ช่วยสอนมโนมยิทธิให้หน่อยได้ไหมครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Kritsakan, 20 เมษายน 2017.

  1. Kritsakan

    Kritsakan สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +7
    คือผมอ่ะครับ อยากฝึกมโนมยิทธิแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ แต่ไม่มีโอกาสจะได้ไปทั้งที่วัดท่าซุงและทั้งบ้านสายลมครับ แต่ปกติผมก็นั่งสมาธิอานาปนสติอยู่แล้วครับ คือถ้ามีผู้ที่มีประสบการณ์หรือผู้ที่ปฎิบัติได้อ่ะครับ ช่วยสอนผมหน่ยได้มั๊ยครับ และจะได้ถือว่ากระทู้นี้ได้เป็นธรรมทานแก่ผู้ที่มีความสนใจฝึกแต่ไม่มีโอกาสได้ฝึกในทั้งสองที่ด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    อาบน้ำชำระร่างกายแล้ว ให้สวดมนต์ตามนี้

    ระลึกถึงคุณพระรัตนะตรัย


    กราบ ๕ ครั้ง


    กล่าวคำขอขมาว่าดังนี้


    ข้าพเจ้า ขอขมากรรม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ครูบาอาจารย์
    บิดามารดา
    เจ้ากรรมนายเวร
    และสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลาย
    กรรมอันใด ที่ข้าพเจ้า ได้ล่วงเกิน
    ด้วย กายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
    ขอทุกท่าน โปรดอโหสิกรรม ให้ข้าพเจ้าด้วยเทอญ


    อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ
    อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ
    อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง ปูเชมิ
    อิมินา สักกาเรนะ อาจาริยานัง ปูเชมิ
    อิมินา สักกาเรนะ มาตาปิตุนัง ปูเชมิ


    อะระหังสัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ )
    สะวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ )
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ )
    มัยหังมาตาปิตูนังวะ ปาเท วันทามิ สาคะรัง (กราบ)
    ปัญญาวุฒฑิ กะเรเตเต ทินโนวาเท นะมามิหัง (กราบ)


    อาราธะนาศีล ๘


    ข้าพเจ้า ขอตั้งสัจจะบาระมี จะขอรักษาศีล ๘ ให้ได้ ตลอดการสวดมนต์ภาวนานี้


    อะหังภันเต ติสะระเนนะสะหะ อัฐฐะ ศีลานิยาจามิ
    ทุติยัมปิ อะหังภันเต ติสะระเนนะสะหะ อัฐฐะ ศีลานิยาจามิ
    ตะติยัมปิ อะหังภันเต ติสะระเนนะสะหะ อัฐฐะ ศีลานิยาจามิ


    ๑. ปาณาติปาตา เวระมณี สิกขา ปะทัง สะมาธิ ยามิ


    ๒. อะทินนา ทานา เวระมณี สิกขา ปะทัง สะมาธิ ยามิ


    ๓. อะพรัมมะจะริยา เวระมณี สิกขา ปะทัง สะมาธิ ยามิ


    ๔. มุสาวาทา เวระมณี สิกขา ปะทัง สะมาธิ ยามิ


    ๕. สุราเมระยะ มัจชะ ปะมา ธะฐานา เวระมณี สิกขา ปะทัง สะมาธิ ยามิ


    ๖. วิกาละโภชะนา เวระมณี สิกขา ปะทัง สะมาธิ ยามิ


    ๗. นัฏจะคีตะวาฐิตะ วิสูกะทัศสะนา มาลาคันธะ วิเลปะนะ ธาระนะ
    มันฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวระมณี สิกขา ปะทัง สะมาธิ ยามิ


    ๘. อุจจา สะยะนะ มะหา สะยะนา เวระมณี สิกขา ปะทัง สะมาธิ ยามิ


    อิมานิ อัฐฐะ สิกขา ปะทานิ สะมาธิยามิ
    อิมานิ อัฐฐะ สิกขา ปะทานิ สะมาธิยามิ
    อิมานิ อัฐฐะ สิกขา ปะทานิ สะมาธิยามิ

    ต่อด้วยบทนี้

    ชุมนุมเทวดา

    สะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง
    ปะริตตานุภาโว สะทา รักขะตูติ ผะริตวานะ
    เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขิตตะจิตตา
    ปะริตตัง ภะณันตุ
    สัคเค กาเม จะรูเป คิริสิขะระตะเฏ
    จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฏเฐ จะ
    คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะ
    วัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา
    ชะละถะละ วิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา
    ติฏฐันตา สันติเกยัง มุนิวะระวะ จะนัง
    สาธะโว เม สุณันตุ
    ธัมมัสสะวะ นะกาโล อะยัมภะทันตา
    ธัมมัสสะวะ นะกาโล อะยัมภะทันตา
    ธัมมัสสะวะ นะกาโล อะยัมภะทันตา

    ต่อด้วย บทนี้

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ


    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ


    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ


    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    (บท พุทธะคุณ )
    อิติปิโสภะคะวา
    อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ
    วิชชา จะระณะ สัมปันโน
    สุคะโต
    โลกะวิทู
    อะนุตตะโล
    ปุริสะธัมมะสาระถี
    สัตถา เทวะ มะนุษสานัง
    พุทโธ
    ภะคะวา ติ



    ( บท ธรรมะคุณ )
    สะวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม
    สัณฐิติโก
    อะกาลิโก
    เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก
    ปัจจัตตัง เวธิตัพโพ วิญญู หิ ติ



    (บท สังฆะคุณ )
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญาญะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิตัง จัตตาริ ปุริสะยุค คานิ
    อัฐฐะ ปุลิสะปุคคะลา
    เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย
    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ




    ตามด้วยบท ต่อไปนี้ คือ
    บท พาหุง



    พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
    ค รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
    ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ



    มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
    โฆรัมปะนาฬะวะมักขะมะถัทธะยักขัง
    ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ



    นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
    ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
    เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ



    อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
    ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
    อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ



    กัตวานะ กิฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
    จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ



    สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
    วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
    ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ




    นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
    ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
    อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ




    ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
    พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ



    เอตาปิ พุทธะ ชะยะมัง คะละอัฏ ฐะคาถา
    โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
    หิตะวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
    โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ ฯ



    (บท มหากาฯ )


    มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง
    ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ
    ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน
    เอวัง ตวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
    อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
    อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ ฯ
    สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง
    สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ
    ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง
    ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา
    ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ

    กรวดน้ำอิมินา

    อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา
    อาจริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา (ปิยา มะมัง)
    สุริโย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ
    พรัหมะมารา จะ อินทา จะ๑ โลกะปาลา จะ เทวะตา
    ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ
    สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ ปุญญานิ ปะกะตานิ เม
    สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตัง ฯ
    อิมินา ปุญญากัมเมนะ อิมินา อุททิเสนะ จะ
    ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ ตัณหุปานทานะเฉทะนัง
    เย สันตาเน หินา ธัมมา ยาวะ นิพพานะโต มะมัง
    นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว
    อุชุจิตตัง สะติปัญญา สัลเลโข วิริยัมหินา
    มารา ละภันตุ โนกาสัง กาตุญจะ วิริเยสุ เม
    พุทธาทิปะวะโร นาโถ ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม
    นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง
    เตโสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันตุ มา ฯ







    หลังจากสวดมนต์จบ

    นั่ง กำหนดสติ รู้ลมหายใจเข้าออก จนจิตเริ่มสงบ สงบ แค่เพียง สงบๆ
    หลังจากนั้น
    ให้นึกคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น

    นึกให้เห็น ร่างกายตัวเองนอนตายอยู่ตรงหน้า
    นึกให้เห็นแม้ช่วงแรกๆจะไม่ค่อยชัด

    นึกให้เห็นแล้วก็ทำการคิดนึกไปว่า พรรณนาตามความคิดว่า
    ตั้งแต่เราตายไปร่างกายหน้าตาก็ดูซีดลง
    จากเคยมีเลือดเนื้อมาหล่อเลี้ยงแต่มาตอนนี้
    กลับดูซีดเซียว ค่อยๆ หม่นหมองลง ไปตามวันเวลาที่เริ่มผ่านไปเรื่อยๆ
    จากตายไปได้ 1วัน 3 วัน 5วัน
    หน้าตาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเริ่มหมองคล้ำเขียว
    มีความบวมเปล่ง ด้วยน้ำหนอง น้ำเหลือง
    ซึมออกมาตามเสื้อผ้าที่สวมใส่ ไหลเยิ้มออกมาทาง ตา หู จมูก ปาก
    บวมปริ่มด้วยความสกปรก นึกคิดอยู่อย่างนี้ไปพร้อมกับนึกภาพให้เห็นต่อหน้าตามที่เรานึกคิดนี้
    แล้วทำการนึกคิดต่อไปว่า

    เมื่อเราตายไปได้ 10 วัน 15 วัน 20วัน
    น้ำหนอกน้ำเหลือง ก็บวมปริออกมาอย่างชัดเจน มองไปที่หน้าก็บวมปริ มีแต่น้ำเหลืองน้ำหนองเต็มไปหมด ดวงตาที่เคยสวยงามสดใส บัดนี้ มีแต่ความบวมเปล่ง ของน้ำเหลืองไหลออกมา
    ใบหน้าที่เคยสวยงามก็มีแต่น้ำเหลืองน้ำหนองคละออกมาเต็มไปหมด
    ทรวดทรงที่เคยสวยงามก็เต็มไปด้วยน้ำเหลืองน้ำหนองปริ่มออกมาซับตามเสื้อผ้า ทั้งแขน ขา มือเท้า นิ้วมือนิ้วเท้า ก็บวมเปล่งด้วยน้ำเหลืองน้ำหนอง
    จากที่เคยเป็นของเราสวยงามแต่บัดนี้ มีแต่น้ำเหลืองเต็มไปหมด

    แล้วก็ทำการนึกคิดต่อไปว่า เมื่อเวลาผ่านไปได้ 1เดือน 2เดือน 3เดือน
    ร่างกายที่นอนตายอยู่ข้างหน้าเรานี้ มีแต่ความเน่าเหม็น ของเลือดเนื้อ มีความเน่าเฟะ ดวงตาที่เคยสวยงามตอนนี้เน่าเฟะไปด้วยน้ำหนอง มีแมงวันตอม มีหนอนมาชอนไช เต็มเบ้าตา เต็มหน้าเต็มปาก เต็มไปด้วยหมู่หนอนมาชอนไช
    มองลงมาที่คอ ก็มีแต่หนอนมาชอนไช ตามอก ตามแขน ตามขา นิ้วมือ นิ้วเท้าก็มีแต่หนอนมาชอนไชเต็มไปหมด ร่างกายที่เคยสวยงามบัดนี้ มีเป็นแต่เพียงอาหารของหมู่หนอน แมลงวันที่มาชอนไชเต็มไปหมด

    เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เปื่อยยุ่ย ปริออกด้วยตัวหนอน ตามท้องใส้ก็ทะลักด้วยน้ำเหลือง น้ำหนอง พร้อมหมู่หนอน ที่ชอนไชตามไส้พุง ตับม้ามไต ปอด มีแต่หมู่หนอนและน้ำเหลืองน้ำหนอง ส่งกลิ่นเหม็นไปหมด ร่างกายที่เคยสวยงามบัดนี้กลับเป็นสภาพเช่นนี้แล้ว

    แล้วก็ทำการนึกคิดต่อไปว่า เมื่อเวลาผ่านไปได้ 7 เดือน 9 เดือน 11เดือน
    ร่างกายนี้ก็ถูกหมู่หนอนแทะกินจากใบหน้าก็เริ่มมีแต่โครงกระดูก มีแต่หัวกระโหลกอยู่กับหมู่หนอน เบ้าตาที่เคยสวยงามบัดนี้เป็นแต่เพียงเบ้าของโครงกระโหลก ตามจมูกปาก มีแต่โครงกระดูก คละไปด้วยหมู่หนอนที่ชอนไช
    มองลงมาที่คอ ก็มีแต่โครงกระดูกต่อเป็นข้อๆ ลงมาที่อกก็มีแต่ซี่โครงคละไปด้วยความเปื่อยยุ่ยของเสื้อผ้าที่สวมใส่ มองลงมาที่ท้องก็มีแต่โครงกระดูกลงมาก็เห็นกระดูกเชิงกรานมองมาที่ขาหัวเข่าก็เป็นแต่โครงกระดูก คละกับหมู่หนอนที่ชอนไชเลือกเนื้อ ที่เคยเห็นว่าสสวยงาม บัดนี้มีแต่โครงกระดูก จะมองไปที่แขน มือ เท้า นิ้วมือนิ้วเข้า ก็เห็นแต่โครงกระดูก คละด้วยหมู่หนอน
    ร่างกายที่เคยเป็นของเรานี้ ยัดนี้มีแต่หมู่หนอน กับกลองกระดูกที่เห็นอยู่ต่อหน้านี้

    จากนั้นก็ทำการนึกคิดต่อไปว่า เมื่อเวลาผ่านไป ได้ 1ปี 2ปี 3ปี
    จากร่างกายที่เคยเป็นของเรานี้ บัดนี้เหลือแต่เพียงโครงกระดูก
    มองดูตั้งแต่ใบหน้าที่เคยสวยงาม บัดนี้เหลือแต่เพียงโครงกระดูก
    มองดูตามร่างกายลงมา บัดนี้ก็มีแต่เพียงโครงกระดูกที่กองอยู่ตรงหน้า
    จากร่างกายที่เคยเป็นของเรา บัดนี้เป็นแต่เพียงโครงกระดูกที่กองอยู่ตรงหน้าเราเท่านั้น หาความสวยงามที่ไหนก็ไม่มี เป็นแต่เพียงกองกระดูกที่ปรักหักพังทรุดลงพื้นดิน จนสลายหายไปเป็นธุลี

    จากนั้นก็ให้ทำการนึกคิดต่อไปว่า
    ร่างกายที่เคยสวยงามที่เคยเป็นของเรานี้ จากเคยสวยงามแต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นความสกปรกไม่ใช่ของเราอีกต่อไป สุดท้ายเป็นแต่เพียงโครงกระดูกแล้วก็ย่อยสลายไปในธุลี

    หลังจากนั้นก็ให้สูดลมหายใจลึกๆ ยาวๆ ปล่อยลมหาใจออกยาวๆซัก 4-5ครั้ง
    แล้วค่อยๆลืมตา แล้วก็กล่าวบทกรวดน้ำ

    จากนั้นก็ให้ตั้งใหม่ ตั้งแต่เริ่มต้น ทำแบบนี้ ให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 3 รอบ
    ต่อการนั่งสมาธิในรูปแบบ 1ครั้ง

    การทำแบบนี้ควรทำต่อเนื่อง อย่างน้อย 7วันตั้ง

    สมมุติว่า จะทำ 7วัน ต้องเรียงต่อเนื่อง ให้ได้ตลอด 7วัน
    แต่หากว่า ทำไปได้ 5วัน วันที่ 6หยุดหรือขาดการทำ ก็ให้ นับ 1ถึง7ใหม่


    จากนั้น อีกรอบ
    กรวดน้ำอิมินา
    (นำ) หันทะ มะยัง อุททิงสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส ฯ
    (รับ) อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา
    อาจริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา (ปิยา มะมัง)
    สุริโย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ
    พรัหมะมารา จะ อินทา จะ๑ โลกะปาลา จะ เทวะตา
    ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ
    สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ ปุญญานิ ปะกะตานิ เม
    สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตัง ฯ
    อิมินา ปุญญากัมเมนะ อิมินา อุททิเสนะ จะ
    ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ ตัณหุปานทานะเฉทะนัง
    เย สันตาเน หินา ธัมมา ยาวะ นิพพานะโต มะมัง
    นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว
    อุชุจิตตัง สะติปัญญา สัลเลโข วิริยัมหินา
    มารา ละภันตุ โนกาสัง กาตุญจะ วิริเยสุ เม
    พุทธาทิปะวะโร นาโถ ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม
    นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง
    เตโสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันตุ มา ฯ

    ต่อด้วย บทนี้


    คาถาเทวะตาอุยโยชะนะ

    ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา

    โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน

    เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง

    สัพเพ เทวานุโมทันตุ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา

    ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลัง รักขันตุ สัพพะทา

    ภาวะนาภิระตา โหนตุ คัจฉันตุ เทวะตาคะตา ฯ

    สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลัง

    อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส ฯ


    กราบพระ
    อะระหังสัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ )
    สะวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ )
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ )
    มัยหังมาตาปิตูนังวะ ปาเท วันทามิ สาคะรัง (กราบ)
    ปัญญาวุฒฑิ กะเรเตเต ทินโนวาเท นะมามิหัง (กราบ)

    โชคดีครับ ^^
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    สุดยอดแห่งการสอนครับ
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    เมื่อปฏิบัติตามแล้ว จะมีฤทธิ์สามารถท่องไปในนรก
    หรือเทวโลกได้ตอนไหน อย่างไรครับ
     
  5. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    อยากฝึกเหมือนกันแต่ไม่มีคนสอน
     
  6. Kritsakan

    Kritsakan สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณมากๆนะครับ ผมจะตั้งใจปฎิบัติครับผม
     
  7. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ต้องตั้งปฏิภาคนิมิตให้ได้ก่อนครับ เป็นเบื้องต้น
    ต้องใช้เวลาและความเพียร ไม่น้อยเลยครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    แบบที่ คุณ ปราบ นำมาลง เป็นส่วนของการนำ
    เอาทริคในส่วนของมโนยิทธิมาใช้ครับ
    ซึ่งมันจะให้ผลทางด้าน การตัดการยึดมั่นถือมั่น
    หรือการตัดร่างกายตัวเองครับ
    ทริคตรงนี้ ถามว่าใช้ได้ไหม ใช้ได้ครับ
    แต่สำหรับบุคคลที่เชื่อ เรื่องปาบ บุญ หรือเชื่อเป็น
    ทุนเดิมอยู่แล้วว่า นรก สวรรค์ มีจริง
    และไม่ต้องการพิสูจน์เรื่อง นรก สวรรค์ เทพ เทวดา ฯลฯครับ
    และสำหรับบุคคลที่ไม่ยึดติดในนามธรรมทั้งหลาย
    ไม่ว่าระดับไหนๆก็ตาม
    จะเหมาะสมมากครับ...


    แต่ถ้าเป็นมโนยิทฯตามแบบที่ ลพ.ท่านสอนนั้น...
    เป็นในส่วนของอิทธิวิธีนะครับ
    แยกได้ ส่วนตัวเรียกว่า แบบภายใน
    ก็คือแบบที่พิสูจน์ให้คนอื่นๆรู้เห็นและทราบ
    แบบตัวเองไม่ได้ แต่รู้ได้ด้วยตัวเอง
    และภายนอกหรือแบบที่ออกไปสู่สังคมภายนอกได้
    คือแบบที่พิสูจน์ให้คนอื่นๆ
    มีความสามารถทำให้คนอื่นๆรับรู้และเห็น
    และทราบแบบตัวเองได้ครับ ซึ่งยังแยกได้
    เป็นระดับ ที่ไปปรากฏทำให้คนอื่นๆเห็น
    ได้ด้วยตาเนื้อ แบบเห็นได้แบบลืมตาเปล่าๆนะครับ
    ไม่ใช่เห็นตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือเห็นตอน
    นั่งหลับตานะครับ เพราะตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น
    หรือหลับตาเห็นมัน สามารถมโนปรุงแต่งได้ครับ
    ซึ่งเป็น คนระเรื่องกันเลยนะครับ ส่วนมากจะเป็น
    ท่านที่ห่มเหลืองที่ทำได้ครับ


    ซึ่ง กำลังใช้งานพื้นฐานต่างกันราวฟ้ากับเหวนะครับ....
    จะไประดับภายนอกได้ ต้องอย่างต่ำไปเล่นในระดับปฏิภาค
    นิมิตด้วยกำลังสมาธิระดับสูงนะครับ......
    ไม่ใช่แบบ ลืมตาเห็นๆหลังจากตื่นนอน
    หรือเข้าห้องน้ำ หรือครึ่งหลับครึ่งตื่นๆ
    ที่มันสามารถเล่นกับนิมิตได้ พวกนี้เป็นแค่
    นิมิตที่เกิดในระดับอุปจารสมาธิ ซึ่งถ้าติตตรงนิมิตนี้
    รับรองว่า จะหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ
    แม้ว่า จะไม่สามารถพิสูจน์ให้คนทราบได้
    ไม่มีกำลังจิตระดับใช้งานได้ ที่สามารถพิสูจน์
    หรือทำให้บุคคลอื่นๆสัมผัสได้ และภูมิต้านทานภายนอกต่ำ
    คือกำลังจิตไม่มี โดนแทรก โดนกระทำ ได้ง่าย
    ก็จะยังหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ...


    และให้จำไว้อย่างหนึ่งนะครับว่า
    วิชานี้ จะเริ่มด้วยการขอบารมีพระฯนะครับ
    (ไม่รวม ขั้นตอนต่างๆก่อนฝึกนะครับ
    เช่น นะโมฯ ขอขมากรรม การอาราชนาศีล ฯ)
    จะไม่ใช้กำลังใจตัวเองเด็ดขาดครับ
    ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตาม
    ต้องอาศัยบารมีพระฯไว้ก่อนเป็นเบื้องต้นครับ
    ไม่งั้น ต่อไปในอนาคตจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี
    ไม่ว่า ๑.การเฝื่อ(การเห็นที่ปรุงตามกิเลสตนเอง)
    ๒.การหลงตัวเองอย่างที่คาดไม่ถึง(เพราะจะคิดว่าตัวเองเก่งมาก
    ทั้งๆที่ความสามารถทำได้ต่ำ ภูมิต้านทานภายนอกต่ำ
    แต่ก็จะคิดว่าตัวเองเก่งหรือเหนือกว่าใครได้อย่างคาดไม่ถึง)
    ๓.การหลงสภาวะระดับกำลังสมาธิ(เช่น ความสามารถทางจิต
    ด้วยกำลังระดับอุปจารสมาธิแต่จะคิดว่าเป็นระดับฌาน ๔)
    ๔.การเผลอไปยึดติด กับอดีตหรือยึดในสิ่งที่เห็นทางด้าน
    นามธรรมและดึงเข้ามาเป็นตัวเองอย่างคาดไม่ถึง(เช่น
    ย้อนอดีตไปเห็นตัวเองเป็นระดับโน้นนั่นนี่ ปัจจุบันก็จะ
    เอามายึดว่าตัวเองเป็นเหมือนในอดีต จนสร้างอัตตาตัวตน
    ให้ตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ)
    ๕.การนำไปใช้ในทางที่ไม่เป็นสาธารณะ ไม่มีประโยชน์
    ในทางธรรมและทางปฏิบัติ แต่แฝงไว้ด้วยผลประโยชน์
    เข้าตัวเอง สร้างให้ตัวเอง เป็นคนติดในลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    เช่น นำไปใช้ในทางที่ต้องการให้ตนเองมีชื่อเสียงต่างๆ
    พวกทำนาย ทายทัก หมอดูแม่นๆ. อวดว่าตนมีญาน
    เป็นผู้วิเศษ ระดับโน้นนี่นั้นมาเกิดทั้งหลาย.....
    ๖.สร้างให้ตัวเองเป็นผู้มีกรรมหนัก เช่น ไปทักคนโน้นนี่นั้น
    ว่ามีนั่นโน่นนี่ตาม มีวิบากตรงนั่นโน้นนี่
    ๗.กลายเป็นพวกมุขโชว์ เทพ ที่เที่ยวทักคนนั้นนี่นั้น ว่ามี
    เทพโน้นนั่นนี่ โดยที่ไม่มีใครถาม...
    ที่เล่ามาเป็นข้อๆเป็นข้อควรระวังครับ
    หากว่าใช้กำลังใจตัวเอง มีโอกาศจะเกิดขึ้น
    กับตัวเราได้สูงอย่างคาดไม่ถึงครับ


    และประเด็นของมโนฯตามแบบ ลพ.ท่าน
    เพื่อพิสูจน์ นามธรรมต่างๆ ว่ามีจริงหรือไม่
    ซึ่งในระหว่างที่พิสูจน์นั้น ก็จะแทรกด้วยการพิจารณา
    ตัดความยึดมั่นถือมั่นของร่างกายตัวเองไปในตัวร่วมด้วยครับ
    ซึ่งใช้ ความชัดเจนของสิ่งที่เห็น เป็นตัวชี้วัดความสามารถ
    ในการที่จิตสามารถตัดร่างกายตัวเองนั่นเองครับ....

    และพอทำได้แล้ว ประเด็นหลักๆเลย ก็คือ
    ให้มารู้ใจตัวเองครับ ดังคำกล่าวโดยย่อว่า
    ''รู้อดีต รู้อนาคต รู้กรรม รู้อะไรต่างๆของคนอื่นๆ
    ของสัตว์ ของอะไรถ้ามันจะ
    รู้ได้ ก็ปล่อยให้มันรู้ไป
    แต่อย่าไปสนใจ
    ให้มาสนใจเรื่องของตัวเอง
    แต่ไม่ยึดด้วยครับ ''

    ในทางปฏิบัติ ให้จำเอาไว้ว่า ถ้าไม่สามารถ
    เล่นปฎิภาคนิมิตในกำลังสมาธิระดับสูงได้มาก่อน
    หมายถึง ผ่านการอฐิษฐานจิตให้เกิดผลในกำลัง
    ระดับที่กล่าวมาแล้วนั้น และต้องเกิดผลขึ้นจริงๆด้วยนะครับ

    ให้ท่านเฉยๆไว้ทุกๆกรณี
    ทุกๆสัมผัสครับ ไม่ว่าจะเห็น จะรับรู้อะไร
    ไม่ว่าจะรับรู้แบบหลับตา หรือลืมตาก็ตาม
    . เพราะการใช้งานแบบจะไม่เป็นแบบ ๗ ข้อที่เล่าให้ฟัง
    จะวัดกันในขณะลืมตาปกติครับ
    แบบไม่ต้องมีพิธีการ ไม่ต้องท่าทาง
    ไม่ต้องมีลีลา และไม่ต้องหลับตาให้เสียเวลา
    และภายในเวลาเสี้ยววินาทีครับ
    พูดง่ายๆ ถ้าท่านไม่สามารถเห็นภาพบนอากาศ
    ภายนอกได้ด้วยตาเปล่าๆ ให้ท่านอย่าพึ่งไปสนใจอะไร
    เพราะการรับรู้ทุกอย่าง ที่ยังอยู่ในกายนั้น
    มันจะยังมีการปรุงแต่งได้อยู่ เพราะยังมีกายอยู่
    เราจริงเน้นการรู้ที่ ตัดกายนี้ทิ้งเท่านั้น
    แล้วจะปลอดภัยต่อสภาพกายและจิตท่านเองครับ.....

    ส่วนสรุปขั้นตอน
    ๑.ขึ้นแบบพิธีการ นะโมฯ ขมากรรมฯ อาราชธนาศีล
    พิจาณาตัดร่างกายฯ
    ๒.ขอบารมีพระตั้งต้น มีหลายทริค ให้ลองหาอ่านดู
    แต่ถ้า ภายใน ๑ ถึง ๒ นาที แล้วไม่เกิดผลอะไร
    ให้เลิกทำซะ ไม่มีประโยชน์ แล้วค่อยมาทำใหม่คับ
    ๓.ไม่ว่าจะรู้เห็นอะไร ให้เฉยๆ อย่ายึดติด ว่าต้องใช่
    หรือไม่ใช่...
    ๔.เห็นแล้ว ให้มาดูว่า ในระหว่างวัน เราพลาดตรงไหน
    กิเลสตัวไหนเราอ่อนอยู่ ให้มาพิจารณาตัวนั้นครับ
    ๕.อย่าทำตัวเป็นหมอดูดวง หรือพวกโชว์ความ
    สามารถแบบอ้างมุขเทพนะครับ...

    และประโยชน์จริงๆอีกข้อ ถ้าเราทำได้
    จะใช้ตอนที่เจรจากับเจ้ากรรมนายเวรได้ครับ
    นี่ ลต. วัดหนึ่งที่ จ.สระบุรี สอนมาครับ...
    แต่ให้เน้นร่วมกับ สติปัฏฐาน ๔ นะครับ
    เพราะจะทำให้ ตัวโทสะ โมหะ โลหะ
    ที่มีอยู่ในจิตเรา ที่มันจะไปดึงเอา
    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ จากภายนอก
    เข้ามาจนเป็นตัวเรา มันค่อยๆละค่อยๆคลาย
    ได้เร็วขึ้นมากกว่าปกติ
    จริงๆ วิธีแบบคุณ ปราบ ก็ช่วยทางด้านนี้เช่นกันนะครับ
    ท้ายนี้ ก็สุดแล้วแต่จะพิจารณาครับ..

    ปล. แค่เล่าให้ฟังเฉยๆครับ...
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ทริคอีกอย่าง ถ้าเราถึงระดับปฏิภาคนิมิตได้
    ในกำลังสมาธิระดับสูงนะครับ
    ย้ำว่าระดับสูง นิสัยที่เอื้อให้เราจะเข้าถึงได้เช่น
    ๑.การทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร
    ๒.การทำดีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
    ๓.ความมั่นคงของศีล ๕ อย่างน้อยต้องมีความ
    ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ตรงนี้เราไม่ต้องไปประกาศ
    บอกใครแต่ใจเราเองรู้ดีที่สุดครับ..
    ๔.การมีเมตตาทั้งต่อคน สัตว์ แบบไม่เลือกข้าง
    ๕.ให้ความเคารพทุกภาคส่วนภพภูมิ ไม่แยกแยะ แบ่งฝ่าย
    แต่ไม่ควรยึดมันถือมั่นครับ
    ๖.อุทิศส่วนกุศลบ่อยๆ ไม่ว่าก่อนหรือหลังนั่ง
    หรือไม่ว่า สัมผัสอะไรได้แปลกๆครับ
    นี่คือทั่วๆไป ที่ควรมีเป็นปกติในจิตเราครับ
    แต่ถ้าเราอยากจะมีอะไรที่พิเศษ
    ให้เราอฐิษจิตตั้งเป้าเอาไว้ว่า
    เราจะขอเรียกของเก่ากลับคืนมา
    และเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางธรรม
    และผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้นนะครับ
    จะทำให้เรามีโอกาศได้พบเจอ
    ครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิได้ครับ
    และนิสัยที่ไม่ควรเป็นคือ
    ๑.อย่าคาดหวังว่า เวลาไปที่ใดก็ตาม เราจะได้รับการต้อนรับ
    หรือคาดหวังว่าจะมีคนตอนรับ ด้วยเห็นว่าตัวเองมี
    อะไรทำอะไรได้มากกว่าใครนะครับ นิสัยอย่างนี้อย่าให้เกิดมี
    ๒.ไม่ควรไปคลุกคลีในสถานที่ใดๆก็ตาม ที่มันมีผลทำให้
    จิตใจเราไม่สงบครับ
    ๓.อย่าเป็นเหตุให้ผู้อื่นๆทะเลาะเบาะแว้งกันรวมทั้งตัวเรา
    ถ้ามีความขัดแย้งควรรีบยุติซะ...


    ในระดับสมาธิกำลังสูงๆพวกแสงสว่างมากๆแต่ไม่เย็น
    เห็นดวงนั้นดวงนี้ เห็นโน้นนี่นั้นได้อยู่
    ยังไม่ใช่นะครับ ย้ำว่าไม่ใช่
    และไม่ว่าจะเห็นอะไร หรือมีอะไรมาคุยด้วย
    ให้เฉยๆทุกกรณี พวกวิญญานมีฤิทธิ์
    ชอบมาช่วงกำลังระดับนี้นะครับ
    ไม่งั้นเด่วจะกลายเป็น ร่างทรงได้อย่างคาดไม่ถึงครับ

    และที่
    ต้องปฏิภาค เพื่อให้จิตเรามีภูมิต้านทาน
    ต่อภายนอกต่างๆครับและ
    ไบ้ให้ว่า มันจะเป็นอะไรที่สว่างในตัวเอง
    หลายๆอย่างรวมกันจนดูสว่างได้ถ้าถึงได้
    ให้เราเลือก ได้ ๓ เส้นทางครับ
    ๑.อฐิษจิตให้เกิดผล ซึ่งต้องวางกำลังใจเรื่องที่จะอฐิษฐานไว้ก่อน
    ในระหว่างวันนะครับ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นความคิดซึ่งไม่ใช่
    เช่น วางกำลังว่า จะย้อนอดีต ชาติที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ แล้วลืมๆไป
    เด่วพอถึงสภาวะ มันจะผุดขึ้นมาเองครับ จะยากที่สุด
    ตอนเรื่องที่ ๑ เพราะกำลังมันจะตกลงมาแบบอัตโนมัติ
    เป็นเรื่องปกติครับ แต่ให้เรารักษาอารมย์ไว้ กำลังสมาธิ
    จะกลับขึ้นมาเองครับ และจะเกิดผล ส่วนเรื่องที่ ๒ ๓ ๔ และ ๕
    นั้นก็จะมาเองอัตโนมัติของมัน โดยที่ไม่ตกเหมือนครั้งที่ ๑ ครับ
    ซึ่งถึงทำได้ เราจะเริ่มมีความสามารถใช้งานได้
    ในระดับตาเปล่าครับ
    หรือ ๒. ให้เล่นกับปฏิภาคนิมิตครับ โดยให้ปั่นปฏิภาคนิมิต
    ให้หมุนทางด้านซ้ายให้ได้ ไม่ใช่ขวานะครับ เพราะขวามันจะง่าย
    หมุนแล้วภาพจะใหญ่ เราจะไม่ได้อะไรครับ ช่วงนี้อาจจะถูกดูดได้
    ถ้าเข้าไปใกล้ภาพมากเกินไป และจะไปโผล่ที่ใดในโลกหรือ
    จักรวาลนี้ก็ตาม ไม่ต้องสนใจ ไปปั่นภาพต่ออย่างเดียวครับ
    ถ้าทำได้ แม้ไม่กี่วินาที ในเวลาลืมตาปกติเราจะมีความ
    สามารถเข้าถึงเรื่องพลังงานได้เป็นปกติครับ ไม่ว่าพลังงาน
    จากภายในหรือภายนอกครับ...

    ๓.ก็คือ ให้เพิกภาพทิ้งซะ แล้วให้กำหนดภาพขึ้นมาให้ใหม่
    ให้ได้ครับ และให้เพิกภาพทิ้งอีก และกำหนดขึ้นมาใหม่อีก
    ทำไมต้องทำถึง ๒ ครั้ง เพราะว่า ถ้าเราทำครั้งเดียว
    กำลังสมาธิเราจะไม่เพียงพอที่จะไปต่อในอรูปฌานได้ครับ
    แล้วค่อย พิจารณาเอาว่า จะพิจารณาเรื่องอะไร
    ซึ่งมันก็ต้องมีการวางอารมย์ไว้เช่นกันครับ
    ไม่งั้นจะไม่พ้นการปรุงแต่งครับถ้าไม่ทำ
    ถ้าทำได้ เราจะตัดกิเลสเรื่องนั้นได้ถึงขั้นละเอียดครับ
    ในระดับอรูปนั้น ไม่ว่า อากาศ วิญญาน ความว่าง
    พวกนี้กำลังระดับเดียวกันนะครับ ยกเว้นระดับเนวสัญญา
    ซึ่งทำได้ยาก เพราะมันแปรผันตามระดับกิเลสในชีวิต
    ประจำวันเราด้วยครับ เรียกว่า เราต้องผ่านในระดับ
    ปฐมญานก่อน เพราะมันจะมีมากมายหลายเรื่องมารบกวน
    ตอนนี้ ด้วยการเพิ่มกำลังสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง
    และสมาธิสะสม รวมทั้งบวกความเพียรในการตัดกิเลส
    ร่วมด้วยครับ ถึงจะเข้าถึงได้ครับ.
    พูดง่ายๆว่า มันฝึกเอาไม่ได้ มันต้องวางเอาถึงเข้าถึงได้ครับ...

    และการเสื่อมหรือไม่เสื่อม ขึ้นอยู่กับว่า
    ในขณะที่เรามีสัมผัสหรืออะไรต่างๆนั้น
    มันเกิดขึ้นในระหว่างที่จิตเราเคยคลายตัวหรือยัง
    พูดง่ายๆว่า จิตเคยแยกรูปแยกนามได้มาก่อนไหม
    ซึ่งจะต้องเดินปัญญามาก่อนบ้างพอสมควรนะครับ
    ถ้ายัง มันจะเสื่อมได้เป็นปกติ และไม่มีการพัฒนา
    หลงตัวเองได้เป็นเรื่องปกติครับ
    ถือเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคลายได้มาก่อน
    มันจะไม่เสื่อมและพัฒนา
    ขึ้นได้ของมันเองตามลำดับครับ
    ตามระดับกิเลสที่จิตเรามันสามารถคลายได้ครับ.....

    ส่วนระดับโปรซีรีย์ทั้งหลาย ที่มาให้เราเห็นได้แบบตาเนื้อ
    ส่วนมาก จิตท่านแทบจะไม่ยึดอะไรแล้วครับ
    ไม่ว่า ลาภ ยศ สุข สรรเสริญครับ
    อยู่ในกำลังระดับใช้งาน ฌาน ๔ ของจริงครับ
    บางสายก็ว่า เป็นพื้นฐานกำลังของระดับจิตธาตุครับ

    และจำเอาไว้อีกอย่าง อย่าเชื่อทุกอย่างที่ตาเห็น
    ดังนั้นหลับตาเห็นก็ให้เฉยๆนะครับ ไม่ต้องไปยึดอะไรและ
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าๆก็ยึดไม่ได้..จำเอาไว้นะครับ
    รับรองว่า จะปลอดภัยต่อสุขภาพกายและจิตตนเองครับ
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังนะครับ
     
  10. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    เข้าวัดธรรมกายเลยครับ พกเงินเยอะๆหน่อย :)
     
  11. Kritsakan

    Kritsakan สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณทุกความเห็นมากนะครับ
     
  12. อะไรนะ?

    อะไรนะ? สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +23
    คุณอย่าไปใช้กำลังตัวเอง ถ้าไม่ใช่ชาติสุดท้ายตอนรวมบารมีผมว่ายาก คุณทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อโลกวิญญาณ เดี๋ยวก็มีคนมาบอกวิธีคุณเองคับ คนเราฝึกมาต่างกัน บันทึกมา ต่างกัน คุณทำฐานก่อน เดี๋ยวสิ่งที่คุณเคยเรียนมา ก็มาหาเองคับ อย่าไปอยาก พอรู้อะไรอเห็นอะไร อย่าไปสนใจจริงไม่จริง ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันจะจริงเยอะกว่าไม่จริง แต่ของพวกนี้มันเสืีอมได้อย่าไปยึดติด บางคนฝึกในถ้ำแม่นมาก ออกมาใหม่ๆเห็นหมด พอ ลาบ ส้มตำ ข้าวเหนียว สาว หอย สักการะมา ไม่เหลือ
    ทริคการฝึกง่ายมาก อย่าไปท่ามาก ลีลามาก นั่ง นอน ยืน เดิน คุย ดูหนัง นอนกะโคโยตี้ คิดจะฝึกต้องฝึกได้ทันที ไอ้ประเภท ท่ามากมันจะไม้ได้กิน พวกต้อง อาบน้ำก่อน เปลี่ยนชุดขาวก่อน ต้องไปวัดก่อน ประมาณต้องบิ้วอารมณ์ ร่ายยาวมัวแต่ไหว้ครูน่าจะกลัวจะไม่ได้

    ผมไม่ได้อะไรพิมพ์เล่นๆอย่าสนใจ ๕๕๕
     
  13. ฤดูที่แตกต่าง

    ฤดูที่แตกต่าง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2017
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    เคยลองนั่งภาวนานะมะพะทะ
    สิ่งแรกที่เห็นเห็นภาพชายท่าทางวิกลจริต เชือดคอไก่ตายหลายๆตัว แล้วชายคนนั้นก็วิ่งไปถูกรถชนตาย
    แล้วเห็นความเลวของตัวเองในอดีตที่เคยทิ้งเพื่อนให้ทำงานจับคู่สองคนคนเดียว แล้วเรื่องโกหกเพื่อนว่าหนังสือเพื่อนหาย จริงๆหนังสืออยู่ที่บ้านขี้เกียจเอามาให้ ทั้งๆที่เรื่องนี้ลืมไปนานแล้ว
    เราก็ภาวนานะมะพะทะต่อ พยายามจับภาพพระพุทธรูปในความคิด แต่รูปพระก็ชอบเปลี่ยนเป็นรูปหลวงพ่อฤๅษีลิงดำบ้าง เป็นเจ้าคุณนรบ้าง แต่สุดท้ายก่อนออกจากสมาธิเห็นภาพพระองค์หนึ่งไม่รู้จักว่าคือใคร
    มาปรากฏอยู่ในสมาธินานมาก เดี๋ยวก็โผล่มาอีก
    สุดท้ายไปรู้ว่าคือหลวงปู่ปาน วัดบางโคนม เพราะความบังเอิญไปอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์
    อย่างนี้เรียกว่าอุปทานไปเองป่าวคะ
     
  14. pitra

    pitra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2017
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +31
    เมื่อสี่ปีที่แล้ว ได้ชีพราหมณ์ ตอนแรกกะจะบวชแค่เจ็ดวัน เพื่อให้สบายใจ แต่สุดท้ายก็ขออยู่ต่อจนครบ 14 วัน แล้วก็ลาสึกมาทำงาน
    ตอนนั้นนั่งสมาธิ จนไม่ได้ยินเสียง ความรู้สึกเหมือน เหมือนตาในหูในหลับสนิท ตัวตนไม่มี อยู่ยังงั้น มาก ไม่ได้พิจารณาอะไร (เพราะไม่รู้ ) จนมีคำถามว่า จะให้อยู่นิ่งๆ แบบนี้เหรอ แล้วไงต่อ
    ก็เข้า ๆ ออก ๆ อยู่กับสภวะนั้น ไม่ได้มีอะไรมากกว่านิ่ง ๆ อยู่ยังงั้น
    แม่ชีแนะนำว่า ถ้ามันนิ่งแล้ว ก็ถอยออกมา เดินวิปัสสนา. ตอนนั้นไม่รู้ว่าวิปัสสนาคืออะไร คิดแต่ว่า นั่งอยู่ แล้วจะให้ถอยออกมา เดินวิปัสสนามันเหมือนเดินจงกลมมั้ย เดินยังงัย คือตอนนั้นไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ เห็นหัวใจตัวเองเต้น ชัด ๆ ก็รู้ ก็เห็น
    จนสึกมาเฉย ๆ มานั่งต่อที่บ้าน คืนละสามชั่วโมง แบบนิ่งๆ หลับตา อธิฐานยังไม่จบ จิตก็ดิ่งลงไปแล้ว นิ่งแล้ว
    บางทีตักข้าวจะใส่ปาก จิตมันก็จงลงไปอย่างเดียว
    สุดท้าย เพราะงานเยอะ ก็ห่าง ๆการนั่งสมาธิออกมา จนมาเจอเว็บนี้ และค่อยมาเริ่มต้นใหม่ อ่านวิปัสนาคืออะไร ถึงพอจะเข้าใจบ้าง
    แต่เท่าที่เริ่มานั่งใหม่แบบจริงจัง
    ก็มั่นใจว่านิ่งอยู่ ไม่ฟ้งซ่าน. (หลวงปู่ แม่ชีที่ท่านดูแลก็บอกว่า มาได้แค่สามสี่วัน แต่ไปได้ไกลกว่าคนฝึกปีสองปี ) ดิฉันก็เลยพอจะรู้ว่าสงบเป็นยังงัยค่ะ
    อีกอย่าง คำภาวนาหายก็รู้ ลมหายใจหายก็รู้ ลมมามากน้อย ชัดเบารู้หมด

    แต่ดิฉันสงสัยว่า ทำไมดิฉันไม่เคยเห็นนิมิตอะไรเลย
    ไม่เคยเห็นวิญญาณ หรืออะไรเลย(แต่ก็กลัวมากก ขนาดไม่เคยเห็น)
    รบกวนท่านผู้รู้ตอบเป็นวิทยาทาน เป็นธรรมทานหน่อยค่ะ
    เมื่อคืนนี้นั่งสองทุ่ม ถึงห้าทุ่ม ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ช่วงสุดท้ายก่อนขอออกจากสมาธิ คือ เหมือนมีอะไรดันจะออกจากตัวทางด้านหลัง พอไม่ออกก็มานิ่งสงบที่อก แป๊บเดียวก็ วนไปที่หลัง แต่เลยไปด้านข้าง (ขวา) ดันออกไปพอสมควร แต่ไม่ออก กลับมาที่แก นิ่งแป๊บ แล้วก็ดันขึ้นด้านบน นาน และดิฉันรู้สึกตัวเบา แขนเบา
    ไม่มีอะไรออก ไป กลับมาที่อก เลยขออกจากสมาธิ แต่ก็ไม่ออก ทันที นิ่งอยู่ระยะหนึ่ง ค่อยคลายตัวออก.
    ตอนแผ่เมตตา จิตนิ่งก็เหมือนจะลงไปที่เดิมอีก เหมือนยังไม่อิ่ม
    ดิฉันไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าคิดไปเอง อุปทาน หรืออะไร
    ขอความรู้เป็นธรรมทานให้ดิฉันหน่อยค่ะ
    และขออนุโมทนากับธรรมทานนั่นด้วยนะคะ
     
  15. แต้อุดม

    แต้อุดม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2017
    โพสต์:
    48
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +373
    ขอตามกระทู้นี้นะครับ ^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...