ท่านเคยทรงอรูปณาน ได้นานกี่ ชั่วโมง

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 17 กันยายน 2016.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เป็นสภาวะของอารมย์ที่โน้มไปในทางด้านวิปัสสนาหรือเปล่า..
    แต่ไม่ใช่สภาวะจิตที่ทำงานหรือใช้งานหรือกำลังเข้าถึง
    สภาวะอรูปฌานนะ..คนละแบบกันเน้อ ลองพิจารณาดูอีกรอบเน้อ...
    จริงอยู่ตอนที่ GhostHead ใช้งานนั้นมันมีฐานจากความว่างมา
    ก่อนเป็นทุน แม้ดึงภาพมาเห็นโน้นนี่นั้นได้ก็ตามและมันดูเหมือน
    มีการขยายพลังงานจากภายในออกไปภายนอก แต่ว่ามันยังขาด
    ในเรื่องของการเล่นกับพลังงานภายนอกและเรื่องวิญญานอยู่ ถ้ามีวิญญาน
    มีพลังงานงานภายนอกมาร่วมเล่นด้วย ตอนใช้งานยังไงๆร่างกายก็ต้องนิ่ง

    เพราะถ้าเข้าถึงสภาวะอรูปฯใช้งานแล้ว เราจะเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกาย
    ไม่ได้แล้วนะเพราะจิตมันทิ้งกายไปแล้ว ประมาณนี้..(^_^)
    จขกท.น่าจะหมายถึงสภาวะอย่างหลังมากกว่านะ..
    ปล.ยังไงลองสังเกตุเพิ่มเติมอีกหน่อยดูเน้อ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035

    เด่วช่วยเล่าให้ฟังนะครับ
    จริงๆทริคที่จะผ่านสภาวะอารมย์
    พวกนี้ส่วนตัวเคยเขียนไปหมดแล้วถ้าได้อ่าน
    ในคำแนะนำเก่าๆนะครับ
    แต่ถือว่า เป็นการทวนซ้ำให้แล้วกันนะครับ
    ประเด็นแรก ลพ.ท่านกล่าวได้ถูกแล้วครับ....
    ประเด็นที่ ๒ ถ้าจะขึ้นรูปด้วยอะไรให้ขึ้นรูปนั้นๆ
    จนกระทั่งทำให้ได้ อย่าเปลี่ยนครับ เพราะจะทำให้
    ช้าถึงช้ามากครับ
    ประเด็นที่ ๓ ให้เข้าใจว่าประกายพรึกนะ คือ เราจะเห็น
    ลักษณะของแสงต่างๆหลายๆจุดมีมากมาย จนมองรวมๆ
    แล้วแสงเหล่านั้นรวมกันจะเป็นประกายพรึกครับ
    ไม่ใช่แบบว่าวัตถุนั้นสว่างจร้านะครับ เข้าใจเนาะ..
    ประเด็นที่ ๔ ขึ้นภาพได้นะดีแล้วครับ ภาพจะปรากฏได้ก่อน
    ในเบื้องต้น เรียกว่า อุคคนิมิต ภาพระดับนี้ไม่ว่าจะเป็นภาพ
    อะไรยังถือว่าเป็นโทษได้หมด เพราะแม้เราเล่นกับภาพได้
    ก็ไม่มีผลอะไรกับตัวจิต และยังอาจพาลให้หลงได้ถ้าหากไปยึดติด
    กับภาพครับ..ถ้ามาถึงตรงนี้ได้ ให้จำทริคที่จะพูดให้ดีๆนะครับว่า
    พอเห็นภาพได้ปั๊บ ให้เราถอยอารมย์ปุ๊บ เห็นปั๊บถอยปุ๊บ
    ทำบ่อยๆครับ อย่าไปคิดว่าจะต้องรักษาภาพให้นานนะครับ
    เพราะจะทำไม่ได้ และเสียเวลาเปล่าๆ เพราะมันจะไม่มีกำลังสมาธิ
    สะสมในการที่จะเข้าสู่อารมย์และสติเพียงพอที่จะรักษาภาพไว้ได้ครับ

    พอเราเห็นปั๊บแล้วถอยปุ๊บ ทำบ่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    เราจะได้กำลังสมาธิสะสมและจิตจะคุ้นเคยกับสภาวะอารมย์
    ในการรักษาภาพตรงนี้ได้เอง...
    และการตรวจสอบ ให้ดูในสภาวะลืมตาปกติ ว่าถ้าเรามองไป
    ในอากาศมุมสูงแล้ว บนอากาศสามารถสร้างเป็นภาพนั้น
    ได้ภายในเวลาวินาทีหรือไม่ ถ้าทำได้แสดงว่า จิตเริ่มเป็นทิพย์
    และเริ่มสร้างภาพได้แล้ว..

    หลังจากนั้นพอกลับมานั่งสมาธิใหม่ๆ พอเห็นภาพก็ให้ทิ้งและ
    เฉยๆไปเลยครับ แล้วก็นั่งต่อไปเรื่อยๆ ถ้ากำลังสมาธิสะสมมากพอ
    จากการที่เราเคยเห็นปั๊บทิ้งปุ๊บที่ผ่านมาเพียงพอ..
    ตัวจิตถึงจะก้าวพัฒนาขึ้นมาสร้างภาพแบบเดียวกันแต่ว่า
    จะมีประกายพรึกได้ของมันเองครับ...
    ถึงตรงนี้ต้องระวัง รักษาระยะระหว่างจิตกับภาพด้วยนะครับ
    ระยะตรงนี้ต้องหาเอง ไม่งั้นจะถูดดูดเข้าไปในภาพได้
    และจะทำอะไรไม่ได้...จะเหมือนหลุดไปในมิติอื่นๆ

    และถ้ามาถึงจุดที่เป็นประกายได้ มีให้เลือก ๓ แนวทาง
    ๑.เล่นกับภาพ ให้ได้มากที่สุด คือย่อหรือขยายก็ได้
    จะได้กำลังจิต ในเวลาลืมตาปกติจะเล่นกับพลังงานได้ปกติ
    ๒.อฐิษฐานจิต รายละเอียดเคยเล่าไปแล้วว่ามันจะเป็นอย่างไร
    จะได้ทางด้านการรู้เห็นต่างๆ และลืมตามาก็จะสามารถทำได้
    ในระดับตาเปล่าๆ
    ๓.ทิ้งภาพนั่นซะ แล้วสร้างขึ้นมาใหม่(ที่ให้สร้างใหม่เพราะ
    เพื่อประกันว่าเราจะไม่หลุดจากสภาวะอารย์ตรงนั้น)
    และก็ทิ้งอีกครั้งแล้วไปพิจารณา
    จะได้กำลังสมาธิสะสมที่มากขึ้น
    ในเวลาลืมตาปกติจะสามารถใช้สมาธิได้
    ถึงระดับกำลังฌาน ๓ ได้เป็นปกติ...
    ถือว่าแค่เพียงแต่เล่าให้ฟังนะครับ
     
  3. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    อ้อประกายเช่นนั้นเอง ครับ

    ผมเคยเเต่นั่งสมาธิเเล้ว จิตสว่างจร้า คล้าย เปิดดวงไฟเล็กๆในห้องครับ อันนี้มีเกิดเป็นปกติครับ เวลาไม่เพ่งเครียดมากเกินไป จิตโปร่งสบายครับ แบบนี้ไม่รู้ว่าเรียกว่าขั้นไหนนะครับ

    เทคนิคการ เพิกภาพบ่อยๆอันนี้ดีครับ เคยเล่น 1 ครั้ง เพราะทรงภาพนานๆเเล้วเมื่อยจิต เลยเล่นเเบบสั้นๆ เหมือนไฟกระพริบ เเล้วทำเร็วขึ้นให้เหมือนภาพติดกันยาวๆไปครับ เทคนิคนี้ดีครับ เป็นการออกกลังกายจิตไปอีกแบบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2016
  4. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    สวัสดีครับป๋านพ ไม่ได้คุยกันซะนาน ป๋าสบายดีนะครับ
    ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ ระวังรักษาสุขภาพด้วยนะครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ตรงนั้นเป็นกำลังฌาน ๑ แสงสว่างจร้าแต่ว่าแสงมันไม่เย็น
    จริงๆแล้วถ้าสังเกตุได้อีกนิดจะพบว่า ต้นกำเนิดแสงมันจะยัง
    มีการเปลี่ยนตำแหน่งได้อยู่ ไม่ใช่ปฏิภาคนิมิตนะ
    ส่วนตัวเรียกว่า จิตทำได้ด้วยแสงนำทาง
    ตรงนี้ต่อให้เราลืมตาก็ไม่หลุดสภาวะ และเหมือนคิดอะไรได้
    ก็ไม่หลุดสภาวะหรืออารมย์ตรงนั้น ลองสังเกตุดูได้นะครับ
    ตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจ จะนึกว่าตัวเองบรรลุได้เลย
    และอาจหลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง
    ดีที่ไม่เป็นนะ..

    ตรงนี้พอมีทริคคือ ถ้าเรานั่งต่อไปได้ หมายถึงมันมีกำลัง
    สมาธิหนุนต่อนะหรือไม่มีเรื่องราวขึ้นมารบกวนจิตใจนะ
    (ปกติพอถึงสภาวะแสงจร้งไม่เย็นแล้ว
    มันจะไม่ไปไหนต่อและซักพักมักจะมีเรื่องผุดขึ้นมา ตรงนี้หละที่ในเวลา
    ปกติเราต้องมาเสริมด้วยการเจริญสติให้ต่อเนื่อง
    มาเดินปัญญาเพื่อละ ลด คลาย ต่างๆ เพราะไม่งั้น
    ถึงอารมย์นี้เมื่อไร มันจะขึ้นมาขวางทันที ทำให้เดินต่อยังไม่ได้)
    ถ้าผ่านเรื่องผุดๆได้ ให้เรานั่งไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่มเข้าสู่กำลัง
    สมาธิระดับสูงได้และข้ามไปอรูปฌานเลยนะ ย้ำว่าไปอรูปฌานเลย..
    กิริยามันก็คือ แสงสว่างนั้นจะค่อยๆ มืดลง มืดลงเหมือนไฟปรับ
    ลดระดับได้ ไม่ใช่มืดเลยนะ มืดเลยคือหลุดอารมย์
    พอไม่มีเรื่องผุดเรานั่งต่อ ในขณะที่สมาธิกำลังไต่ระดับ
    แสงสว่างจะค่อยๆกลับมาสว่างๆ เหมือนๆหลอดไฟปรับลด
    ระดับแสงได้ คือ มันไม่ได้สว่างเลยเหมือนที่เข้าได้ตอน
    กำลังฌาน ๑ ถ้าทำอย่างนี้ได้ จิตจะถึงอรูปฌานขั้นที่ ๓ ได้
    ปล.ประมาณนี้หละ ลองสังเกตุดูได้
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    จร้า รับแซ่บ ยังสบายดี
    ก็นึกว่าไม่ได้อาศัยอยู่บนโลกซะแล้ว
    หายซะยังกลับมังกรซ่อนตัวเนาะ ๕๕
     
  7. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ตอนนั้นจับภาพพระไว้อยู่ครับ เเล้วมีความฝโปร่งสว่างร่วมเข้ามาครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถึงคุณ nilakarn กระทู้ที่คุณล๊อคไว้
    ที่คุณ เอาบทความคนอื่นๆมาลงแล้วย้ำตัวหนังสือ
    สีน้ำเงินเอาไว้เพื่อเสริมความคิดคุณ
    และไปเสียมารยาทมากๆ
    ไปอ้างอิง ข้อความที่ เวบมาสเตอร์
    ลงขอบคุณ ที่ผมและคณะบริจาคพระเครื่อง
    คุณทำไปเพื่ออะไรครับ?
    เจตนาคุณไม่ค่อยดีนะครับ
    เรียกว่า จบไม่เป็นจบนะครับ
    กรุณาไปลบทิ้งได้ไหมครับ
    ..ผมรอมานานแล้วนะครับ
    ถ้าจะทำอะไรกัน จะกล่าวหากัน
    มีความแมนๆ เป็นสุภาพบุรุษหน่อยนะครับ
    พูดเรื่องจริงๆกันนะครับ
    มาลองวัดความสามารถกัน
    ตรงๆเลยนะครับ
    พิสูจน์ให้คนได้รับรู้กันไปเลย
    ดีกว่าว่าใครเป็นอย่างไรดีกว่านะครับ
    อย่าตุ๊ดมาพยายามกล่าวหา
    เพื่อให้คนอื่นๆเค้าใจผมผิดนะครับ
    ในเรื่องที่ไม่จริงนะครับ..
    ให้เวลา อีก ๓ วันนะครับ
    ไม่งั้นผมก็จะตามแซะคุณไปเรื่อยๆหละครับ
    และจะตั้งกระทู้ถามในห้อง อภิญญา - สมาธิ
    และจะย้อนอดีตเรื่องการแนะนำของคุณ
    รวมทั้งท้าวัดความสามารถของคุณตรงๆ
    เพราะถือว่าการกระทำของคุณนั้น คุณมีเจตนา
    เชิงอกุศลในทางกล่าวหามาก

    อย่าคิดว่า ผมไม่รู้นะครับ ว่าคุณทำอะไรได้บ้าง
    ไม่ได้บ้าง แค่ผมมีมารยาทพอที่จะ
    ไม่พูดให้คุณเสียหน้า
    เลือกเอาเองนะครับ
    ว่าคุณจะเป็นมิตรหรือศัตรูกับผมนะครับ
    ปล.ขอบคุณมากครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    นี่มันคือข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวของพวกตอแ..ล นะครับ..(^_^)
    นอกจากทำเป็นพูดให้ตัวเองดูดีแล้ว
    ยังกล่าวหาคนอื่นๆได้อย่างไม่ดูพฤติกรรมตนเอง
    คุณ nilakarnครับ ผมละอายแทนคุณจริงๆนะครับ..
    ที่คุณยังกล้ามาพูดลักษณะนี้อีก
    ถ้าผมเป็นญาติคุณ คงไม่กล้านับญาติกับคุณหรอกครับ
    คืองี้นะครับ nilakarn คนปกติไม่ได้รับประทานหญ้าเป็นอาหาร
    หรือดื่มน้ำนมกระบือมาตอนเด็กๆนะครับ
    ถึงจะไม่รู้ว่า คุณเจตนาจะสื่ออะไรนะครับ
    อย่า EQ ต่ำมากนะครับ ขอร้อง
    หวังว่าจะมีคุณคนเดียวนะครับ
    ที่เป็นอย่างนี้...(^_^)
    พูดมาได้ คุณจะคิดยังไงมันก็เรื่องของคุณ
    ไม่ได้ทานนมกระบือและรัปประทานหญ้า
    มานะครับ พ่อ ปิติ ในฌาน ๓
    อายไปถึงดาวอังคาร ถ้าพูดเรื่องนี้



    ผมถามว่า
    ข้อ ๑.ในเวบนี้มีผมคนเดียวหรือไม่ที่เคย
    บริจาคช่วยเวบ ?
    ข้อ ๒. ในเวบนี้คุณมีหน้าอะไรครับ
    ถึงได้ อ้างข้อความที่ผมทำบุญ มาลงในกระทู้ของคุณครับ
    เพราะมันอยู่ในกระทู้อื่นๆ และเป็นหน้าที่ของ เวบมาสเตอร์ครับ
    ถามว่า มันใช่หน้าที่ของคุณหรือไม่ครับ ?
    ข้อ ๓.ตั้งแต่ผมบริจาคช่วยเวบมา
    ผมเคยเอามาอ้างในการตอบคำถามของผมไหม?
    ข้อ ๔. ทำไมคุณต้องอ้างอิงเฉพาะผมคนเดียวในกระทู้
    เกี่ยวกับเรื่องการบริจาคครับ ??
    ข้อ ๕.ทำไม่ต้องอ้างอิงหลังจากไปนำข้อความ
    ของคุณน้ำใส และที่สำคัญ เน้นย้ำข้อความตัวสีน้ำเงิน
    ชัดเจน เด่วจะก๊อบมาลงต่อไป
    แล้วถึงมาอ้างอิงต่อเรื่องการทำบุญของผม
    ทั้งๆที่ มีคนถามคุณว่า ต้นฉบับได้ย้ำเน้นข้อความหรือไม่
    แต่คุณไม่ตอบ เป็นคุณที่ย้ำเน้นเองใช่ไหม
    ข้อ ๕.ล๊อคกระทู้ทำไมครับ..
    กรุณาตอบด้วยนะครับ
    และก็ย้อนอ่านบ้างว่า ถามอะไรบ้างนะครับ

    นี้คือลักษณะข้อความที่คุณอ้างมานะครับ
    วันที่ 05-08-2016 เวลา 02:02 #344 หน้า 18
    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87.567280/page-18 <<--- กดที่ข้อความข้างหน้า
    หมายเหตุ วันที่อ้างมา กระทู้มีการล๊อคนะครับ


    มีข้อความดังที่จะกล่าวต่อไปข้างล่างว่า.
    .


    สมเด็จพระอักโษภายพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า..
    "ที่เรามาวันนี้ เพราะเห็นแก่เธอทั้งหลาย ที่ตั้งใจทำนุบำรุงพระศาสนา ของ องค์สมเด็จ
    พระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานี้มารที่มาพร้อมกับดวงดาวมฤตยู ได้เข้ากำกับจิตใจ
    มนุษย์ ให้ คิด พูด และทำ ในสิ่งที่เป็นกรรมใหญ่ ที่ส่งผลให้ไปเป็นพวกของ พญามาร

    สิ่งที่ส่งผลให้เป็นมาร ด้วยอารมณ์เหล่านี้ คือ

    ๑.เริ่มจากความไม่ชอบใจ ไม่พอใจในสิ่งที่ผู้อื่นทำ เนื่องจากไม่ตรงกับจริตของตน
    หากปรับใจ เข้าใจว่า มนุษย์ทั้งหลายมีบุญมาไม่เท่ากัน ย่อมมีสติปัญญาต่างกันเป็นธรรมดา
    แล้ววางอุเบกขา สงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ อย่างนี้ไม่เป็น พวกมาร

    ๒.เมื่อความไม่ชอบใจ ไม่พอใจเกิดขึ้นบ่อยๆ เรื่อยๆ ก่อให้เกิดความพยาบาทในใจ มีอคติเกิดในจิต
    หากเวลานี้ มีครูบาอาจารย์ หรือ ผู้รู้มาตักเตือน หมั่นฟอกจิตของเราให้สะอาด อย่างนี้ไม่เป็น พวกมาร

    ๓.เกิดความคิดว่า เออเราหนอ เป็นผู้ที่มีความดีอย่างนี้ อย่างนี้ เวลานี้เราสร้างบุญใหญ่
    ใครๆ ก็ย่อมโมทนาบุญกับเรา หรือ บุญแบบนี้ไม่มีใครสามารถทำได้เหมือนเรา หรือ เรา
    เป็นผู้ปิดบุญใหญ่ ย่อมได้บุญมากกว่าใครๆ มนุษย์ และเทวดา ต่างยกย่องสรรเสริญแก่เรา
    หากมีผู้ให้สติเตือนว่า การสร้างบุญใหญ่ เราทำเพื่อบำรุงพระศาสนา เพื่อสงเคราะห์โลก
    เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เป็นทางเดินไปสวรรค์ แล้ววางลงได้ อย่างนี้ ไม่เป็น พวกมาร
    (การวางคือ วางอุเบกขา ต้องวางแม้แต่ ความดีของตน)

    ๔.เมื่อมีจิตคิดสรรเสริญตนเองว่า ตนมีบุญบารมีเหนือผู้อื่นแล้ว ยิ่งได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    จากผู้อื่นแล้ว ต่อไปเมื่อเห็นผู้ใดก็ตาม ได้สร้างบุญใหญ่ทัดเทียมกับตน ย่อมเกิดความ
    ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ แยกตามความละเอียด ๒ ประการ คือ

    ๔.๑ ไม่ชอบใจแต่เก็บไว้ในใจ หาทางแข่งขันกับผู้อื่นแบบเงียบๆ เก็บสะสมความรู้สึกไม่ชอบใจ
    และแข่งขัน เมื่อตนทำได้ดีกว่า ก็รู้สึกยินดี
    หากมีครูบาอาจารย์ตักเตือน และแก้ไขจิตนี้ได้ทัน หมั่นชำระจิต ฟอกจิตของตนให้สะอาด
    มีจิตเมตตา และ พลอยยินดีในความดีของผู้อื่น กลับตัวกลับใจได้ทันอย่างนี้ไม่เป็น พวกมาร

    ๔.๒ ไม่ชอบใจ และ ป่าวประกาศให้ผู้อื่น ไม่ชอบตามความเห็นของตน ใส่ร้ายป้ายสี ยุยง
    ให้ผู้อื่นคล้อยตามตน โดยแสร้งทำความดี เพื่อให้เห็นว่า ตนเป็นคนดี มีศีล สร้างบุญใหญ่
    อาศัยความศรัทธาตรงนี้ ชักนำผู้อื่นให้ไม่ชอบตามตน
    เมื่อมีข่าวจากฝ่ายตรงข้ามกลับทำให้เรื่องราวกลับใหญ่โต ส่งผลให้อีกฝ่ายท้อถอย สลดใจ
    ในการสงเคราะห์ผู้อื่น เท่ากับเป็นการตัดความเจริญในธรรมแก่ผู้อื่น

    สองกรณีหลังนี้ ไม่สามารถกลับใจให้เป็นฝ่ายธรรมะได้ เนื่องจากจิตมืดดำ หมองมัว

    พญามารนั้นเฝ้าแสวงหาบุคคุลที่มีจิตมืดดำนี้ ไปเป็นสมุน หาได้ไปเป็นหัวหน้ามารไม่
    เขาเก็บดวงจิตเหล่านี้เอาไว้ใช้งาน

    ผู้ที่มีจิตเป็นมาร โดยสมบูรณ์เกิดจากเหตุตั้งแต่ข้อ ๑-๔ หากไม่หมั่นชำระจิตของตน
    ตามลำดับข้างต้น ไม่พ้นจะต้องเป็นสมุนของมาร

    การเป็นพญามารนั้น ต้องสั่งสมจิตที่มืดดำเป็น ร้อยๆ อสงไขย ต้องสามารถเปลี่ยนมนุษย์ที่ดี
    มาเป็นพวกของตนไม่ต่ำกว่า แสนโกฎิ

    ลำดับของการเป็นมาร มีเป็น ๑๐๐ ลำดับ หาใช่สร้างบุญใหญ่แล้วไปเป็นพญามารไม่
    มนุษย์บางคน อดีตเคยเป็นพญามารอยู่แล้ว มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นไส้ศึกให้แก่เหล่ามาร
    มีการสืบทอดวิชาเรียกว่า ไสยดำ สัญญาเหล่านี้ เหมือนชิปที่ฝังไว้ใต้จิตสำนึก ของผู้ที่เป็นไส้ศึก

    เมื่อเกิดมาแล้ว หากมีกุศลกรรมที่ดีส่งผล ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี ชิป (สัญญา) เหล่านี้จะถูก
    เลื่อนออกไป ไม่ส่งผล เปรียบเสมือนเราเติมน้ำให้มากๆ ในน้ำเกลือ เราจะไม่รู้รสเค็ม เนื่องจาก
    น้ำมาก แต่เกลือไม่หายไปไหน แต่หากวันใด เราหยุดเติมน้ำ น้ำที่มีอยู่ระเหยไป เหลือแต่เกลือ
    ที่อยู่ เปรียบเสมือนผู้ที่ไม่ทำกรรมดี วันหนึ่งรสของความเค็มจะส่งผล เมื่อมนุษย์ผู้นั้นสะสมจิตที่
    มืดดำเรื่อยๆ วันหนึ่งเจ้าของชิบ(พญามาร) จะหาตัวเจอ เมื่อนั้น เขาจะเติมเกลือให้เรื่อยๆ จิตที่
    เคยเป็นแค่สีเทา จะกลับกลายเป็นดำขึ้นๆ ไม่สามารถแปรเปลี่ยนใจได้

    หากยังไม่ละจากโลก สิ่งเดียวที่จะรอดพ้นได้ คือ การเร่งปฏิบัติ เจริญวิปัสสนา และเร่งตนเอง
    ให้บรรลุธรรม และบรรลุมรรคผลพระนิพพานในชาตินี้ เพียงอย่างเดียว
    (ทรงตรัส รวมถึงผู้ปรารถนาพระโพธิญานด้วย)

    "การเป็นสมุนของมาร ต่างจากการทำผิดศีลแล้วตกนรก เพราะผู้ผิดศีล อาจจะเกิดจากความไม่รู้
    เมื่อขึ้นจากนรก ก็สามารถกลับตัวกลับใจได้ ต่างจากบุคคลที่มีจิตมืดดำ ไม่พอใจ ยินดีใน
    คำตำหนิติเตียนของครูบาอาจารย์ และผู้อื่น"

    ดังนั้น เวลานี้ต้องหมั่นพิจารณาจิตตนเองว่า เรามีจิตประเภทใด เราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์
    จิตที่ปราศจากความไม่พอใจผู้อื่น จิตที่มีแต่ความเมตตา และยินดีในความดีของผู้อื่น
    จิตที่อุเบกขาในวิบากกรรมของผู้อื่นหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ช่วยประคองให้พ้นภัยจากเหล่ามารได้

    วันนี้เราคงมีเรื่องเตือนพวกเธอ แต่เพียงเท่านี้

    ขอโมทนาสาธุการกับพวกเธอที่มีจิตอันเป็นกุศล ขอให้ตั้งใจรักษาความดีไว้ ส่วนใครที่มี
    ความเสี่ยงต่อการเป็นสมุนแห่งมาร ขอพึงชำระจิต ฟอกจิตของตนให้สะอาด เอาชนะเขาให้ได้
    อย่าได้เป็นทาสเขาต่อไป

    ขอโมทนาสาธุการ..
    เครดิต : น้ำใส

    ปล.แต่ไม่มีลิงค์อ้างไปยังที่มานะครับ
    และจะถามอีกครั้งว่า คุณจะไปลบข้อความผมที่คุณอ้างมา
    เกี่ยวกับเรื่องการทำบุญหรือไม่ ในหน้า 18
    # 347 ตอบด้วยครับต้องการความชัดเจนตรงนี้
    ว่าจะลบหรือไม่ลบครับ ให้โอกาศอีกครั้งหนึ่งนะครับ
    อย่าลืมว่า ไม่ใช่หน้าคุณนะครับ


    และถามอีกครั้ง เอาตรงๆแบบลูกผู้ชาย
    อย่ามาใส่กระโปรงคุยกันนะครับ
    ว่าคุณจะเลือกเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกับผมครับ
    หมายเหตุ วันพระเลยมาแล้วนะครับ(^_^)

     
  10. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ใครทรงอรูปได้กี่ ชม มั่งครับ รอฟังอยู่ครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถ้างั้น ขออภัย คุณ nilikarn
    ที่ผมเองเข้าใจผิดมา ณ ที่นี้ด้วยครับ _/\_
    และขอบคุณที่ช่วยเตือนสติครับ
    (^_^)
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    เราบอกไม่ถูกแล้วครับ ว่า ทรงอรูปญานที่สี่ ได้กี่ชั่วโมง รู้แต่เพียง พอมีอะไรมากระทบ เราก็ลืมทันที ไม่เก็บมาใส่ใจอีก เรื่องกังวล คงเป็นเรื่องศิษย์เรา และ คนอื่น ส่วนเรานาทีหนึ่ง ก็ไม่อยากจะจำแล้ว เบื่อ

    ส่วนด้านอื่น หากว่าง เราจะทำวิปัสสนาโดยภาวนาว่า สรรพสิ่งล้วนสมมติๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็มองให้ทะลุว่า ทุกๆสิ่งเป็นแค่สิ่งที่ถูกสมมุติขึ้นมา เพื่อหลอกเราให้หลงในวัฏฏสงสาร จนหาทางออกไม่เจอ

    หากไม่ได้ภาวนา เราก็จะเข้าญาน ด้วยการ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ โดยท่อง นิพพาน หรือ นิพพานัง แล้วเข้าญาน เรียกว่า อุปสมานุสติกรรมฐาน

    ฝากไว้ให้พิจารณา ว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สอนเรื่อง อรูปญาน ผสม วิปัสสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้จริง เราศึกษามาทุกสาย แต่มาสำเร็จกิจตอนที่มาศึกษาอยู่ในเวปนี้ เพราะฉะนั้น เลือกฟังให้ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา แล้วพิสูจน์ด้วยการ ไปปฏิบัติด้วยตัวท่านเอง ท่านเท่านั้น ที่จะทำให้ท่านบรรลุธรรม คนอื่นเป็นเพียงผู้บอกทาง ต้องรู้จักเลือกทางของตัวเอง

    ขออนุโมทนาแก่ผู้อ่านทุกท่าน สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2017
  13. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    คุณนิการเริ่มปลูก ต้นถั่วใหม่หรอครับ งอกคู่ด้วยนะ เเบ่งความรักให้ทั้งสองต้นเท่ากัน สร้างสมดุล
     
  14. ยินยอมรับชตากรรม

    ยินยอมรับชตากรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +7
    คุณรู้ใด้ไงว่าแบบนี้เรียกอรูปฌาน ผมถามรวมๆนะครับ
     
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ครับ เปลี่ยนรูปใหม่ครับ

    พอดีอยากเสนอว่า หากใครเข้ามาอ่านกระทู้นี้ แล้วพบว่า ตนเองเคยฝึกอรูปญาน ก็ควรจะมาแชร์กัน เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เข้าศึกษาใหม่ๆ ผิดถูกประการใด ก็คุยกันได้

    และถ้าหาก กระทู้ไหน ไม่มีใครถามผมตรงๆ หากผมเห็นว่า ยังไม่สำคัญ ก็ขอตัวที่จะไม่ตอบนะครับ เพราะถือยังไม่มีสัมพันธ์ในอดีตต่อกัน และอีกอย่างหากเป็นเรื่องทั่วไป ก็จะมีคนมาตอบให้อยู่แล้ว ตอบซ้ำไปซ้ำมา คงน่าเบื่อ และไม่มีพลังพอที่จะกระตุ้นความอยากบอก
     
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ก็คงจะเหมือนกับคำถามที่ว่า แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า กินข้าวแล้วจะอิ่ม อรูปญานก็เป็นเพียงชื่อเรียก ที่สมมุติขึ้นมาเพื่อที่จะให้ ผู้ฝึกเข้าใจว่า นอกเหนือจาก รูปญาน ก็คือ อรูปญาน นั่นเอง
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อรูปคือไม่มีรูปแล้วไงครับ...
    ให้ดูตอนใช้งานเป็นหลักครับ
    หรือตอนนั่งก็ได้ ต้องไม่มีรูปเลย
    คือไม่สามารถเรียกได้ว่า โน้นนั่นนี่
    เช่น วงกลม บ้าน ต้นไม้ ฯลฯ

    จิตปกติทำงานได้เมื่อมีแสงสีนำทาง
    หรือเส้นสายนำทาง(เสียงอยู่ในนี้) หรือทั้งสองอย่าง
    การเห็นเป็นภาพได้คือมีแสงนำอยู่
    มีสัญญาเข้าไปปรุงร่วมจึงเกิดเป็นภาพได้
    ส่วนการเห็นเป็นเส้นสายนำทางก็คือ
    ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน
    ซึ่งผู้ที่เข้าถึงอรูปฌานได้จริง
    นอกจากจะต้องผ่านรูปฌานมาก่อน
    ซึ่งจะทำให้มีกำลังสมาธิพอสมควรเป็นทุน
    (เรื่องการไม่ผ่านรูปมาเคยพูดไปแล้วไม่ซ้ำนะครับ)
    จะทำให้มีความสามารถด้านนี้เป็นปกติธรรมดาๆมากๆ...
    เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่จะมาบอกว่าตัวเองได้อรูปฌาน
    แต่ไม่มีความสามารถในการเล่นกับพลังงานได้เลย
    อย่างน้อยๆ พลังงานด้านภายนอก ภายใน
    กสิณ ไม่ว่าการสร้าง การดึง การดูด การส่ง
    พวกนี้เรียกได้ว่า จะทำได้แบบธรรมดาๆมากๆ
    และมีต้นทุนทางด้านกำลังสมาธิสะสมด้วยครับ
    เพราะว่ากว่าจะมาอรูปได้ มันต้องรักษาสภาวะรูปฌาน
    ให้ได้ก่อนที่จะทิ้งรูป กำลังสมาธิ มันจึงมาจากตรงนี้ครับ

    ปล.ง่ายๆ รู้ได้ไง ก็ดูจากการใช้งาน
    รู้ได้ไงว่า ใครทำได้จริงหรือคิดเอา
    ก็ดูจากการถ่ายทอด ถ้ามั่นใจมาก
    และยังคิดว่าตนใช่อยู่
    วิธีสุดท้าย แสดงให้ดูได้ไหมหละครับ
    เกี่ยวกับเรื่องพลังงาน เพราะเรื่องพวกนี้
    นอกจากเราจะทำได้ มันจะยังต้องทำให้คนอื่นๆ
    รับรู้รับทราบได้เหมือนเราด้วยครับ...
    อรูปฌานต้องระวังนะครับ ถ้าได้หลงตัวเองแล้ว
    จะเพี้ยนๆวกเวียนในความทรงจำตลอดเวลา
    แม้ไม่มีความสามารถทางจิตทำอะไรได้จริงก็ตาม
    การรู้การเห็น ความเข้าใจจะเป็นการมโน
    ดึงเอาความทรงจำในอดีตมาปรุ่งร่วมล้วนๆนะครับ
    ถ้ายังไม่มีความสามรถทางจิตเล่นกับพลังงานได้
    อย่าพึ่งเชื่อว่าตัวเองได้อรูปฌาน
    เพราะอย่างที่บอก สภาวะอรูปแบบพรวดพราด
    ที่นอนแล้วเข้าได้ หรือแค่เริ่มนั้งแล้วเข้าได้เลย
    แบบไม่ต้องผ่านรูป คนไม่ต้องฝึกอะไรมาก็ทำได้ครับ
    แต่ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ทำให้หลงตัวเองเล่นๆแค่นั่นเอง
     
  18. ยินยอมรับชตากรรม

    ยินยอมรับชตากรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +7
    ไม่ครับ ผมไม่ใด้จะเจตนาท่านเลยครับ แค่อยากถามเจ้าของกระทู้ครับ แต่ไม่อยากเอ่ยชื่อครับ เพราะเห็นมันชอบคุยในทำนองว่า เขาใด้สมาธิถึงขั้นนั้นถึงขั้นนี้ เพราะจริงๆแล้วคนที่ใด้ อรูปฌานนี้ เขาคงไม่ออกมาถามคนอื่นหลอกครับ ว่าทรงอารมณ์ใด้กี่ชั่วโมง อันนี้เจ้าของกระทู้ตั้งกระทูแบบหนี้เหมือนจะอ่วดว่าเขาหนี้ใด้อรูปฌาน จริงๆแล้วถ้าคนที่เข้าทำใด้ถึงขั้นนี้แล้วเขาคงไม่มาอ่วดกันแล้วครับ มีแต่จะอ่วดความโง่เพื่อจะให้เขาบอกความรู้และก็มาคิดว่าที่เขาบอกมาตนั้นมันตรงกับที่เราทำอยู่ใหมครับ อันนี้ผมไม่ใด้ว่าท่านนะครับหรือท่านอื่นนะครับ ผมกำลังอยากจะว่าไอคนที่หลงตัวเองอยู่ครับ เพือมันจะปรับตัวเองสะใหม่
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014


    ประเด็น ก็คือ ห้องนี้ เป็นห้องที่อนุญาตให้แสดง ประสพการณ์ ในการปฏิบัติ ทั้งที่เป็น ฝ่ายสมถะ และ ฝ่ายวิปัสสนา เพราะฉะนั้น เวลาที่เขียนออกมา มันก็ย่อมแสดงตัวตนของผู้ฝึกออกมาด้วย และ ท้ายที่สุด ทุกอย่างที่อธิบายไว้ย่อมจะต้องเหมือนเป็น อวดความสามารถของเราด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจ

    ฝากให้พิจารณาว่า มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่เหลือ มานะ แล้ว คำสอนของท่านย่อมเป็นกลางไม่อิงตัวตนของท่าน นอกนั้น ไม่ว่าจะเป็น พระอนาคามี พระสกิทาคามี หรือ พระโสดาบัน เมื่อจะสอนผู้อื่น ย่อมจะต้องอิงตัวตนของตนเองให้ผู้อื่นรู้ บางครั้ง อาจแสดงศักดาอวดข่มผู้อื่น บางครั้งอาจแสดงด่าว่าผู้อื่น บางครั้งอาจแสดงปลอบโยนผู้อื่น แต่ทุกอย่าง ก็กระทำเพื่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีจิตที่ตรงและมั่นคงต่อพระนิพพานนั่นเอง

    ดังนั้น ถ้าจะไปสรุปตัวตนของผู้อื่น โดยที่เราก็ยังเป็นปถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง คงจะไม่ถูกต้องนัก ขนาดพระอรหันต์ ด้วยกัน ก็ยังไม่อาจจะเข้า จิตของพระอรหันต์ ด้วยกันได้ นอกจาก พระพุทธเจ้าองค์เดียว ที่เข้าใจ จิตของพระอรหันต์ทั้งหมด
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    การที่จะเป็นระดับโน้นนี่นั้น
    ส่วนตัวมองว่าเป็นปัจจัตตัง...
    และบุคคลที่เข้าถึงจริงๆไม่มัวมาสนใจ
    หรือจะมาคอยพูดบอกให้ใครเค้ารู้หรอก..
    ยกเว้นในระดับท่านที่น่าเชื่อได้จริงๆ..
    ซึ่งก็มีองค์ประกอบหลายๆอย่าง
    ที่ทำให้เราเชื่อได้ แต่แม้เราเชื่อแต่เราก็ไม่ได้รู้ได้จริงๆ
    ถ้าเราไม่พยายามปฏิบัติให้เข้าถึง...

    เพราะสมัยนี้ตำราอ้างอิงมันเยอะครับ
    เค้าเขียนบอกว่า ระดับโน้นนั้น จะไม่ทำโน้นนั่นนี่
    จะต้องเป็นอย่างนี้โน้นนั้น ถ้าเราไปอ่าน
    มันก็จะเป็นสัญญาที่สร้างมาปิดตัวจิตเรา
    แต่จิตเราจริงๆ ไม่ได้อยู่ในสภาวะนั้นๆจริงๆ..
    พอไปอ่านตำรามา แล้วกดข่มทำตาม
    จะไปนึกว่า ตัวเองบรรลุระดับโน้นนี่นั้น
    คงเป็นไปไมได้หรอครับ
    มันเป็นสภาวะทางนามธรรม
    เป็นเรื่องของจิตซึ่งก็เป็นนามธรรม
    แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ต้องพิสูจน์ได้ครับ
    ไม่ว่าจะการถ่ายทอดอย่างหลวงปู่ หลวงตา
    หลวงพ่อที่ทิ้งธรรมะเอาไว้ให้เราอ่าน
    และไม่ว่าด้านไหนๆที่มันสื่อว่าท่านน่าจะใช่
    เช่น การไม่ยึดใน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นต้น
    หรือแม้แต่การแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ได้
    สำหรับท่านที่สามารถใช้งานทางจิตด้านพิเศษได้...

    ถ้าเราเชื่อและเข้าใจว่าพระอรหันต์คือผู้ที่จิตท่าน
    ไม่มีอะไรมาเกาะได้เลย แม้ว่าท่านจะยังอยู่ในสภาพ
    แวดล้อมต่างๆที่ยังมีปกติเหมือนเราๆ
    ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย เราก็เอาหลักการณ์นี้เป็นเกณฑ์ใน
    การตรวจสอบระดับจิตเราได้ ว่าในหนึ่งวัน
    ที่เราลืมตาขึ้นมานั้น มีกี่วินาที กี่นาทีที่จิต
    เรามันไม่มีอะไรมาเกาะได้เลยอย่างท่านที่พ้นแล้วครับ
    การเอาความรู้ทางโลก การใช้สมาธิข่ม ใช้กำลังจิต
    ความสามารถพิเศษไปกระทำ การพยายามต่างๆเหล่านี้
    เข้าไปกระทำเพื่อให้จิตคลายตัวเองได้ พวกนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ
    ของตัวจิตมันเองครับ....
    ดังนั้น เราอย่าไปหลงตัวเข้าไปกระทำต่างๆเหล่านี้
    ไม่ว่ามันจะเกิดจากภายนอกหรือภายใน..
    เพราะเราจะเผลอไปดึงมันเข้ามาจนกลายเป็นตัวเรา
    ทำให้หลงสภาวะ หลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    ทั้งๆที่เราไม่เข้าใจสภาวะทางด้านนามธรรมต่างๆ
    (อย่าลืมว่า กิเลส จิต อารมย์ พวกนี้นามธรรมทั้งนั้น)
    หรือบางคนที่จิตทำงานได้ แต่ไม่มีความสามารถทางจิต
    ทำอะไรได้เลย อย่างนี้มันใช่หรือ...หรือไม่มีปัญญาญาน
    มากพอที่จะเข้าใจกระบวณการปรุงแต่งต่างๆอย่างงี้นะหรือ
    ยังจะคิดว่า ตัวเองบรรลุ ระดับโน้นนี่นั้นอีกหรือครับ
    เข้าใจคำว่า หลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ หรือยังครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...