หนุ่มๆ ก็มาเมียงมองเธอกันอย่างนี้เธองาม..)<O:p</O:p
    เธอต้องคอยรับแขกที่มีทรัพย์ประเภทตระกูลกษัตริย์ เศรษฐีหรือพวกอำมาตย์ โดยมีค่าบริการวันละหนึ่งพันกหาปณะ<O:p</O:p
    (เพราะเธอยังเป็นเด็กสาวอยู่ และก็แม่ก็ถ่ายทอดวิทยายุทธให้แล้วปลูกฝังว่า ลูกสิริมา ลูกจำไว้ ลูกอย่าเอาหัวใจมอบให้ชายหนุ่มใดๆ ทั้งสิ้นลูกจงคิดแต่เงิน เงิน เงิน อย่างเดียวเท่านั้น และลูกพยายามทำตัวให้น่ารักพูดจาหวานๆ ไม่ขัดคอ ยอตะบัน รับรองพันกหาปณะเนี่ยจะได้บ่อยๆ และจะได้ทิปต่างๆอีกเยอะแยะ ก็สอนวิทยายุทธวิธีเอาอกเอาใจ ตั้งแต่ถอดรองเท้า ถอดถุงเท้าอะไรเรื่อยไปเลย)<O:p</O:p
    ที่กรุงราชคฤห์ได้มีเศรษฐีอยู่สองตระกูล ตระกูลแรกคือท่านปุณณเศรษฐีมีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัยได้มีธิดาสาวคนหนึ่งชื่อว่านางอุตราซึ่งได้บรรลุโสดาบัน บรรลุโสดาบัน<O:p</O:p
    (ก็คือการที่เธอได้เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น จะมาเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติเธอเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัยโสดาบันเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตักห้าวา สูงห้าวา เธอหลุดพ้นจากความรู้สึกว่ากายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม นี้เป็นตัวตนที่แท้จริง<O:p</O:p
    ความเข้าใจผิดว่า กายมนุษย์ก็ดี ทิพย์ก็ดี พรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดีเป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งมนุษย์ทั่วไปเข้าใจกันว่าอย่างนั้น ว่าตัวเราของเราแต่ท่านหลุดพ้นจากความรู้สึกอย่างนั้น คือเข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันไม่ใช่เราแค่อาศัยอยู่ชั่วคราว จะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม หรืออรูปพรหมแต่กายธรรมนี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงและเป็นพระรัตนตรัยที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันแท้จริงเพราะฉะนั้นจึงหายสงสัยเรื่องที่พึ่งที่ระลึก เรื่องพระรัตนตรัยนี่ หายสงสัยหมดความสงสัยไปเลย แล้วก็จะไม่ทำบาปเลย จะมีศีลห้าเป็นปกติแล้วข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นที่งมงาย ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวที่เคยเข้าใจว่าเป็นหนทางไปสู่สันติ ไปสู่การบรรลุ หรือเพื่ออะไรต่างๆไม่ประพฤติอย่างนั้น จะมีศีลห้าเป็นปกติ ไม่ทำบาปเลย<O:p</O:p
    ใครมาขู่ฆ่าอะไรก็แล้วแต่ให้ทำบาป ให้ฆ่าสัตว์ ให้ฆ่ามนุษย์ ให้ลักทรัพย์ให้ประพฤติผิดในกาม ให้พูดปด ให้ดื่มสุราเมรัย อะไรต่างๆ ไม่เอาเลยแม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่เอา เพราะว่ากลัวบาป มีหิริ มีโอตตัปปะเป็นอันเดียวกับองค์พระหน้าตักห้าวา สูงห้าวา ใสบริสุทธิ์ ใสปิ๊งแต่ยังครองเรือนอยู่เพราะราคะยังไม่สิ้น ยังมีลูกมีเต้าอะไรต่างๆและก็ไม่ไปตกในนรกเลย จะมาเกิดท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกกับมนุษย์ไม่เกินเจ็ดชาติจากมนุษย์ไปสวรรค์ จากสวรรค์ไปมนุษย์อย่างนี้ ทำความเพียรแล้วก็จะได้บรรลุอรหัตผลอย่างนี้เรียกว่าโสดาบัน)<O:p</O:p
    ตระกูลที่สองคือท่านราชคหเศรษฐีผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิและมีบุตรชายอยู่หนึ่งคนซึ่งเป็นมิจฉาทิฎฐิเหมือนกัน<O:p</O:p
    (พ่อลูกเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งคู่)<O:p</O:p
    ทั้งสองตระกูลนี้สนิทกันแต่ท่านราชคหเศรษฐีได้ขอธิดาของท่านปุณณเศรษฐีให้มาเป็นสะไภ้ในเรือนของตนปุณณเศรษฐีก็เกรงใจในสหายรัก จึงมอบธิดาให้แก่บุตรชายของท่านของราชคหเศรษฐี<O:p</O:p
    (สัมมาทิฎฐิไปอยู่กับมิจฉาทิฎฐิแล้ว ดูซิอะไรจะเกิดขึ้น)<O:p</O:p
    เมื่อนางอุตราได้มาอยู่ในตระกูลของราชคหเศรษฐี(มาเป็นสะใภ้)นางได้กล่าวกับสามีของตนว่า<O:p</O:p
    จะขออนุญาติรักษาอุโบสถศีลเดือนละแปดวัน วันโกน วันพระ<O:p</O:p
    สามีบอก ไม่ได้หรอก<O:p</O:p
    (แปดวันลบจากสามสิบก็เหลือยี่สิบสองวัน ไม่ได้)<O:p</O:p
    เธอก็มิได้ว่าอะไร<O:p</O:p
    พอถึงตอนช่วงเข้าพรรษา นางก็ยังคิดอีกพรรษานี้เราจะขออนุญาติสามีรักษาอุโบสถศีลตลอดทั้งพรรษา<O:p</O:p
    สามีก็ไม่ยินยอม<O:p</O:p
    จนเวลาผ่านไปเหลืออีกสิบห้าวันก็จะออกพรรษาแล้วเธอก็ยังไม่ละความพยายาม เหลืออีกสิบห้าวันจะออกพรรษาก็อยากจะรักษาอุโบสถศีลนางจึงได้ส่งข่าวไปถึงมารดาและบิดาของตนว่า ลูกถูกท่านพ่อท่านแม่ส่งมากักขังอยู่ในตระกูลนี้เหมือนโดนกักขังไม่มีเวลาสามารถรักษาอุโบสถศีลได้แม้แต่เพียงวันเดียวเลยขอให้ท่านพ่อท่านแม่โปรดส่งเงินมาให้ลูกสักหนึ่งหมื่นหน้าพันกหาปณะเถิดลูกจะนำเงินก้อนนี้มาเพื่อให้ได้รักษาอุโบสถศีลจะหาวิธีใช้ทรัพย์เพื่อรักษาอย่างนี้ทางบิดามารดาท่านปุณณเศรษฐีก็รีบส่งเงินหนึ่งหมื่นห้าพันกหาปณะไปให้ทันที<O:p</O:p
    นางอุตราเมื่อได้เงินแล้วจึงคิดจะหาตัวแทนมาทำหน้าที่แทนเธอสิบห้าวันในช่วงก่อนออกพรรษาจึงเรียกนางสิริมา ซึ่งเป็นหญิงโสเภณีประจำเมืองมา แล้วก็กล่าวว่า<O:p</O:p
    แม่สิริมา เธอช่วยปรนนิบัติสามีแทนฉันหน่อยเถิดฉันมีค่าจ้างให้เธอหนึ่งพันกหาปณะสิบห้าวัน รวมแล้วหนึ่งหมื่นหน้าพันกหาปณะเพราะฉันจะรักษาอุโบสถศีลตลอดครึ่งเดือนหลังนี้ ก่อนออกพรรษา<O:p</O:p
    นางสิริมาจึงตอบตกลง<O:p</O:p
    (โอ้โห มาเป็นภรรยาชั่วคราวของสามี ซึ่งเป็นลูกเศรษฐีเผื่อฟลุ้ก)<O:p</O:p
    ส่วนทางสามีของนางอุตราพอได้ยินว่าจะเชิญหรือเรียกสิริมามาอยู่ ก็ชอบเพราะกิตติศัพท์สิริมานั้นไม่ธรรมดาเลย(ตั้งสิบห้าวันก็ดีใจสิ)แล้วก็อนุญาติว่าตกลงมีตัวแทนแล้วเธอจะไปรักษาอุโบสถศีลก็ได้ตามแต่ใจเธอในอีกสิบห้าวันเพราะฉะนั้นสิบห้าวันนี้ฉันจะอยู่กับสิริมาแล้วทั้งสองก็อยู่ร่วมกันในเรือนอย่างมีความสุข จนนางสิริมาลืมไปเลยอยู่ตั้งสิบห้าวัน นึกว่าเป็นสามีของตนเองจริงๆ ตนเป็นเจ้าของเรือนเป็นสะใภ้ในเรือนนี้จริงๆ<O:p</O:p
    ส่วนนางอุตราได้สมาทานอุโบสถศีลโดยทุกๆวันนางได้จัดเตรียมภัตตาหารด้วยมือของตนเอง แต่เช้าตรู่เพื่อนำไปถวายแด่พระบรมศาสดาส่วนเวลาที่เหลือก็ระลึกถึงศีลอุโบสถของตนเองที่ตนได้สมาทานเอาได้<O:p</O:p
    ในขณะที่บุตรของเศรษฐีกับนางสิริมาได้เสพสุขกันอยู่บนปราสาทนั้นก็ได้เปิดม่านหน้าต่างได้เห็นนางอุตราเนื้อตัวเปรอะเปรื้อนไปด้วยเขม่าควันในขณะจัดเตรียมภัตตาหารถวายพระ<O:p</O:p
    สามีของนางก็คิดในใจ หญิงคนนี้โง่จริงๆสงสัยจะมาจากนรกจึงไม่ละสมบัติของตนแทนที่จะอยู่สุขสบายไปทำเนื้อตัวเปรอะเปรื้อนด้วยเหล่าหม้อข้าววุ่นวายอยู่กับเหล่าทาสี สงสัยจะมาจากนรกแน่ๆ ไม่ชอบความสบาย ชอบลำบากๆให้เนื้อตัวมอมแมม(สามีเธอคิดอย่างนี้)<O:p</O:p
     
  6. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ส่วนนางอุตรา ก็มีความรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ก็เหลือบขึ้นไปเห็นสามีเธอก็ส่งรอยยิ้มให้สามีของตน แต่เธอไม่ได้พูด เธอคิดในใจเช่นเดียวกับสามีของเธอแต่คิดกันคนละด้าน เธอคิดว่า สามีเราเป็นลูกเศรษฐี แต่ว่าเป็นคนเขลาคงจะคิดว่าสมบัติของตนจะอยู่อย่างถาวร ไม่มีวันหมดสลายไปเป็นแน่นี่กำลังใช้บุญเก่าอยู่ไม่รู้ตัว(แต่บอกไม่ได้บอกแล้วเดี๋ยวโดนอัด หรือเปลี่ยนใจไม่ให้ถืออุโบสถศีล คิดกันคนละทาง)<O:p</O:p
    นางอุตราคิดว่าสามีใช้บุญเก่า สามีคิดว่านางมาจากนรกไม่ยอมสบายคงคุ้นกับนรกที่ลำบาก ทำตัวเปรอะเปื้อน<O:p</O:p
    สิริมาได้เห็นรอยยิ้มระหว่างบุตรเศรษฐีกับนางอุตราที่ส่งยิ้มจึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ(เธอลืม)และเกิดความรู้สึกว่าเรานี่เป็นภรรยาของบุตรเศรษฐีจริงๆ เรานี่แหละเจ้าของเรือนหลังนี้(อยู่มาตั้งสิบห้าวัน)<O:p</O:p
    เมื่อคิดอย่างนี้ และเห็นนางอุตรายิ้มให้กับสามีของนางอุตราจึงเกิดความหึงหวงขึ้น<O:p</O:p
    (ไม่น่าเชื่อนะ แค่ไม่กี่วันบนเรือนเศรษฐี สุขสบายกว่าบ้านของเธอทำให้ลืมไปเลย)<O:p</O:p
    ความหึงหวงทำให้เธอเดินลงมาจากชั้นบน เดินเข้าไปในโรงครัวเอาทัพพีตักน้ำมันเนยใสที่เดือดพร่านในกระทะทอดขนม ด้วยความคิดว่าเราจะเทราดลงไปบนศีรษะของนางอุตรา<O:p</O:p
    ดวงตาเธอจ้องไปที่นางอุตรา มือก็จับทัพพีตักน้ำมันเนยใสที่ร้อนๆในกระทะแล้วเดินมา<O:p</O:p
    นางอุตราเห็นนางสิริมาตักน้ำมันเนยใสร้อนๆเธอก็รู้ว่านางสิริมากำลังจะทำอะไรกับเธอเธอก็คิดจะทำอะไรตอบกับสิริมาด้วยเช่นเดียวกัน<O:p</O:p
    เธอคิดแผ่เมตตา<O:p</O:p
    (ไม่ใช่พอเห็นถือทัพพีเข้ามาก็คว้าอีโต้ลุยกัน ไม่ใข่นะ นั่นไม่ใช่อุตราอุตรานี่ส่งยิ้มแล้วก็แผ่เมตตาในใจ)<O:p</O:p
    อุตราแผ่เมตตาในใจว่า สิริมาเธอเปรียบเสมือนกับเป็นสหายของเราเธอทำอุปการะคุณกับเรามาก จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับพระคุณของสหายของเรานี้มากเหลือเกิน ใส่จักรวาลน่ะไม่พอแล้วก็สูงส่งกว่าพรหมโลกตั้งเยอะแยะ เพราะเธอให้โอกาสเราเพราะเธอดูแลปรนนิบัติสามีของเรา<O:p</O:p
    (แต่คนจะคิดได้อย่างอุตรานี่ยากเหมือนกันนะ ที่หาตัวแทนมานี่)<O:p</O:p
    เราได้อาศัยเธอจึงได้มีโอกาสได้ถวายทานและก็ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราได้มีโอกาสสร้างบุญใหญ่ที่มีบุญอย่างไม่มีประมาณเพราะการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่บังเกิดขึ้นได้ยากเราได้เป็นพระโสดาบันก็เพราะท่านเพราะฉะนั้นถ้าตอนนี้เรามีความโกรธนางสิริมาแม้เพียงนิดเดียว ของให้เนยใสร้อนๆที่เธอกำลังถือมาราดเรานั้น จงลวกเราเถิดแต่ถ้าในใจของเราแม้แต่นิดเดียวไม่มีความขุ่นมัว ไม่โกรธเธอเลย ขออย่าให้เนยใสร้อนๆนั้นลวกเราเลย<O:p</O:p
    สิริมาก็ไม่พูดอะไรเดินหน้าบึ้งเข้าไป แต่อุตรานั้นส่งยิ้มให้<O:p</O:p
    นางสิริมาก็ราดเนยใสที่เดือดพร่านนั้นลงไปบนศีรษะของนางอุตราแต่ปรากฎว่าเนยใสร้อนๆ นั้นเหมือนน้ำที่เพิ่งออกมาจากตู้เย็น สบายไม่ร้อนเลย<O:p</O:p
    (ก็แสดงว่าในใจของอุตรานั้นมีแต่สำนึกในพระคุณของสิริมาที่ให้โอกาสเธอสิบห้าวันมาฟังธรรม มาถวายทานมาฟังอุโบสถศีล แม้ว่าจะเป็นการจ้างด้วยเงินหนึ่งหมื่นห้าพันกหาปณะก็ตามเพราะฉะนั้นความขุ่นมัวไม่มีในใจเลย)<O:p</O:p
    แต่คนขุ่นมัวกลับโดนทาสีของนางอุตราที่เห็นสิริมายังเดินถือทัพพีไปตักเนยในที่เดือดพร่านนั้นอีกก็รู้ว่ากำลังจะไปทำอะไรอีกจึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทุกทิศทุกทาง ตรงเข้าไปทำร้ายนางสิริมา<O:p</O:p
    นางอุตราก็รีบเข้าไปห้ามเหล่าทาสีของตนว่า<O:p</O:p
    อย่า อย่า ลูกอย่าไปทำสิริมา<O:p</O:p
    แล้วก็เดินเข้าไปถามสิริมาว่า<O:p</O:p
    สิริมาเธอเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วที่เธอตักเนยใสร้อนๆ ในกระทะมาราดเราเธอทำเพื่อต้องการอะไร บอกเราเถิด เราจะให้ เธออย่าทำอย่างนี้เลยมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันจะเป็นบาปของเธอ ปาบแล้วจะไปมหานรก<O:p</O:p
    ...เราไม่มีความขุ่นมัวในตัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียวมีแต่ความรักและความสงสารในตัวเธอ นึกถึงพระคุณของเธอที่เธอให้โอกาสแก่เราได้มาถวายทาน มาฟังธรรม มารักษาศีลเราไม่ได้คิดเลยว่าเราจ้างเธอมา แต่คิดว่าเธอให้โอกาสเราและต่อจากนี้ไปเธออย่าทำเลย เลิกเถิด เราไม่โกรธหรอก<O:p</O:p
    แล้วก็ให้โอวาทอย่างนี้ และก็ให้บริวารนำนางสิริมาไปอาบน้ำอุ่นแล้วนำน้ำมันที่หุงอย่างดีแล้วร้อยครั้ง กลั่นแล้วกลั่นเล่าเอามาทาให้เพื่อไม่ให้เกิดฟกช้ำดำเขียว(จากการทดลองวิทยาศาสตร์)<O:p</O:p
    ขณะนั้นนางสิริมาก็รู้ว่า เอ้อ จริงนะ เราเป็นเพียงแค่หญิงภายนอกเป็นโสเภณี เป็นหญิงงามเมือง นางอุตราจ้างเรามาหมื่นห้าพันเพื่อปฏิบัติสามีของเธอเราไม่น่าจะทำอย่างนี้เลย<O:p</O:p
    เรารดเนยใสที่เดือดพร่านลงบนศีรษะของเธอเพราะเหตุเพียงสามีชั่วคราวของเราหัวเราะ เราได้ทำกรรมหนักซะแล้ว และเธอยังมีเมตตายังไปสั่งห้ามพวกบริวารของเธอไม่ให้มาทำร้ายเราอีก โอ้ เธอดีจังเลย นางอุตราเธอไม่ได้โกรธเราเลยแถมพูดกับเราดีๆ ด้วย ได้ห้ามปรามทาสี ทาสของเธอไม่ให้ทำร้ายเราเราได้ทำกรรมหนักแล้วละ โอ้ เราจะทำอย่างไรดีให้เธอยกโทษให้เราและเราจะได้ไม่มีบาปมีกรรม<O:p</O:p
    หญิงงามเมืองหรือโสเภณีเริ่มมีความสำนึก เพราะความดีของนางอุตราเหมือนแก่นจันทร์หอมตอบแทนคมขวานที่ฟันไปที่แก่นจันทร์ด้วยความหอม<O:p</O:p
    เธอให้ได้หญิงรับใช้ทำกิจที่งดงามแก่ตัวเรา เอาน้ำมันมานวดอาบน้ำอุ่นให้กับตัวเรา ถ้าเราไม่ขอให้เธอยกโทษให้ศีรษะเราคงจะต้องแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยงแน่ๆ<O:p</O:p
    ว่าแล้วก็หมอบลงแทบเท้าของนางอุตราซึ่งเมื่อสักครู่เพิ่งเอาเนยใสราดบนศีรษะ และกล่าวว่า<O:p</O:p
    แม่คุณขอให้คุณแม่จงยกโทษให้ดิฉันด้วยเถิดยกโทษให้สิริมาด้วยเถิด<O:p</O:p
    ส่วนนางอุตรานั้นต้องการให้เธอได้รับฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการโปรดเธอให้พ้นจากฐานะของการเป็นหญิงงามเมืองยกระดับจิตของเธอให้สูงขึ้น<O:p</O:p
    (นี่คือความคิดของนางอุตราพระโสดาบัน ผู้มีจิตใจที่งดงาม)<O:p</O:p
    เธอจึงได้กล่าวว่า<O:p</O:p
    สิริมา ฉันเป็นหญิงที่มีบิดานะ ถ้าหากบิดาของฉันยกโทษให้ฉันก็จะยกโทษให้เธอ<O:p</O:p
    (ที่จริงเธอก็ไม่ได้เอาโทษแต่ว่าเป็นกุสโลบายที่จะให้สิริมาได้ฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรด)<O:p</O:p
    โอ คุณแม่ เรื่องนั้นไม่ลำบากหรอกดิฉันจะไปกราบแทบเท้าท่านปุณณเศรษฐี บิดาของคุณแม่<O:p</O:p
     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    นางอุตราบอกว่า<O:p</O:p
    ท่านปุณณะน่ะ ท่านเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดฉันในวัฎสงสารเท่านั้นแต่ว่าบิดาผู้ให้ฉันเกิดและหลุดพ้นจากวัฎสงสารนั่นต่างหากฉันต้องการให้บิดาท่านนี้ยกโทษให้เธอ<O:p</O:p
    ใครกันเล่าเป็นบิดาที่กล่าวว่าทำให้ท่านเกิดและหลุดพ้นจากวัฎสงสาร<O:p</O:p
    (สงสัยจะยังไม่เคยได้ยินคำนี้)<O:p</O:p
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไงล่ะจ๊ะ<O:p</O:p
    โอ คุณแม่ ดิฉันไม่คุ้นเคยกับพระองค์ท่านน่ะ<O:p</O:p
    ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยเธอเองพรุ่งนี้พระบรมศาสดาท่านจะเสด็จมาพร้อมภิกษุสงฆ์มาที่นี้ เอาอย่างนี้เธอจงถือเครื่องสักการะตามแต่เธอจะหาได้ แล้วก็มาที่นี่คือเธอต้องจัดเครื่องสักการะเองแล้วฉันจะพาเธอเข้าไปกราบและขอให้พระองค์ยกโทษให้<O:p</O:p
    ได้ค่ะคุณแม่<O:p</O:p
    สิริมารับคำและก็กลับบ้าน ให้หญิงบริวารห้าร้อยของตนที่บ้านเตรียมอาหารอย่างดีมาเลย<O:p</O:p
    วันรุ่งขึ้นก็มาที่บ้านนางอุตราพร้อมด้วยหญิงรับใช้และเครื่องสักการะแต่ไม่กล้าใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขแต่จะยืนอยู่ห่างๆ เพราะตนมีความผิดและก็มีความรู้สึกว่าอาชีพที่เธอทำนั้นมันไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปใกล้<O:p</O:p
    (ความรู้สึกมันลึกๆ ในใจเป็นอย่างนั้น)<O:p</O:p
    ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสายตาของนางอุตราเธอเห็นแล้วเธอก็เดินยิ้มเข้าไปรับเอาของเครื่องสักการะจากมือของสิริมาและนำมาถวายแทนให้<O:p</O:p
    พระผู้มีพระภาคเจ้าและคณะสงฆ์ก็รับภัตตาหารและขบฉันเมื่อภัตตกิจเสร็จแล้วนางสิริมาเห็นว่าพระองค์ทรงเสวยและคณะสงฆ์ขบฉันภัตตาหารของตนด้วย ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด ก็เลยกล้าเขามากราบและหมอบกราบใกล้ๆ พระบรมศาสดา และก็กล่าวว่า เธอได้กระทำความผิดต่อนางอุตราและขอให้พระองค์ทรงยกโทษให้<O:p</O:p
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงทราบแล้วแต่ต้องการทำความคุ้นเคยกับนางสิริมาไม่ให้นางรู้สึกเก้อเขินให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเอง จึงยกคำถามขึ้นว่า<O:p</O:p
    เธอมีความผิดอะไรหรือ<O:p</O:p
    นางสิริมาก็กราบทูล<O:p</O:p
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเมื่อวานนี้ดิฉันได้ทำร้ายนางอุตราผู้เป็นธิดาของพระองค์ แต่นางไม่ถือโกรธเลยกลับห้ามนางทาสีที่พากันเบียดเบียนหม่อมฉันได้ทำอุปการะแก่หม่อมฉันแต่เพียงอย่างเดียว หม่อมฉันรู้สึกถึงคุณของนางจึงขอให้นางยกโทษให้ นางได้กล่าวว่า หากพระองค์ยกโทษให้จึงจะงดโทษนั้นให้ด้วย<O:p</O:p
    (พูดอย่างนี้นี่ไม่ใช่แปลว่าสารภาพบาปอย่างเดียว การสารภาพบาปอย่างเดียวบาปยังไม่หมดนะ ต้องล้างบาปด้วยการทำความดีในใจ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอใจหยุดก็หลุดพ้น หากใจไม่หยุดไม่หลุดพ้นจากบาปหรอก ให้ใครมาไถ่แทนมันยากล้างไม่ได้ เพราะบาปมันอยู่ในใจ นี่เธอมาสารภาพบาปแล้ว แต่บาปยังไม่หมดนะแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะมีวิธีล้างให้ โดยให้เธอฟังธรรม และปฏิบัติธรรมเพราะพอใจหยุดก็หลุดพ้น หลุดพ้นจากบาปอกุศลนี่วิธีไถ่บาปที่ถูกหลักวิชชาเขาทำกันอย่างนี้)<O:p</O:p
    อุตราได้ยินว่าสิริมาว่าอย่างนั้นหรือ<O:p</O:p
    อย่างนั้นเจ้าข้าเมื่อวานนี้สิริมาหญิงสหายของหม่อมฉันได้รดเนยใสที่เดือดพร่านลงบนศีรษะของหม่อมฉันเมื่อเป็นอย่างนั้นเธอคิดอย่างไรล่ะ หม่อมฉันคิดว่า จักรวาลนี่แคบนักพรหมโลกก็ต่ำเกินไปคุณของสิริมานั้นมากอย่างยิ่งเพราะว่าหม่อมฉันนั้นได้อาศัยเธอมาปฏิบัติหน้าที่ภรรยาชั่วคราวแทนหม่อมฉันจึงได้มีโอกาสได้สั่งสมบุญได้ให้ทานและก็ฟังธรรมถ้าหากหม่อมฉันมีความโกรธต่อนางแม้แต่นิดเดียวให้เนยใสที่เดือดพร่านนี้จงลวกหม่อมฉันเถิด แต่ถ้าหากความโกรธไม่มีแม้แต่นิดเดียวก็จงอย่าลวกและหม่อมฉันก็ได้แผ่เมตตาให้นางสิริมาเจ้าค่ะอุตราได้กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<O:p</O:p
    ดีแล้วอุตรา การชนะความโกรธได้อย่างนี้ถูก สมควรแท้แปลว่าถูกหลักวิชชา<O:p</O:p
    ...คนมักโกรธพึงชนะด้วยความไม่โกรธ<O:p</O:p
    ...คนมักด่าและติเตียน พึงชนะด้วยการไม่ด่าตอบ<O:p</O:p
    (คือทำเฉยๆ ปล่อยให้เขาบ้าไปคนเดียว เดี๋ยวเขาหมดแรงก็เลิกด่าไปเองและคำด่าก็มีจำกัด ไม่มีอะไรใหม่ พจนานุกรมของคำด่ามีไม่เกินสิบบรรทัดเดี๋ยวก็หมดแล้ว ยิ่งด่า ยิ่งเหนื่อย ยิ่งหมดแรง เดี๋ยวก็เลิกเอง)<O:p</O:p
    ...คนตระหนี่ ตระหนี่จัด พึงชนะด้วยการให้ของของตนเอง<O:p</O:p
    (คือหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ถ้าตระหนี่หวงแหนเสียดายทรัพย์จงรีบให้ทันทีตระหนี่ตอนไหนรีบให้ ให้สังเกตดูตัวเรา)<O:p</O:p
    ...คนมักพูดเท็จ พึงชนะด้วยการพูดคำจริง"<O:p</O:p
    (คือถ้าเราจะเอาชนะอุปนิสัยของการชอบพูดคำเท็จให้เปลี่ยนด้วยการหนามยอกเอาหนามบ่ง คือพูดเรื่องจริงไปเลย พูดบ่อยๆ ซ้ำๆ หนักเข้าคำเท็จก็จะหลีกหายไปเลย ล่มสลาย)<O:p</O:p
    เมื่อจบพระธรรมเทศนา ที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม<O:p</O:p
    (นี่เป็นแค่หัวข้อนะ ไม่ใช่ฟังแค่นี้ก็บรรลุ ท่านอธิบายอะไรต่างๆไปเรื่อยเลย)<O:p</O:p
    หลังจากฟังสารภาพบาปแล้ว พระองค์ก็ไถ่บาปด้วยการแสดงธรรมแล้วนางฟังธรรม และปฏิบัติตาม(คือปล่อยใจตามกระแสธรรมนั้น)<O:p</O:p
    ในที่สุดนางสิริมา และบริวารห้าร้อย ก็ได้บรรลุโสดาบัน<O:p</O:p
    (ได้เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหน้าตักห้าวา สูงห้าวา ใสปิ๊งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระรัตนตรัย)

    <O:p</O:p
    <O:p</O:phttp://www.settomorrow.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=settomorrowcom&thispage=4&No=315496
     
  8. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    ผู้หญิงหรือผู้ชายนี่มีคนปกครอง ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ก็ต้องมีเมียปกครอง ไม่ใช่ว่าเฉพาะสามี ภรรยาใคร หญิงโสดยังมีคนปกครอง ผู้ปกครองมี

    ข้างบนนี้พอจะตอบคุน กุสโล ได้บ้างนะคับ
    ซึ่งก้อธิบายอีกทีก็คือ พวกที่อยู่ก่อนแต่ง เนี่ย ถ้าเราเป็นฝ่ายชาย เราต้องดูว่า เขามีพ่อมีแม่มั้ย ถ้าไม่มีใครเป็นผู้ปกครองดูแล และเขาเหล่านั้นอนุญาติมั้ยให้มาอยู่ด้วยกันกับเรา ถ้าเขาอนุญาติก้แล้วไป ถ้าไม่อนุญาติก็ กาเม...... แน่นอนคับ
     
  9. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ธมฺโม หเว รกฺขติธมฺมจารี<O:p</O:p


    พระธรรมนี่แหละย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม<O:p</O:p

    <O:p</O:p


    บุญสำเร็จได้ด้วยการ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p

    <O:p</O:p


    ขอให้ทุกท่านมีความเจริญยิ่งขึ้นในพระพุทธศาสนา<O:p</O:p
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...