คำสัญญาข้ามภพ &วิธีปลดล็อคตัวเองจากการบนและคำอธิษฐานที่จำไม่ได้

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 3 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ThatAllToIt.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    LpBuddhatasBornDie.jpg
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    คำอธิษฐานจิตแก้กรรมเรื่องคู่และคำขอขมากรรม.. เพื่อให้มีคู่

    คำอธิษฐานจิตแก้กรรมเรื่องคู่และคำขอขมากรรม.. เพื่อให้มีคู่

    คำอธิษฐานจิตแก้กรรมเรื่องคู่และคำขอขมากรรม
    ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างหรือปล่าว
    ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างก็ไม่รู้ด้วยคำสัญญา
    เช่น เราจะรักกันทุกชาติไป
    โดยหารู้ไม่ว่ากรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
    ชาติภพใหม่ก็เลยแตกต่างกันไป
    แต่คำมั่นที่สาบานยังอยู่
    อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุณยังเป็นโสดจนทุกวันนี้

    ลองสวดมนต์บทนี้ดูอาจจะดีขึ้นนะ

    คำขอขมาและอธิษฐานจิต
    อธิษฐานหน้าพระพุทธรูป หรือสวดก่อนนอนก็ได้

    ( นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ )

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

    หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกิน บิดา-มารดา
    ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า
    ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ
    และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี
    ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา
    ขออนุญาติมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐาน
    คำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต
    ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน
    ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร
    ขอบุญบารมี ในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
    จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว
    ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติ ปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ
    โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก
    ทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
    หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า
    ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้
    ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาต และคำสาปแช่งในทุกชาติทุกภพ
    ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร'

    คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ
    แต่ละคนมีเจ้ากรรมนายเวรที่แตกต่างกัน
    การสวดขอขมาเพื่อลดและปลดหนี้กรรมให้น้อยลง

    ( คาถา บทนี้ เป็นคาถาที่ใช้สำหรับขอขมาพระรัตนตรัย
    และใช้เพื่อถอนคำสาปแช่ง ในอดีตชาติ ที่ติดตามมา
    เพราะเราไม่รู้ว่าเคยได้ ล่วงเกินปรามาสใครไปบ้างก็ไม่รู้ ไม่เว้นแม้กระทั้ง
    พระพุทธองค์ พระอรหันต์ พ่อ แม่ เป็นต้น
    เพราะบางคนทำการใดๆ มักมีอุปสรรค หรือมักมีคนไม่ชอบหน้า
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

    ตั้งนะโม ๓ จบ ชินะปัญชะระ ปะริตตังมัง รักขะตุ สัพพะทา หรือ
    วิญญาณสัมปันโน อิติปิโส ภะคะวา นะโมพุทธายะ ๙ จบ

    (ขอพระอนันตชินเจ้าในบัญชรแวดวงกงล้อม พระโมรปริตรและพระขันธปริตร อรหันต์เจ้า จงคุ้มครองรักษาข้าพเจ้าให้พ้นจากภยันตรายสรรพสิ่งทั้งปวง ตลอดเวลาทุกเมื่อ)
    กรรมที่ทำให้เราไม่เจอเนื้อคู่ และบทสวดขอขมา – สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

    อภิญญา สมาธิ สวดมนต์ สนทนาธรรม - DharmaXP :-
    Published on Sep 25, 2014
     
  7. ์Napun2764

    ์Napun2764 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +107
    ทำมาหลายปีล่ะ ไม่สำเร็จ
    เพราะคู่กรณ๊ไม่ร่วมมือร่วมใจ
    แถมยังเป็นพวกมิจฉาทิฐิด้วยค่ะ:eek:
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    สิ่งที่เป็นมานานแสนนาน การแก้ก็ต้องใช้เวลาค่ะ สู้ๆๆๆอย่าท้อนะ อึบๆๆๆ:)
     
  9. ์Napun2764

    ์Napun2764 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +107
    จะไม่ไหวล่ะค่ะ โชคดีมีคนเข้ามาช่วยเหลือไว้ทัน
    ไม่งั้นตายแน่นอน5555
     
  10. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    พระพุทธเจ้า กับ ธรรมะ

    ปัญญา กับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์

    ศรัทธา กับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้คนที่ศรัทธาอยู่นั้น
    เกิดศรัทธาที่สั้นลง หรือถูกบั่นถอนศรัทธานั้นๆลงไป แต่เมื่อฟังแล้วย่อมเกิดศรัทธาที่ยิ่งๆขึ้นไป
    แม้ยังไม่ได้ศรัทธามาก่อนก็ช้วยยังจิตให้เกิดความศรัทธาขึ้นมาได้

    วิริยะ กับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ มหาสมุทรที่ว่าห่างไกลกันแล้ว
    ธรรมของสัตตบุรุษ กับ ธรรมของอสัตตบุรุษ ห่างไกลกันยิ่งกว่านั้น
    โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ยังนับได้เพียงแค่ 1 วัน
    ธรรมที่เอื้อต่อทุกยุคทุกกาลจะห่างไกลกันขนาดไหน กับสิ่งที่ใช้ได้เพียงบางยุคบางสมัย

    พระพุทธเจ้า ลงลอยกันด้วยธรรม

    คนจะรักกันได้แบบยืดยาว จึงมองว่าเป็นเรื่องของคุณธรรมข้างใน

    การให้ อภัย ไม่ควรจะนับจำนวนครั้งเพราะมันจะกลายเป็นการสะสม อย่างเช่น
    เราจะให้โอกาสคุณอีกแค่ 3ครั้ง - 10ครั้ง หากเกินไปกว่านี้จะไม่ให้อภัยแล้ว
    แบบนี้ก็จะเป็นการ พักรบ กันไว้ชั่วคราวก็เพียงแค่นั้น รอวันครบกำหนดแล้วกลับมารบกันใหม่
    การให้อภัยจริงๆจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ โดยเพียงแค่ใช้คำพูดก็สามารถให้อภัยกันได้จริงๆ
    เพราะต้องเกิดจากการให้อภัยในเรื่องเดิมๆที่เกิดขึ้นมาแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนความผิดต่างๆ
    เหล่านั้นไม่มีผลกระทบอะไรๆ กับใจเราเลยหรือเรียกอีกอย่างก็คือ เมตตาไม่มีประมาณ

    เรื่อง สมมุติ + กับเคยฟังมา

    เฮียข้าวมันไก่ - รับอะไรดีครับ
    เด็กน้อย - ขอเป็ดตัวนึงครับ
    เฮียข้าวมันไก่ - ร้านนี้ไม่ได้ขายเป็ดครับ ร้านนี้ขายข้าวมันไก่
    เด็กน้อย - อ่อครับเข้าใจละครับ
    เฮียข้าวมันไก่ - งั้นจะรับอะไรดีครับ
    เด็กน้อย - อ่อครับ งั้นผมขอเป็ดตัวนึงละกัน
    เฮียข้าวมันไก่ - เฮียรู้สึกโมโหเพราะความไม่เข้าใจของเด็ก

    เด็กน้อยคนนั้นเดินจากไปจากนอกร้านไปได้ซักพัก แล้วกลับเข้ามาใหม่อีก

    เฮียข้าวมันไก่ - ร้านนี้ไม่มีเป็ดไม่ต้องมาสั่ง เป็ด (ขึ้นเสียงแบบฉุนเฉียว)
    เด็กน้อย - ทำสีหน้าเศร้าๆตามประสาเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุ แล้วก็ตอบเฮียไปว่า ครับผม
    เฮียข้าวมันไก่ - งั้นจะรับอะไรดีหละ(ขึ้นเสียง)
    เด็กน้อย - งั้นผมขอเป็น เป็ดตัวนึงละกันครับ แล้วก็วิ่งออกจากร้านไป
    เฮียข้าวมันไก่ - ไอ้ /-ู๔฿๕#@#$

    อันนี้เป็นแค่เพียงเรื่อง เป็ด เองยังขนาดนี้ เรื่องอื่นๆที่ปรกติก็ให้อภัยยากอยู่แล้ว
    แล้วยังต้องเกิดซ้ำซ้อนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าหละจะยิ่งยากขึ้นขนาดไหน

    คนเราบางทีก็ชอบที่จะ ทำน้อยๆแต่ได้มากๆ ลงทุนน้อยๆแต่ได้ผลกำไรที่ดีๆกว่าต้นทุนเยอะๆ
    อภัยทาน มีอานิสงส์ มากจนนับกันไม่หวาดไม่ไหวก็จริงอยู่ แต่ต้นทุนกว่าจะมาเป็นอภัยทาน
    กันได้นี้ ไม่ใช่ว่าทำอยู่ 4 - 5 รอบก็ว่า โอ้เรานี้ได้อภัยทานแล้วสำเร็จแล้ว
    แต่มันต้องใช้ต้นทุนที่นับรอบกันแทบไม่ได้ในเรื่องเดิมๆที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    กว่าจะได้มาเป็น อภัยทาน หรือ เมตตาที่ไม่มีประมาณ กันได้

    ขอให้ทุกคนมีความสุขละกันครับ +.+
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    Forgiveness (2).jpg
     
  12. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ทานบารมี กับ สุตมยปัญญา

    การฟังมาจากการกระทบ ธรรมะนั้นเป็นของอัศจรรย์ ยิ่งได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็จะได้ฟัง
    การได้ฟังเพิ่มในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า จะยิ่งไปกระทบไกลหรือเกิดการกระทบที่มากขึ้น
    แต่การได้ฟังธรรมะนั้น เมื่อถูกกระทบแล้วจะยิ่งเสียสละในสิ่งที่มากระทบนั้นได้มากขึ้น
    จากเคยกระทบมามากๆ ก็จะเริ่มที่จะกระทบน้อยลง จากกระทบน้อยลง
    ก็จะกลายเป็นว่าไม่กระทบกับอะไรๆเลย เมื่อไม่กระทบกับอะไรๆเลย ก็เกิดความสงบ
    ความสงบนี้หละ เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา

    วิชาความรู้ ก็เสมือนกับแสงไฟ
    ต่อให้เรานั้นมีหนังสือมากมายก่ายกองขนาดไหน แต่หากเรานั้นไม่มีซึ่งแสงไฟ
    ก็เป็นไปไม่ได้ที่เรานั้นจะเห็นวิชาความรู้จากหนังสือนั้นๆ หากเรามองถึงกองไฟ
    กองไฟนั้นก็ไม่สามารถตั้งขึ้นอยู่ได้ หากปราศจากซึ่งลมเป็นปัจจัย
    ฉะนั้น ผู้ที่รู้อยู่ในลมหายใจ จึงเรียกได้ว่า ผู้ที่ไม่เหินห่างจากฌาณหรือวิชาความรู้

    หากเรานั้นสังเกตจากคำพระศาสดา แสงสว่างใดๆเสมอด้วยปัญญาเป็นไม่มี
    เรานั้นก็พอจะทราบความได้ว่า ปัญญานั้นก็ส่วนปัญญา วิชาความรู้ก็ส่วนวิชาความรู้ คนละส่วน

    จะสังเกตได้ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ให้ทางเดินที่แยบคายมาก อย่าง ธาตุ4 กรรมฐาน
    ที่เหมาะกับผู้เป็น พุทธจริต คือไม่ได้ให้ละวางแต่เพียงแค่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ เท่านั้น
    แม้แต่ธาตุลม ที่ว่ารู้ลมหายใจเป็นผู้ไม่เหินห่างจากฌาณ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ให้ละด้วย
    ถึงได้มีเรื่องเล่าขาน ผู้ทำนายอนาคตที่แม่นยำ ไม่สามารถทำนายอนาคตให้พระอรหันต์ได้

    ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า การให้อภัยนั้น ไม่ได้แปลว่าคุณจะลืม ใช่จริงสำหรับผู้มีความจำดี
    หรือผู้หลุดพ้นแบบมี อภิญญา แม้รู้เรื่องราวต่างๆแต่ไม่ติดอกติดใจจะเอาความ
    แต่ทีนี้มีการ หลุดพ้นอีกแบบที่เป็น สุกขวิปัสสโก ซึ่งไม่ได้แปลว่าพระท่าน
    สามารถจดจำได้ทุกเรื่องในอดีตกาลทั้งหลายแหล่

    จึงขอเสริมว่าสามารถ จดจำได้และให้อภัยได้แบบสิ้นเชื้อนั้นเป็นเรื่องที่มีและก็เป็นเรื่องที่ดีมาก
    จดจำไม่ได้แต่สามารถให้อภัยได้แบบสิ้นเชื่อก็มีและเป็นเรื่องที่ดีมาก

    ปัญญาก็ส่วนปัญญา วิชาความรู้ก็ส่วนวิชาความรู้(สัญญา)
    หากเรานำส่องสิ่งมาปนกันก็จะเป็นเสมือน การจัดหิ้งพระไว้ผิด
    พระพรหม จากเรื่องกล่าวขานก็เป็นผู้มี วิชาความรู้มากมายสารพัดและวิจิตรตระการตา
    แต่พระสงฆ์ที่เป็นพระสุกขวิปัสสโก ท่านเลิศกว่าพระพรหมที่มีวิชาความรู้มากมายสารพัด
    หากเราสรรเสริญไว้ถูกที่เรียงลำดับเอาไว้ได้ถูกเวลาเราทำทานนั้น
    ย่อมสร้างกำลังใจกับพระรัตนตรัย ไว้ได้โดยไม่เกิด สีลัพพตปรามาส

    แสงสว่างเสมอเหมือนด้วยปัญญาไม่มี

    ถึงจะพิมพ์แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้พิมพ์จะมีปัญญาแล้วนะก็ยังมี ตัณหาราคะอยู่
    แต่เพียงอยากจะเพิ่มเติมเรื่องให้อภัยได้ทั้งที่จำได้และจำไม่ได้ แต่อาจจะออกมายาวหน่อย
    คงไม่ถือสานะครับ +.+
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  14. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ชีวิตของ นาฬิกา ถูกผูกไว้ด้วย ถ่านไฟ

    ชีวิตของ คน ถูกผูกไว้ด้วย ปัจจัย 4

    นาฬิกา ไม่เคยขอบคุณ ผู้สร้างนาฬิกา
    บุคคล ผู้รู้จักบุญคุณผู้อื่น ย่อมรู้จักกาลชดเชยเวลาให้ผู้อื่น มิใช่เรียกหาแต่เวลาของตัวเอง
    หรือสนใจแต่เพียงเรื่องของตัวเราเองเท่านั้น เพราะจะก่อเกิดความเห็นแก่ตัวกันได้

    นาฬิกา มีหน้าที่ ทำตามที่หมายที่ตั้งไว้
    บุคคล ผู้รู้หน้าที่ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ย่อมสามารถลดละนิสัยในแบบเดิมๆได้

    นาฬิกา มีกฏระเบียบในแบบของนาฬิกา
    บุคคล ผู้ต้องการเข้าสู่ ความริเริ่มสร้างสรรค์ บางครั้งก็ต้องแหวกแนวกันบ้าง
    เพราะสิ่งที่ เหนือความคาดหมาย นั้นย่อมมีอยู่ จากกฏระเบียบที่ไม่ใช่แบบเดิม

    นาฬิกา ซื่อตรงต่อกับปัจจุบัน
    บุคคล ผู้มีมิติทางมุมมอง ควรแก่การรู้ถึงลำดับ มี 1 ย่อม 9 หาก มี 8 ย่อมมี 2
    เป็นผู้รู้สูงรู้ต่ำ มิใช่ตีเสมอกันได้ทั้งหมด เลข 12 ไม่ได้ว่าต้องกลับไปเป็นเลข 1 เสมอไป
    เมื่อเส้นทางจาก 12 ต้องไปเป็น 1 มี เส้นทางจากเลข 12 ที่ไม่กลับไปเป็นเลขที่ 1 ก็ย่อมมี
    การเพิ่มมุมมองหรือเพิ่มมิติ จึงมิใช่การใช้ความคิดวกวนตีกลับออกมาในแบบเดิมเสมอไป

    เวลาในแต่ละวันย่อมเดินไม่เหมือนกัน ผู้ทำความเข้าใจในปัจจัยที่ทำให้แปรเปลี่ยน
    ถึงจะมีทิศทางดำเนินการได้ตรงทาง คำว่า ข้ออ้าง นี้หละ 1 ปัจจัยหละได้ผลัดเปลี่ยนแน่นอน
    แล้วปัจจัยอะไรทำให้ ข้ออ้าง นั้นได้เริ่มดำเนินการ ก็ต้องไปค่อยๆลดในปัจจัยนั้นๆอีกทีหนึ่ง


    ผมมาเสริมเฉยๆ ขอให้มีความสุขครับ
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ............ aboveWater.gif
    รู้จักความจริงในมุมมองของอริยะ

    dMarsb Thailand
    Published on May 11, 2012

    หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตร - รู้จักความจริงในมุมมองของอริยะ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    เสียงปลุก ๒ ภาค ๒

    Sahapol
    Published on Jan 5, 2014
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    บันทึกประหลาด
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔
    บ่ายวันหนึ่งได้มีสุภาพบุรุษสูงอายุหนีบแฟ้มเอกสารเข้ามาในบ้านแต่ผู้เดียว เป็นผู้ที่ข้าพเจ้าผู้เขียนไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เมื่อเห็นท่าทางบุคลิกลักษณะเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ และท่านผู้นั้นได้แนะนำตัวเองและเราก็เริ่มสนทนากันในห้องรับแขก เมื่อได้สนทนากันครู่ใหญ่ ได้รู้เจตนาดีในการมาหาข้าพเจ้าผู้เขียน แล้วท่านผู้นั้นก็เริ่มเปิดแฟ้มเล่าเรื่องบันทึกประหลาดให้ข้าพเจ้าผู้เขียนทราบถึง รักอมตะของหนุ่มสาวคู่หนึ่งเป็นชีวิตที่แปลกประหลาด

    ท่านผู้นี้ได้เอกสารบันทึกนี้มาเก็บไว้นาน เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้ว แม้จะได้พยายามปฏิบัติตามคำขอร้องของผู้เป็นเจ้าของบันทึกประหลาดฉบับนี้ แต่ก็จนด้วยปัญญาเพราะไม่สามารถจะสืบหาหญิงที่มีชื่อในบันทึกฉบับนั้นได้ การสืบหาก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ฉะนั้นต่อมาก็หมดความพยายามเก็บบันทึกไว้ในที่ปลอดภัย แต่จิตใจไม่มีความสบายเมื่อเวลานึกถึงเรื่องนี้ว่า ยังขาดสิ่งสำคัญที่ยังไม่ปฏิบัติให้สมบูรณ์ในความรู้สึกตลอดมา ความจริงก็ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ หากเมื่อเห็นแก่มนุษยธรรมก็อยากจะทำให้ถูกต้องเรียบร้อย ให้หมดห่วงในบันทึกประหลาดนี้

    ต่อมาเมื่อไม่นานท่านผู้นี้ได้รับหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” ซึ่งแจกในงานพระราชทานเพลิงศพท่านผู้มีชื่อผู้หนึ่ง ก็เกิดความสนใจขึ้นมาทำให้กลับไปนึกถึง “บันทึกประหลาด” ฉบับนั้นขึ้นมา นึกว่าหากได้นำเรื่องราวมาให้ผู้เขียนแล้ว คงจะปลดเปลื้องภาระที่หนักอยู่ในอกไปได้ จึงใช้เวลาเที่ยวสืบหาผู้เขียน “กฎแห่งกรรม” ท่านผู้นั้นได้สืบหาถามผู้ที่คุ้นเคยก็ไม่มีใครรู้จัก แม้จะสืบหาตามสถานที่ชาวพุทธชอบไปศึกษาหาความรู้หลายแห่ง ตลอดจนพระสงฆ์ตามวัด เข้าใจว่าคงจะรู้จัก สืบถามดูก็ไม่ใครรู้จักตัวและที่อยู่คงได้ยินแต่ชื่อ

    ด้วยความพยายามท่านผู้นี้ได้ติดตามสืบหาจนพบผู้เขียน และมีความดีใจ แจ้งความประสงค์เพื่อให้ผู้เขียนช่วยจัดการให้สมตามความปรารถนาของผู้เป็นเจ้าของบันทึกประหลาดฉบับนี้ ให้สมบูรณ์ถูกต้องตามคำขอร้อง แม้ว่าเวลาล่วงเลยมานานแล้ว เข้าใจว่าผู้ที่มีชื่อในบันทึกประหลาดนั้น คงจะล่วงลับไปหมดแล้ว คิดว่าการปฏิบัติตามคำร้องนั้นแม้จะช้าเกินไปก็ยังดีกว่าไม่ปฏิบัติเสียเลย เพราะความรู้สึกเตือนอยู่เสมอว่ายังมีสิ่งที่บกพร่องเพราะเรารับรู้ในบันทึกประหลาดฉบับนั้นยังไม่ได้ปฏิบัติตามให้สมบูรณ์

    บัดนี้เรื่องราวในบันทึกนั้น ได้จัดการให้เป็นที่เรียบร้อย วิญญาณเจ้าของบันทึกได้ทราบก็คงปีติยินดียิ่ง ฉะนั้น เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ได้จากคำบอกเล่าและบันทึกประหลาดฉบับนั้น การที่ผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ ก็ไม่ประสงค์จะให้ท่านเชื่อ การเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่พิจารณาหาเหตุผลนั้น ย่อมผิดจากคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนให้พิจารณาเหตุผลเสียก่อน อย่าเชื่ออย่างงมงาย

    ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อให้ท่านรู้ว่าโลกมนุษย์เรานี้ ยังมีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อีกมากมายที่เรายังไม่รู้และไม่เห็น เรื่องต่างๆ ที่น่าสนใจเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ได้สูญสิ้นไป เพราะไม่มีผู้บันทึกไว้แม้จะมีผู้เก็บมาเล่าสู่กันฟังด้วยปากต่อๆ กันไป ก็ไม่ถาวรยั่งยืนเหมือนควันบุหรี่ที่พ่นออกจากปาก ไม่ช้าก็เลือนจางหายไปในอากาศ ฉะนั้น เรื่องนี้ผู้เขียนไม่สนใจว่า ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แล้วแต่ท่านจะคิดว่าเป็นเรื่องนิยาย หรือนิทาน หรือสารคดีชีวิต หรือสิ่งใดแล้วแต่ละท่านจะพิจารณาคิดเอาเอง ผู้เขียนเป็นเพียงแต่ผู้เล่าให้รู้เท่านั้น ไม่มีความคิดเห็นเพิ่มเติม

    บ่ายวันหนึ่งนานมาแล้ว วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ในเดือนเมษายน อากาศร้อนอบอ้าว ข้าพเจ้าได้ขับรถผ่านถนนไปหลายสายในเขตพระนคร ตั้งใจจะไปเที่ยวที่ปาร์คนายเลิศซึ่งเป็นที่หนุ่มสาวและประชาชนพากันไปเที่ยวผ่อนคลายอารมณ์ร้อน หาความร่มเย็นเป็นที่สนุกสนานในสมัยนั้น เมื่อผ่านถนนที่มีชาวต่างประเทศ และย่านผู้ดีมีทรัพย์อยู่กันมากๆ เพราะเป็นที่เรียงรายไปด้วยตึกอันโอ่โถง ตามบ้านมีบริเวณกว้างใหญ่ มีสนามหญ้า มีต้นไม้ ภายในบ้านร่มรื่นทุกบ้าน เมื่อผ่านบ้านใหญ่หลังหนึ่งด้านติดถนนใหญ่เห็นมีธงตาหมากรุกปักไว้ที่ประตูใหญ่ทางเข้าบ้าน มีป้ายบอกกำหนดเวลาที่จะทำการเลหลัง แสดงว่าได้มีการขายทอดตลาดภายในบ้านนั้น

    เราจึงตกลงขับรถเลี้ยวเข้าไปดูโน่นในบ้านโรยด้วยหินละเอียดสองข้างทางเขาปลูกต้นไม้ดอกเรียงราย มีต้นไม้ใหญ่ๆ ภายในบ้านหลายต้น แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นที่ร่มเย็น ข้างตึกใหญ่เป็นโรงรถ ในเขตบ้านมีคูและมีบัววิกตอเรีย ซึ่งไม้ใบใหญ่แผ่ออกขนาดกระด้งและใหญ่กว่า มีบัวดอกใหญ่หลายดอกที่โผล่พ้นน้ำ ข้าพเจ้านำรถเข้าไปจอดชิดขอบถนน แลเห็นมีรถยนต์หลายคันจอดอยู่ก่อน เห็นคนยืนคุยกันเป็นหมู่ๆ ส่วนมากเป็นคนจีนที่จะรวมหุ้นส่วนเพื่อประมูลสู้ราคาที่ขายทอดตลาด โดยปล่อยให้คนหนึ่งเป็นผู้แทนไปประมูล

    มีรถเข็นขายมะพร้าวอ่อนแช่น้ำแข็งอยู่ในบริเวณบ้าน กำลังมีผู้คนมุงชื้อกันหนาแน่น แสดงถึงการขายดีเพราะอากาศค่อนข้างร้อน เสียงบนตึกกำลังประมูลราคากันอย่างเอ็ดอึง ข้าพเจ้าจำได้ว่า เสียงของฝรั่งขาพิการข้างหนึ่งเป็นผู้เลหลัง กำลังใช้เสียงตะโกนดังกว่าธรรมดา ได้ยินจนถึงข้างล่างอย่างคุ้นหู ไม่ว่าแกจะไปไหน เมื่อมีค้อนไม้อยู่ในมือแล้วก็ไม่พ้นคำพูดมีไม่กี่ประโยคที่แกใช้หากินตลอดมา

    “เบอร์นี้ใครจะให้เท่าไร ของดีๆ ทั้งนั้น อ้าวยี่สิบ ยี่สิบห้า ยี่สิบห้า อ้าวสี่สิบแล้ว สี่สิบใครให้สูงกว่านี้ไม่มีใครให้สูงกว่านี้หรือ อ้าวมีคนให้ห้าสิบแล้ว ห้าสิบหนึ่งห้าสิบมีใครให้มากกว่านี้ มีคนให้หกสิบแล้ว ใครจะสู้ราคาสูงกว่านี้ หกสิบ หกสิบ ราคานี้ถูกมาก ของใหม่สองสามร้อยซื้อไม่ได้ไม่ใครจะให้สูงกว่านี้หรือ หกสิบหนึ่งหกสิบสอง หกสิบสามท แล้วแกก็เคาะค้อนลงไปในวัตถุสิ่งนั้นหรือที่โต๊ะ หรือไม่ก็ข้างฝาตามแต่สะดวกพอเป็นพิธีแสดงว่า สิ่งนั้นเบอร์นั้นมีผู้ประมูลไปได้แล้ว หลังจากนั้น จะมีเสมียนดูเบอร์ที่สิ่งของนั้น และจดชื่อเสียงของผู้ประมูลได้ลงไปพร้อมราคา ต่อจากนั้นแกก็จับสิ่งอื่นขายทอดตลาดต่อไป”

    ตามปกติข้าพเจ้าชอบไปดูเวลาแกเลหลัง สวนมากเป็นบ้านฝรั่งที่จะกลับไปเมืองนอก บางครั้งแกก็ชอบพูดจาตลกคะนองแสดงท่าทางทำให้คนหัวเราะได้ พูดภาษาอังกฤษในเมื่อมีฝรั่งไปประมูล แกก็จะร้องบอกการประมูลเป็นภาษาอังกฤษสลับกับภาษาไทย ที่สุดแกก็จะจบลงด้วยการเคาะค้อนด้วยเสียง วัน ทู ทรี เมื่อเสร็จแล้วแกก็จะควักผ้าขนหนูผืนเล็กในกระเป๋าออกมาเช็ดเหงื่อตามที่ใบหน้า แกมีนาฬิกาพกสายเงินไว้ในกระเป๋าเหน็บไว้ข้างหน้า ที่กางเกงมีสายเงินห้อยอยู่ข้างนอก แกขอบดึงออกมาดูเวลาเสมอ

    วันนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ เพียงแต่โผล่ขึ้นไปแล้วก็ลงมา ไม่ได้ขึ้นไปยืนดูการเลหลังของแก เพราะบนตึกอากาศร้อน ทั้งในห้องบนก็มีท่านผู้ดีทั้งชายหญิงอยู่มากอัดแอ เพิ่มความร้อนมากขึ้น แม้จะมีพัดลมเพดานและพัดลมทั้งก็ดี แต่ความเย็นของลมไม่พอกับจำนวนคนมากด้วยกัน ตามธรรมดาข้าพเจ้าเคยปากอยู่ไม่สุข ชอบตะโกนร้องประมูลแรกๆ เพื่อช่วยการประมูลราคาให้เร็วขึ้น บางครั้งนึกสนุกก็ร้องขึ้นราคาเผลอเพลินไป คนอื่นเขาหยุดกันหมดปล่อยข้าพเจ้าตะโกนหลงอยู่คนเดียว ที่สุดก็ต้องหอบของที่ไม่ต้องการซื้อและไม่อยากจะได้ กลับบ้านนึกแช่งด่าตัวเองเพราะปากอยู่ไม่สุข
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    (ต่อ)
    แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยจะเข็ด วันนั้นหลังจากประมูลของข้างบนตึกแล้ว มีคนพากันลงมาข้างล่างบางคนก็ขึ้นรถกลับบ้าน เห็นหลายคนมายืนอยู่หน้าโรงรถ เมื่อมีคนเปิดประตูเข้าไปก็เห็นรถยนต์คลุมผ้าดิบอยู่ เมื่อเปิดผ้าคลุมออกก็มองเห็นรถกลางเก่ากลางใหม่ ๔ สูบ สีเขียวใบไม้ เป็นรถประทุน ผ้าใบยกขึ้นยกลงได้พับได้ มีบางคนเปิดกระโปรงดูเครื่องต่างพิจารณาคุณภาพเพื่อจะตีราคาเท่าที่พอใจ แล้วแต่ทุนทรัพย์ของตน

    ในไม่ช้าฝรั่งผู้เลหลังก็ถือค้อนไม้เดินโขยกเขยกลงบันไดมาจากตัวตึก เพราะขาแกสั้นข้างหนึ่งเวลาเดินก็เถียงไปทางขาสั้น แม้แกพยายามจะเกร็งย่อขาข้างยาวให้เสมอข้างสั้น ก็ไม่วายเดินขาทิ่มกะโผลกกะเผลก บางเวลาแกก็ใช้ไม้เท้าพยุงร่างอันไม่สมประกอบรูปร่างแกอ้วนๆ ไม่สู้จะเหมือนคนส่วนมาก จมูกแกโต ภายหลังแกต้องใช้แว่น แกเป็นคนสนุก จึงเป็นที่ชอบพอทั้งคนจีนคนไทยทั่วไปรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย เมื่อลงมาเห็นข้าพเจ้ายืนอยู่ แกเอาค้อนไม้ทางด้ามแหย่หยอกล้อที่ข้าพเจ้าพูดว่า “ทำไมไม่ขึ้นไปดูข้างบนมีของดีๆ มาก เครื่องลายครามเก่าๆ ราคาไม่แพง”

    ข้าพเจ้าบอกว่า “ขี้เกียจเบียดคนอากาศร้อนและก็ไม่อยากได้อะไร” แกก็เดินเขยกลากขาเข้าไปในโรงรถ ข้าพเจ้ากับเพื่อนเดินตามเข้าไปด้วย นอกจากรถประทุนกลางเก่ากลางใหม่ ๑ คันแล้ว ยังมีเครื่องตัดหญ้าสนามอีก ๑ เครื่อง ลึกเข้าไปก็ยังมีเปียโนอีก ๑ อัน มีคนสนใจรถยนต์กันมาก มีคนหมุนเครื่องที่หน้าหม้อเพราะเป็นรถใช้แม็กนิโต เมื่อเครื่องเรียบร้อยเร่งเร้าและผ่อนให้ข้าได้ แกก็เริ่มพูดเอาการเอางานว่า

    “รถคันนี้เห็นแล้วว่าทุกสิ่งเรียบร้อย เอาไปแล้วใช้ได้เลยใครจะให้เท่าไหร่” แกถามหลายครั้งก็ไม่มีใครขึ้นราคา แกเลยเอาค้อนชี้มาทางข้าพเจ้า ซึ่งยืนห่างพอประมาณแล้วพูดว่า “ยูจะให้เท่าไหร่”

    ข้าพเจ้าปากคันตามเคยร้องบอกไปว่า “ห้าสิบบาท” แกเลยเริ่มรถคันนั้นด้วยราคาห้าสิบบาท ห้าสิบบาทต่อมาก็มีคนอื่นให้กันต่อไป “หกสิบบาท ” เจ็ดสิบบาท” “แปดสิบบาท” “เก้าสิบบาท” ข้าพเจ้ารีบเดินเลี่ยงออกมาให้ห่างไม่อยากยืนเสนอหน้า กลัวจะคันปากภายหลังได้ความว่า รถยนต์คันนั้นมีคนประมูลไปได้ไม่ถึงสามร้อยบาท ต่อจากนั้นก็เลหลังเครื่องตัดหญ้าสนาม เมื่อประมูลเสร็จแล้วราคาเท่าใดข้าพเจ้าไม่สนใจ

    เริ่มลงมือประมูลเปียโนข้าพเจ้าเกิดสนใจขึ้นมา เดินแทรกคนเข้าไปเปิดดูและกดช่องเปียโนนี้ความจริงอยู่นอกบัญชี เมื่อจัดอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของบ้านเพิ่งจะบอกภายหลังว่าอยากจะเลหลังให้เสร็จวันนี้ แกกระซิบว่า “เดิมเจ้าของไม่ยอมขาย เพราะเปียโนอันนี้เป็นของรักของหวงของลูกชายที่ตายมาก จึงอยากจะเก็บไว้ดูต่างหน้าลูก แต่เมื่อเข้าไปในห้องเห็นเปียโนครั้งไร ก็ต้องร้องไห้คิดถึงลูก ต้องให้คนใช้ยกลงมาเก็บไว้ในโรงรถ จะได้ห่างจากความเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยไว้ในโรงรถไม่มีใครดูแล เจ้าของบ้านเพิ่งจะตัดสินใจให้ขายเมื่อครู่นี้เอง จึงทำความสะอาดไม่ทันก็เลยตามเลย เปียโนอันนี้ดีมากเป็นของเก่าเสียงดี แต่เจ้าของไม่รักษาทิ้งไว้โทรม ถ้าคุณได้ตกแต่งใหม่จะมีราคามาก”

    ข้าพเจ้าเป็นคนขอบยอ และเมื่อได้รู้ประวัติเจ้าของเดิมเป็นที่รักและหวงแหนก็นึกรักเปียโนอันนี้ขึ้นมาทันที พอเริ่มต้นแกก็ใช้ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ให้ราคาก่อน ข้าพเจ้าก็เริ่มต้นให้ห้าสิบบาท แต่แล้วก็มีผู้อื่นขึ้นสู้ราคากันจนถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าบาท ข้าพเจ้าเกิดคันปากขึ้นมาร้องบอกไปร้อยแปดสิบบาท แล้วก็เงียบไม่มีเสียงใครขึ้นต่อจากร้อยแปดสิบบาทขึ้นไปอีก นึกในใจว่าคราวนี้เราคงจะหนีเจ้าเปียโนสับปะรังเคเก่าๆ วันนี้ไม่พ้นแน่

    พอฝรั่งขากะเผลกแกถือค้อนเงื้อก่อนจะเคาะลงไป แกหันไปดูหน้าคนในหมู่นั้นคล้ายจะสำรวจดูว่า ใครจะบ้าพอที่จะประมูลแข่งกันเพื่อเปียโนเก่าๆ ที่เขาจะทิ้งอยู่แล้วไปบ้าง เมื่อมองดูหน้าคนที่เคยขึ้นราคาประมูลแข่งกันมา แกเอาค้อนเที่ยวชี้ให้คนนี้ให้เขาขึ้นราคา ก็เห็นเขาพากันสั่นหัวก้มหน้าไม่ยอมสบสายตากับแก บางคนก็รีบเดินหลบไป ตกลงแกก็ต้องเอาค้อนชี้มาที่ข้าพเจ้า เป็นอันว่าข้าพเจ้าดิ้นไม่หลุดในการเป็นเจ้าของเปียโนเก่าๆ อันนั้น

    แล้วแกก็ยกค้อนขึ้นแล้วร้องว่า “เปียโนร้อยแปดสิบบาทหนึ่ง สอง สาม แล้วเอาค้อนเคาะลงที่ตัวเปียโนเบาๆ แล้วชี้มาทางข้าพเจ้าบอกว่า “เป็นของคุณแล้ว” เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้เป็นเจ้าของครอบครองกรรมสิทธิ์เปียโนสับปะรังเคอันนั้น ด้วยเงินสองชั่งกับยี่สิบบาทเป็นการแลกเปลี่ยน การเลหลังวันนั้น ก็สิ้นสุดลงด้วยการประมูลเปียโนเก่าๆ เป็นอันสุดท้าย เช่นวันนั้นข้าพเจ้าต้องวุ่นวายอยู่กับเปียโนเก่าๆ แทนที่จะพาเพื่อไปเที่ยวตามที่มุ่งหมายกันไว้ ต้องเสียค่ารถม้าบรรทุกเจ้าเปียโนเก่าๆ ไปบ้าน

    ใจนั้นนึกวุ่นวาย นึกว่าจะต้องไปหาเจ๊กซ่อมเปียโนที่ถนนสี่พระยา เพราะแกเป็นคนชำนาญในการแก้ซ่อมเปียโนที่ข้าพเจ้ารู้จัก แต่แกเล่นเปียโนไม่เป็นได้แต่แก้อย่างเดียวน่าขัน ทั้งข้าพเจ้าจะต้องคอยแก้ตัว เมื่อคุณแม่ดุทุกครั้งที่เลหลังได้ขนของเข้าบ้านข้าพเจ้าจะต้องแสดงท่าทางยั่วให้คุณแม่หัวเราะเสียก่อนการดุจะน้อยลง วันนั้นจึงขับรถวิ่งรีบกลับไปบ้านก่อนไปรับหน้าบอกให้รู้ เพื่อให้คุณแม่อารมณ์ดีก่อนที่เปียโนจะไปถึง ถึงแม้การดุของคุณแม่ไม่รุนแรง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อยากให้คุณแม่มีอารมณ์เสีย

    แต่คราวนี้หนักใจเพราะของมันใหญ่และราคามันสูง ทั้งเก่าคร่ำคร่า คงจะยั่วให้หัวเราะไม่ได้ง่ายนัก จริงอย่างนึกเพราะเมื่อคุณแม่เห็นรถม้าบรรทุกเปียโนเข้ามาในบ้านก็หัวเราะไม่ออก หันมาตาเขียวตวาดว่า

    “ตาจ้อย แม่บอกแล้วว่า อย่าไปเอาของเก่าๆ มา แล้วลูกเอามาทำไม เต็มบ้านเต็มช่องไปหมดแล้ว เสียอัฐเสียเงินโดยใช่เหตุ”

    ข้าพเจ้าได้แต่ทำตาเศร้าๆ แบมือยักไหล่เอียงคอแล้วพูดเสียงเครือๆ อย่างเศร้าๆ ว่า

    “มันช่วยไม่ได้นี่ครับคุณแม่ ผมปากมันไวจนเคยตัวแล้ว แต่คุณแม่ครับเปียโนหลังนี้ ผมชอบมันมากเหลือเกิน คุณแม่คงไม่ว่านะครับ เมื่อลูกของคุณแม่ชอบว่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าอุ้มคุณแม่ยกเอวชูตัวขึ้นสูงอย่างประจบและยั่วให้หายโกรธ แต่แล้วคุณแม่ร้องเสียงหลง ว่า

    “อย่าตาจ้อย แม่จั๊กจี้ อย่า ประเดี๋ยวจะหกล้ม”

    ข้าพเจ้าบอกว่า “คุณแม่ตัวเล็กนิดเดียวไม่หกล้มหรอกครับ”

    คุณแม่หัวเราะออกมาได้ เมื่อหายโกรธแล้ว ตามธรรมดาถึงข้าพเจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่บวชเรียนแล้ว มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ มีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่น้อย แต่ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แต่นอกบ้าน เมื่อกลับเข้าในบ้านข้าพเจ้าก็เหมือนเด็กเล็กๆ ที่แม่เลี้ยงไม่รู้จักโต ชอบนอนกลิ้งเกลือกบนตัว เพราะข้าพเจ้านึกว่าคุณแม่เป็นพระที่สูงสุดของข้าพเจ้าองค์หนึ่ง ที่ควรจะทำให้แม่สบายใจ คุณแม่เคยพูดว่า ลูกผู้ชายเมื่อเวลาเล็กๆ ก็รักแม่เวลาโตแล้วก็รักเมียลืมแม่

    ข้าพเจ้าเคยเถียงว่า “คุณแม่อย่าดูผมผิดไปนะ ผมถือว่าแม่บังเกิดเกล้าเลี้ยงผมมาแต่แดงๆ เมียมาภายหลัง จะให้รักเมียมากกว่าแม่ คนนั้นไม่ใช่ผม”

    คุณแม่หัวเราะแล้วพูดว่า “แม่จะคอยดูต่อไป”

    วันนั้นเมื่อหายโกรธเรื่องเปียโนแล้วคุณแม่ก็พูดว่า “บ้านเราจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่าอยู่แล้วละ คราวก่อนก็ไปเอาเตียง โต๊ะประดับมุกไม้ประดู่หรือไม้แดงของจีนมาไว้เกะกะบ้าน ต่อไปนี้พอนะลูก แม่ขอเสียทีเถิด คราวหน้าถ้าไม่เชื่อแม่จะเฆี่ยนให้เนื้อแตกเหมือนเด็กๆ” คุณแม่ชอบพูดเล่น เมื่อเวลาหายโกรธ

    ข้าพเจ้าหัวเราะแล้วพูดว่า “ชุดไม้ประดู่ฝังมุกนั้นเป็นของพวกจีนชั้นเจ้าสัวเขานะครับคุณแม่ คนจีนธรรมดาไม่มีใช้ เวลาฤดูร้อนนอนเย็นสบายดี”

    คุณแม่บอกว่า “ช่างเถิดลูก แม่รู้ว่าเป็นของเจ้าสัวแต่เขาเอาไว้สำหรับนอนสูบฝิ่นเป็นส่วนมาก แล้วก็มีหมอนกระเบื้อง พอทีต่อไปแม่ห้ามไม่ให้เอามาอีกนะลูก”

    ข้าพเจ้าก็ตอบได้เพียง “ครับ ผมจะจำไว้ก่อน”

    ความจริงคุณแม่ก็เป็นคนรักลูก แม้ปากจะดุแต่ใจนั้นรักลูกมาก ฉะนั้นเพียงแต่ข้าพเจ้ายั่วให้หัวเราะได้ก็หายโกรธ

    บัดนี้ เปียโนหลังนั้นก็เข้ามาอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป แม้มันจะไม่ใช่เปียโนขนาดใหญ่แต่มันก็หนักเอาการ จึงต้องเอาไว้ในโรงรถก่อน เพราะใรงรถของเรานั้นใหญ่พอที่จะไว้ได้ทั้งเปียโนและรถยนต์พร้อมกันอย่างสบาย ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปตามช่างแก้เปียโนซึ่งเป็นชาวจีน ชื่อของแกเมื่อแปลเป็นไทยก็ไม่เพราะนัก ก่อนจะเรียกช่างมาดูข้าพเจ้าก็ควรจะตรวจดูก่อน จึงเปิดโน่นเปิดนี่สำรวจดูว่ามันจะเสียมากน้อยเท่าใด ว่าค้อนสักหลาดจะสึกหรือหลุด และเส้นลวดว่ามันมีเส้นไหนที่ขาดบ้าง

    ก็มองเห็นข้างในมีกระดาษโน้ตเพลงหลายแผ่นคล้ายกับมีผู้เจาะจงจะยัดใส่ไว้ภายใน ข้าพเจ้าก็รื้อออกมา เพราะมันทำให้เมื่อกดเสียงไม่เคาะ เส้นลวดค้างเพราะกระดาษยัดไว้จนเคาะไม่ถึงลวดเสียง เมื่อล้วงเอากระดานออกหมดแล้วก็ลองดีดฟังเสียงดู เสียงก้องกังวานไพเราะดีทุกเสียง ดีใจที่ไม่ต้องเสียเงินค่าซ่อม แล้วให้คนล้างเช็ดถูภายนอกภายในที่ฝุ่นจับ หยากไย่และใยแมงมุม เพราะทำให้ดูเก่าค่ำคร่ำเช็ดถูออกหมด แล้วก็ขัดด้วยน้ำมันทำความสะอาดมองดูเหมือนของใหม่

    ข้าพเจ้าตะลึงดูเปียโนอันนี้ทั้งสวยทั้งเสียงดี นึกภูมิใจว่าโชคดีซื้อของได้ถูกเหมือนได้เปล่า สงสัยว่าทำไมเวลาเลหลังจึงเห็นเป็นของเก่ามาก ผู้อื่นยังพูดว่าไม่น่าจะเลหลังได้ราคาดีเช่นนี้เลย นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อล้วงกระดาษขึ้นมานั้น รู้สึกว่าข้างในเปียโนมีอะไรปะไว้ข้างกระดานด้านใน จึงอยากรู้ว่าเป็นอะไรที่ต้องปะไว้แต่แล้วก็ประหลาดใจที่เมื่อล้วงลงไปพบอะไรนูนๆ เป็นแผ่นปะไว้ภายในมองดูไม่ถนัด

    เมื่อเอามือคลำดูผู้รู้ว่าเป็นซองกระดาษใหญ่ กรุไว้ด้วยหมุดทองเหลืองสี่ด้านติดกับกระดาษด้านหน้าข้างในเปียโน ได้พยายามเอาไขควงเล็กๆ ลงไปงัดแกะมุมหัวหมุดที่ตรึงซองไว้ ข้าพเจ้าก็สามารถดึงเอาซองสีน้ำตาลใบใหญ่ออกมาได้ เมื่อได้พิจารณาดูก็เห็นเป็นซองอยู่ในที่มิดชิด แดดลมเข้าไม่ได้จึงยังดูใหม่ไม่เก่าเท่าที่ควร เมื่อหยิบมาพิจารณาดูเห็นจ่าหน้าซองว่า

    “บันทึกเรื่องของชีวิต ผู้ใดได้บันทึกนี้ไปกรุณาอ่านดู หากได้ทราบว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่ โปรดกรุณามอบให้หล่อนผู้เป็นยอดดวงใจของฉัน และช่วยเหลือเพื่อขอให้หล่อนได้มีโอกาสได้อ่านบันทึกอันนี้ โปรดกรุณาเพื่อเอาบุญ”

    เมื่อข้าพเจ้าอ่านจ่าหน้าซอง ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าเปียโนอันนี้คงจะมีประวัติชีวิตความรักของหนุ่มสาว ข้าพเจ้าจึงได้ทะนุถนอมเปิดซองสีน้ำตาลใหญ่ หยิบกระดาษภายในออกมา เมื่อเปิดดูก็เห็นมีบันทึกปึกหนึ่งใช้กระดาษฟุลสแก๊ปล้วนเขียนไม่เว้นหน้า ไม่เว้นบรรทัดตัวอักษรได้ระเบียบสวยงาม หวัดแกมบรรจง อ่านง่ายสีหมึกยังสดใส ข้าพเจ้ายกกระดาษขึ้นมาส่องดูกับแสงสว่างก็เห็นรอยพรายน้ำเป็นตรารถลากทุกแผ่นกระดาษฟุลสแก๊ป ตรารถลากหรือรถเจ๊กเป็นกระดาษชั้นดีในสมัยก่อน ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความบันทึกในซองด้วยความระมัดระวังเหมือนของมันมีค่ายิ่ง ข้อความในบันทึกมีดังต่อไปนี้

    “ฉันเกิดมาในตระกูลที่ยากจน แม่บอกว่าพ่อมีอาชีพเป็นช่างไม้ แต่ไม่สู้จะเป็นล่ำเป็นสันนัก เพราะรายได้ไม่แน่นอน แต่ก็เพียงพอกินพอใช้ พ่อได้จากโลกนี้ไปเมื่อฉันมีอายุเพียง ๙ ขวบ แม่ต้องไปทำงานหนักด้วยการรับจ้างซักเสื้อผ้า เพื่อเลี้ยงลูกคนเดียวให้เล่าเรียนศึกษาขั้นต้น เพื่อชีวิตในอนาคตจะได้เทียมหน้าตาคนทั้งหลาย แม่เล่าให้ฉันฟังว่า ก่อนที่แม่จะตั้งครรภ์คืนหนึ่งก่อนสว่างแม่ได้ฝันเห็นเมฆลอยต่ำมีสีต่างๆ ลอยมาอยู่รอบตัว แม่เอามือจับก้อนเมฆดูรู้สึกว่าอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย แม่ตื่นขึ้นมาเล่าความฝันให้พ่อฟัง พ่อว่าฝันดีจะได้ลูก”

    ต่อจากนั้นแม่ก็ตั้งครรภ์ เมื่อคลอดออกมาเป็นชาย พ่อกับแม่ช่วยกันตั้งชื่อว่า “เมฆ” แม้ชื่อนี้จะไม่เพราะแต่ก็มีความหมาย ภายหลังพ่อตายแล้วไม่นาน แม่ได้ไปทำงานที่บ้านฝรั่ง มีหน้าที่ซักผ้ารีดผ้า ฝรั่งสองคนผัวเมียเป็นคนใจดี ได้อนุญาตให้ฉันเข้าไปอยู่ในบ้านพร้อมกับแม่ นายฝรั่งสองคนรักเด็กเราจึงกินอยู่อย่างสบาย ฉะนั้น เมื่ออยู่บ้านของนายฝรั่งฉันก็นึกถึงบุญคุณที่ให้อยู่อย่างมีความสุข ทำให้ฉันเกิดมีความขยันช่วยงานบ้านทุกอย่างที่ฉันพอจะทำได้ ทำให้นายฝรั่งเกิดเอ็นดูสงสารฉันมากขึ้น ได้ส่งให้ฉันเข้าเรียนหนังสือด้วยการออกค่าเล่าเรียนให้ ฉันเคารพนับถือท่านว่าเป็นผู้มีบุญคุณยิ่งผู้หนึ่ง

    ฉะนั้น อะไรที่ฉันทำได้ฉันทำทุกอย่างเพื่อความกตัญญูเป็นกำลังใจ ไม่ยอมเป็นคนเกียจคร้าน แม่สอนให้ฉันมีความกตัญญูเพราะฝรั่งสองผัวเมียนี้ฉันรักและเคารพเหมือนพ่อแม่ ฉันได้เอาใจใส่รับใช้อยู่ใกล้ชิด เมื่อฉันกลับจากเรียนมีเวลาว่างจากทำการบ้าน หรือเวลาโรงเรียนหยุด ใช้เวลาทำงานให้นายแหม่มและนายฝรั่งทุกอย่างที่ควรจะทำ มิได้ดูดายบางครั้งนายฝรั่งเกิดการเจ็บป่วย ฉันก็อยู่ใกล้ชิดด้วยเอาใจใส่คอยพยายามทำทุกอย่าง ทำให้นายแหม่มและนายฝรั่งเห็นใจรักใคร่ฉันกับแม่มากขึ้น เพราะแม่ก็เป็นคนขยัน ไม่ได้รังเกียจงาน

    ทั้งนายฝรั่งและนายแหม่มชอบเรียกฉันว่า “นายแม็ก” เราอยู่ภายในร่มไม้ชายคาของฝรั่งสองสามีภรรยาอย่างผาสุก ทั้งฉันได้อาศัยทุนได้พึ่งบุญเล่าเรียนศึกษาจนจบหลักสูตรจากโรงเรียนฝรั่งมีชื่อในพระนคร ฉันเองได้พยายามเตือนตัวเองเสมอว่า เราเป็นคนจนต้องอาศัยร่มไม้ชายคาของนายฝรั่งทั้งสอง อยู่มาด้วยความร่มเย็นเป็นสุข อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่กระทบกระเทือนให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งสองเป็นอันขาด อย่าลืมข้าวแดงแกงร้อนของท่าน เราเป็นตัวตนขึ้นมาก็เพราะท่าน

    แม้ท่านจะเป็นคนต่างชาติ แต่ก็เป็นผู้มีพระคุณอันล้นเหลือเปรียบเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า ท่านเอาใจใส่ฉันเหมือนลูก ในชาตินี้ฉันไม่สามารถจะทดแทนบุญคุณท่านได้ เพราะนอกจากให้การศึกษาจนจบแล้ว ก็ยังฝากฝังให้ฉันเข้าฝึกหัดทำงาน ที่อยู่กับห้างฝรั่งที่มีรายได้พอควร สำหรับผู้อยู่ในฐานะเช่นเรา วันเวลาได้ผ่านไปชีวิตก็ต้องประสบกับสิ่งแปลกๆ ตามวัย ฉันก็หนีไม่พ้นดวงชะตาชีวิตทั้งร้ายและดี เหตุที่จะเกิดขึ้นในครั้งแรกเมื่อฉันได้ประสบนั้น คือ

    วันหนึ่งเป็นหยุด ฉันอยู่บ้านกำลังช่วยนายหมัดแขกชวาคนสวน ตัดกิ่งตบแต่งต้นไม้ให้เป็นพุ่มสวยงามหันหลังให้รั้วต้นขาไก่ข้างบ้าน ทันใดนั้นได้ยินเสียงมาจากข้างรั้วว่า

    “คุณคะ ช่วยจับสุนัขมาให้อีฉันทีเถิดค่ะ มันกำลังจะกวนคุณ”

    ฉันหันไปทางเสียง ก็เห็นลูกสุนัขขนปุยแกมเหลืองตัวขนาดแมว กำลังเดินไปดมโน่นดมนี่อยู่ข้างหลัง มันเป็นลูกสุนัขที่น่ารักมาก ที่คอผูกโบว์สีชมพูแถบใหญ่ ฉันจึงได้จับมันขึ้นมา มันเองยอมให้จับง่ายๆ ไม่วิ่งหนีจึงรู้ว่า สีเหลืองนั้นเป็นกลิ่นขมิ้น ได้อุ้มมันไปที่ข้างรั้วเพื่อจะมอบให้เจ้าของตามร้องขอ พอฉันแหวกรั้วจับลูกสุนัขสองมือช้อนใต้ขาหน้าชูส่งไปให้ ทันใดมีหญิงสวยผู้หนึ่งยื่นมือมารับเอาตัวไป

    พอฉันได้เห็นหน้าหญิงสาวผู้นั้นก็ต้องตะลึง ที่ฉันตาไม่ฝาด สติยังดีอยู่หรือ จึงเห็นผู้หญิงที่สวยสดงดงามเหมือนนางฟ้าเวลากลางวัน หล่อนเห็นฉันจ้องตะลึง หล่อนก็รู้สึกขวยอายจนแก้มแดง แต่ก็รีบกลบเกลื่อนพูดว่า

    “ต้องขอโทษนะคะ ทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย
    พอฉันรู้สึกตัวก็อายจนหน้าชา พลางพูดอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่เต็มปากไปว่า “ไม่เป็นไร..... ไรครับ” แล้วก็อยากจะหาเรื่องพูดต่อไป จึงถามว่า “คุณทาขมิ้นให้ลูกสุนัขหรือครับ”

    หล่อนตอบด้วยเสียงกังวานแจ่มใส ฉันรู้สึกเป็นเสียงที่จับใจว่า “ค่ะ ที่บ้านมดคันมันชุม ทาขมิ้นป้องกันมด มันชื่อนางสำลีค่ะ”

    แต่แล้วฉันก็นึกอะไรไม่ออก นึกไม่ทันว่าจะพูดอะไรอีกได้แต่จ้องมองดู เห็นหล่อนหันมายิ้มอย่างหวานแล้วพูดว่า “ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งนะคะ”

    แล้วหล่อนก็ยกนางสำลีขึ้นชูแล้วเอาลงมาแนบไว้ข้างแก้มของหล่อน แล้วก็ลงอุ้มแนบอกอย่างทะนุถนอมเดินขึ้นตึกใหญ่ไป ทำให้ฉันอิจฉาเจ้าสุนัขตัวนั้น ฉันได้แต่มองหล่อนเดินจากข้างรั้วด้วยท่าทางสง่าอย่างนางพญานั่นเอง ไม่เคยสนใจและไม่ทราบมาก่อนว่าข้างบ้านมีหญิงสาวสวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา นับแต่นั้นตึกข้างบ้านก็มีความหมายสำหรับฉันขึ้นมา แลดูทุกอย่างมันมีชีวิตจิตใจขึ้นมา

    ฉันคอยแต่มองดูบนตึกและห้องทาสีแตงอ่อนคอยดูหล่อนว่า เมื่อไหร่จะโผล่หน้ามาให้เห็น กลางคืนห้องนั้นเปิดไฟสีนวลแสงไฟจับม่านหน้าต่างและฝาห้อง ทำให้เห็นเหมือนวิมานในฝัน มีฉันผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ต่ำต้อยแหงนมองดูไม่รู้สึกเบื่อ

    บางคืนเดือนหงายฉันได้ยินเปียโนดีดเพลงไทย ฉันแทบจะเคลิ้มคลั่งไปด้วยความไพเราะซาบชึ้งด้วยเสียงและเจ้าของผู้ดีด นึกเห็นภาพภายในบ้านทั้งแสงจันทร์และเสียงเพลง และนึกถึงนิ้วอันเรียวงามของหล่อน รูปร่างของหล่อน มันเข้าถึงจิตใจ หล่อนชอบเล่นเพลง “ลาวดวงเดือน” แม้เพลงอื่นๆ ก็ไพเราะมาก บางครั้งเธอก็เล่นเพลงฝรั่ง แต่ฉันชอบเพลงลาวดวงเดือนมาก ฟังแล้วอยากจะร้องไห้เพราะมันเข้าสิงในจิตใจของฉัน ต่อมาไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใดเมื่อได้ยินเสียงเพลงนี้แล้ว ฉันต้องนึกถึงหล่อนขึ้นมาทันที เพลงนี้มันมีอำนาจอยู่ในตัวฉันตลอดมา เห็นจะลืมไม่ได้คงจะติดตัวฉันไปตลอดชีวิต

    จิตใจของฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังจะหลงรักหญิงสาวข้างบ้านเข้าแล้ว จะยืน เดิน นั่ง นอน ฉันนึกถึงแต่ใบหน้ากิริยาท่าทางของหล่อน ฝันถึงรูปร่างท่าทางอันสง่าสวยงาม คำพูดก็ไพเราะอ่อนหวานฟังไม่รู้เบื่อ มันจับจิตจับใจหลงใหลอย่างพูดอะไรไม่ถูก บางครั้งฉันได้ทำจิตใจให้เข้มแข็งสลัดความหลงใหลใฝ่ฝันให้ออกไปจากความรู้สึกจากจิตใจ ให้รู้ผิดชอบเตือนตัวเองว่า อย่ามักใหญ่ใฝ่สูงให้เกินไป

    เราเป็นคนยากจน บ้านช่องก็ไม่มีต้องอาศัยฝรั่งสองสามีภรรยาผู้ใจดีอยู่ หากไม่ได้ความกรุณาของนายฝรั่ง ฉันก็ไม่รู้ว่าเราสองแม่ลูกจะไปซุกหัวนอนอยู่ที่ไหน ฉันควรจะเจียมเนื้อเจียมตัว ควรหรือที่ฉันจะมานั่งใจลอยคอยจ้องมองดูดวงจันทร์บนฟากฟ้าห่างไกลจากความหวัง แต่ฉันก็เพียงแต่นึกได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

    แล้วฉันก็กลับมานึกถึงใบหน้าของหญิงสาว ฉันไม่สามารถจะตัดความรู้สึกให้ขาดจากกันได้ สิ่งใดในโลกนี้พอจะห้ามกันได้ แต่ความรักที่เกิดขึ้นภายในจิตใจนั้นเป็นอิสระไม่อยู่ในอำนาจใดๆ และไม่มีขอบเขตที่จะป้องกันไม่ให้รักได้ เห็นจะเป็นไปตามธรรมชาติที่หญิงกับชายเป็นของคู่กันในโลก ความรู้สึกในชีวิตเป็นครั้งแรกที่ฉันเกิดความรักขึ้นนับเริ่มแต่ย่างเข้าในวัยหนุ่ม เห็นจะเป็นเพราะหญิงสาวชาวไทยบ้านเรา เมื่อมีอายุวัยรุ่นพวกพ่อแม่ก็จะเก็บกักตัวไว้ในบ้านไม่ยอมให้ติดต่อชายหนุ่มที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง

    ฉะนั้น ชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสที่จะทำความรู้จักหญิงสาว เมื่อเกิดรักใคร่ก็กระดากอาย พูดอะไรไม่ถูก พอจะเอ่ยว่ารักก็กระดากปาก จะเกิดอดสูใจขึ้นมา เมื่อรักผู้หญิงก็ต้องระวังกิริยาท่าทางคำพูดกลัวจะแสดงพิรุชออกมาให้ผู้ใหญ่จับได้ จึงพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ในใจ ความจริงผู้ใหญ่รู้ก็ไม่เกิดโทสะอะไรร้ายแรง นอกจากจะกล่าวตักเตือนสั่งสอนในทางที่ดีเท่านั้น การห้ามไม่ให้รักนั้นคงไม่ใครห้ามได้ แต่ความรักจะอัดกดนิ่งอยู่นานไม่ไหว ย่อมจะดิ้นรนเปลี่ยนแปลงไป ไปตามอำนาจพลังแห่งอารมณ์ความรัก อาจทำให้คนขลาดกลายเป็นคนกล้า เพื่อดิ้นรนให้ถึงจุดของความปรารถนา

    ฉันก็เช่นเดียวกัน จะหนีความรู้สึกตามธรรมชาติไม่พ้น แม้จะรู้ว่าความรักของฉันไม่มีทางจะแจ่มใสสดชื่น ทั้งรู้ตัวว่าอาจเป็นผู้หลงรักหล่อนฝ่ายเดียว แม้ฉะนั้นก็ยังไม่สามารถจะหักห้ามความรู้สึกทางใจได้ เพราะได้ปล่อยให้ความรักเข้าสิงอยู่ในใจแล้ว จึงขาดสติยับยั้งทำให้เกิดประมาท เหมือนคนตาบอดหลงทางปล่อยให้โชคชะตาพาชีวิตผ่านไปตามยถากรรม ชีวิตของฉันก็ตกอยู่ในห้วงรักเช่นเดียวกัน

    การสืบทราบว่า หญิงสาวข้างบ้านที่ฉันหลงรักนั้นชื่อ นวลน้อย ผู้ปกครองเป็นคนมั่งคั่ง มีชื่อเสียง หล่อนกำลังเป็นนักเรียนกินนอนอยู่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งในพระนคร นานๆ ผู้ปกครองของหล่อนจะรับกลับมาบ้านสักครั้งหนึ่ง สังเกตได้ว่าหากหล่อนมาอยู่บ้านก็จะได้ยินเสียงเปียโนบนตึก ได้ยินทั้งเพลงไทยและเพลงฝรั่งเพลงไทยที่หล่อนชอบเล่นและฉันก็ชอบก็คือ เพลงลาวดวงเดือน เมื่อได้ยินเสียงเปียโนฝีมือดีดอย่างไพเราะ ก็รู้ว่าหล่อนได้กลับมาอยู่บ้านแล้ว ฉันได้มีความตื่นเต้นอีกหลายครั้งที่ได้จับนางสำลีลูกสุนัขตัวโปรดส่งข้ามรั้วไปให้หล่อน ทำความสนิทสนมมากเท่าใด ฉันก็ยิ่งเพิ่มความหลงใหลใฝ่ฝันในตัวหล่อนมากเท่านั้น

    บางครั้งฉันตั้งใจจะเขียนจดหมายสารภาพรักต่อหล่อน แต่เมื่อลงมือเขียนก็รู้สึกตื่นเต้นเกินไป จะเขียนด้วยบรรจงหาคำพูดที่เหมาะสมก็ยังไม่ถูกใจ จึงต้องเขียนแล้วฉีกทิ้งแผ่นแล้วแผ่นเล่า อ่านดูแล้วก็รู้สึกไม่เหมาะสมที่จะส่งให้หล่อน นึกหวาดเกรงกลัวว่าหล่อนจะรู้ความจริงว่า เรามีฐานะเป็นคนยากจนต้องมาอาศัยนายฝรั่งอยู่ นึกหวาดกลัวไปทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคในความรัก เมื่อหล่อนรู้แล้วหล่อนจะดูถูก อาจเยาะเย้ยว่าไม่ตักน้ำดูเงาหัวของตัวเอง ฉันกลุ้มใจทำอะไรไม่ถูก นึกถึงคำของแม่ว่า

    “แม้เราจะยากจนเข็ญใจทรัพย์สินเงินทอง แต่เรายังมีความชื่อสัตย์สู้ความจริงไม่ยอมหลอกลวงใคร เป็นสมบัติที่เหนือทรัพย์สินเงินทอง”

    แม่บอกว่า วันหนึ่งแม่เข้าไปทำความสะอาดในห้องรับแขก นอกจากงานประจำซักรีดแล้ว แม่ชอบงานทุกอย่างเมื่อมีเวลาว่าง แม่ได้พบแหวนเพชรของแหม่มลืมวางไว้ เพราะแหม่มถอดส่งให้เพื่อนดูแล้วลืมเก็บแม่ตกใจ เก็บเข้าไว้ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องของแหม่ม ตกตอนบ่ายแหม่มหน้าตาตื่นเข้ามาบ้าน บอกกับแม่ว่า

    “แอนนาจ๋า วันนี้ฉันไม่รู้ลืมแหวนไว้ที่ไหน เอาออกมาให้เพื่อนชมแล้วก็ลืม ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันควรไปถามเพื่อนไหม ถ้าไปถามเขาคงโกรธ หาว่าฉันดูถูกก็ได้ ฉันเป็นคนขี้ลืม นึกไม่ออก ฉันไปบ้านเพื่อนหลายแห่งกลับไปเที่ยวหาก็ไม่พบ ลมจะจับแล้ว”

    นายแหม่มและฝรั่งชอบเรียกแม่ว่า “แอนนา” เพราะแม่ชื่อ “นา” นายจึงต่อเติมข้างหน้าเป็นแอนนาว่าเรียกง่ายไม่ลืมและเพราะดี แม่ได้ยินก็รีบบอกว่าไม่หาย แหม่มลืมไว้ในห้องรับแขก ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าก็ลำบาก แม่ได้เก็บเอาไปไว้ในห้องแต่งตัวแล้ว แหม่มรีบเข้าไปดูก็พบแหวนเพชรตามที่แม่บอก แหม่มดีใจยิ้มแป้นออกมาบอกขอบใจแม่ยกใหญ่ แล้วก็กอดจูบแม่เป็นรางวัลจากน้ำใจ เมื่อฉันนึกเรื่องของแม่แล้ว ฉันแม้จะยากจนก็นึกหยิ่งในตัวที่ไม่จนในความชื่อสัตย์สุจริต พูดความจริงทุกอย่าง พูดความจริงคือความสบายใจ

    ทีแรกฉันจะเริ่มต้นจดหมายอย่างไรดี ตั้งใจจะหาคำเพราะๆ แต่บัดนี้ฉันตัดสินใจเขียนเล่าเรื่องชีวิตจริงโดยไม่มีอะไรปิดบัง จดหมายฉบับนี้ก็เป็นประวัติของฉันมากกว่าจะเป็นจดหมายรัก ฉันเล่าถึงแม่ได้มาเป็นลูกจ้างชักรีดในบ้านฝรั่ง และฉันก็ได้ฝรั่งสองสามีภรรยามีความเอ็นดู ให้ฉันได้เล่าเรียนศึกษาในโรงเรียนที่มีชื่อในเมืองไทย ตลอดได้ให้ที่พักอาศัย สุดท้ายก็บอกว่าเพียงให้หล่อนรู้ให้ทราบถึงจิตใจและความเป็นอยู่ของฉัน และไม่ขอร้องวิงวอนให้หล่อนรักตอบ เพราะรู้ว่าต่ำต้อยขอเพียงแต่ให้ฉันได้เพ้อฝันนึกถึงหล่อนไปคนเดียวเหมือนกระต่ายคอยจ้องมองดูดวงจันทร์
    เมื่อจดหมายรักประหลาดได้ส่งไปถึงมือหล่อนแล้ว ฉันก็เฝ้าคอยคืนคอยวันจิตใจปั่นป่วน ยิ่งวันเดือนหงายก็ยิ่งกลุ้มใจไม่ได้หลับนอน ได้แต่จ้องมองดูห้องบนตึกสีตองอ่อนชั้นบนก็ปิดเงียบ เสียงเปียโนก็มิได้ยิน จิตใจมันว้าวุ่นไม่มีความสงบ นึกกลัวโน่นกลัวนี่ ให้กระสับกระส่าย อยากจะเห็นหน้าของหล่อนใจแทบขาดใจ

    ความรักมันมีอานุภาพเช่นนี้ อีกใจหนึ่งก็นึกไปว่าบัดนี้หล่อนได้รู้ความจริงแล้วว่า เราเป็นคนหลักลอยต้องมาอาศัยบ้านเขาอยู่ อาศัยข้าวเขากิน หล่อนคงดูถูกฉัน ไม่เจียมตัวยังจะมีหน้าเสมอมารัก หล่อนคงเห็นฉันเป็นตัวไส้เดือน กิ้งกือเป็นที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงหล่อนคงหัวเราะเยาะเย้ยต่อหน้าฉันว่า รู้ตัวว่าเป็นคนยากจนแล้วไม่เจียมตัว หวังเอื้อมมาเด็ดดอกฟ้า

    ฉันนึกเช่นนี้แล้วฉันหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา คล้ายกับว่าหล่อนมายืนอยู่ข้างหน้า หัวเราะใส่หน้าฉันจริงๆ เพียงแต่ความนึกคิด ทำให้ฉันเกิดหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายขึ้นมา ฉันจะไม่ยอมง้อผู้หญิงที่เย่อหยิ่งจองหองบูชาเงินเป็นพระเจ้า ดูถูกคนยากจน ในชาตินี้ฉันจะหนีผู้หญิงพวกนี้ไปให้ไกลที่สุด ฉันจึงคิดว่าจะปรับความรู้สึกให้ออกไปเสียก่อนที่จะถอนตัวไม่ขึ้น

    ฉันได้พยายามหักใจเมื่อนึกถึงเหตุผล แม้ว่าความรู้สึกได้เกาะกินหัวใจ และภาพของหล่อนได้หลอกฉันอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันก็พยายามปลดออกคล้ายกับปลดรูปออกจากข้างฝาแต่มันก็ไม่ง่ายนัก เพราะฉันกลับมาคิดนึกว่า นี่กำลังจะบ้าคิดหลอกตัวเอง หล่อนต้องเป็นคนดี หล่อนจะไม่ทำอย่างนั้น เรายังไม่ได้ทราบความจริงจากหล่อนเลย เราเพ้อไปคนเดียวเหมือนคนเสียสติ

    ต่อมาก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวฉัน คือ วันหนึ่งฉันจำได้ว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาในเขตบ้านที่ฉันอาศัย ถามหาฉันว่ามีธุระสำคัญอยากจะพบ เมื่อฉันได้เดินออกไปพบ เขาก็วางท่าทางใหญ่โตแล้วพูดแนะนำตัวเองว่า เขาเป็นพี่ชายของนางสาวนวลน้อยหญิงสาวข้างบ้านที่ฉันหลงรัก เขาแสดงกิริยาและท่าเป็นนักเลงเต็มตัว ความจริงฉันไม่สนใจในท่าทาง

    แต่ฉันก็ไม่สบายใจ กลัวจะมีเรื่องกระทบกระเทือนถึงนายฝรั่งทั้งสองที่มีพระเดชพระคุณต่อฉัน ที่ฉันเคารพนับถือ ทั้งกิริยาท่าทางของนายคนนี้ก็หยาบคายขาดความสุภาพ ไม่สมกับเป็นพี่ชายหญิงสาวชึ่งเป็นผู้มีกิริยานุ่มนวลอ่อนหวานเรียบร้อย ฉันจึงพูดไปว่า

    “คุณมีธุระอะไรกับผมหรือ”

    เขาตอบห้วนๆ ว่า “ธุระมีแน่ ถ้าฉันไม่มี ฉันก็ไม่ลดตัวมาหาคนอย่างแกหรอก ฉันมาที่นี่ก็จะมาเตือนแกให้รู้ไว้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายว่า ฉันห้ามแกอย่างเด็ดขาดไม่ให้ไปยุ่งกับน้องสาวของฉัน ถ้าแกไม่เชื่อคำเตือนของฉัน แกจะเจ็บตัวจำเอาไว้ อย่าได้นึกว่าฉันขู่และคนอย่างแกก็ควรดูสารรูปเสียก่อน ไม่มีปัญญาจะเลี้ยงตัวเองอยู่แล้ว บ้านช่องยังต้องอาศัยเขาอยู่ ยังบังอาจเอื้อมรักน้องสาวของฉัน มันน่าขัน เราผิดกันราวฟ้ากับดิน จำเอาไว้นะฉันไม่พูดมาก”

    พูดแล้วชายผู้นั้นเดินออกไปจากบ้านอย่างยโส ไม่เหลียวหลังมามองดูฉันอีก ฉันฟังคำพูดแล้วตะลึงและเจ็บแสบในใจฉันได้แต่ฟัง มิได้โต้ตอบประการใดเพราะทุกอย่างเป็นความจริง ฉันมันก็ยากจนจริงๆ แล้วทั้งยังมีความรักต่อสาวนวลน้อย ทั้งๆ ที่อาศัยบ้านเขาอยู่สมกับเขาดูถูกแล้ว แต่บางครั้งใครมาพูดความจริงเราก็โกรธ

    แม้เราจะยากจนเราก็ไม่ต้องการให้ใครมาดูถูกว่าใส่หน้า อยากจะชกหน้าสั่งสอนคนปากโว แต่ฉันโกรธไม่ได้ เพราะฉันเห็นแก่เจ้าของบ้านที่ฉันและแม่อาศัยอยู่ ไม่อยากนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้มีพระคุณ ที่ได้ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่เราสองคนแม่ลูกตลอดมา เป็นบุญคุณที่ล้นเหลือที่ฉันไม่สามารถจะตอบแทนได้

    ฉะนั้น ฉันจึงต้องอดทนไม่อยากมีเรื่องขึ้น จึงเป็นฝ่ายนิ่งต้องหวานอมขมกลืน คิดว่าฉันจะหักใจไม่นึกถึงหล่อนและรักหล่อนอีก เพราะเรื่องที่พี่ชายหล่อนมาต่อว่า และบังคับให้ฉันอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับหล่อนเด็ดขาดเช่นนี้ ก็เห็นจะทายไว้ว่า หล่อนต้องเอาจดหมายของฉันส่งไปถึงหล่อนนั้น ไปฟ้องพี่ชาย หรือให้พี่ชายของหล่อนอ่าน

    ต้นเหตุก็อย่างที่ฉันคิดนี่คงไม่ผิดแน่ เคราะห์ดีในวันที่พี่ชายของหล่อนมานั้น บังเอิญนายฝรั่งทั้งสองสามีภรรยาไม่อยู่บ้าน และคงไม่รู้เรื่องอะไร มิฉะนั้นฉันก็คงอับอายขายหน้าจนไม่อยากมองหน้าใคร เพราะฉันนึกว่ามันเป็นเรื่องบัดสี น่าอดสูใจ

    คนในบ้านก็มีแม่ฉันเป็นคนซักรีด และเป็นคนใกล้ชิดนายทั้งสอง นอกจากนั้นก็ยังมีป้าแฟงเป็นคนมีหน้าที่ทำกับข้าวหรือเรียกว่ากุ๊ก และมีเด็กแจ๋วเป็นคนมีหน้าที่ยกอาหารและทำงานเช็ดกวาดหรือเป็นกุลี นอกนั้นก็ยังมีนายหมัดแขกชวาเมื่อก่อนขับรถม้าเลี้ยงม้า แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นรถยนต์แกก็ขับรถยนต์และเป็นคนทำสวน ตัดหญ้าสนาม อาหารการกินต่างหากเพราะเป็นอิสลาม ส่วนฉันเป็นผู้ช่วยเหลืองานทั่วไป ทุกคนรักใคร่เอ็นดูฉัน

    นายฝรั่งทั้งสองสามีภรรยาเป็นคนดี มีความรู้ทางภาษาไทยทางหนังสือและศัพท์สูงๆ ตลอดการพูดจาอ้างเหตุผลทุกอย่างมีคติ อย่างน่าเคารพนับถือ และคอยหาเหตุผลสั่งสอนจึงทำให้คนในบ้านอยู่กันด้วยความสุขไม่เบียดเบียนกัน ต่างก็มีความเคารพนับถือรักใคร่ เพราะไม่มีคนขี้อิจฉาริษยาและอยู่กันด้วยความเห็นอกเห็นใจ ฉะนั้น ถ้าใครได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่มไม้ชายคาของนายฝรั่งทั้งสองแล้วก็ไม่มีใครอยากจะไปอยู่ที่อื่น เพราะที่นี่มีความร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนจึงมีความรักใคร่เคารพบูชาในความดีของนาย

    ฉะนั้น สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดก็คือสิ่งใดที่จะทำให้นายเดือดร้อนเป็นที่กระทบกระเทือนแล้วฉันไม่ยอมทำเป็นอันขาด และฉันคิดว่า การที่ฉันถูกพี่ชายของสาวที่ฉันหลงรักต่อว่าเอานั้น คงจะไม่เดือดร้อนถึงนาย หากฉันจะพยายามเลิกติดต่อกับหล่อน แต่แล้วเย็นวันหนึ่งนายฝรั่งกลับมาบ้าน บอกว่า “นายแม็กหลังอาหารแล้วฉันอยากจะพูดอะไรกับเธอสักหน่อย”

    พอนายพูดเท่านั้นฉันก็ตกใจคิดว่า คราวนี้คงมีเรื่องแน่ นายเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ ปลอบฉันด้วยการตบหลังเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรร้ายแรงสำหรับเธอ มีแต่เรื่องดี”

    ฉันได้ฟังเช่นนั้นก็เบาใจ เมื่อถึงเวลาฉันก็ขึ้นไปห้องชั้นบน เพื่อพบกับนายตามต้องการ นายได้ยิ้มให้กำลังใจฉันแล้วพูดขึ้นว่า “เราเห็นจะต้องสนทนากันนานสักหน่อย นั่งบนเก้าอี้ให้สบาย”

    เมื่อฉันได้นั่งลงด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ว่านายจะมีเรื่องอะไรพูด แต่ก็ยังเข้าใจที่นายรับรองว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เมื่อนายยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า

    “ฉันรู้สึกว่า นายแม็กหมู่นี้มีกริยาแสดงความไม่สบายใจ ฉันจึงอยากทราบต้นเหตุที่ทำให้นายแม็กไม่มีความสบายใจเนื่องจากอะไร ถ้าฉันช่วยได้ก็บอกมาฉันยินดีจะช่วยเหลือ เพราะเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เมื่อมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นก็ควรจะได้รับรู้ อย่าปล่อยให้สายเกินไป”

    ฉันได้ฟังนายฝรั่งพูดขึ้น รู้สึกว่านายได้เอาใจใส่สังเกตดูแลฉันอย่างใกล้ชิด อดที่จะนึกถึงพระคุณมิได้ฉันจึงพูดว่า “ผมไม่รู้ว่าจะขอบคุณนายอย่างไรถูก ที่คอยเอาใจใส่ทุกข์สุขในตัวผม ทั้งให้ความอุปการะเราสองแม่ลูก ได้พึ่งบุญอยู่เย็นเป็นสุขในบ้านแล้ว ผมยังจะนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้มีพระคุณมากผมพูดอะไรไม่ออก”
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    (ต่อ)
    นายฝรั่งยิ้มแล้วยกมือขึ้นห้าม “นายแม็กพูดเช่นนั้นไม่ถูก ฉันอยากจะพูดว่านายแม็กเข้ามาอยู่ร่วมครอบครัวของเรานี้ ก็เพราะความดีของนายแม็กกับแม่ผู้มีความดีอยู่ในตัวเอง ทั้งแม่ของนายแม็กก็เป็นคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริต และขยันในการงานความดีอันนี้ จึงเป็นการชักนำให้เราได้มาอยู่ร่วมกัน เพราะฉันชอบนิสัยยกย่อง นิยมผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความขยันอดทนคุณสมบัติอันนี้มีอยู่ในตัวของนายแม็กกับแม่ของเธอ ฉันจึงเกิดชอบและเกิดมีความเมตตาและสงสาร แหม่มและฉันรักเธอมาก เธอเป็นเด็กดี ฉะนั้น เธอจะไว้ใจเราได้ว่าไม่เป็นภัยกับเธอ เมื่อมีสิ่งใดเล่าบอกให้เราทราบ อย่าปิดบัง คิดว่าเธอคงเข้าใจในคำพูดของฉันดี”

    เมื่อได้ยินคำพูดของนายฝรั่งผู้หวังดีและได้มาไตร่ตรองดูแล้ว จึงหักห้ามความอายและความอดสูใจ เล่าความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายฝรั่งฟังจนหมดสิ้น เมื่อนายฝรั่งฟังแล้วก็นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอามือตบบ่าฉัน แล้วพูดว่า

    “ไม่เป็นไร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรอาย และเสียหายอะไร คนไทยส่วนมากชอบคิดอย่างเดียวกัน ขอบใจที่เล่าให้ฉันฟัง”

    นายฝรั่งทำท่าคิดแล้วพูดว่า “นายแม็กยังมีอายุน้อยเกินไป พวกเราฝรั่งเรียกว่ายังเด็กมาก ความคิดรับผิดชอบทางครอบครัวยังน้อยมาก แต่มากด้วยอารมณ์ที่รุนแรงเหมือนชายหนุ่มทั่วๆ ไป เมื่อรักแล้วก็มุ่งหวังจะให้ได้ตามอารมณ์ ไม่ได้คิดถึงชีวิตอนาคตว่าจะเกิดความลำบากยากแค้นติดตามมาภายหลัง เรามีแต่ความรักอย่างเดียวเห็นจะไม่รอดแน่ ฉะนั้น พวกฝรั่งก่อนที่เขาจะมีครอบครัว ก็จะต้องคิดมากคิดถึงอนาคตจะต้องมีลูก ต้องสร้างฐานะให้มั่นคงมีรายได้พอเลี้ยงครอบครัว เป็นเวลาไม่ใช่น้อย

    ฉะนั้น พวกฝรั่งเราส่วนมากจึงแต่งงานกันเมื่ออายุมากแล้วไม่ต่ำกว่าสามสิบปี เพราะส่วนมากใช้เวลาที่ก่อสร้างตัวเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้ตลอดไปไม่ให้รับความลำบาก ฉะนั้น ถ้านายแม็กเชื่อฉัน จงสร้างฐานะของเราให้มั่นคงก่อน มิฉะนั้นเราก็จะมองดูอนาคตไม่สดใสเราจะเสียใจภายหลังว่า ความรักอย่างเดียวไม่ทำให้เรามีความสุข มีแต่ความทุกข์

    ฉันรู้ว่านายอนันท์พี่ชายของนางสาวนวลน้อยได้มาพูดดูถูกนายแม็ก แม้เขาพูดไปโดยไม่มีความหมาย แต่ก็ตรงความจริง อันคนจนถ้าทำอะไรเกินควรก็เป็นที่ดูถูกดูหมิ่น นายแม็กเอาไปคิดดูว่าคำพูดของฉันมีประโยชน์บ้างไหม ถ้านายแม็กเห็นจริงอย่างฉันพูดก็รีบสร้างฐานะให้มีหลักฐานเป็นปึกแผ่นเสียก่อน อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องมีเมีย

    ถ้าอยากทำงานเพื่อสร้างหลักฐาน นายแม็กก็ต้องมีความอดทนไม่เห็นแก่ความยากลำบาก ฉันจะฝากงานแนะนำให้นายแม็กไปทำงานอยู่กับฝรั่งเพื่อนรักของฉัน เขาอยู่ทางใต้เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัททำยางทำเหมืองแร่เป็นคนใจดี เขาเคยจดหมายมาปรับทุกข์กับฉันว่า หาคนดีๆ ใช้ไม่ค่อยได้

    เขาเคยขอให้ฉันหาคนดีๆ มีความรู้และซื่อสัตย์สุจริตขยันและมีความอดทน เขาว่าถ้าได้คนอย่างนี้สำหรับเงินเดือนเขาบอกว่าไม่ต้องพูดถึงเขาจะจ่ายอย่างงาม ฉันว่านายแม็กเหมาะสมกับงานนี้มาก เพราะมีทุกสิ่งที่เขาต้องการ คิดว่านายแม็กไปอยู่ ๔-๕ ปี ก็คงจะมีหลักฐานทั้งตัวได้ คิดดูให้ดี ถ้าสนใจบอกให้ฉันรู้”

    เมื่อฉันได้มาคิดดูคำพูดของนายฝรั่งแล้ว ล้วนแต่มีเหตุผลที่จะชักนำไปทางที่ดี เมื่อหวนไปคิดถึงความรักว่าหากฉันจะหุนหันพลันแล่น สมมุติว่าได้ตัวหล่อนมาเป็นคู่ครองแล้วหากเป็นไปได้ หากได้อยู่ด้วยกันเมื่อไม่มีเงินมีทองจะเลี้ยงดูกันเราคงไปไม่รอด ฉันคิดทบทวนดูหลายครั้งหลายหน ความรักที่ไม่มีเงินจะใช้จ่ายพอที่จะบำรุงบำเรอการครองชีพ เป็นความรักที่ต้นไม่โปร่งไม่ถาวรยั่งยืน ต้องเกิดความทุกข์ภายหลังแน่นอน แม้จะรู้เช่นนี้ฉันยังตัดสินใจไม่ถูก

    แม่ของฉันก็ได้ถามว่า “นายพูดอะไรกับลูกบ้าง” ฉันได้เล่าให้แม่ฟังถึงเรื่องนายชี้แจงเหตุผลให้ฉันนำมาคิด

    แม่จึงพูดว่า “นายฝรั่งท่านมีความรู้ จะพูดอะไรแล้วย่อมมีเหตุผล ฉะนั้น ควรจะเชื่อถือเป็นครูบาอาจารย์ ทำตามคำของท่านเพราะเป็นความหวังดีและเป็นผู้มีบุญคุณต่อเรามาก แม่อยากให้ลูกพิจารณา อย่าชิงสุกก่อนห่ามอย่างโบราณว่า ถ้ามีความรักอย่างเดียว แต่ท้องมันหิวเราก็หาความสุขมาไม่ได้”

    ฉันฟังแม่พูดแล้วก็นิ่ง เป็นธรรมดาหนุ่มสาวเอาแต่อารมณ์ถือความรักเป็นอมตะ แม้มีความรักแล้วแม้จะอยู่ร่วมกันจะยากจนกัดก้อนเกลือกินกับข้าว ก็คิดว่ามีความสุขสมกับว่าความรักทำให้ตาบอด ไม่ลืมหูลืมตางมงายกล้าเอาชีวิตอนาคตเป็นเดิมพันเป็นการเสี่ยงภัย ฉันเองก็เคยคิดถึงความรักและความสุข เห็นหล่อนสวยงามหยดย้อยที่สุดในชีวิต คิดว่าหากจะได้อยู่ร่วมห้องกับหล่อนเพียง ๗ วัน แม้ตัวจะตายก็สุขใจเป็นความหลงใหลงมงายในความรัก

    บัดนี้ฉันรู้สึกเหมือนตื่นจากความฝัน เมื่อมีผู้มาปลุกให้ตื่นจากความฝัน เมื่อมีผู้มาปลุกให้ตื่นจากความงมงาย รักษาตาให้หายบอด มองเห็นเหตุผลแจ่มแจ้งจากภัยอนาคตที่จะเกิดขึ้น สำหรับผู้ยังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว ขาดสิ่งส่งเสริมความสุข ฉันจึงได้พยายามหักใจที่จะลืมหล่อน เพื่อชีวิตในอนาคตที่ฉันจะก่อตั้งหลักฐานมั่นคง เป็นหลักประกันก่อนที่จะมีครอบครัว และเดินทางไปผจญชีวิตตามที่นายฝรั่งได้แนะนำ จึงอยู่ในระหว่างตัดสินใจ ฉันได้จำคำเตือนเป็นหลักไว้สองคำ “จงพยายามตั้งหลักฐานให้มั่นคงก่อนจะมีครอบครัว” และ “อย่าชิงสุกก่อนห่าม”

    วันต่อมาฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายของนางสาวนวลน้อยที่ฉันหลงรัก ควรจะเป็นจดหมายที่ฉันตื่นเต้นดีใจ เพราะเป็นจดหมายฉบับแรกในชีวิตของฉัน ที่ได้รับจากหญิงที่ฉันรักและหลงใหลใฝ่ฝันถึงแทบจะไม่เป็นอันกินอันนอน แต่บัดนี้ความดีอกดีใจนั้นได้ลดน้อยถอยลง ไม่มากเท่าที่ควร ฉันยั้งความรู้สึกไว้เพราะคำเตือนของนายฝรั่งที่ว่า “ควรสร้างหลักฐานให้มั่นคงเสียก่อนค่อยมีครอบครัว” และคำเตือนของแม่ก็บอกว่า “อย่าชิงสุกก่อนห่าม”

    ฉันได้พิจารณาดูตัวเองแล้ว ฉันยังไม่พร้อมที่จะมีภรรยา ไม่พร้อมที่จะต้อนรับเหตุการณ์ เพราะฉันยังยากจนไม่มีหลักฐาน ฉันขืนตามใจตามอารมณ์ตัวเองก็เท่ากับทำลายวิถีชีวิตในอนาคตที่จะรุ่งเรืองต่อไป ให้อับเฉาย่อยยับลงไปความรักที่ร้อนแรง เมื่อแรกๆ ก็ค่อยๆ เย็นลงเพราะนึกถึงฐานะ ถึงเช่นนั้นก็ยังรู้สึกดีใจมากที่สุดในชีวิต ในจดหมายมีใจความตอนหนึ่งว่า
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    (ต่อ)
    “.....ฉันรู้สึกเสียใจที่พี่อนันท์ได้ไปหาคุณ กล่าวคำที่ไม่สุภาพตามนิสัยของเขา ฉันเพิ่งจะรู้ และฉันไม่ทราบว่าเขาละลาบละล้วง เอาจดหมายฉันซุกซ่อนไว้ไปอ่านได้อย่างไร การมาของพี่อนันท์นั้น ฉันไม่รู้เห็นด้วยเลย เมื่อฉันทราบว่าพี่อนันท์ได้ไปหาคุณ และแสดงกิริยาเกรี้ยวกราดต่อคุณซึ่งไม่บังควร ทำให้ฉันเกิดความสงสารคุณขึ้นมา ต้องขอโทษที่ฉันไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน

    ฉันชอบที่คุณเล่าความจริงให้ฟังไม่มีอะไรปิดบัง ชายอย่างคุณนี้หาได้ยาก มีแต่พวกที่คอยหลอกลวงอวดอ้างเป็นใหญ่เป็นโต อุดมด้วยทรัพย์สินเงินทองเป็นส่วนมาก นี่คุณเป็นคนพูดตรงไปตรงมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่รู้ใจเขา แต่สำหรับฉันขอรับสารภาพว่าฉันชอบชายชนิดนี้ เพราะเป็นคนเข้มแข็งอดทนต่อความลำบาก

    แต่คนเราก็ต้องมีหลักประกันความสุขสบายในอนาคต ฉะนั้น อยากจะขอร้องให้คุณพยายามใช้ชีวิตเพื่อสร้างหลักฐานให้มั่นคง ได้ทราบว่าคุณก็ยังหนุ่มมากทั้งมีวิชาความรู้พอที่จะประกอบการงานเป็นหลักฐานได้ จงใช้เวลาอดทนสักพักไม่นาน ก็คงจะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากมองดูโลกได้เต็มตา เมื่อนั้นแหละทุกสิ่งทุกอย่างที่มุ่งหวังก็จะสำเร็จเรียบร้อยตามความปรารถนาของคุณ

    ฉันจะภาวนาเอาใจช่วย คุณคงจะเห็นด้วย คนเราส่วนมากถือเงินเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ในชีวิตสำหรับผู้หญิงในโลกนี้ ส่วนมากเห็นใครยากจนก็มีแต่ความกล่าวร้ายนินทา ถ้าดีเกินไปก็เกิดความอิจฉาริษยา มันเป็นธรรมดาของโลกที่ห้ามกันไม่ได้ ฉะนั้นขอให้สร้างตัวคุณเองและเพื่ออนาคต.....”

    เมื่อฉันได้อ่านแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งอัศจรรย์อย่างประหลาด เพราะฉันได้ถูกคนแนะนำสั่งสอนคราวเดียวกันตั้งสามคน แต่แล้วฉันก็ไม่มีโอกาสได้พบเห็นหญิงสาวข้างบ้านอีกเลย แม้จะคอยจ้องมองเช้าเย็นกลางคืน เห็นจะเป็นเพราะผู้ปกครองไม่ยอมรับกลับมาบ้านอีก เมื่อได้ทราบว่าเราจะมีการติดต่อกัน แม้ว่าฉันจะหักใจแล้วก็ตาม เมื่อได้รับจดหมายก็อดที่จะคิดถึงหล่อนมิได้ ที่สุดฉันก็ตกลงใจเดินทางไปทำงานภาคใต้ ตามที่นายฝรั่งได้ช่วยเหลือฝากฝัง และมีจดหมายของนายแนะนำติดตัวไปด้วยก่อนที่จะเดินทาง นายฝรั่งแสดงความยินดีกับฉันว่า

    “นายแม็กเธอเป็นคนดีมาก ถ้าฉันมีลูกสาวฉันยกให้เธอเลย”

    ชีวิตทางภาคใต้ ฉันได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้จัดการที่เป็นฝรั่ง ฉันได้รับความไว้วางใจในกิจการงานอย่างดีคล้ายกับฉันได้เคยทำงานอยู่ร่วมกันนานปี ฉันมีรายได้งดงาม ฝรั่งผู้จัดการได้เล่าให้ฉันฟังภายหลังว่าเขาได้รับจดหมายยกย่องความซื่อสัตย์มั่นคง และความขยันของฉันโดยนายฝรั่งเป็นผู้เขียนฝากฝังมา เขาจึงพอใจมากเพราะผู้เขียนจดหมายแนะนำสนับสนุนมานั้นเป็นคนดีเชื่อถือได้ ฉะนั้นไม่มีอะไรสงสัยเขาจึงปฏิบัติต่อฉันเหมือนคนรู้จักกันมาก่อน ไม่ใช่คนใหม่หรือคนแปลกหน้า ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายฝรั่งสองสามีภรรยาอีกเปลาะหนึ่ง

    การงานของฉันได้ดำเนินไปอย่างพอใจ ไม่ช้าฉันก็เรียนรู้กิจการงานในหน้าที่อย่างช่ำชอง ฉันเอาใจใส่มุ่งหวังสร้างฐานะ เมื่อฉันได้เงินก็นำไปลงทุนหาผลประโยชน์ที่มองเห็นว่าจะมีผลรุ่งเรืองต่อไป ทำให้เกิดเพิ่มพูนทรัพย์สิน ทั้งผู้จัดการฝรั่งเป็นผู้ช่วยเหลือให้ความเมตตากรุณาฉันไม่ผิดกับนายฝรั่งสองสามีภรรยา ทำให้ฉันลืมตาอ้าปาก มองดูโลกได้อย่างเต็มตาไม่น้อยหน้าใคร

    ฉันไม่ต้องห่วงแม่ เพราะนายฝรั่งได้ให้ความสุขสบายอย่างเพียงพอ และทราบข่าวว่าระยะหลังนี้ แม่ไม่ต้องลำบากในการซักรีดเพราะนายฝรั่งได้หาคนมาทำแทน ยกแม่ขึ้นเป็นแม่บ้านผู้ดูแลทั่วไป ฉันจึงนึกภาวนา นึกถึงพระคุณของนายฝรั่งผู้มีคุณธรรมสูงบางครั้งฉันนึกถึงพระคุณ อันนี้แล้ว ฉันก็น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

    วันเวลาได้ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ฉันเป็นคนโชคดีความซื่อทำให้ฉันมีตำแหน่งสูง การลงทุนก็เกิดประโยชน์มากมาย แต่ฉันไม่ได้ทราบข่าวจากนวลน้อยเลย ทางบ้านก็ไม่มีใครสืบทราบว่านวลน้อยเรียนสำเร็จแล้วไปอยู่ที่ไหน แต่แล้วฉันได้ทราบข่าวต่อมาอย่างน่าเศร้าใจว่า ตึกหลังใหญ่ที่นวลน้อยเคยอยู่ เขาจะขายทอดตลาดพร้อมทั้งทรัพย์สินในบ้าน ฉันตกใจมาก ฉันจึงตกลงจะรับซื้อตึกหลังนั้นพร้อมกับที่ดิน แม้จะราคาสูงเท่าใด

    ฉะนั้น ฉันจึงมอบตัวแทนซึ่งเป็นทนายความจัดการตกลงซื้อตึกรายนี้ให้ได้จากธนาคารผู้รับจำนอง ในนามของฉันใช้ชื่อว่า “อัมพร” ฉันไม่อยากให้ใครทราบว่าฉันเป็นผู้ซื้อ โดยฉันไม่ต้องเดินทางมากรุงเทพฯ ด้วยตนเอง การทั้งนี้นายฝรั่งผู้จัดการได้ช่วยเหลือทั้งสิ้น ฉันคิดว่าเมื่อได้ซื้อตึกหลังนี้ไว้แล้ว การค้นหานางสาวนวลน้อยก็คงไม่ยากนัก

    แต่ฉันรู้สึกสลดใจมากที่ครอบครัวที่มั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินสมบัติ แต่ต้องมาจากบ้านอันโอ่อ่า เคยให้ความสุขตลอดมา คิดแล้วก็เศร้า มนุษย์เราเกิดมาไม่มีอะไรแน่นอน มั่งมีแล้วก็จน คนยากจนแล้วก็มั่งมีไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ย่อมจะเปลี่ยนแปลงตามกรรมแห่งตนที่ประกอบขึ้น

    ในที่สุดตึกพร้อมที่ดินหลังนั้น ก็โอนกรรมสิทธิ์ในนามจริงของฉัน ตามที่ได้มอบฉันทะให้ทนายเป็นที่เรียบร้อยโดยจ่ายเงินให้ธนาคารตามเรียกร้อง ตกลงตามราคาเท่าที่ทางเจ้าหน้าที่และลูกหนี้ได้ตกลงปรองดองกัน นอกจากนั้นฉันได้สั่งให้ขอซื้อของในบ้านทั้งหมดเท่าที่มีเป็นเครื่องเรือนและเครื่องประดับห้อง และไม่ให้เคลื่อนย้ายสิ่งเหล่านั้นผิดจากที่เดิม เพราะยอมทุ่มเทด้วยอำนาจเงินทุกสิ่งตามรายการถึงเรียบร้อยตามที่ฉันต้องการสั่งไว้ทุกประการ

    สิ่งที่ฉันสมใจมากก็คือ ห้องสีตองอ่อนนั้นไม่ให้โยกย้ายสิ่งใดทั้งหมดเป็นอันขาด โดยเฉพาะเปียโนที่ฉันอยากได้ที่สุด เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ระลึกถึงหญิงคนรักที่ฉันไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แม้ฉันจะใช้คนออกสืบหานวลน้อยแทบจะพลิกแผ่นดินก็ยังไม่ได้ข่าว

    ต่อมา ฝรั่งผู้จัดการเหมืองแร่และสวนยางจะต้องกลับเมืองนอกตามสัญญา ฉันมีความอาลัยรักแก นับแต่แรกที่มาถึง ฉันได้รับความช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่างตลอดมา นับว่าเป็นผู้มีพระคุณผู้หนึ่งที่ฉันลืมไม่ได้และแกก็มีความรักใคร่อาลัยฉันและเพื่อนๆ ร่วมงานไม่น้อย แกบอกว่าหากมีโอกาสแกจะกลับมาเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง แกมีความรักเมืองไทยและคนไทยมาก

    เราจึงจากกันด้วยความสุดแสนจะอาลัย คนงานมีทั้งชาวไทยและมลายู และชาวจีน และชาวสิงคโปร์ ต่างก็มีความเสียดายอาลัยรักแกทุกคน ตลอดทั้งกุลีเพราะแกเป็นคนไม่ถือตัว แกจับมือลาทุกคนด้วยน้ำตาคลอและทุกคนก็อดกลั้นน้ำตาไม่ได้ สำหรับฉันเอง ขอสารภาพว่าฉันร้องไห้ แต่ฉันใส่แว่นตาดำจึงปกปิดได้บ้าง คนดีอยู่ที่ไหนจะจากไปก็มีคนรักและอาลัยเสียดายผิดกับคนใจชั่ว แกบอกว่าถ้าไม่จำเป็นแล้วจะไม่ขอจากเมืองไทย

    ชีวิตของฉันในตอนนั้นก็พอจะเป็นหลักฐานการลงทุนหลายทาง ฉันจึงไม่จำเป็นที่จะอยู่ปักษ์ใต้ เพื่อทำงานเป็นลูกจ้างต่อไป แม้รายได้ของฉันในบริษัทจะได้มาก พร้อมทั้งเงินโบนัสแต่ละปีได้ไม่น้อยก็ตาม แต่เมื่อผู้จัดการคนเก่าซึ่งเป็นที่รักใคร่นับถือของฉันได้กลับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว

    ฉันเกิดเหงาใจเสียดายคนดี ทำให้เบื่องานไม่อยากเป็นลูกจ้างต่อไป จึงได้ลาออกจากงานมาดูแลกิจการค้าส่วนที่ฉันลงทุนไว้มากมาย บัดนี้ก็เป็นล่ำเป็นสันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแล้วและมีรายได้ไม่น้อย ฉันจึงมอบหน้าที่ให้เพื่อนที่เคยร่วมงานกันมาก่อน เป็นผู้จัดการดูแลผลประโยชน์แทน เพราะฉันเลือกแล้วว่าเป็นคนชื่อตรงไว้วางใจได้

    ส่วนตัวฉันขอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ และเข้ามาอยู่ในตึกที่ซื้อไว้ เพื่อให้ชีวิตเมื่อได้สร้างหลักฐานมั่นคงแล้วโดยใช้ชื่อว่า “อัมพร” ชายโสดผู้มั่งคั่งโดดเดี่ยว จริงอย่างนายฝรั่งว่าถ้าเรามั่งมีเงินทองมีหลักฐานมั่นคง ก็ย่อมเป็นสิ่งที่สนใจของหญิงสาวและไม่สาว และผู้ปกครองของหญิงสาวทั่วไป

    ฉะนั้น หลังจากฉันได้มาอยู่กรุงเทพฯ ชื่อเสียงดีจึงมีพวกพ่อสื่อ แม่สื่อ แม่ชัก มากคนด้วยกันคอยจะชักนำผู้หญิงสาวๆ สวยๆ และบางคนก็เป็นหม้าย บางคนก็มีลูกติดแล้วแต่จะประสงค์อย่างใด แต่ฉันเองไม่เคยสนใจใคร พวกแม่สื่อพ่อสื่อล้วนแต่มาพูดจายกย่องสรรเสริญคุณงามความดีหญิงคนนั้นสวยงามมากมีความรู้ดี พ่อแม่มีชื่อเสียง มีหลักฐานดีต้องการแต่งงานกับคนดีๆ ฉันก็ไม่เคยสนใจ จนฉันเกิดความรำคาญพวกแม่สื่อพ่อสื่อเหลือทน
    จึงประกาศออกไปว่าฉันจะไม่ยอมแต่งงานกับหญิงเคยมีสามีมาแล้ว หรือหญิงหม้ายลูกติดในชาตินี้เป็นอันขาด ของดอย่าได้แนะนำมาอีก นอกจากฉันจะขอแต่งงานกับหญิงที่มีชื่อว่า "นวลน้อย" เท่านั้น ถ้าใครหาที่อยู่ของหล่อนมาได้ ฉันจะให้รางวัลอย่างงามที่สุด การประกาศออกไปเช่นนี้ ทำให้ฉันพ้นความรำคาญไปมาก แต่ก็มีพวกแม่สื่อหาหญิงสาวสดงดงามและทรวดทรงองค์เอวสมส่วน บอกว่าชื่อนวลน้อย ซึ่งฉันอยากจะหัวเราะเพราะมันไม่ใช่ตัวจริง

    เห็นจะเปลี่ยนเสียตอนที่จะพามาหาฉันให้ดูตัว คงจะคิดว่ารูปร่างสวยงาม ท่าทางของหญิงสาวนั้นจะทำให้ฉันเปลี่ยนใจเพราะความสวยงาม รูปร่างท่าทางมีเสน่ห์ย่อมจะทำให้จิตใจชายหนุ่มอารมณ์รุนแรง ปั่นป่วน เปลี่ยนแปลงจิตใจไปได้ง่าย แต่ฉันเป็นคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนจิตใจง่าย ตามความรู้สึกของพวกแม่สื่อ ฉะนั้นจึงผิดหวัง คงได้เพียงค่ารถเล็กๆ น้อยๆ รู้สึกว่าพวกนี้ไม่มีความอาย ความกระดาก ซึ่งคงจะไม่เข็ดที่เอาหญิงสาวมาย้อมชื่อเพื่อหวังประโยชน์ต่อไป
    วันหนึ่ง ฉันกำลังนอนฝันถึงชีวิตอยู่ในห้องสีตองอ่อน ชั้นบนเป็นห้องที่นวลน้อยเคยอยู่มาก่อนที่ฉันเคยเห็นเมื่อครั้งฉันยากจน คนใช้ขึ้นไปบอกมีผู้อยากจะพบคุณอัมพร ฉันจึงสั่งให้นำเขาขึ้นมาพบฉันบนห้อง แต่พอเขามาเห็นหน้าฉัน ก็ตกตะลึงเหมือนผีหลอกหัวใจแทบจะหยุดเต้นแล้วเดินกลับ แต่ฉันได้เรียกร้องให้แกนั่งลงด้วยกิริยาวาจาสุภาพ

    เขาผู้นั้นคือคุณอนันท์พี่ชายนวลน้อย แกจึงนั่งอย่างเสียไม่ได้ก้มหน้านิ่งอย่างอายๆ แต่ฉันพยายามทำให้แกหายกลัวหายกระดากอาย ความเย่อหยิ่งจองหองเมื่อแกได้พบฉันครั้งแรกที่บ้านนายฝรั่งนั้น หายไปหมดไม่มีเหลือ

    ฉันถามแกว่า “คุณมาหาผมมีธุระอะไรหรือ ?”

    แกตอบฉันว่า “เปล่าครับ ผมตั้งใจจะมาทำความรู้จักกับผู้ซื้อบ้านผมไว้ ชื่อคุณอัมพร แต่- แต่ผมไม่นึกว่าจะเป็นคุณเมฆ”

    ฉันได้ชี้แจงเหตุผลแล้ว สั่งคนหาน้ำและเครื่องว่างมาเลี้ยง เพื่อเอาใจให้แกหายกระดากอายตื่นกลัว อยากให้แกเป็นกันเองมากขึ้น แต่เมื่อนึกได้ว่าแกคงเป็นคนชอบสุรา จึงกระซิบสั่งคนในบ้านจัดหาสุราอย่างดีและโซดามาพร้อมเพื่อรับรอง ไม่ช้าทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อม เหล้าต่างประเทศ โซดา อาหารยกมาตั้งโต๊ะตรงหน้าแก ฉันจึงเชิญให้แกดื่มกินเป็นกันเองไม่ต้องเกรงใจ ให้ถือว่าบ้านนี้เป็นบ้านของแกอย่างเดิม ในไม่ช้าเมื่อแกดื่มหน้าตึงๆ แล้ว ความเกรงกลัวกระดากแต่ต้นๆ ก็ค่อยๆ คลายลง

    ฉันจึงถามเหตุที่ต้องเสียบ้าน ได้ความจริงว่า การที่แกยากจนลงต้นเหตุเพราะแกคนเดียวเป็นผู้ทำลาย เพราะภายหลังจากผู้ใหญ่ได้สิ้นบุญลง ทรัพย์สินก็ตกอยู่ในมือแกเป็นผู้ดูแลจัดการมรดก ซึ่งน้องสาวของแกมีหุ้นอยู่ในทรัพย์สิน หากแต่การประพฤติของแกอยู่ขั้นนักเลง ทั้งสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร พร้อมกันนั้นทรัพย์สินก็ถูกทำลายลงด้วยการเสียพนันหามรุ่งหามค่ำเป็นส่วนมาก เพราะแกไม่เคยทำมาหากินให้เป็นหลักฐานเหมือนคนอื่น

    ครั้งสุดท้ายแกได้นำตึกและที่ดินสิ่งก่อสร้างไปจำนองทางธนาคาร เพื่อจะได้เงินจำนวนมากไปลงทุนค้าของต้องห้าม คือ ฝิ่นเถื่อนตามคำแนะนำของพวกเพื่อนนักเลง แกก็มองเห็นแต่ทางได้ที่มีผู้ซื้อขายลงทุนน้อยแต่ขายได้กำไรหลายเท่าตัว แกมุ่งมองเห็นแต่กำไรอย่างเดียว

    สิ่งใดเป็นของต้องห้ามผิดกฎหมายนั้น ย่อมจะเสี่ยงภัยอันตรายหลบหลีกด้วยความลำบาก ไม่ใช่จะสะดวกสบายอย่างการค้าธรรมดา ทั้งแกเป็นคนหน้าใหม่แต่หวังร่ำรวยในทางผิด คิดว่าการซื้อมาขายไปง่าย ที่สุดแกก็ถูกหักหลังด้วยการที่ผู้ขายฝิ่นให้แกนั้นเป็นผู้รับสินบนนำตำรวจจับฝิ่นของแกเพื่อหวังเงินรางวัลอีกต่อหนึ่ง ซึ่งทำให้ลูกน้องกำลังลำเลียงลงมาจากภาคเหนือถูกจับถูกริบของกลาง

    ที่สุดก็หมดทั้งลูกน้องก็ต้องรับเคราะห์ถูกจองจำแทนตัวแก ตึกที่จำนองไว้ทางธนาคารก็หมดปัญญาที่จะไถ่ถอนคืนรวมทั้งดอกเบี้ยก็ไม่สามารถจะส่งให้ธนาคารได้ตามกำหนด ดอกทบทุนก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ที่สุดก็ขายทอดตลาด ทรัพย์สินเท่าที่มีอยู่แกก็หมดตัว และทำให้น้องสาวผู้ไม่รู้ไม่เห็นก็พลอยรับเคราะห์ไปด้วย ฉันทราบความจริงจากปากคำเล่าอย่างละเอียดแล้วก็เศร้าสลดใจ นึกถึงน้องสาวนวลน้อย ป่านนี้จะได้รับความลำบากอยู่แห่งใดก็ไม่รู้ ฉะนั้น จึงมอบเงินจำนวนหนึ่ง พอที่จะช่วยเหลือการครองชีพของแกได้นาน

    ทั้งๆ ที่แกกำลังเมา แกก็ตกตะลึงที่แกไม่เคยนึกว่าคนอย่างฉันที่แกเคยดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามว่าเป็นคนต่ำคนจนคนยาก ซึ่งบัดนี้คนผู้นั้นไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว ยังกลับมอบเงินจำนวนหนึ่งพอจะทำให้แกสบายไปได้อีกนาน แกตื่นเต้นดีใจจนร้องไห้ออกมาตามภาษาคนเมา แกยกบุญยอคุณว่า ฉันเป็นคนใจดีที่ไม่เคยถือโกรธเรื่องเก่าๆ ช้ำยังมอบเงินให้อีก ซึ่งเป็นบุคคลที่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ฉันจึงบอกให้ลืมเรื่องเก่าๆ และทั้งแกก็มีส่วนช่วยเหลือทางอ้อมที่ทำให้ฉันเกิดมานะอดทนในการสร้างหลักฐานจนเป็นปึกแผ่น

    ที่สุดจุดสำคัญฉันก็ถามถึงนวลน้อย หญิงที่ฉันใฝ่ฝันถึงทุกคืนทุกวัน อยากทราบความเป็นอยู่ เมื่อถามแกแล้วรู้สึกแกนิ่งอึ้งไม่ยอมให้ความกระจ่าง ไม่บอกให้ทราบว่าเวลานี้น้องสาวของแกเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน ซึ่งฉันอยากพบ ฉันพยายามเซ้าซี้แก แต่แกขอเวลาให้แกไปถามความเห็นจากน้องสาวเสียก่อน แล้วแกจะได้พาฉันไปพบ แต่แกยังมีความเกรงใจน้องสาวอยู่จึงไม่กล้ารับปาก

    ฉันคิดว่าน้องสาวคงตกอยู่ในความลำบากไม่แพ้แกเป็นแน่ ฉะนั้น ฉันจึงเขียนเช็คใบสั่งจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเข้าบัญชีในนามของนางสาวนวลน้อย เพื่อนำไปฝากไว้ในธนาคารไว้ใช้จ่าย และพี่ชายแกก็ยินดีไปมอบให้น้องสาวต่อไป และรับรองว่าจะหาให้พบกับน้องสาวของแกภายหลัง บอกน้องสาวให้รู้ ซึ่งฉันก็มีความพอใจ คอยให้ถึงเวลานั้นด้วยความกระวนกระวายใจ

    ภายหลังที่ได้พบกับนายอนันท์แล้ว ฉันก็พยายามคอยที่จะพบนายอนันท์ด้วยจิตใจตื่นเต้นและจดจ่อ การหายไปของนายอนนท์ที่ผิดกำหนดที่นัดไว้นั้นทำให้ฉันหมดความสุข เพราะนายอนันท์เป็นกุญแจที่ไขประตูพาให้ใปพบกับเจ้าหญิงในฝันของฉันที่ไม่เคยลืมเลย แม้บัดนี้ฉันจะอยู่ในห้องที่เธอเคยอยู่ เคยเล่นเปียโน เคยนอนเตียงที่เธอเคยนอน

    ฉันคอยๆ เจ้าของห้องที่จะมาอยู่อย่างเดิมและมาดีดเปียโน ฉันจะนั่งคอยฟังเสียงเพลงอันไพเราะ ในยามเดือนหงายแจ่มกระจ่างท้องฟ้า เสียงเพลง “ลาวดวงเดือน” ฉันได้แต่ฝันไม่ทราบว่าเมื่อไรจะสมตามความหวัง แต่แล้วเหตุการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน ก็คือเช้าวันหนึ่งฉันได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสำคัญประจำวันว่า

    นายอนันท์ได้ถูกคนร้ายใช้ตะไกรขาเดียวแทงบาดเจ็บสาหัส และได้ถึงแก่กรรมลงที่โรงพยาบาล ก่อนที่จะให้การสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่คงจะมีการอาฆาตทำลายล้างด้วยฝีมืออั้งยี่ และก่อนถูกแทงนายอนันท์ได้ดื่มสุราเมามายจึงได้พบจุดจบที่ตรอกโรงโคม ข่าวนี้ทำให้ฉันตัวเย็นชาหมดความหวังที่จะพบกับหญิงที่รักก็ได้ถูกทำลายลงอีกครั้งหนึ่ง ฉันมารำพึงแก่ตัวเองว่า

    “ทำไมฉันจึงได้อาภัพรักนะ กรรมใดที่ฉันเคยสร้างมาแต่ชาติก่อน ได้ตามมาทำลายฉันในชาตินี้”

    แต่แล้ววันหนึ่งฉันได้รับจดหมายลงทะเบียน ซึ่งจำได้ไม่ผิดว่าเป็นของนวลน้อยสาวคนรักของฉัน จึงเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่เมื่อเปิดออกมาก็พบเช็คใบสั่งจ่ายเงินให้ในนามของนวลน้อย ซึ่งมอบให้นายอนันท์ไปให้นั้นกลับคืนมาให้ ความหวังที่จะถามธนาคารถึงตำบลที่อยู่ของนวลน้อย เมื่อนำเข้าบัญชีก็เป็นอันล้มเหลวลงอีก เพราะได้ถูกคืนมาทั้งจดหมายบางตอนที่ถูกคัดมานี้ ก็ได้แสดงแจ่มแจ้งถึงเหตุการณ์ต่อไปได้ดี คุณเมฆหรือคุณอัมพรที่ดิฉันเคารพบูชาด้วยดวงใจอันบริสุทธิ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...