แบบนี้เรียกว่าได้มนมยิทธิหรือยังครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธนานุวัตร, 3 มีนาคม 2008.

  1. ธนานุวัตร

    ธนานุวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +968
    ถามผู้รู้นะครับ เมื่อวันเสาร์ที่ 1ที่ผ่านมาผมได้ไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม หลังจากที่ได้ฝึกเสร็จแล้วกลับมาบ้านก็เกิดสงสัยอีกว่าตัวเองได้มโน รึเปล่าเพราะว่ามีคนที่มาฝึกด้วยกันคนนึงไม่ได้ฝึกนานประมาณ 1ปี กลับมาฝึกใหม่ ปรากฎว่าตัวเขารู้สึกว่าได้มโนชัดเจนโดยเฉพาะเขาเห็นตัวเขาเองว่าเป็นเทวดาสวยสดงดงาม แต่ตัวผมก็ไม่แน่ใจว่าที่ตัวผมเห็นนั้นใช่หรือหรือเปล่า พอครูฝึกพูดปั๊บภาพที่เห็นมันไม่ชัดบางทีบางทีก็เห็นบางทีภาพที่เห็นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมามุมนู้นมั่งมุมนี้มั่ง โดยเฉพาะที่พระจุฬามณีเจดียสถาน และอีกหลายๆที่ก็เหมือนกัน แต่ว่าเวลาที่ครูฝึกถามปากจะตอบไปโดยทันทีทั้งที่ยังไม่เห็นภาพอะไรเลย ไม่รู้ว่าที่ตอบไปนั้นเรารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น หรือว่าเป็นอุปาทานกันแน่ อย่างนี้จะเรียกว่าได้มโนยังครับ แต่ผมไมได้ถามครูฝึก และครูฝึกบอกว่าถ้าได้แล้ววันหลังให้ไปฝึกที่ห้อง ญาณ 8 ผมก็เลยอยากไปฝึกที่ห้องญาณ 8 ดูมั่ง แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้มโนมยิทธิหรือยัง
     
  2. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    ได้แล้วละฝึกที่บ้านให้คล่องให้ชำนาญ นึกที่ไรไปได้ทุกทีอย่างนี้ใช้ได้
     
  3. ธนานุวัตร

    ธนานุวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +968
    ขอบคุณครับ จะลองฝึกที่บ้านดู แต่ไม่มีคนคอยแนะนำเลยไม่รู้ว่าจะเริ่มไปพระจุฬามณีย์ยังไง อ้อ!เวลาฝึกที่บ้านต้องมีดอกไม้ธูปเทียนงินบูชาครูไหมครับ
     
  4. เด็กชายพชร

    เด็กชายพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +98
    อยากไปฝึกที่ บ้านสายลม มั่งจัง แต่ไม่ว่างซักทีต้องเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน แง แง
    แต่เราไปวัดท่าซุงมา ตั้งใจว่าจะต้องไปปฏิบัติธรรมที่วัดฯ ให้จงได้
    อนุโมทนา ด้วยคะ
     
  5. ธนานุวัตร

    ธนานุวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +968
    รอให้ลูกโตอีกหน่อยแล้วพาลูกไปฝึกนะครับ ที่บ้านสายลมมีเด็กฝึกเยอะเหมือนกันซัก4-5ขวบขึ้นไปนี่แหละเท่าที่เห็นนะครับ
     
  6. เด็กชายพชร

    เด็กชายพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +98
    ขอบคุณคะที่ให้คำแนะนำ
    คนโต อายุได้ 2 ขวบเองคะ (ตอนท้องดิฉันชอบสวดทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นคะ)
    คนเล็ก อายุได้ 5 เดือนกว่า (ตอนท้องคนนี้แหละเป็นที่มาว่าอยากฟังเสียงพระสวด จึงได้รู้จักกับเว็บพลังจิต)

    ขอให้คุณธนานุวัตร ตั้งใจปฏิบัตินะคะ และขอให้สมความปรารถนาในทุกเรื่องที่ตั้งใจคะ
     
  7. ธนานุวัตร

    ธนานุวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +968
    เช่นกันครับ ไว้ให้เด็กโตแล้วลองพาไปฝึกนะครับ
     
  8. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ________________________________________________

    ขออนุโมทนากับคุณธนานุวัตรด้วยค่ะ

    คุณได้มโนมยิทธิแล้วค่ะ แต่เป็นแบบครึ่งกำลังค่ะ ดิฉันก็ปฏิบัติที่บ้านเองเหมือนกันค่ะ มีลูกสาว ๕ ขวบกว่าค่ะ เคยไปฝึกที่ซอยสายลม ทั้งมโน ฯ และญาณ ๘ ค่ะ ฝึกเพียงพอทราบแนวปฏิบัติ แล้วไปทำเองที่บ้านค่ะ

    การฝึกมโน ฯ ที่บ้าน ควรมีเครื่องบูชาครู และปฏิบัติดังนี้ค่ะ

    1. ธูป เทียน ดอกไม้ 3 สี และเงินอย่างน้อย 1 สลึง เพื่อบูชาครูค่ะ เพราะจะทำให้การปฏิบัติก้าวหน้าเร็วขึ้น

    2. ก่อนทำให้นึกน้อมในใจว่า คนเราเกิดมามันเป็นทุกข์ ร่างกายมันเป็นทุกข์ ต่อไปนี้ เราจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ และตายจากชาตินี้ไป เราไม่ไปไหน พรหม เทวดา มนุษย์ เราไม่ไป เราขอไปพระนิพพานที่เดียว

    3. ขอขมาพระรัตนตรัย สมาทานพระกรรมฐาน ตามแบบวัดท่าซุง
    4. จากนั้น กำหนดลมหายใจเข้า "นะมะ " หายใจออก "พะทะ" ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตจะสบาย ๆ ไม่เคร่งเครียด

    การฝึกมโนมยิทธิ เพื่อขึ้นไปกราบพระจุฬามณี หรือไปพระนิพพาน

    วิธีการต่อไปนี้ ได้จากการปฏิบัติของดิฉันเองค่ะ อาจจะไม่ตรงกับที่ครูฝึกสอนเลยทีเดียว ขอลองพิจารณาดูนะคะ


    1. หลังขอขมาพระรัตนตรัยและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ให้กำหนดลมหายใจเข้า "นะมะ " หายใจออก "พะทะ" (ตามทีครูฝึกเคยสอน) ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตจะสบาย ๆ ไม่เคร่งเครียด

    2.จากนั้น กำหนดภาพพระที่เราชอบ เช่น พระวิสุทธิเทพ พระแก้วใส หรือพระพุทธชินราช หลวงพ่อโสธร (ตามใจชอบ) คือ การน้อมใจนึกถึงภาพพระดังกล่าว

    3. เมื่อเห็นภาพพระแล้ว ให้กำหนดภาพเรา อยู่ต่อหน้าองค์พระค่ะ ภาพที่เห็นจะแต่งกายอย่างไรไม่ต้องสนใจ ขอให้ทราบว่า บุคคลตรงหน้าพระคือ ตัวเรา

    4. นึกน้อมใจกราบขอขมาท่านก่อน จึงอาราธนาขอให้ท่านพาไปเที่ยวชมพระจุฬามณี ไปวิมานของเราทีดาวดึงส์ หรืออาราธนาท่านให้พาไปพระนิพพานต่อค่ะ

    กรณีที่ไปพระนิพพาน จุดแรกจะเป็นวิมานของพระพุทธเจ้าก่อน แล้วค่อยไปที่วิมานของเราค่ะ ถ้าไปที่วิมานของเรา ลองเข้าไปนั่ง หรือนอน ว่า ทำได้หรือไม่ ถ้ายังไม่ได้หมายถึง อยู่ 2 อย่างคือ

    1. ศีลไม่บริสุทธิ์
    2. กำลังใจยังไม่ถึงพระนิพพานชาตินี้ค่ะ

    เมื่อไปได้แล้ว ให้ไปทุกวันค่ะ ก่อนนอน และตื่นนอน ขอให้หลับและตื่นอยู่กลางวิมานของเราค่ะ ระหว่างวัน ให้หมั่นทรงอารมณ์อยู่กับลมหายใจตตลอดเวลา คือ เมื่อเราไม่ได้สนทนากับใคร หรือเวลาที่เราทำงาน ให้ภาวนาพุทโธ หรือนะมะพะธะ ก็ได้ หรือจะท่องพระคาถาเงินล้านก็ได้ค่ะ ตามถนัด ใจให้อยู่กับการกำหนดลมหายใจ

    การทำเช่นนี้จะทำให้มโนมยิทธิแจ่มใสค่ะ สาเหตุที่คุณไม่แจ่มใส อาจจะตื่นเต้นคุมอารมณ์ยังไม่ดีพอ ถ้าฝึกอานาปานสติบ่อย ๆ จะทำให้การทรงอารมณ์ดีขึ้นคะ อีกประการเรื่องของศีลด้วยคะ ถ้าศีล ๕ บริสุทธิ์ มโนยยิทธิก็แจ่มใสด้วยค่ะ

    การฝึกมโนมยิทธิ สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างค่ะ แต่เราไปเป็นเพื่อความดับทุกข์ และเบื่อหน่ายการเกิด และหาหนทางเข้าสู่มรรถ ผล พระนิพพานได้ง่ายค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญทุก ๆ บุญค่ะ

    น้ำใส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2008
  9. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +3,069
    สำคัญ คือ อย่าทิ้งคำภาวนา
    ยืน เดิน นั่ง นอน ถ้าว่างให้จับลมหายใจและคำภาวนาทันที
    เมื่อเข้าที่ฝึก จิตจะไม่สับส่าย
    จะได้เห็นชัดเจนละเอียดขึ้น
    ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีสติมากขึ้น
     
  10. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ส่วนตัวผมไม่เคยฝึกวิชานี้เลยครับ เมื่อก่อนก็อยากทำได้เหมือนกัน แต่พอภาวนา นะมะพะทะ แล้วรู้สึกจิตร้อนๆ ไม่สงบร่มเย็นกายใจเลยเลิกไปกลางคัน ตอนนั้นก็งมเอาเองครับ ไม่มีคนทำได้คอยแนะนำอย่างใกล้ชิดเลยไม่ได้รู้กับเขา

    ทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตนเองได้วิชานี้หรือเปล่า แต่นั่งภาวนาถึงอุปจาระแล้วไปเห็นภาพสถานที่โน่นนี่นั่นบ่อยครับ ถือเป็นเรื่องปกติของผมไปเลย แต่ไม่ได้ใช้คำว่า นะมะพะทะ ตามแบบที่ท่านสอนกันนะครับ ของผมภาวนาอย่างอื่นแต่พอถึงอุปจาระมันเห็นได้ของมันเอง ผมก็ไม่รู้ว่ามันใช่ที่เขาเรียกว่ามโนมยิทธิอันเดียวกันหรือเปล่า ของผมไม่ใช่นึกเอาเองนะเป็นภาพเหมือนเรายืนอยู่สถานที่เลย แต่ผมไม่รู้จะไปไหน มันออกไปเที่ยวเองตามสถานที่ๆมันเคยไปพูดถึงจิตนะครับ
     
  11. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ส่วนตัวถึงแม้จะไปเห็นโน่นนี่นั่นได้บางทีเห็นพระสงฆ์เห็นภพภูมิวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเท่ห์อะไรนะครับ เห็นก็เห็นแบบเราเห็นคนธรรมดากันนี่แหละไม่น่าตื่นเต้นอะไรด้วย ส่วนใหญ่ผมจะเน้นแผ่บุญให้ภพภูมิมากกว่ามาให้เห็นประจำครับ ยิ่งไปสถานที่แปลกๆที่ยังไม่เคยไปคืนแรกเหมือนนัดกันมา

    ปล.ใครได้แล้วก็มาคอนเฟิมให้ผมหน่อยละกันว่าที่ผมเห็นโน่นนี่นั่นได้เองใช่มโนมยิทธิแบบสายที่วัดท่าซุงปฏิบัติกันหรือเปล่านะครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คำว่าได้หรือไม่ได้ อย่าพูดเลยครับ
    ถ้ายังสงสัย ในเรื่องแบบนี้อยู่
    ว่าได้หรือไม่ได้
    แสดงว่า การปฏิบัติแนวทางนี้
    เรายังใช้ไม่ได้หรอกครับ
    พูดตรงๆคือ ยังไม่ได้เรื่อง
    ยังไม่ต้องไปถึงระดับโปรซีรีย์ทั้งหลาย
    ที่สามารถยกกายนามธรรมไปหาใครก็ได้
    แบบสิวๆ หรือระดับท่านที่แหวกอากาศ
    มาให้เราเห็นได้แบบตาเนื้อเลยครับ
    ยังห่างไกลอีกหลายขุม


    ถ้ายังไม่เข้าใจ ยังลังเลสงสัยแบบนี้
    ให้มาดูว่า เราได้เจริญสติมาต่อเนื่องดีพอหรือยัง
    หรือถ้ายังไปไหนต่อไม่ได้ ก็ให้มาดูว่า
    ในระหว่างวันเราได้ มีการมาวิปัสสนาตัดร่างกาย
    และมีการเสริมสร้างสมาธิสะสมเพิ่มเติมหรือไม่


    ควรมาเริ่มต้น วางอารมย์ใหม่แนวๆนี้
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ว่าเราพลาดอะไรตรงไหน
    เช่น ติดแต่นามธรรมหรือเปล่า จะเอาแต่ว่าจะต้อง
    เห็นแบบโน้นนี่นั้นหรือเปล่า อารมย์ไปแต่
    ในทางที่เห็นนามธรรมหรือเปล่า
    หรือไปรู้แต่เรื่องภายนอกต่างๆที่ไม่ใช่เรื่องภายในใจ
    ตนเองหรือเปล่า. คือ รู้เห็นแต่ภายนอก
    แต่ไม่ทัน ว่าการเกิดของเรื่องราวต่างๆ
    ที่เป็นกิเลสทั้งหลาย มันเกิดจากอะไร เพราะสาเหตุอะไร
    เพราะ ไม่ว่า เราจะเห็นเป็นภาพอะไรได้ก็ตาม
    ยังไงมันก็ยังประกอบด้วยสัญญาในการเห็นอยู่ครับ
    ดังนั้นการเห็นได้ จึงไม่ใช่ประเด็นหลัก
    มากกว่า การย้อนให้ได้ ด้วยสติด้วยปัญญาว่า
    สาเหตุอะไรที่ทำให้เราถึงเห็นแบบนี้
    เพื่อให้จิต มันย้อนค้นไปถึงต้นตอ
    ในการเกิดภาพต่างๆเหล่านั้นขึ้นมา
    มันถึงจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพจิตเราเองครับ



    เช่น เห็นภาพแค่เงาดำๆ รู้ได้ไหม ย้อนรู้ได้ไหม
    ว่าทำไมถึงเกิดภาพแบบนี้ ณ เวลาปัจจุบันนี้
    นี่จึงจะถือว่า พอไปได้ทางสายนี้
    พอย้อนรู้ได้แล้วตัวจิต มันถึงจะเข้าใจได้เองว่า
    ทำไมถึงได้เห็นแบบนี้

    ไม่ใช่มัวแต่สนใจว่า เห็นไม่ชัด สิ่งทีเห็นคืออะไร
    ทำไมถึงเห็น แล้วยิ่งเอาไปเล่าว่า ฉันเห็นโน้นนี่นั้น
    นี่มันยิ่งห่างไกล ปฏิปทาของท่านผู้ถ่ายทอดเลยครับ
    เรียกว่า คนละแนวทางกันเลย



    บุคคลที่จะไปได้ดีทางด้านนี้
    ควรมีการซ้อม การผิดๆบ่อยๆจะยิ่งเก่ง
    เพราะจะได้เห็นอารมย์ที่ผิดพลาดได้บ่อยขึ้น
    และเราไม่ได้ เอาความชัดเจน ในสิ่งที่เห็น
    เป็นตัวชี้วัด เพราะมันเป็นแค่ตัวบอกแค่สภาวะจิต
    ณ ช่วงเวลานั้นในเรื่องการตัด
    ความยึดมั่นถือมั่นร่างกายเฉยๆ
    ซึ่ง มันไม่ใช่สภาวะจิต ที่เป็นธรรมชาติจริงๆของเรา
    เราจะรู้ธรรมชาติจริงๆ ของตัวจิตเรา
    เราจะต้องมาดู ในขณะที่เราใช้ชีวิตประจำวันปกติ
    เหมือนคนทั่วไป เราจะไม่มาดูตอนที่เราฝึก
    ตอนเรานั่งสมาธิ หรือตอนที่เราหลับไปแล้วครับ




    ให้ดูที่ความสามารถในการนำมาใช้งานได้จริง
    ในชีวิตประจำวันปกติ ในทุกๆที่ ทุกเวลา
    ทุกสถานการณ์ และใช้ได้ภายในเสี้ยววินาที
    ซึ่งปกติผู้ฝึกนั้น จะได้ไปในทางด้านสายตาก่อน
    ในเบื้องต้น และตามด้วยทางด้านเจโตฯ
    แต่มันพิสูจน์อะไรยังไม่ได้ครับ
    และยังมีโอกาศที่จะหลงตัวเองได้สูงมาก....

    เอาแค่ว่า พอใช้ได้บ้างหรือยังดีกว่า
    โดยไม่ต้องตั้งท่า หรือมีลีลาประกอบการใช้งานอะไร
    แบบนี้ พอจะเรียกว่า พอไปได้......

    จากเจโตที่ชี้วัดอะไรไม่ได้
    ก็จะมาเป็นในเรื่อง ปัจจุบันสญาน
    และอนาคตังสญาน ในระหว่างวัน
    เช่น จะไปโน้นไปนั้น จะเจอนั่นโน้นนี่
    หรือถ้าย้อนอดีตก็ต้องค้นเหตุที่ทำให้เห็นภาพที่แสดง ณ ปัจจุบัน
    และภาพที่เห็น ก็ควรเป็นสากล คือไปปรากฏอยู่บนอากาศได้
    ไม่ใช่ยังเห็นภายใต้ความรู้สึกที่อยู่ในกายตนเอง
    พวกนี้มันไม่ปลอดภัย เพราะมีโอกาศที่ความคิด
    และขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมจะเข้ามาแทรกได้อย่างไม่รู้ตัว

    อยากรู้ว่าพอไปได้ไหม มันต้องใช้งานได้เป็นปกติ
    ในชีวิตประจำวันแบบ
    เป็นอัตโนมัติ ภายในเสี้ยววินาที
    และไม่ใช่ไปทางดูหมอดูดวง


    การที่ระดับสมาธิจมแช่อยู่ในสภาวะใดสภาวะหนึ่ง
    โดยไม่มีพัฒนาการไปไหน
    เราเรียกว่า อาการ จมหรือแช่ ต้องมาสร้างกำลังสมาธิสะสม
    เพิ่มเติม ด้วยการเจริญสติให้ต่อเนื่องในระหว่างวัน
    นั่งสมาธิสะสมเอาแค่ระดับที่จิตสงบ
    และต้องรู้จัก ระลึกตัด นิมิตต่างๆที่เห็นให้ทัน
    เรียกว่า เห็นปุ๊บ ตัดปั๊บ อย่าลืมตา แล้วมาทำสมาธิต่อ
    มันถึงจะมีพัฒนาการต่อไป ไม่งั้น จิตเราจะเข้าสู่สภาวะจิต
    พิการ หรือ ซื้อบื้อ คือ มันไม่พัฒนาต่อในทางด้านปัญญา
    ที่ต่อไปจะเป็นปัญญาญาน เพื่อค้นไปสู่
    การหาเหตุแห่งการเกิด และ ดับ ของภาพและเรื่องราว
    ความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันครับ.....


    การไปได้ แบบไม่ทันระหว่างที่ออก
    หรือไปถึงเลย และยิ่งไม่รู้ว่า คือที่ไหน
    เป็นใคร พวกนี้บอกว่า สติทางธรรมเราไม่พอทั้งสิ้น

    ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย เป็นระดับพอใช้งานได้
    แบบกำลังเล็กๆน้อยๆ

    อย่าได้ไปเข้าใจว่า เต็มกำลังแบบฟูลออฟซั่น
    อะไรเลยครับ พูดไปเข้าใจไป มีแต่พาลจะหลงตัวเองเปล่าๆ
    และยิ่งทำให้ปรากฏกับบุคคลอื่นๆยังไม่ได้ด้วยแล้ว
    ยิ่งแล้วไปใหญ่ และถ้ายังไปไม่ได้
    แบบระดับโปรซีรีย์ท่านต่างๆ
    ที่ทำได้เลยเดี๋ยวนั้นแบบชิวๆครับ

    ยกเว้นว่า จะยกกายไปหาใครก็ได้ไม่ว่ากันครับ

    ปล.ไม่คิดมาก ดูว่า ใช้งานได้ในเวลาลืมตาปกติ
    ภายในเสี้ยววินาที ทุกที่ ทุกสถานหรือยัง
    นี่คือ พอไปได้ บุคคลที่จะมาทางด้านนี้ได้ดี
    จะต้องมีความฉลาดในเรื่องการอฐิษฐานเป็นทุนเดิม

    แค่เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ



     

แชร์หน้านี้

Loading...