ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    มงคลที่ ๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย
    ควรเป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้าน
    ก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหน
    ไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใด
    เมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา

    ท่านว่าผู้ว่าง่ายนั้นมีลักษณะที่สังเกตได้ดังนี้คือ
    ๑.ไม่พูดกลบเกลื่อนเมื่อได้รับการว่ากล่าวตักเตือน คือการรับฟังด้วยดี ไม่ใช่แก้ตัวแล้วปิดประตูความคิดไม่รับฟัง
    ๒.ไม่นิ่งเฉยเมื่อได้รับการเตือน คือการนำคำตักเตือนนั้นมาพิจารณาและแก้ไขข้อบกพร่องนั้นๆ
    ๓.ไม่จับผิดผู้ว่ากล่าวสั่งสอน คือการที่ผู้สอนอาจจะมีความผิดพลาด เนื่องจากความประมาท เราควรให้อภัยต่อผู้สอน เพราะการจับผิดทำให้ผู้สอนต้องอับอายขายหน้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม
    ๔.เคารพต่อคำสอนและผู้สอน คือการรู้จักสัมมาคารวะต่อผู้ทำให้คำสอน และเคารพในสิ่งที่ผู้สอนได้นำมาแนะนำ
    ๕.มีความอ่อนน้อมถ่อมตน คือไม่แสดงความยะโส ถือตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่นเพราะสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวเองมี
    ๖.มีความยินดีต่อคำสอนนั้น คือยอมรับในคำสอนนั้นๆ ด้วยความยินดีเช่นการไม่แสดงความเบื่อหน่ายเพราะเคยฟังมาแล้ว เป็นต้น
    ๗.ไม่ดื้อรั้น คือการไม่อวดดี คิดว่าของตัวเองนั้นผิดแต่ก็ยังดันทุรังทำต่อไปเพราะกลัวเสียชื่อ เสียฟอร์ม
    ๘.ไม่ข้ดแย้ง เพราะว่าการว่ากล่าวตักเตือนหรือสั่งสอนนั้นก็คือ สิ่งที่ตรงข้ามกับที่เราทำอยู่แล้ว เราควรต้องเปิดใจให้กว้างไม่ขัดแย้งต่อคำสอน คำวิจารณ์นั้นๆ
    ๙.ยินดีให้ตักเตือนได้ทุกเวลา คือการยินดีให้มีการแสดงความคิดเห็น ตักเตือนได้โดยไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเวลา
    ๑๐.มีความอดทนต่อการเป็นผู้ถูกสั่งสอน คือการไม่เอาความขัดแย้งในความเห็นเป็นอารมณ์ แต่ให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้สอนนั้น
    การทำให้เป็นคนว่าง่ายนั้นทำได้ดังนี้
    ๑.ลดมานะของตัว คือการไม่ถือดี ไม่ถือตัว ความไม่สำคัญตัวเองว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ อาทิเช่นถือตัวว่าการศึกษาดีกว่าเป็นต้น
    ๒.ละอุปาทาน คือการไม่ยึดถือในสิ่งที่เรามี เราเป็น หรือถือมั่นในอำนาจกิเลสต่างๆ
    ๓.มีสัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาที่เห็นชอบ การเห็นถูกเห็นควรตามหลักอริยสัจ ๔ เชื่อเรื่องความไม่เที่ยง เชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาปเป็นต้น
    *****************
    :- http://fungdham.com/mongkhol38/mongkhol38.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ความฝันของลุงยุ้ย
    โดย ท.เลียงพิบูลย์
    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒


    โลกมนุษย์ที่เราอยู่ทุกวันนี้ ย่อมมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นได้เสมอ หากเรามีความสนใจได้พยายามติดตามค้นคว้า ก็จะเห็นได้ว่าเรื่องมหัศจรรย์ย่อมจะมีจริง แม้จะหาเหตุผลและหลักฐานที่จะพิสูจน์ไม่ได้ก็ดี แต่ก็มีผู้รู้เห็นที่จะเชื่อได้ว่า เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริง มิได้เดาหรือสร้างมโนภาพขึ้นเอง เรื่องที่จะเขียนนี้ผู้ส่งเรื่องให้ข้าพเจ้าเขียนนั้นเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ เมื่อได้พิจารณาแล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีสาระเรื่องหนึ่ง ควรจะเผยแพร่ให้ผู้สนใจในเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ได้รู้แปลกๆ ที่เกิดขึ้นภายใน

    ชีวิตทั่วไปภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้าจึงอยากสนับสนุนให้มีผู้รู้ในใจมากขึ้น ก็จะเป็นกุศลท่านเจ้าของเรื่องผู้ล่วงลับไปแล้ว ยังช่วยให้เรามีโอกาสที่จะศึกษาหาความรู้ใช้ความคิดและพยายามหาเหตุผล การเขียนขึ้นนี้ ก็เพื่อจะให้อนุชนรุ่นหลังค้นคว้าหาความจริงต่อไป คิดว่าคงจะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าเชื่ออะไรอย่างงมงายและอยากให้ท่านเชื่อตามไปด้วย หากท่านผู้ใดอ่านแล้วไม่เชื่อเพราะไม่มีเหตุผล ข้าพเจ้าก็พอใจและยินดีที่ท่านเป็นคนมีเหตุผล

    โชคดีที่ข้าพเจ้าได้มีชีวิตอยู่ใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาให้สิทธิเสรีเป็นประชาธิปไตย มิได้บีบบังคับให้เชื่อถืออย่างงมงาย แต่พระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนากลับสนับสนุนไม่ให้เชื่ออย่างหลงไหล ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาหาเหตุผลให้แน่ใจเสียก่อนจึงค่อยเชื่อ เหตุนี้ก็เพราะพุทธศาสนาได้สอนหลักธรรมชาติเป็นสัจธรรม ทุกข้อทุกตอนที่สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยใช้สติปัญญาเพราะมีเหตุผล จะนำผู้ที่ปฏิบัติเกิดผลตามคำสอนของสมเด็จองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าผู้มีปัญญาได้ใช้เหตุผลพิจารณา ถึงแก่นแท้ของหลักธรรมดูแล้วจะเห็นได้ว่าไม่มีข้อสงสัยใดๆ แฝงอยู่ จะมองเห็นทะลุปรุโปร่งใสสะอาด เหลือแต่เพียงมนุษย์ปุถุชนจะมีความอดทนศรัทธาพอที่จะปฏิบัติได้หรือไม่เท่านั้น ถ้าปฏิบัติได้เมื่อใดจะเห็นผลเกิดความสุขขึ้นนั้น

    ศาสนาพุทธเป็นลักษณะสายกลางในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ตามธรรมชาติของสังคมในโลกทั่วไป พระพุทธศาสนามีกรรมเป็นหลัก ทุกอย่างหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม ใครทำดีทำชั่ว ก็ได้แก่ตัวผู้นั้น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องปฏิบัติ ถ้าใช้เพียงอ้อนวอนอย่างเดียวขอให้บันดาลสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยไม่ต้องปฏิบัติ แต่ขอให้สมดังใจปรารถนาเช่นนี้ ไม่มีในพระพุทธศาสนา เพราะหนักไปในทางพิธีกรรมหรือบวงสรวงอ้อนวอน พระพุทธศาสนามีจุดใหญ่มุ่งหมายจะสอนให้มนุษย์เราปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่มีความมุ่งหมายจะให้มนุษย์หลงงมงาย ฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงมีผู้เชื่อถือยู่ ๓ แบบ

    คือ ผู้เชื่ออย่างฝังชีวิตใจไม่เปลี่ยนแปลง ก็คือ ผู้ที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่าย แต่เชื่อด้วยใช้สติปัญญา ได้พิจารณาพิสูจน์เห็นความจริงแจ้งชัดเจนอย่างขาวสะอาด ไม่มีข้อสงสัยเหลืออยู่เลยแล้วจึงเชื่อภายหลัง เช่น ชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นต้น เพราะท่านเหล่านี้ล้วนแต่ชั้นปัญญาชนมีความรู้และมีการศึกษาสูง ชอบค้นคว้าหาความจริง

    อีกแบบหนึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และก็ไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาพิสูจน์ติดตามให้สิ้นสุดถึงแก่น ปล่อยความรู้ไว้ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ตลอดไปไม่มีอะไรจะดีขึ้น อาศัยแต่ชื่อว่าเป็นผู้มีศาสนาเท่านั้น คล้ายจะเห็นว่าศาสนาไม่เป็นเรื่องสำคัญ แบบนี้ทำผิดง่าย ทำบาปง่าย เพราะไม่มีหลักธรรมแน่นอนจะปฏิบัติ ใจรวนเรและสามารถจะเปลี่ยนศาสนาได้ง่ายเพื่อเงิน เพื่อรักหรือความพอใจ เป็นแบบที่เห็นแก่ตัวไม่กลัวกรรม แต่บางท่านเกิดประสบการณ์ในชีวิตทำให้มองเห็นกรรมจึงนึกถึงบุญบาปชั่วดี หรือมีผู้ชักนำไปในทางถูกก็สามารถปฏิบัติเข้าถึงหลักธรรมชั้นสูงได้ก็มีไม่น้อย

    อีกแบบหนึ่ง ก็คือ เชื่ออย่างงมงายไม่พิสูจน์ ไม่สนใจในเหตุผล แบบนี้ออกจะมีมากไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ศาสนาใด มักนิยมชื่นชมหลงใหลในเรื่องการบวงสรวงบูชาอ้อนวอน และชอบปาฏิหาริย์ จิตใจไม่หนักแน่น มีอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อตัวเอง ตัดสินใจไม่ถูก มักชอบไปพึ่งพวกหมอดูเชื่อในโชคชะตา ขาดความเข้มแข็งที่จะเป็นผู้นำในครอบครัว

    แบบนี้แม้จะมีปริมาณมากมายก็ไม่เกิดประโยชน์ กลับถ่วงความเจริญเพราะจิตใจผู้งมงายนั้นย่อมไม่ทำให้สังคมดีขึ้น กลับทรุดโทรมอบรมสั่งสอนลูกก็ไม่ค่อยจะได้ผลเพราะความอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง หากมีพระอาจารย์ที่มีความรู้คุณธรรมสูง ชักนำไปสู่ทางถูกก็สามารถหลุดพ้นจากทางผิดงมงายเข้าสู่ทางถูก เข้าถึงหลักธรรมชั้นสูงได้ก็มีมาก สำหรับพุทธศาสนามีหลักปฏิบัติเพื่อให้อยู่ในขอบเขตศีลธรรม ยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น เจริญทางจิตใจไม่เบียดเบียนผู้อื่น อยู่ในศีลธรรม แผ่เมตตา ที่สุดก็ปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น

    เรื่องชีวิตมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ย่อมมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นตามกรรมที่ได้สร้างไว้เป็นสมบัติก่อนจะดับจากโลกนี้ มีตัวอย่างมากมายที่จะนำมาศึกษาหาความจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ดังเรื่องจะเล่าต่อไปนี้

    ลุงยุ้ยผู้มีอายุเป็นที่รู้จักของชาวบ้านและชาววัดในหมู่บ้านอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ธรรมดาชาวบ้านในชนบทตามตำบล เมื่อเอ่ยชื่อแล้วย่อมรู้จักคุ้นเคยกันเป็นส่วนมาก เพราะขอบเขตไม่กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนในเมืองหลวง ฉะนั้น มีเรื่องอะไรก็เป็นที่รู้จักกันทั้งตำบล วัดเป็นที่ประชุมที่ดีของชาวบ้าน เป็นที่พบปะสังสรรค์กันในวันโกนวันพระ เมื่อมีอายุแล้วต่างก็หาโอกาสเข้าวัดรักษาศีลถืออุโบสถ เพื่อเป็นบุญกุศลบารมีในชาติหน้าต่อไป
    ในหมู่บ้านที่ลุงยุ้ยแกอยู่ใกล้วัดอัมพวัน ตามปกติลุงยุ้ยแกใกล้ชิดท่านพระครูปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน ลุงยุ้ยชอบพอกับท่านพระครูมานาน ก่อนเมื่อครั้งท่านยังจำพรรษาอยู่ที่วัดพรหมบุรี ภายหลังต่อมาท่านจึงได้มาจำพรรษาอยู่วัดอัมพวัน

    เหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๑๐ คืนหนึ่งลุงยุ้ยนอนหลับแล้วฝันว่า ได้ไปที่ศาลาวัดอัมพวัน ได้เห็นชาย ๔ คน สองคนเดินหน้า อีกสองคนเดินตามหลังห่างๆ ต่างมีรูปร่างล่ำสันใหญ่โต ผิวเนื้อดำแดง ตาโต หน้าตาน่ากลัว ไม่ใส่เสื้อโพกหัวด้วยผ้าแดง นุ่งแดง เดินขึ้นศาลาเข้ามาหาลุงยุ้ย ฉุดกระชากคุมตัวไว้ ลุงยุ้ยตกใจเพราะไม่รู้เรื่องอะไร จึงถามขึ้นปากคอสั่นยกมือไหว้ทั่วคนด้วยความกลัวว่า “นี่มันเรื่องอะไร จะเอาผมไปไหนกัน ผมมีความผิดอะไรจึงต้องมาคุมตัวอย่างนี้”

    พวกคุมตัวพูดว่า “ถึงเวลาแล้ว นายเขาได้สั่งให้มาเอาตัวไปเดี๋ยวนี้ เพราะหมดเวลาที่จะอยู่ในเมืองมนุษย์ต่อไป อย่าให้ใช้กำลัง ไปเสียดีๆ”

    ลุงยุ้ยตกใจมาก นึกว่าตัวเองจะต้องตายเพราะหมดอายุแน่แล้ว แต่ด้วยความรักความเป็นห่วงลูกเมีย ที่จะต้องจากไป ก็เสียใจเกือบจะหมดสติ ได้พยายามอ้อนวอนผู้คุม หรือยมทูตอย่างน่าสงสาร ขอให้ประวิงเวลาไว้ก่อนจะได้ไปสั่งลูกสั่งเมีย แต่ชายผู้เป็นยมทูตไม่ยอมฟังเสียงอ้อนวอน โอดครวญอันน่าสงสารของลุงยุ้ย จึงได้คุมตัวไปโดยมียมทูตเดินหน้าสองคนและเดินหลังสอง ลุงยุ้ยก็จำต้องไปด้วยความทุกข์ระทมและเสียใจจนสุดขีด

    เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ก็นำตัวเข้าไปหาผู้มีตำแหน่งสูงในที่นั้น พร้อมกับรายงานว่า ได้นำวิญญาณของลุงยุ้ยมาแล้ว ลุงยุ้ยก็ได้พยายามพูดจาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารกับหัวหน้ายมทูต นั้นว่า “ขอความกรุณาให้ผมได้มีโอกาสกลับไปพบกับลูกเมีย เพราะเขาไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวเขาจะเป็นห่วง” หัวหน้าได้ฟังแล้วก็สั่งให้ตรวจบัญชีดูว่า ลุงยุ้ยได้เคยทำความดีอะไรไว้บ้าง ยมทูตผู้เปิดบัญชีดูแล้วก็รายงานว่า ลุงยุ้ยผู้นี้ยังมีจิตใจเป็นกุศล เข้าวัดอยู่ใกล้พระได้ทำบุญบริจาคทาน มีกรรมดีอยู่บ้าง

    หัวหน้าได้พิจารณาแล้วบอกว่าเพื่อเห็นแก่กรรมดี จึงได้อนุญาตให้ยืดเวลามีชีวิตออกไปอีก ๓ เดือน เวลาของโลกมนุษย์ ลุงยุ้ยค่อยมีความสบายใจขึ้น คิดว่ายังมีโอกาสกลับไปหาลูกเมีย ทันใดนั้นก็ได้ยินยมทูตรายงานให้หัวหน้าฟังต่อไป

    “ต่อไปนี้อีก ๔๐ วัน ถึงกำหนดของนายชั้น บ้านอยู่ตำบลหัวป่า หมู่ที่ ๒ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จะหมดอายุ ถัดจากนั้นไปอีก ๓๐ วัน กำหนดหมดอายุของนายปลั่ง บ้านอยู่บางขาม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี”

    เมื่อลุงยุ้ยได้ฟังก็ได้จดจำไว้แม่นยำ ยมทูตยังเห็นลุงยุ้ยยืนฟังอยู่ก็บอกว่า เมื่อได้ต่ออายุเพิ่มอีก ๓ เดือนแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน จะอยู่ทำไมอีก ลุงยุ้ยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ความรู้สึกหมดไป จึงไม่ได้ทราบว่าใครคนไหนจะเป็นเหยื่อของยมทูตต่อไป เมื่อรู้สึกตัวได้กลับมาถึงบ้านด้วยการตื่นจากหลับ แล้วรู้สึกตกใจกลัวจนเหงื่อกาฬแตก รีบปลุกภรรยา เสียงเอะอะกลางดึกของลุงยุ้ยทำให้บุตรสาวและภรรยาตกใจตื่นขึ้น ต่างก็ถามถึงเรื่องราว ลุงยุ้ยก็เล่าความฝันที่ได้พบในยมโลกให้ทราบอย่างละเอียดลออ แต่พอภรรยาได้ฟังกลับหัวเราะแล้วพูดว่า

    “นี่ปลุกฉันขึ้นมากลางดึกให้มาฟังเรื่องเหลวไหลอย่างนี้หรือ อย่าไปเอาเรื่องเหลวไหลมาคิดเป็นเรื่องจริงจังอะไรเลย เมืองผีเมืองสาง หรือวิญญาณไม่มีจริงหรอกน่า อย่าไปคิดให้เป็นบ้าไปเลย ท้องไม่ดีก็หายาธาตุกิน แล้วนอนหลับเสียเถิด”

    ลุงยุ้ยได้ยินภรรยาพูดเช่นนั้นก็นึกในใจว่า ถ้าเราจะไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังใครเขาจะไปเชื่อเรา แม้แต่ลูกเมียผู้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมก็ยังไม่เชื่อ แล้วหัวเราะเยาะเสียด้วยจะให้คนอื่นเขาเชื่อได้อย่างไร และทำให้ลุงยุ้ยไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟัง เมื่อมาถูกลูกเมียหาว่าเป็นคนงมงาย เหมือนคนบ้าเพ้อเจ้อเอาเรื่องฝันเหลวไหลมาเป็นเรื่องจริงจัง กลับทำให้ตนเองชักจะสงสัยไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ฝันนี้จะเป็นความจริง ซ้ำนึกตำหนิตัวเองที่กลัวไม่เข้าเรื่อง

    เมื่ออยู่ต่อมาก็ได้สืบรู้ว่า นายชั้น บ้านที่อยู่หัวป่า หมู่ที่ ๒ อำเภอพรหมบุรี มีตัวจริง และได้ตายลงอย่างที่รู้มาตามกำหนดเวลาในความฝันแล้ว ก็ทำให้ลุงยุ้ยสะดุ้งตกใจกลัว เกิดไม่สบายใจตลอดเวลา คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเสียแล้ว ต่อมาก็สืบทราบว่าที่บ้านขาม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี มีคนชื่อ ปลั่ง เป็นความจริง แต่แล้วลุงยุ้ยก็ต้องตกใจแทบหมดสติ ประสาทหวั่นไหวเพราะความกลัว เมื่อได้ทราบข่าวว่าคนชื่อปลั่งได้ตายลงตามกำหนดเลา

    ลุงยุ้ยมีแต่ความกลัว นึกแน่ใจว่า คราวนี้ก็ถึงตัวเองก็คงจะสิ้นอายุแน่ หนีไม่พ้น เพราะวันคืนกำลังจะผ่านไป ถึงกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาต ให้มาอยู่ในเมืองมนุษย์จวนจะครบสามเดือน เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน และสัตว์โลกทั้งหลายย่อมกลัวตาย ลุงยุ้ยก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ย่อมหนีไม่พ้นความกลัว ระยะหลังนี้ลุงยุ้ยรู้ตัวว่า ความตายใกล้เข้ามามากแล้ว จึงทำบุญสวดมนต์ภาวนาตลอดมา ยังไม่อยากตาย กลัวการจากของรัก กลัวความดับ

    ฉะนั้น พอรู้ตัวว่าความฝันนั้นเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ความหวาดกลัวทำให้กำลังใจหมดลง กำลังที่เข้มแข็งอ่อนเปียกลง การป่วยเจ็บเข้ามาแทน ลุงยุ้ยป่วยลงไม่นานก็มีอาการทรุดหนัก ทั้งบุตรสาวและภรรยาก็ต้องวิ่งเต้นหาหมอมารักษาพยาบาล แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ข้าวปลาอาหารเบื่อกินไม่ลง เมื่อป่วยหนักแต่ยังได้สติดีเป็นพักๆ จึงสั่งให้ภรรยาไปนิมนต์ท่านพระครูปลัดจรัญ ที่วัดอัมพวันผู้ที่ลุงยุ้ยเคารพนับถือมาก่อน เพราะคิดว่าไหนๆ ก็จะจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อก่อนจะจากก็จะขอให้ฟังรสพระธรรมเป็นที่พึ่งอันสุดท้ายเพื่อทำจิตให้สงบ เพื่อกำจัดความหวาดกลัวก่อนตายจะได้สติ

    เมื่อภรรยากลับมา บอกว่าท่านพระครูปลัดไม่อยู่ มีคนเขานิมนต์ไปและยังไม่มีเวลาเพราะท่านติดงานมาก ลุงยุ้ยก็เศร้า มีความกระวนกระวายใจ เวลาจะจากโลกนี้ไปก็ใกล้เข้ามา ต่อมาท่านพระครูปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม ก็มาเยี่ยม ท่านพระครูเห็นลุงยุ้ยป่วยอาการมาก ก็ถามว่า

    “โยมป่วยเป็นอะไร อาตมาได้ทราบว่าให้โยมผู้หญิงไปนิมนต์อาตมา บังเอิญ ๒ - ๓ วันนี้อาตมามีงานยุ่งมาก รับนิมนต์ก็หลายแห่ง เพิ่งจะได้มีเวลาปลีกตัวมาเยี่ยมโยมวันนี้แหละ”

    ลุงยุ้ยนอนป่วยอยู่ เมื่อเห็นท่านพระครูมาเยี่ยมทักทายปราศรัยก็เกิดมีอาการแช่มชื่นขึ้น ยกมือขึ้นนมัสการท่านพระครูแล้วพูดว่า “ผมป่วยไม่กี่วันอาการทรุดลง หมอก็รักษาไม่ทุเลาขึ้น มีอาการหนักลงทุกวัน ผมรู้ตัวว่าไม่ช้าผมก็ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อได้พบท่านพระครู ผมรู้สึกเกิดกำลังใจขึ้นมา”
    ท่านพระครูให้สติว่า “โยมจงทำใจให้สงบ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครหนีความตายพ้นได้ เกิดแล้วก็อยู่ได้ตามกำหนดอันสมควรตามกรรมที่สร้างไว้ ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว เราก็ต้องรับไว้เป็นมรดกแล้วก็ดับไป เกิดๆ ดับๆ เช่นนี้ไม่สิ้นสุด ความตายนั้นไม่แน่นอนว่าเมื่อใด ที่ไหน อายุเท่าใด แล้วแต่กรรมจะลิขิต คนดีมีศีลธรรมย่อมจะตายตามอายุขัย บุญกุศลสนองสามารถจะต่ออายุให้ยืนยาวไปได้ คนใจชั่วสร้างกรรมทำบาป ย่อมจะตายก่อนกำหนดอายุขัย เพราะความชั่วทอนชีวิตของตัวเองให้สั้นลง

    ฉะนั้น เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะสร้างความดีไว้เพื่อบารมีในภพหน้าต่อไป ถ้าถึงเวลาเจ็บป่วย รู้ตัวดับจากโลกนี้ไปก็ขอให้พิจารณาถึงสังขารด้วยสติปัญญา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ทุกคนก็ต้องพบเหมือนกันหมดจะเสียใจเสียดายชีวิตก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าใช้ปัญญาก็จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจของเราเอง ถ้าเรามีอำนาจใจสูงก็สามารถทำลายกิเลสโลภ รัก โกรธ หลง ได้ เราก็หมดทุกข์จะเป็นบารมีติดตามเราไปในโลกหน้า

    โยมก็สร้างบุญกุศลประกอบแต่กรรมดี ขอให้ตั้งสติแผ่กุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเพื่อขออโหสิกรรม กรวดน้ำไปให้ กรรมเก่าเราไม่รู้ว่าเราเคยสร้างอะไรไว้บ้าง ผลบุญที่เราสร้างไว้ในชาตินี้คงจะสนอง ขอให้โยมทำใจให้สงบนิ่ง ตัดความรู้สึกให้หมดสิ้น ไม่ว่าบุญหรือบาป ชั่วหรือดีไม่ต้องคิด หากเรามีบุญบารมีพอ จิตเราก็จะสดใสสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อหมดความรู้สึกใดๆ จิตก็ว่างเปล่า เมื่อดับจากโลกนี้ไป อย่างน้อยก็หลุดพ้นจากอบายภูมิ มีนรก อสุรกาย เดรัจฉาน เป็นต้น”


    ลุงยุ้ยเมื่อได้ฟังท่านพระครูให้สติ ก็เกิดความปีติเกิดกำลังใจมีความเข้มแข็งขึ้นมา พยุงกายลุกขึ้นได้ แล้วมานั่งกราบท่านพระครู พูดว่า “ผมคอยท่านมานานแล้วหลายเวลา เมื่อได้พบท่านวันนี้ผมมีความสบายใจขึ้นทางความรู้สึก ผมรู้แล้วคนเรากำลังอยู่ที่ใจ จะมีทุกข์หรือมีสุข จะกล้าหรือจะกลัวก็อยู่ที่ใจ ฉะนั้น ผมทำให้ใจเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ ไม่กลัวตาย ผมจะปฏิบัติตามคำของท่านพระครูเมื่อถึงเวลาก็พร้อมที่จะตาย ขอเวลาให้ผมได้กินข้าวกินปลาเสียก่อน ให้มีกำลังเพิ่มขึ้น เพราะกินไม่ลงมาหลายวันแล้ว”

    ท่านพระครูเห็นหน้าตาของลุงยุ้ยผ่องใสขึ้นก็ดีใจ พูดขึ้นว่า “ตามสบายเถิดโยม อาตมาคอยได้”

    ลุงยุ้ยสั่งลูกและภรรยาหาข้าวมา แล้วก็ลงมือกินอย่างอร่อยคล้ายคนจะหายป่วยหายไข้ ลูกเมียก็พากันดีใจ คิดว่าคราวนี้ลุงยุ้ยคงหายป่วยแน่ เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วก็พูดกับท่านพระครูเหมือนคนปกติว่า

    “ก่อนที่ผมจะจากโลกนี้ไป ผมมีเรื่องจะฝากท่านพระครูไว้เรื่องหนึ่ง จะฝากคนอื่นหรือลูกเมียก็ไม่ได้ผล เห็นแต่ท่านพระครูองค์เดียวที่ผมนับถือพอที่จะเป็นที่พึ่งจะฝากเรื่องนี้ได้ เพื่อจะเกิดประโยชน์เป็นบุญกุศลแก่ผู้อื่นต่อไป ฉะนั้น ผมจึงคอยท่านพระครูอยู่ด้วยใจกังวล วันนี้ผมได้พบท่านพระครูแล้วผมดีใจมาก เพราะผมจะได้หมดภาระ หมดห่วงตามที่ตั้งใจไว้”

    ท่านพระครูยิ้ม พูดให้กำลังใจว่า “อาตมายินดี ถ้าอาตมาช่วยได้แล้วไม่ขัดข้อง โปรดเล่าต่อไปเถิดโยม อาตมาคอยฟังและจดจำบันทึกไว้”

    จากนั้นลุงยุ้ยก็เล่าเรื่องที่เกิดจากความฝันให้ฟัง เช่นเดียวกับเล่าให้ภรรยาและบุตรสาวฟังมาแล้ว และต่อท้ายว่า “ผมได้เฝ้าสืบสวนนายชั้นกับนายปลั่งดูก็ทราบว่ามีตัวจริง และได้ตายไปตามกำหนดเวลาในบัญชีของพวกยมทูตแล้ว ผมก็ไม่มีข้อสงสัยอะไรที่เวลานั้นจะไม่มาถึงผมเช่นเดียวกัน ถ้าผมจากโลกนี้ไปแล้ว ขอให้ท่านพระครูจงนำเรื่องของผมเล่าให้ประชาชนฟังด้วย เพื่อจะเกิดประโยชน์ส่วนรวมต่อไป”

    ท่านพระครูปลัดจรัญ ได้นิ่งฟังด้วยความสนใจและสงสารลุงยุ้ย เมื่อลุงยุ้ยเล่าจบ ท่านพระครูจึงพูดอย่างไตร่ตรองข้อความที่ลุงยุ้ยเล่าให้ฟังแล้วก็พูดขึ้นช้าๆ และหนักแน่นว่า

    “อาตมาขอขอบใจที่โยมได้เล่าเรื่องมหัศจรรย์ให้อาตมาฟัง และเจาะจงคอยจะเล่าเรื่องนี้ให้อาตมาทราบ เพื่อเผยแพร่บอกให้ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้เรื่องนี้ต่อๆ กันไป อาตมาเชื่อแน่ว่า เรื่องที่โยมเล่ามานี้เป็นความจริง ดีใจที่โยมกลับมีจิตใจเข้มแข็ง เกิดพิจารณาตามหลักธรรม อาตมาขอรับรองกับโยมว่าจะพยายามนำเรื่องนี้บอกๆ กันไปเป็นธรรมทาน เพื่อโยมจะเกิดเป็นกุศลเกิดบารมี เพื่อช่วยโยมให้เกิดความสุขที่ได้นำเรื่องนี้มาถวายเล่าให้อาตมาฟัง อาตมาก็คิดว่าเรื่องนี้คงจะเกิดประโยชน์แก่ญาติโยมทั้งหลายในเรื่องกรรม”

    ต่อจากนั้น ท่านพระครูก็ให้ลุงยุ้ยรับศีล ๕ และแสดงธรรมให้ฟังพอสมควร แล้วท่านจึงได้ลากลับวัด หลังจากท่านพระครูออกจากบ้าน อาการป่วยของลุงยุ้ยก็กลับหนักลง นอนหมดสติลงทันที

    แต่แล้วในตอนวันรุ่งขึ้น ข่าวสลดใจที่ท่านพระครูได้ทราบก็คือ ลุงยุ้ยได้สิ้นจากโลกนี้ไปด้วยความสงบเมื่อตอนดึกในคืนวันนั้นเอง เพราะวันนั้นเป็นวันกำหนดพอดีสามเดือนนับจากคืนที่ลุงยุ้ยได้ฝัน ท่านพระครูจึงได้นำเรื่องนี้มาเผยแพร่เพื่อให้ตรงตามประสงค์ของลุงยุ้ย ผู้ได้จากโลกนี้ไปแล้วตรงกับความฝันประหลาด

    ข้าพเจ้าผู้เรียบเรียงเรื่องนี้จากหนังสือบันทึกของพันเอกวสันต์ พานิช เมื่อเขียนเสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ทำจิตใจให้สงบแล้วก็แผ่ส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของลุงยุ้ย หากท่านผู้ใดอ่านแล้วทำจิตให้สงบ แล้วช่วยกันระลึกถึงบุญกุศลที่เราสร้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตชาติ หรือในปัจจุบันนี้ก็ดี แล้วช่วยกันแผ่กุศล และเมตตาธรรมให้แก่วิญญาณของลุงยุ้ย คิดว่าคงจะเป็นกุศลยิ่งใหญ่ที่สามารถช่วยให้วิญญาณของลุงยุ้ยเข้าสู่สุคติได้ และเราก็คงจะประสบความดีและความฝันดี เป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเองตลอดไป เพราะจะพ้นจากฝันร้าย

    หากท่านจะมีปัญหาเรื่องเช่นนี้ แม้รู้ตัวว่าจะมีอายุอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไปได้ไม่นาน ท่านจะทำอย่างไรหากเรื่องนี้ยังไม่สามารถจะแก้ปัญหาทางใจได้ ก็ขอให้ท่านกลับไปอ่าน อำนาจจิต ในเรื่องที่ ๔๔ ในชุด “กฎแห่งกรรม” หรือ ใครจะอยู่ค้ำฟ้า ในเรื่องที่ ๕๔ บางทีอาจเกิดประโยชน์ได้บ้าง

    บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตจากพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (พระครูปลัดจรัญ) และครอบครัวของลุงยุ้ย ด้วยความกรุณาของพันเอกวสันต์ พานิช ผู้บันทึก และได้กรุณาติดต่อตามที่ข้าพเจ้าผู้เขียนขอร้อง เพื่อขออนุญาตใช้นามจริงของท่านผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้

    ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการขอบพระคุณ ที่ท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (พระครูปลัดจรัญ) ได้กรุณาอนุญาตให้ใช้นามจริงได้ ขอขอบคุณครอบครัวของลุงยุ้ย และขอขอบคุณพันเอกวสันต์ พานิช ผู้บันทึก ได้กรุณาติดต่อในเรื่องนี้จนเกิดประโยชน์ต่อไป



    ........................... เอวัง ...........................
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    LpJarunBoonMeditate.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ผลแห่งความเมตตากรุณา
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒


    วันหนึ่งข้าพเจ้าได้จดหมายมีข้อความบันทึกส่งมาจากจังหวัดธนบุรี ผู้บันทึกได้เล่าถึงพระภิกษุรูปหนึ่งได้ประสบการณ์โดยบังเอิญ เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านและพิจารณาแล้วก็คิดว่าเหตุบังเอิญในทางพุทธศาสนาคงไม่มี เพราะทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นจากผลแห่งกรรมดีหรือกรรมชั่ว คงจะเข้าในบท เรื่องของกรรมเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อมีผู้ส่งบันทึกมาปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ ก็เป็นที่น่าเสียดายและเป็นเรื่องที่น่าคิด การที่มีจิตใจสงสาร ได้แผ่เมตตาแก่สัตว์เล็ก ๆ เกือบไม่มีความหมายมองเห็นแล้วว่าไม่สำคัญ ไม่นึกว่าผลจะตอบแทนได้อย่างไร แต่บางครั้งก็เกิดผลมากมายเกินความรู้สึก ดังเรื่องหนึ่งในข้อความบันทึกว่า

    พระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดดุสิตาราม (เสาประโคน) บางยี่ขัน ธนบุรี รับนิมนต์ไปสวดมนต์ฉันเช้าที่บ้านคหบดีผู้หนึ่ง อยู่ในจังหวัดนครราชสีมา ได้กำหนดเวลาเดินทางโดยรถขนส่งสายเหนือ ในบ่ายก่อนจะถึงวันงานวันหนึ่ง เพื่อให้ทันสวดมนต์เช้า โดยไปค้างคืนที่นครราชสีมา (วันเดือนปีผู้บันทึกไม่ได้บอกมา)

    บ่ายวันนั้นท่านได้โดยสารรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่สถานีขนส่งสายเหนือ เพื่อต่อรถโดยสารเดินทางไปนครราชสีมา ระหว่างที่รถแท็กซี่ออกจากวัดมาได้ไม่นาน ท่านก็มองไปเห็นที่กลางถนนข้างหน้ามี ปูนาตัวขนาดใหญ่ กำลังยืนจังก้าชูก้ามอยู่กลางถนน ท่านตาไวเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ครึ่งน้ำครึ่งบกทำเช่นนั้นก็เอ็นดูเกิดความสงสารกลัวจะถูกรถผ่านไปมาจะทับตาย จึงขอร้องให้คนขับรถหยุดรถข้างถนน แล้วท่านก็ลงไปต้อนให้ปูตัวนั้นลงน้ำในคูข้างทางเพื่อให้พ้นจากภยันอันตราย แต่ปูตัวนั้นทำท่าไม่ยอมให้ต้อนลงข้างทางง่าย ๆ อย่างท่านคิด ท่านพยายามต้อนไปทางซ้ายมันก็วิ่งชูก้ามหนีไปทางขวา ถ้าต้อนไปทางขวามันก็หนีมาทางซ้าย เหมือนเล่นเอาเถิดระหว่างพระกับปูนา กว่าจะต้อนมันลงน้ำข้างถนนได้ก็เล่นเอาท่านเหนื่อยและเสียเวลาหลายนาที ภิกษุรูปนั้นเมื่อเห็นว่าปูลงน้ำอยู่ในคูเรียบร้อยเป็นที่ปลอดภัยแล้ว ท่านก็กลับขึ้นรถแท็กซี่เดินทางต่อไป

    เมื่อไปถึงสถานีขนส่งสายเหนือท่านจึงไปถามพนักงานว่ารถจะไปนครราชสีมาจะออกเมื่อไหร่ ? พนักงานที่สถานีขนส่งได้บอกว่า รถเดินทางไปนครราชสีมาเที่ยวสุดท้ายสำหรับวันนี้เพิ่งจะออกจากสถานีไปครู่นี้เอง ยังจะมองเห็นไว ๆ ท่านทราบเช่นนั้นก็อ่อนใจ กลัวจะผิดนัดไปไม่ทันงานแต่แล้วก็ถามพนักงานว่า จะมีรถอะไรไปอีกไหม อาตมาจะต้องไปสวดมนต์ฉันเช้าวันพรุ่งนี้ให้ทัน ไม่เช่นนั้นก็เกิดความเสียหายแก่อาตมาเพราะรับนิมนต์แล้วไม่ไป

    พนักงานบอกว่า ถ้าท่านจะไปจริง ๆ จำเป็นก็ต้องไปรถอุดร - หนองคาย แต่รถสายนี้เพียงแต่ผ่านถนนรอบนอกไม่แวะเข้าไปในตัวเมืองต้องต่อรถอีกทอดหนึ่ง เมื่อไม่มีทางเลือกดีกว่านี้ ท่านก็จำเป็นตกลงโดยสารรถผ่านไปลงปากทางที่จะเข้าเมืองนครราชสีมา ต่อมาไม่นานรถที่ท่านโดยสารก็ออกเดินทางจากสถานีขนส่งสายเหนือ มุ่งตรงไปภาคอีสาน

    เมื่อรถวิ่งมาไม่นานนัก ก็มองเห็นข้างหน้ามีผู้คนมุงดูและชุลมุน เมื่อรถวิ่งเข้าไปใกล้ก็มองเห็นรถโดยสารคันหนึ่งคว่ำอยู่ข้างทาง เมื่อเห็นสภาพของรถแล้ว ก็นึกว่าคงจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายกันบ้างเห็นมีคนกำลังยกร่างคนบาดเจ็บถ่ายรถไปโรงพยาบาาลที่อยู่ใกล้ที่สุด ส่วนคนบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยืนอธิบายถึงวินาทีที่ใจหายใจคว่ำให้ผู้ที่ยืนมุงฟังด้วยความรู้สึกตื่นเต้นในชีวิต เมื่อรอดตายได้เหมือนเกิดใหม่

    ส่วนคนขับรถคะนองมือก็ถือโอกาสที่คนกำลังชุลมุนช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บ รีบตะเกียกตะกายออกจากรถหลบหนีไป ส่วนผู้เสียชีวิตก็ลำเลียงไว้ริมถนน หาผ้าและเสื่อมาปิดร่างที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ กันความอุจาดตากว่าจะลำเลียงไปฝากไว้ที่วัด ตำรวจทางหลวงต้องเสียเวลาทำงานหนักกว่าจะเสร็จ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแข้งขาหัก ก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายและหญิง

    ทำให้ผู้ที่มีจิตใจเป็นปกติ ไม่ใช่พวกนักฉวยโอกาสคอยฉกชิงทรัพย์สินในยามทุกข์ยามยากของผู้อื่น เมื่อได้พบเห็นก็พลอยสงสารเศร้าสลดใจไปด้วย เมื่อนึกถึงญาติพี่น้องลูกหลานพ่อแม่ สามีหรือภรรยา ที่อยู่ทางบ้านของผู้โดยสารทุกคน ไม่มีใครรู้ว่าญาติพี่น้องของตนได้รับอุบัติเหตุ เมื่อรู้ก็คงจะตกใจเสียใจเพียงไร ซึ่งบางคนเมื่อได้ทราบว่าญาติของตนต้องมาเสียชีวิตลงสด ๆ ร้อน ๆ ในระหว่างเดินทางเพราะเกิดอุบัติเหตุ ทุกคนต้องใจหาย ต้องร้องไห้เสียน้ำตา เสียกำลังใจ ไม่โดนกับผู้ใดก็ไม่รู้ว่าทุกข์เพียงใด เพราะเหตุเกิดขึ้นอย่างไม่นึกไม่ฝันมาก่อน เพราะทุกคนไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ ต่างก็เป็นที่รักของญาติพี่น้องพ่อแม่ด้วยกันทุกคน เพียงแต่มากน้อยเท่านั้น

    เมื่อภิกษุรูปนั้นได้เห็นสภาพของผู้ป่วยแล้ว ก็ต้องหวนมานึกถึงปูตัวนั้น แล้วก็ทำให้รู้สึกว่า ผลของความเมตตานี้ทำให้ท่านรอดพ้นจากภัยอันตรายที่เกิดจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ เพราะปรากฎว่ารถโดยสารคันนั้นที่ภิกษุมาไม่ทัน ท่านมัวแต่ต้อนปูลงน้ำ รถจึงออกมาก่อนเป็นคันเดียวกัน

    บันทึกนี้ ข้าพเจ้าได้รับจากคุณวิเชียร ๑๙๖ บ้านช่างหล่อ จังหวัดธนบุรี และคิดว่าเป็นผลบังเอิญทางพระว่า กรรมดีเกิดขึ้นจากการแผ่เมตตาธรรม จึงได้เกิดแคล้วคลาดดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเป็นเรื่องน่าคิด

    ข้าพเจ้าได้รับเหตุการณ์บังเอิญเช่นนี้มาจากหลายทางก็ได้พิจารณาดูแล้วเห็นได้ว่า เหตุบังเอิญทำให้รอดพ้นภัยอันตรายมาได้ ส่วนมากเกิดขึ้นแก่ท่านที่มีจิตเมตตากรุณา เกิดบุญกุศลได้ช่วยให้พ้นจากอันตรายไว้

    บันทึกอีกฉบับหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูแล้วเห็นว่า ควรแก่การเข้าในชุด "กฎแห่งกรรม" ได้เช่นกัน ในข้อความบันทึกเล่าว่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลงใหม่ ๆ เป็นเวลาที่ประเทศไทยขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ยิ่ง ของที่ทำจากต่างประเทศก็ยิ่งหายาก การคมนาคมไม่สะดวกเพราะรถไฟได้รับความเสียหายถูกทำลายในเวลาสงคราม สะพานรถไฟที่ชุมทางบ้านดาราถูกระเบิดเสียหายยับเยิน ยังไม่สามารถจะซ่อมแซมให้เป็นที่เรียบร้อยปกติได้ เพียงใช้ชั่วคราว เพราะยังขาดวัตถุดิบ เวลานั้นผมมีอายุเพียง ๑๗ ปี ความรู้เพียง ม.๖ และยังไม่มีงานอาชีพเป็นล่ำเป็นสัน

    แม่เห็นว่าผมอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรอยู่ว่าง ๆ ก็อยากจะให้ผมรู้จักหัดการค้าขายทำมาหากินเป็นอาชีพบ้าง จึงออกเงินทุนให้ผมจำนวนหนึ่งเพื่อทำการค้า แนะให้ผมซื้อพวกปลาเค็มปลาย่าง นำขึ้นรถไฟไปขายทางภาคเหนือ แล้วให้ซื้อของภาคเหนือมาขายบ้านเรา มีหอมกระเทียม เป็นต้น ให้สืบดูราคาบ้านเราขายอย่างไรแล้วหักคิดดู หากมีอะไรพอจะหากำไรได้มากก็ให้ฉวยโอกาสซื้อมา ทางภาคเหนือก็เหมือนกัน หากมีอะไรขาดแคลนราคาสูงก็ให้จดจำไว้ แล้วมาสืบราคาดู เห็นมีกำไรก็ซื้อไปขายเพื่อหากำไรต่อไปทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ต้องเสียเวลา

    นับแต่ผมเริ่มขึ้นล่องทางภาคเหนือ ทำการค้าแบบขายไปซื้อมาอย่างแม่สอน รู้สึกว่ามีกำไรงามพอคุ้มค่าเหนื่อยและเสียเวลา ทั้งเกิดความสนุกด้วย แต่รถไฟเดินเพียงวันละ ๒ เที่ยวขึ้นล่องเท่านั้น เพราะขาดแคลนหัวรถจักร และรถตู้มีไม่พอ ฉะนั้นคนจึงแออัดเบียดกันไม่มีที่นั่งและที่ยืนเพราะคนโดยสารแน่น ส่วนสินค้าของผมก็อยู่ในตู้ ต.ญ. ข้างล่าง ผมกับเพื่อนก็นั่งบนหลังคาคอยระวังของไปพร้อมด้วย เพราะพวกตีนแมวมันคอยถีบของตกรถไฟเสมอ คนชั่วคอยหากินทางทุจริตมีมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นใครมีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกันไปทุกเที่ยวรถ

    ในเที่ยวนั้นผมไปกับเพื่อนชื่อ นพ เราได้นำสินค้าไปขายภาคเหนือ รู้สึกขายดีไม่มีสินค้าเหลือ ไม่พอขาย ผมจึงได้จัดหาสินค้าพื้นเมืองมาขายภาคเราเท่าที่เห็นว่าทำกำไรได้มาก เงินยังเหลือซื้อของไม่หมด ยังติดตัวมาอีกหลายพัน เช้าวันนั้นผมกับเพื่อนนั่งกินข้าวอยู่บนหลังคารถไฟ หลังจากเราพักที่สถานีพิษณุโลก ซึ่งรถไฟยังไม่ออก ขณะที่เรากำลังกินข้าวอยู่นั้น ผมก็มองเห็นชายผู้หนึ่งอายุประมาณ ๔๐ กว่า แต่งกายเป็นชาวนากำลังนั่งกินข้าวบนหลังคารถเช่นเดียวกัน เห็นแกกินข้าวคลุกน้ำพริกแดงก็รู้สึกสงสาร เรามีปลาย่างอยู่ ๒ ไม้ เราสองคนกินไม้เดียวก็พอ เหลืออีกไม้หนึ่งผมก็เอาไปให้ชายผู้นั้นและบอกว่า "คุณลุงครับ ลองทานปลาย่างของผมซิครับ อร่อยมาก ขายหมดผมขยักไว้สำหรับกินเพียง ๒ ไม้เท่านั้น"

    ครั้งแรกคุณลุงผู้นั้นไม่ยอมรับ เพียงแต่กล่าวคำขอบใจเท่านั้น ผมต้องอ้อนวอนว่า "กรุณารับไว้กินเถิดครับ ถ้าไม่รับผมก็ไม่สบายใจ ผมเป็นคนเคารพผู้ใหญ่ตามที่พ่อแม่เคยสอนให้รู้จักผู้ใหญ่ ผมให้ความเคารพนบนอบอ่อนน้อมฐานะเป็นผู้ใหญ่ มิได้ดูถูกว่าเป็นชาวนาคนจน ๆ กินข้าวกับน้ำพริกแดง"

    เมื่อพ่อลุงเห็นผมตั้งใจให้ด้วยความสุจริต ก็รับไว้ เรากินข้าวและสนทนากัน ผมรู้สึกว่าพ่อลุงคนนี้มิใช่ชาวนาธรรมดา เป็นผู้มีความรู้สูง เมื่อซักถามผมว่าไปไหนมา ผมก็เล่าถึงแม่ผมให้หัดค้าขาย ออกทุนให้ผมไปซื้อปลาย่างปลาเค็มขึ้นรถไฟไปขายภาคเหนือ แล้วก็ซื้อพวกหัวหอมหัวกระเทียมลงมาขายภาคเรา พอจะมีกำไรคุ้มกับค่าเหนื่อย พ่อลุงได้ฟังก็หัวเราะหึ ๆ ด้วยอารมณ์ดี และซักถามถึงการศึกษา และที่อยู่ของพ่อแม่ผม และอาชีพทางบ้าน ผมก็เล่าความจริง พ่อลุงพยักหน้ารับฟังด้วยความสนใจแล้วก็พูดขึ้นว่า

    "ยินดีมากที่เธอหากินในทางสุจริต หัดค้าขายแต่อายุยังไม่มาก ต่อไปก็คงชำนาญขึ้น คงเจริญรุ่งเรืองในวันข้างหน้า น้อยนักคนไทยเราที่อายุเท่านี้จะรู้จักออกหากินทางค้าขายส่วนตัว ทั้งใจดีมีเมตตาด้วย"

    แล้วพ่อลุงก็ให้ศีลให้พร ผมก็ยกมือขึ้นพนมไหว้รับศีลรับพรจากพ่อลุงด้วยความเคารพนับถือ สักครู่หนึ่งก็มีเรื่องเอะอะเกรียวกราวกันอยู่ข้างล่าง พ่อลุงหันไปทางเสียงอย่างสนใจ แต่ผมไม่สนใจอะไรมากนักเพราะไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา แต่ทันใดนั้นมีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผมวิ่งขึ้นมาบนหลังคารถมาถึงที่ผมนั่งอยู่ ยังไม่รู้เรื่องอะไรกันชายหนุ่มทำหน้าตาเลิกลั่กทำท่าจะวิ่งต่อไป แต่ถอดรองเท้าที่ใส่อยู่ทิ้งลงตรงหน้าผม คล้ายทำท่าจะให้ผม เมื่อหันมาเห็นตำรวจแต่งเครื่องแบบจ่านายสิบกับพลตำรวจปีนขึ้นมาตามจับ แกก็เลยวิ่งโหนกลางตอนหลังคาต่อกันโดดหนีลงจากรถไฟไป และปรากฎว่าพอลงไปถูกตำรวจรวบตัวไว้ได้ เพราะตำรวจได้ล้อมรถไฟไว้แล้ว ตำรวจช่วยกันค้นในตัวหาของกลางในตัวคนร้าย ไม่รู้ว่าคนร้ายเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ไหน แต่แล้วจ่านายสิบกับพลตำรวจอีกผู้หนึ่งโดดขึ้นมาบนหลังคามองมาที่ผมนั่งอยู่กับเพื่อน ทำให้ผมใจไม่ดี ตำรวจทั้งสองนายไม่ได้พูดจาอะไรตรงมาก็รวบจับตัวผมกับเพื่อนไว้

    เมื่อเราถูกตำรวจจับไม่ทันรู้ตัว ก็ตกใจแทบสิ้นสติ เพราะเกิดมาแต่ท้องพ่อท้องแม่ ยังไม่เคยทำอะไรผิดถึงกับถูกจับกุมเช่นนี้ ผมคิดว่าเขาสงสัยว่าผมคงเป็นพวกเดียวกับคนร้ายล้วงกระเป๋า ผมกับเพื่อนกำลังจะถูกจับเป็นผู้ต้องหา ผมเองกลัวจนตัวสั่น ขวัญเสียหมดนึกอะไรไม่ออก ได้แต่ถามเสียงปากคอสั่นเหมือนกำลังจะเป็นไข้จับว่า จับผมทำไม ผมทำอะไรผิด ตำรวจไม่พูดอะไรกับผมเลย ทำให้ผมเสียกำลังใจ นึกถึงเงินที่พกอยู่ในตัวหลายพันที่เหลือจากซื้อของมาขาย ผมกลัวว่าตำรวจจะเข้าใจผิดว่าเป็นเงินที่ได้มาทางทุจริต ผมไม่รู้จะแก้ไขให้หลุดพ้นความผิดได้อย่างไร

    ผมนึกแช่งด่าไอ้คนร้ายที่มันมาหยุดที่ตรงหน้าผม ทำท่าคล้ายจะมอบอะไรให้ และถอดรองเท้าไว้ตรงหน้าผมแล้วก็วิ่งหนีไป เลยทำให้คนเกิดสงสัยว่าผมเป็นพวกเดียวกับคนร้าย ทั้งรูปร่างเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่ก็มีชุดเดียวไม่มีเปลี่ยน เพราะต้องปีนป่ายขึ้นลงบนหลังคารถไฟ มันจะขาดความสะอาดเรียบร้อยไปมา ทำให้สภาพใกล้กับผู้ร้ายเข้าไป ผมไม่รู้จะแก้ไขตัวเองให้พ้นข้อหาได้อย่างไร จนปัญญา ผมทนไม่ไหวกำลังจะก้มหน้าร้องไห้ เพราะหมดความอดทน แค้นใจชะตากรรมของตัวเอง เพราะหมดปัญญา ก็ได้ยินเสียงพ่อลุงร้องบอกไปอย่างไม่พอใจว่า "หยุดก่อน เอาข้อหาอะไรมาอ้างจับเด็กสองคนนี้ เด็กสองคนนี่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดอย่าจับสุ่มสี่สุ่มห้า ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน จะทำอะไรให้พิจารณาดูให้รอบคอบถี่ถ้วนเสียก่อน ทำอย่างนี้ก็เสียชื่อตำรวจหมด"

    จ่านายสิบผู้นั้นชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองดูพ่อลุงแต่งตัวเป็นชาวนาผู้นั้นอย่างไม่พอใจ และก็ไม่นึกว่าชาวนาผู้นี้จะพูดจาโอหังอ้างเหตุผลเช่นนี้ จ่านายสิบผู้นั้นพูดอย่างอารมณ์เริ่มจะเสีย นี่ไม่ใช่ธุระ อย่างยุ่ง พูดแล้วจ่านายสิบก็ล้วงเอากุญแจมือออกมาทำท่าจะใส่ข้อมือ ทำให้ผมตกใจจนขวัญบิน คิดว่าตายอย่างไรผมไม่ยอมใส่กุญแจมือ ผมกลัวกุญแจมือตำรวจแทบจะเป็นบ้า คิดว่คนไม่มีความผิดยังถูกใส่กุญแจมือต้องซวยแน่ ถ้าผมถูกจับใส่กุญแจมือไปพบคนรู้จักผมคงขายหน้าเขาแย่ ผมนึกถึงพ่อแม่พี่น้องทุกคน เพราะทุกคนไม่รู้ว่าผมกำลังจะถูกจับใส่กุญแจมือทั้งที่ผมไม่มีความผิด ผมมองดูหน้าเพื่อนขาวซีดไม่มีสีเลือดคงกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ผมคิดว่าสภาพของผมก็ไม่ผิดกับเพื่อนไม่มีใครรู้ว่าเราบริสุทธิ์ นอกเสียจากผีสางเทวดาเท่านั้น นึกอะไรได้ในใจผมก็ขอให้ผีสางเทวดาช่วยเหลือ ผมนึกถึงพระหลวงพ่ออะไรต่ออะไรเจ้าพ่อองค์ใดที่ศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ผมจะนึกได้ผมก็ร้องเรียนเรียกอยู่ในใจ ขอให้ท่านรีบมาช่วยผมโดยเร็ว เพราะผมจนปัญญาแล้ว สมองมันปั่นป่วนยุ่งไปหมด

    แต่ที่สุดก็คิดจะสะบัดหลุดแล้ววิ่งหนี แต่ก็มองไม่เห็นทางรอด ทั้งไม่รู้ไปทางทิศไหน ทั้งจะทำให้เขาแน่ใจว่าผมคงเป็นผู้ร้ายแน่จึงได้วิ่งหนี กำลังความคิดสับสนปั่นป่วนมองเห็นความหมดหวัง กำลังคิดหมดอาลัยต่อชีวิตปล่อยตามบุญตามกรรม เพราะหมดทางที่จะขัดขืนเจ้าหน้าที่ได้ ผมหมดอาลัยตายอยากในชีวิตต่อไป กำลังจะปล่อยให้ตำรวจสวมกุญแจมือแล้ว ก็ได้ยินเสียงพ่อลุงพูดขึ้นเสียงดังอย่างผู้มีอำนาจเด็ดขาดว่า "หยุด นี่เด็กของอั๊ว พวกลื้อทำอย่างนั้นไม่ได้ อั๊วขอสั่งเป็นเด็ดขาด"

    ทันใดนั้นจ่านายสิบและพลตำรวจก็สะดุ้ง ทันใดนั้นพ่อลุงก็ล้วงบัตรประะจำตัวหรือบัตรประจำตำแหน่งข้าราชการซึ่งผมก็ไม่เห็นเพียงแต่เดา เพราะผมเองก็ตื่นกลัวจนลาน แล้วพ่อลุงก็ยื่นบัตรให้จ่านายสิบผู้นั้นดู ทันใดเมื่อจ่านายสิบเห็นบัตรประจำตัวของพ่อลุง ก็รีบตบเท้ายืนระวังตรง ยกมือขึ้นแตะกระบังหมวก พลตำรวจก็รีบทำตามทันที ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นใครเพราะไม่ได้ดูบัตร เมื่อจ่านายสิบคำนับพ่อลุงแล้ว ก็ยื่นบัตรลงไปให้นายร้อยโทผู้ควบคุมตำรวจอยู่ข้างหน้า เมื่อรับบัตรจากจ่าแล้ว นายร้อยตำรวจโทก็รีบตบเท้าระวังตรง ยกมือขึ้นแตะกำบังหมวกอยู่ข้างล่าง แล้วส่งบัตรคืนขึ้นมา แล้วสั่งถอนกำลังตำรวจลงจากหลังคารถ คุมจำเลยที่ล้วงกระเป๋าออกไป ข่าวว่ามีผู้เห็นของกลางที่ผู้ร้ายโยนไว้ระหว่างวิ่งหนี จึงเป็นอันจับได้พร้อมทั้งของกลาง

    สำหรับผมและเพื่อนเป็นอันว่าสิ้นเคราะห์ไปที ระหว่างการโต้ตอบพ่อลุงกับจ่าตำรวจนั้น เขาพูดอะไรกันบ้างผมก็จำไม่ได้หมด เพราะผมกลัวจะถูกจับใส่กุญแจมือจนตัวชาไปหมด รู้สึกเหมือนฝันร้ายแล้วก็ตื่นจากความฝันร้ายกลายเป็นดี แต่เมื่อนึกถึงทีไร ผมก็อดหวาดสะดุ้งกลัวไม่ได้ ผมอยากจะเข้าไปกราบเท้าพ่อลุงสักร้อยครั้ง คิดว่ายังไม่สมกับที่ท่านได้กรุณาช่วยเหลือ ผมกับเพื่อนพากันไปกราบขอบคุณท่านเพียงแต่ยกมือไหว้เท่านั้น เพราะบนหลังคารถคงไม่มีโอกาสให้เราก้มลงไปกราบได้ ท่านก็เพียงบอกว่า ไม่ต้องขอบบุญขอบคุณอะไรหรอก เพราะเป็นหน้าที่ของท่านที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกคนที่บริสุทธิ์ เราก็เป็นคนบริสุทธิ์มิได้ทำผิดคิดชั่วจึงควรแก่การช่วยเหลือ แม้ผมอยากจะทราบชื่อท่านใจจะขาด แต่ผมก็ไม่กล้าละลาบละล้วงถาม เพียงแต่ท่านช่วยให้ผมรอดพ้นจากการใส่กุญแจมือเท่านั้นก็เป็นบุญคุณหนักยิ่งกว่าภูเขาแล้ว

    ฉะนั้น ผมจึงไม่ได้รู้นามของท่านผู้มีพระคุณ นับแต่ครั้งเมื่อผมอายุได้เพียง ๑๗ นับแต่นั้นมาถึงปัจจุบันนี้ผมอายุได้ ๔๑ ปี ผมไม่เคยพบหน้าท่านเลย และผมยังระลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านอยู่เสมอ แต่ผมก็ยังมืดแปดด้าน ยังไม่มีโอกาสรู้จักนามของท่านและอยู่ที่ไหน ยังเป็นสิ่งลึกลับตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

    สำหรับผมชื่อนายสำรวม วรรณดิลก ปัจจุบันนี้อยู่ร้านค้าไม้โชคไพศาล เลขที่ ๒๙๑/๑ ถนนริมน่าน ตำบลตะพานหิน พิจิตร หากท่านมีพระคุณอันสูงยิ่งที่เคยช่วยเหลือเด็กอายุ ๑๗ ไว้ในครั้งนั้นกรุณาบอกให้ผมทราบที่อยู่และนามของท่านด้วย จะเป็นที่เคารพนับถือของผมและผมยังไม่ลืมที่จะระลึกถึงพระคุณของท่านตลอดมา และในชีวิตนี้จะไม่มีวันลืม

    เรื่องที่ข้าพเจ้าได้เขียนตามข้อความบันทึกของคุณสำรวม วรรณดิลก ก่อนเขียนข้าพเจ้าได้อ่านและพิจารณาในข้อความบันทึกก็เห็นว่า ในสมัยนั้นยังมีข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้ปลอมแปลงให้เข้ากับภูมิประเทศ ทำตนเป็นชาวบ้านธรรมดา ปะปนไปคลุกคลีอยู่ในหมู่บ้านสามัญชนทั่วไป เพื่อจะได้มีโอกาสได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อประโยชน์กับข้าราชการ แม้จะได้รับความทุกข์ยากลำบากต้องเสี่ยงภัยอันตรายเพียงไร ท่านก็มิได้คิดถึงประโยชน์สุขส่วนตัวเพราะเห็นแก่ความสงบสุขส่วนรวมและราชการเป็นใหญ่ แม้ข้าพเจ้าจะไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นคือผู้ใดก็ดี การปฏิบัติงานของท่านเช่นนี้ ควรแก่การยกย่องสรรเสริญยิ่ง เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูง มีจิตใจใสสะอาดเป็นคนดี เห็นอกเห็นใจคนบริสุทธิ์ทั่วไป ในยุคปัจจุบันนี้เป็นบุคคลที่ชาติต้องการให้มีมาก ข้าพเจ้าจึงขอเก็บเรื่องของท่านผู้นี้ไว้ใน "กฎแห่งกรรม" ต่อไป



    ................... เอวัง ...................
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    เหตุเพราะช่วยปูรอดตายจากรถทับ
    จึงได้รับกรรมดีที่มองเห็น
    รถคันหน้าพบอุบัติภัยเลือดกระเซ็น
    พระภิกษุเห็นชัดเจนในอันตราย
    สร้างกรรมดีมีหรือจะรับเวร
    กรรมมองเห็นชาตินี้ที่หลากหลาย
    ถ้าสร้างกรรมด้วยเจตนาพาตัวตาย
    ยังไม่สายสร้างกุศลพ้นกรรมเวร

    ท.เลียงพิบูลย์
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    จำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม
    การกระทำทางกาย วาจา ใจ ทั้งที่เป็นฝ่ายดีหรือไม่ดีก็ตาม ย่อมตอบสนองแก่ผู้กระทำ ไม่เร็วก็ช้า เวลาใดเวลาหนึ่ง กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) แสดงกำหนดเวลา แห่งการให้ผลของกรรม มี 4 อย่าง คือ
    1.ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน คือในภพนี้
    2.อุปปัชชเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า
    3.อปราปริเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในภพต่อ ๆ ไป
    4.อโหสิกรรม หมายถึง กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก
     
  7. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    ชอบมากค่ะ ขอบคุณนะค่ะ

    ลงให้ฟังบ่อยๆนะคะ ^^
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    มาร้าย - ไปดี
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔
    มนุษย์เราเกิดมาในโลกนี้ เราจะเลือกเกิดเองตามชอบใจไม่ได้ ฉะนั้น จึงมีมนุษย์ถือกำเนิดเกิดมาในตระกูลที่สูงศักดิ์ อุดมสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ และก็มีมนุษย์ที่เกิดมาในตระกูลยากจนเข็ญใจ ทั้งนี้ย่อมแล้วแต่กฎแห่งกรรมจะบันดาลให้เราเกิด ไม่มีใครเลือกเกิดได้ตามใจชอบ ต้องแล้วแต่บุญกุศลบารมีที่เราได้เคยสร้างสมเอาไว้

    สิ่งใดที่เราได้กระทำไว้เราก็จะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นชาติปัจจุบันหรือชาติข้างหน้าต่อไป จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ย่อมจะเป็นเงาติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง คอยโอกาสที่จะเกิดผลตอบแทนตามสนอง

    สิ่งที่คนเราจะต้องประสบด้วยกันทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าผู้นั้นจะเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์ หรือเกิดมาในตระกูลต่ำต้อย สิ่งนั้นก็คือ ความทุกข์ เมื่อได้บรรลุนิติภาวะแล้วย่อมจะมีปัญหาชีวิต ก็จะต้องคอยขบคิดแก้ไขยากบ้าง ง่ายบ้าง แล้วแต่เหตุการณ์ในชีวิตจะต้องเกิดขึ้น

    เมื่อยังมีความรู้สึกในรูปรส กลิ่น เสียง และยังลุ่มหลงหมกมุ่นอยู่บนกองกิเลสตัณหา ยังมีความโลภ รัก โกรธ หลง ก็ย่อมจะวนเวียน ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย ตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงรู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมชาติที่เกิดดับไม่รู้สิ้นสุด ฉะนั้น องค์พระศาสดาจึงทรงชี้ทางดับทุกข์ พ้นจากความเวียนว่ายตายเกิด ให้สุดสิ้นลงจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยอาศัยอำนาจจิตที่มีศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะกำจัดทุกข์จากความรู้สึกให้สูญสิ้นไปจากใจ ไม่มีวันจะกลับคืนมาอีก

    เมื่อมนุษย์เรารู้แล้วว่า เราเกิดมาต้องรับทุกข์ด้วยกันทุกคน ที่สุดก็ไม่มีผู้ใดหนีความแก่ ความเจ็บ ความตายไปได้ ทำไมเราจึงไม่ทำจิตใจให้มีความเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่เกิดมาร่วมทุกข์ด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเมื่อเรามีโอกาสสามารถจะช่วยเหลือได้ โดยไม่ทำให้เราได้รับความเดือดร้อนข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต

    ระวังอย่าทำบุญได้บาป เพราะเคยมีบางท่านหลงงมงายในการทำบุญทำทาน โดยกู้หนี้ยืมสินแทนที่จะก่อสุขทางใจกลับเกิดทุกข์ เพราะกระทบกระเทือนครอบครัวในการครองชีพ ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติสายกลางย่อมจะได้ผลดีกว่า

    ฉะนั้น ผู้ซึ่งเกิดมาดี เมื่อเป็นคนแล้วก็ควรจะประกอบแต่กรรมดี เมื่อตายไปแล้วก็จะไปสู่ทางดี และผู้ที่เกิดมาไม่ดี แต่เมื่อเป็นคนที่อยู่ในโลกก็ประกอบแต่กรรมดี ความดีนั้นย่อมตามสนองโลกนี้และโลกหน้า เมื่อตายไปแล้วก็จะไปสู่ทางดี ผู้เกิดมาดีแต่เมื่อเป็นมนุษย์ก็ประกอบแต่กรรมชั่ว ย่อมจะได้รับกรรมตามสนองเช่นเดียวกัน

    ได้เคยมีเรื่องมา ผู้สร้างความดีมีจิตใจเมตตาสงสารแล้วในอดีต ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย และก็ไม่เป็นสิ่งที่เก่าแก่ล้าสมัยเกินไป คล้ายเพชรมณีอันมีค่าแม้จะตกจมอยู่ในโคลนตมจะช้านานเพียงไร เมื่อมีมนุษย์ไปเห็นเข้าก็ย่อมมีคุณค่าไม่เสื่อมคลาย ย่อมจะนำเอามาเป็นเครื่องประดับกาย และเรื่องของผู้ประกอบกรรมดีประดับความรู้เช่นเดียวกัน

    เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นนับย้อนหลังจาก พ.ศ. ๒๕๐๐ ไปประมาณสี่สิบกว่าปี ครอบครัวผู้อันจะกินครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีมีคุณธรรมสูง ได้ขอพระราชทานบัตรทำเหมืองแร่พลอย แขวงเมืองกาญจนบุรี ซึ่งต่อมาเป็นกิ่งอำเภอบ่อพลอย ขึ้นกับอำเภอพนมทวน

    เย็นวันหนึ่งมีคนเดินทางหมู่หนึ่งมาหยุดพักแถวเขตหน้าบ้าน เจ้าของบ้านเมื่อเห็นก็เกิดมีความสงสารเพราะเป็นคนมีเมตตาจิต เห็นผู้ใดได้รับความลำบากก็อดจะเกิดคิดที่จะช่วยเหลือไม่ได้ เมื่อเห็นว่าคนหมู่นั้นจะพักแรมในที่แจ้งเช่นนั้นกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะสมัยนั้นมีสัตว์ร้ายชุกชุมกลัวจะเป็นอันตราย จึงเรียกให้คนหมู่นั้นขึ้นมาพักบนบ้าน และได้สั่งให้คนในบ้านจัดหาอาหารมาเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ และก็สนทนาด้วยความเห็นอกเห็นใจด้วยไมตรีจิตจากเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี และซ้ำยังเชิญแขกที่มาพักให้รับประทานอาหารเช้าเสียก่อน ค่อยออกเดินทางต่อไป

    แต่พอรุ่งเข้าปรากฏว่า หมู่แขกที่มาพักได้ออกเดินทางไปแต่เช้าตรู่ ยังไม่ทันสว่างดี ทำให้พ่อบ้านสงสัยว่า ทำไมเมื่อวานรับปากว่าจะทานอาหารเช้าและจะไป จึงกลับหายตัวไปก่อนเช่นนี้ เมื่อเข้าไปในห้องที่ชายหมู่นั้นพัก ก็เห็นข้างฝาเป็นไม้กระดาน มีตัวหนังสือเขียนด้วยดินสอพอง มีใจความว่า
    “ข้าขอลาท่านผู้ใจดีไปก่อน ข้าจะจดจำความดีของท่านตลอดไป”

    เจ้าของบ้านเมื่อได้เห็นหนังสือแล้วก็งง จึงซักถามคนในบ้านว่า ตอนที่เขาจะไปนั้นเขาพูดว่าอะไรบ้าง แต่ไม่มีใครทราบ นอกจาก ชายในบ้านผู้หนึ่งซึ่งนอนติดกับห้องของแขกแปลกหน้าที่มาพัก กล่าวว่า ตอนดึกนอนไม่หลับได้ยินเสียงข้างห้องเขาปรึกษาพูดตอบกัน ได้ยินชัดเจนเพราะเป็นเวลาดึกสงัด นอกจากจะได้ยินเสียงสัตว์ป่าร้องอยู่ห่างไกล นานๆ เสียงจะรบกวนสักครั้งเท่านั้น

    เสียงคนหนึ่งพูดว่า “พี่ เมื่อไหร่จะลงมือล่ะ นี่ก็ดึกแล้ว ประเดี๋ยวจะสว่างเสียงานเสียการหมด”

    เสียงชายผู้ถูกเรียกพี่ ถอนหายใจอย่างให้ความคิดหนัก แล้วพูดออกมาว่า “เออ ข้ากลับใจเสียแล้ว ข้าจะไม่แตะต้องทำอะไรบ้านนี้เป็นอันขาด”

    อีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นอย่างแปลกใจว่า “อ้าว ทำไมล่ะพี่ มันไม่เสียเวลาเปล่าหรือ ก็ตกลงกันมาแล้ว พี่ว่าจะมาปล้น”

    เสียงชายถูกเรียกว่าพี่ถอนหายใจ แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า..... “นั่นข้าก่อนหน้านี้ แต่เดี๋ยวนี้ข้ากลับใจเสียแล้ว ข้าบอกตรง ๆ ว่า ข้าทำไม่ลง พวกเอ็งไม่เห็นหรือ บ้านนี้เข้าใจผิด เขาต้อนรับเลี้ยงดูพวกเราอย่างไร พวกเรารู้พวกเราเห็น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้จักเราเลย ที่นี่เหมือนศาลาพักร้อนของคนเดินทางทั่วไป ข้าเป็นโจรก็จริง แต่ข้าจะไม่ทำลายคนดี ๆ อย่างนี้เป็นอันขาด”

    เสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “แล้วพวกเราจะมาหากินเป็นโจรทำไมล่ะ มัวแต่ใจอ่อนอย่างนี้ ข้าเคยเห็นพี่มีจิตใจเข้มแข็งตลอดมา ไม่เคยเห็นใจอ่อนอย่างนี้เลย”

    เสียงผู้ที่พูดอย่างขึงขังว่า..... “จริง ข้าเคยปล้นมามากแล้วไม่เคยย่อท้ออะไรเลย แต่พวกเอ็งอย่าลืมนะว่า พวกที่เราปล้นมาแล้วล้วนแต่คนชั่ว พวกรีดนาทาเร้นจากคนจน พวกทำนาบนหลังคน พวกเหล่านี้ก็เป็นคนชั่วเหมือนเรา จะทำลายมันก็ไม่บาปหนักอะไรมากนัก ชาวบ้านที่ถูกมันขูดรีดไถก็พากันสมน้ำหน้ามัน คนชั่วทำลายคนชั่วด้วยกันไม่แปลกอะไร มันสมน้ำสมเนื้อกัน”

    เสียงพูดขึ้นว่า “จริง พวกข้าคิดเหมือนอย่างพี่ แล้วถ้าเราทำลายคนดี ๆ เราคงตกนรกหนักทีเดียว”

    เสียงชายผู้ที่พูดว่า “ข้าคิดว่าบาปหนักเท่ากับทำลายพระอรหันต์ แล้วชาวบ้านปากเกลือปากปลาร้าก็คงจะแช่งเราให้ฉิบหายตายโหง ที่เรามาทำลายศาลาที่พักอาศัยของคนทั่วไปเช่นนี้ ต่อไปใครจะมากล้ารับคนแปลกหน้าอย่างเราอีกล่ะ เพราะเรามาทำลายความดีเสียหมดแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะเลือกปล้นคนมั่งมีขึ้นมาเพราะความชั่ว ยกเว้นผู้ประกอบกรรมดี”

    แล้วหลายเสียงก็ถามขึ้นว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะพี่”

    เสียงชายผู้พี่บอกว่า “เราก็ต้องรีบออกจากบ้านนี้เสียก่อนสว่าง”

    เสียงถามขึ้นว่า “แล้วเราไม่ลาเจ้าของบ้านเขาเสียก่อนหรือ เพราะเช้าเขาคงหาอาหารมาเลี้ยงเราอีก”

    เสียงชายผู้เป็นพี่ว่า “อย่ามัวห่วงกินเลยวะ ข้าจะเขียนหนังสือลาไว้ข้างฝา บอกเจ้าของบ้านไว้”

    ชายผู้อยู่ในบ้านเล่า แล้วก็บอกว่า “แรกผมได้ยินก็ตกใจกลัว แต่เมื่อฟังดูเห็นผู้ถูกเรียกว่าพี่ คงจะเป็นนายโจรนั้นได้กลับใจเสียแล้ว ก็เบาใจ”

    ท่านผู้เป็นเจ้าของบ้านฟังแล้ว ก็มิได้พูดว่าอะไร นี่ก็เห็นได้ว่าความดีได้ประกอบขึ้นนั้น ได้ทำให้คนกลับใจจากชั่วเป็นคนดีได้ระยะหนึ่ง ทั้งที่ผู้ประกอบกรรมดีมิได้หวังสิ่งใดตอบแทน แต่ความดีก็แสดงผลเกิดขึ้นเอง และเรื่องนี้ข้าพเจ้าคิดว่ามาร้ายก็ตั้งใจจะปล้น แต่เมื่อกลับใจได้เกิดความดีขึ้นจากจิตใจ ทำให้รู้จักบุญบาปในระยะหนึ่ง หรืออาจรู้สึกผิดชอบชั่วดี ได้ประกอบสัมมาอาชีวะตลอดไปก็ได้ เพราะไม่มีผู้ใดได้ติดตามวิถีชีวิตของพวกนี้ต่อไป

    และข้าพเจ้าคิดว่าในยุคปัจจุบัน คงจะหาโจรที่จิตใจกตัญญูเช่นนี้คงหายาก ในยุคนี้แม้แต่บุตรธิดาก็ยังหาความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาผู้มีพระคุณ และศิษย์ซึ่งเคารพบูชาอาจารย์ เช่นสมัยก่อนไม่ค่อยจะได้ แล้วจะเอาความดีอะไรกับโจรในยุคปัจจุบันนี้



    .................... เอวัง ....................
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    กรรม ในพระพุทธศาสนา

    กรรม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
    กรรมดี เรียกว่า กุศลกรรม หรือ บุญกรรม
    กรรมชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม หรือ บาปกรรม

    กรรม 2
    กรรม 2 (การกระทำ, การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม – Kamma: action; deed)
    1.อกุศลกรรม (กรรมที่เป็นอกุศล, กรรมชั่ว, การกระทำที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่เกิดจากปัญญา ทำให้เสื่อมเสียคุณภาพชีวิต หมายถึง การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือโมหะ – Akusala-kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed)
    2.กุศลกรรม (กรรมที่เป็นกุศล, กรรมดี, การกระทำที่ดี ฉลาด เกิดจากปัญญา ส่งเสริมคุณภาพของชีวิตจิตใจ หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คืออโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ -Kusala-kamma: wholesome action; good deed)
    การจำแนกประเภทของกรรม
    กรรมดี หรือ กรรมชั่วก็ตาม กระทำทางกาย วาจา หรือทางใจก็ตาม สามารถจำแนกอีก เป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายแบบ ดังนี้
    -กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) 4 อย่าง
    -กรรมจำแนกตามหน้าที่ของกรรม (กิจจตุกะ) 4 อย่าง
    -กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกะ) 4 อย่าง
    -กรรมจำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม (ปากฐานจตุกะ) 4 อย่าง
    จำแนกตามหน้าที่ของกรรม
    กรรมจำแนกตามหน้าที่การงานของกรรม (กิจจตุกะ) กรรมมีหน้าที่ ที่จะต้องกระทำสี่อย่าง คือ
    1.ชนกกรรม หมายถึง กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด กรรมแต่งให้เกิด
    2.อุปัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมสนับสนุน กรรมที่ช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติม ต่อจากชนกกรรม
    3.อุปปีฬิกกรรม หมายถึง กรรมบีบคั้น กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน
    4.อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมตัดรอน กรรมที่แรงฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมทั้งสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว
    จำแนกลำดับการให้ผลของกรรม
    กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกะ) จำแนกตามความยักเยื้อง หรือ ลำดับความแรงในการให้ผล 4 อย่าง
    1.ครุกกรรม (หนังสือพุทธธรรมสะกดครุกกรรม หนังสือกรรมทีปนีสะกดครุกรรม) หมายถึง กรรมหนัก ให้ผลก่อน เช่น ฌานสมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม
    2.พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม หมายถึง กรรมที่ทำมาก หรือ ทำจนเคยชิน ให้ผลรองจากครุกรรม
    3.อาสันนกรรม หมายถึง กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย คือกรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย จับใจอยู่ใหม่ ๆ ถ้าไม่มีสองข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น
    4.กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม หมายถึง กรรมอื่นที่เคยทำไว้แล้ว นอกจากกรรม 3 อย่างข้างต้น, ฏีกากล่าวว่า กรรมนี้ให้ผลในชาติที่ 3 เป็นต้นไป (กตตฺตา-สิ่งที่เคยทำไว้, วา ปน-ก็หรือว่า, กมฺม-กรรม) กตัตตากรรมนี้ ในตำราทางพุทธศาสนาหลายแห่ง (เช่น หนังสือกรรรมทีปนี พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลธรรม และหนังสือพุทธธรรมฉบับขยายความ) ได้บรรยายไว้ว่า หมายถึง กรรมสักแต่ว่าทำ กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอันอื่นให้ผลแล้ว กรรมนี้จึงจะให้ผล
    จำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม
    กรรมจำแนกตามฐานที่ให้เกิดผลของกรรม (ปากฐานจตุกะ) แสดงที่ตั้งแห่งผลของกรรมสี่อย่าง เป็นการแสดงกรรมโดยอภิธรรมนัย (ข้ออื่น ๆ ข้างต้นเป็นการแสดงกรรมโดยสุตตันตนัย)
    1.อกุศลกรรม
    2.กามาวจรกุศลกรรม
    3.รูปาวจรกุศลกรรม
    4.อรูปาวจรกุศลกรรม
    ขอบคุณที่มา : wikipedia https://th.wikipedia.org/wiki
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    กรรมที่มองไม่เห็น
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒

    เหตุการณ์เกิดขึ้นกับบุคคลที่ได้รับเคราะห์กรรมนั้น ส่วนมากก็มักจะโทษโชคชะตา หรือที่ไม่เชื่อโชคชะตาก็มักจะพูดว่าเหตุบังเอิญ หรือไม่ก็โทษเพราะพรหมลิขิต แต่ไม่ค่อยจะมีใครโทษตัวเองที่สร้างกรรมไว้ ส่วนมากโยนให้เป็นบาปกับเคราะห์เพื่อให้พ้นตัว แล้วเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไปในความรู้สึกง่ายๆ ไม่มีผู้ใดที่จะหาต้นเหตุที่จะเกิดผลเคราะห์กรรม หากมนุษย์เชื่อกรรมแล้ว ค้นคว้าหาสาเหตุต้นเรื่อง “กรรม” ก็คงจะเห็นได้ว่าผลนั้นย่อมเกิดจากต้นเหตุ จะเปรียบเทียบก็ไม่ผิดอะไรกับเราปลูกข้าว ผลก็ออกมาเป็นเมล็ด จะเป็นพืชอื่นไปไม่ได้

    นอกจากอดีตจะมีกรรมชั่วติตามมาสนอง ซึ่งข้าพเจ้าได้พยายามรวบรวมเรื่องที่เกิดขึ้นมา แล้วจะให้เห็นว่า “กฎแห่งกรรม” นี้ถ้าได้พิจารณาหาเหตุผลด้วยจิตใจเที่ยงธรรม ค้นคว้าให้ถึงแก่นแล้ว ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนเป็นกฎของสากลทั่วไป มิได้ยกเว้นชาติใดภาษาใด หรือศาสนาใดในโลก ซึ่งสัตว์โลกและมนุษย์เกิดมาก็ต้องตกอยู่ภายใต้ “กฎแห่งกรรม” ด้วยกันทุกรูปทุกนามบางทีเหตุการณ์ตัวอย่างที่เกิดขึ้นผ่านไป แล้วอาจจะช่วยชี้ให้เห็นความกระจ่างแจ้งขึ้นบ้าง เช่น

    วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปหาคุณพี่ที่ฝั่งธนฯ เมื่อได้นั่งสนทนากันพอสมควรแล้ว คุณพี่ก็เล่าเรื่องซึ่งได้รับฟังมาจากโรงพยาบาลทหารเรือว่า มีนายทหารเรือไทยผู้หนึ่งได้เดินทางไปต่างประทศ และเป็นผู้ที่ได้เห็นมาด้วยตนเอง เล่าให้ฟังว่า กัปตันเรือเดินทะเลคนหนึ่งเป็นฝรั่ง เมื่อนำเรือเข้าจอดเทียบท่าแล้วได้มีแมวเจ้ากรรมตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในห้องกัปตัน และบังเอิญกัปตันผู้นั้นเป็นคนเกลียดแมวอย่างเข้ากระดูกดำ แทนที่กัปตันจะไล่แมวออกมาให้พ้นจากห้อง แล้วคิดว่าเหตุการณ์อะไรก็จะไม่เกิดขึ้น แต่กัปตันผู้นี้แกมีความโกรธความพยาบาทแมว คล้ายจะเป็นศัตรูคู่จองเวรกันมาก่อน

    กลับปิดประตูขังไว้ไม่ยอมให้ออกจากห้อง หลังจากนั้นก็ใช้ท่านไม้ไล่ตี แมวเคราะห์ร้ายตัวนั้นก็วิ่งหนีวนเวียนอยู่ในห้องหาทางออกไม่ได้ เมื่อถูกตีอย่างเจ็บปวด ก็ยิ่งร้องวนเวียนวิ่งหนีอยู่ภายในห้องอย่างหัวซุกหัวซุน ด้วยความกลัวจนสุดขีด เป็นธรรมดาของสัตว์โลกไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ตลอดทั้งมนุษย์เห็นจะมีความรู้สึกตรงกันก็คือ กลัวความตาย กลัวความเจ็บปวดด้วยกันทุกรูปทุกนาม

    แมวตัวนั้นก็เช่นเดียวกัน หนีอย่างสุดชีวิต ทั้งร้องก้องคล้ายจะร้องขอชีวิตเพราะความเจ็บปวดที่ถูกตีหนัก มันเป็นเรื่องสลดใจกับผู้ได้พบเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้น พวกลูกเรือกุลีและกะลาสีและพวกต้นเรือ ซึ่งต่างก็รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถจะยับยั้งห้ามปรามกัปตันผู้นั้นได้ นอกจากกัปตันจะเป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในเรือแล้ว ยังเป็นคนมีใจคอดุร้าย ทำให้นายทหารเรือไทยผู้นั้นต้องทำจิตใจให้เป็นอุเบกขา เพราะสิ่งใดที่ไม่สามารถจะช่วยได้ ก็ต้องทำจิตใจให้ปกติไม่ยินดียินร้ายทำให้เป็นกลาง เพราะพวกลูกเรือกะลาสีเหล่านั้นรู้ดีว่า หากใครจะไปตบประตูขัดขวางก็เท่ากับไปยุให้กัปตันเพิ่มความบ้าโกรธมากขึ้น

    นึกถึงคำโบราณของคนไทยเราว่า ใครฆ่าแมวก็บาปหนักเท่ากับฆ่าเณรผู้มีศีล แต่แล้วเสียงโครมครามและสียงแมววิ่งร้อง และวิ่งไล่ให้ห้องกัปตันก็เงียบลง ต่อมาประตูห้องกัปตันก็เปิดออก กัปตันเดินออกมาเหงื่อโทรมกาย หน้าตายังมีริ้วรอยความดุร้าย ในมือจับหางแมวหิ้วตัวห้อยออกมา ปรากฏว่าแมวตัวนั้นเลือดไหลออกทางปากทางจมูกตายอย่างสนิท ไม่ดิ้นรนได้อีก แต่แล้วกัปตันหิ้วเดินมาทางกราบเรือ เหวี่ยงศพแมวตัวนั้นโยนลงน้ำไป ท่ามกลางสายตาผู้พบเห็นอย่างติเตียน ต่างก็มีความรู้สึกสะอิดสะเอียนการกระทำของกัปตันในครั้งนั้น

    เหตุการณ์มิได้หยุดเพียงนี้ เพราะหลังจากกัปตันได้ตีแมวตาย ในวันรุ่งขึ้นตัวกัปตันก็หายไป ไม่มีใครทราบว่าไปไหน เหตุการณ์ก็โกลาหล เพราะรองกัปตันก็ต้องทำงานแทนไปก่อน แต่แล้วต่อมาศพของกัปตันก็ลอยอืดขึ้นมาในบริเวณที่จอดเรือ นี่ก็เป็นเรื่องลึกลับอัศจรรย์ ตามสันนิษฐานว่ากัปตันตกน้ำตายอย่างธรรมดา เพราะดื่มเหล้าเมาจัด ทางการได้สอบสวนร่างกายไม่พบร่องรอยบอบช้ำ พอจะยกขึ้นมาพิสูจน์หาสาเหตุข้อสงสัยว่าถูกฆาตกรรม

    นี่ถ้าถือตามหลักธรรมก็พอบอกได้ กรรมที่ได้รับผลทันตาเห็น หากมีผู้ที่ไม่รู้เรื่องกรรมก็บอกว่า กัปตันกินเหล้าเมาตกน้ำตายโดยบังเอิญ นี่เป็นธรรมดาเรื่องหนึ่งที่นายทหารเรือผู้เห็นเหตุการณ์ ท่านได้นำมาเล่าเป็นเรื่องที่น่าคิด

    เมื่อฟังเรื่องราวกัปตันฝรั่งตกน้ำตาย กรรมสนองที่ได้ฆ่าแมว เพราะความอาฆาตพยาบาท ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงครั้งข้าพเจ้าได้ไปหาเพื่อนผู้คุ้นเคยกันมานาน และเป็นทันตแพทย์เนื่องจากสุขภาพของหมอไม่ค่อยจะปกตินัก ข้าพเจ้าจึงไปถามข่าวเยี่ยมเยียนในฐานะผู้ที่รักใคร่คุ้นเคยกันมานาน
    ก่อนที่จะเข้าบ้านของหมอ ข้าพเจ้าก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังเดินสวนออกจากบ้าน พระรูปนั้นมีลูกศิษย์จูงนำเดินหน้าทำให้นึกว่าพระภิกษุรูปนั้นคงตาพิการหรือบอด คิดสงสัยตาท่านบอดทำไมถึงบวชได้ เมื่อได้เข้าไปในบ้านหมอผู้คุ้นเคยแล้ว เราจึงทักทายปราศรัยกันพอสมควร ข้าพเจ้าจึงเอ่ยถามหมอว่า
    “นี่หมอ ผมเห็นพระองค์ที่ออกไปจากบ้านหมอเมื่อครู่นี้ สวนทางก่อนหน้าผมจะเข้ามานั้น ท่านตาบอดใช่ไหม จึงมีลูกศิษย์จูง”
    หมอยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ท่านเป็นมหา ๓ ประโยค ตาท่านบอดภายหลังเมื่อท่านบวชหลายปี”
    ข้าพเจ้าสงสัยจึงถามต่อไป “ทำไมไม่หาหมอแผนปัจจุบันมารักษา ผมคิดว่าสามารถจะรักษาให้หายได้”
    หมอหัวเราะแล้วพูดว่า “รักษาแล้วไม่หาย ท่านได้เล่าให้ผมฟังเรื่องในอดีตที่ท่านได้ทำกรรมไว้ และท่านได้รู้ตัวว่ากรรมตามสนอง ในชาตินี้ท่านก็ต้องใช้กรรมที่ท่านได้ทำไว้จนกว่าจะหมดหนี้”
    ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เกิดความสนใจ จึงขอร้องให้หมอช่วยเล่าเรื่องอดีตของท่านมาให้ข้าพเจ้าฟัง หมอก็ได้กรุณาเล่าให้ฟังมีใจความว่า “เมื่อครั้งท่านมหาสมัยเมื่อยังไม่บวช และอยู่ในวัยรุ่น บ้านของท่านอยู่ติดกับคลองมีกระไดท่าน้ำ เวลานั้นชาวบ้านส่วนมากไม่ชอบใส่รองเท้า ถนนยังไม่ดี หน้าฝนเละเป็นโคลน เมื่อไปไหนมาไหนกลับมาถึงบ้านก็ต้องไปที่กระไดท่าน้ำเพื่อล้างเท้าให้สะอาดก่อนจะขึ้นบ้านขึ้นเรือน

    วันหนึ่งท่านได้กลับมาจากเที่ยว ก็ไปที่ท่าน้ำลงไปล้างเท้าเป็นเวลาที่มีปลาแขยงชุกชุม เมื่อมีคนลงมาล้างเท้าพวกปลาก็พากันมาตอด ท่านมีความโกรธมากตามอารมณ์ร้อนแรงของคนหนุ่ม ขาดสติมีความประมาทคิดแต่จะแก้เผ็ด ที่เจ้าพวกปลาแขยงมาตอดเท้า นึกพยาบาทคิดจะต้องทำให้หายแค้น จึงรีบขึ้นบนเรือนคว้าได้สวิงรีบลงมาเพราะอารมณ์โกรธ รีบลงไปตีนท่าทำเป็นล้างเท้า กระทุ่มน้ำพอเป็นพิธี พวกฝูงปลาแขยงต่างก็ว่ายเข้ามาตอดเท้า

    ทันใดนั้นท่านก็เอาสวิงช้อนปลาขึ้นมาได้ ๖ - ๗ ตัว คิดว่าจะทุบตีให้มันตายก็ง่ายเกินไป ยังไม่สมกับอารมณ์แค้นและความโกรธ จะต้องทรมานให้สาสมจึงจะสมแค้น จึงรีบวิ่งขึ้นเรือนหาด้ายเข็ม รีบจัดแจงลงมาที่ท่าน้ำ แล้วก็เอาเข็มแทงลูกนัยน์ตาทั้งสองข้างทุกตัวแล้วก็ปล่อยลงน้ำไป เมื่อทำแก่ปลาเหล่านั้นได้ก็คลายความโกรธลงบ้าง ในใจนึกสมน้ำหน้าที่มันมาตอดเท้า

    ครั้นหลายปีต่อมาเมื่ออายุครบบวช ก็เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางธรรมสอบได้เป็นมหาเปรียญ ๓ ประโยค ท่านก็เริ่มเจ็บตาข้างหนึ่ง แม้จะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ทั้งเจ็บทั้งปวดแสนสาหัส แทบจะทนไม่ไหว เมื่อให้แพทย์แผนปัจจุบันตรวจก็บอกว่าต้องผ่า มิฉะนั้นก็ไม่มีโอกาสหาย ที่สุดหมอก็ได้ผ่าตา แต่ก็ไม่สามารถจะรักษาได้ ที่สุดตาก็บอดลง

    ท่านก็นึกรู้ได้ทันทีนั้นว่า กรรมที่ท่านได้มีจิตอาฆาตพยาบาทกับปลาแขยงในสมัยวัยรุ่นนั้น บัดนี้กรรมได้ติดตามมาทันแล้ว ต่อมาไม่นานตาที่ยังใช้ได้ดีข้างหนึ่งก็เกิดปวดขึ้นมา รู้สึกว่าความเจ็บปวดมากมายแทบจะปะทุออกมาต้องไปหาแพทย์ แพทย์ก็ลงความเห็นว่าไม่มีทางอื่นจะต้องผ่าอีกเมื่อไม่มีทางอื่นเลือก ท่านก็ยอมเสี่ยงอีกครั้งหนึ่ง ที่สุดตาของท่านก็บอดสนิททั้งสองข้าง ท่านจึงนึกว่าโรคกรรมเวรนี้ หมอเก่งเพียงไรก็ไม่สามารถจะรักษาหายได้”

    นี่ก็ชี้ให้เห็นว่ากรรมใดที่พวกเราก่อขึ้น ด้วยอำนาจจิตคิดพยาบาทอาฆาต ย่อมจะก่อให้เกิดผลขึ้นมาได้ เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังหมอเล่าแล้วรู้สึกเศร้าใจที่มนุษย์อีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อกรรม ฉะนั้น โลกในยุคปัจจุบันนี้จึงมีการฆ่าฟันเอาชีวิตกันง่าย เพราะไม่เกรงกรรมไม่เกรงเวร เกรงบาป จิตใจจึงเหี้ยมโหดชั่วร้ายหากมีผู้เชื่อกรรม เชื่อบุญ เชื่อบาปแล้วโลกที่เราอยู่นี้ก็จะเกิดความสงบขึ้นอีกมาก

    เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังหมอเล่ามาแล้ว ก็เกิดความสนใจมากจึงบอกว่า “หมอจะกรุณาช่วยติดต่อขออนุญาตท่านมหา เพื่อให้ผมได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นได้ไหม”

    หมอยิ้มแล้วบอกว่า “ผมยินดีจะติดต่อขออนุญาตให้ คิดว่าท่านคงไม่ขัดข้อง เพราะท่านเองก็รู้ตัวแล้วว่า ท่านกำลังรับใช้กรรม และก็ไม่อยากให้ผู้อื่นได้สร้างกรรมเช่นนี้ต่อไป”

    หมอพูดแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี แม้หมอจะมีสุขภาพในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่กำลังใจของหมอยังดี แล้วหมอก็พูดต่อไปว่า “เมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อเวรกรรม ผมเคยล่าสัตว์ทำบาปมามาก แต่บัดนี้ผมเชื่อแล้วไม่มีอะไรสงสัยอีก ผมเองก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ไม่รู้จักหาย ไม่มีความสุขความสบาย นึกเบื่อชีวิต เงินทองทรัพย์สินก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนัก เช่น ท่านมหาเป็นตัวอย่าง

    เวลานี้ผมคิดได้ว่าเราเกิดมาในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐที่สุดในโลก แต่เราก็ยังไม่รู้จักศาสนาดีเมื่อคิดแล้วก็นึกละอายในใจว่า เรานี้ไม่น่าจะเสียชาติเกิดเลย ใช้ชีวิตเวลาวัยหนุ่มให้หมดในการล้างบาป เมื่อบั้นปลายรู้ตัวก็ควรจะทำอะไรในทางบุญกุศลสมกับได้เกิดมาในพุทธศาสนาบ้าง

    ฉะนั้น บั้นปลายในชีวิตของผม ถ้ายังสามารถทำอะไรได้ก็อยากจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์เป็นแก่นสาร เมื่อเรายังมีลมหายใจยามมีชีวิต จะได้ทันตาเห็น เพราะผมมองเห็นแล้วเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย บางครั้งก็ทำให้คิดว่าทรัพย์สินเงินทองเมื่อเราไม่ใชให้เกิดประโยชน์ยามมีชีวิตอยู่ เมื่อเราจะตายทรัพย์สินก็ไม่สามารถจะถ่ายชีวิตเราได้ แล้วเราหาทรัพย์สินตั้งแต่หนุ่มจนแก่เพื่อประโยชน์อะไร

    ตัวอย่างความไม่เที่ยงตามพระท่านว่า ที่เราพอจะเห็นได้ มีมากมายที่รู้ทั่วไปของโลก ในยุคนี้ก็เห็นจะมี นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะเป็น ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนต่อไปสมัยหน้า ซึ่งกำลังอยู่ในท่ามกลางประชาชน เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีที่ชนะได้คะแนนเสียงข้างมากจากประชาชนที่นิยมตัวเขา แม้ตัวเองก็กำลังมีความตื่นเต้นดีใจ เพราะมองเห็นตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ กำลังรอเวลาคอยอยู่ข้างหน้า แต่ทางพระท่านบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ที่ไหนมีสุขที่นั่นมีทุกข์

    ท่ามกลางประชาชน โห่ร้องกึกก้องไปทั้งเมือง เพื่อแสดงความยินดี และรับขวัญนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ อย่างลิงโลดทั่วท้องถนน ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นข้างตัวนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ หลายนัด

    ทำให้ผู้ชนะเลือกตั้งซึ่งกำลังตื่นเต้นดีใจ ก็ดับวูบลงอย่างไม่รู้ตัว ท่ามกลางผู้คนแสดงความโลดเต้น โห่ร้องก็เงียบลงทันที เพราะตกตะลึงพึงเพริดสิ่งที่ทั่วทั้งโลกไม่มีใครเคยนึกฝันว่า จะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่ความฝันเป็นความจริงเสียงร้องโห่กึกก้อง แผ่นดินแทบจะถล่มทลายลง ของพวกสนับสนุนโห่ร้องรับขวัญ

    ความหวังว่านายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่อายุน้อย สำหรับตำแหน่งอันสูงส่งของสหรัฐอเมริกาในอนาคตก็ดับลง เหมือนแสงสว่างอันมีรัศมีแก่กล้า แสงสุกใสไม่มีแสงใดมาเทียบเท่าก็ดับมืดลงทันที

    ทางพุทธศาสนาก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง อย่ามัวทะนงหลงตัวว่ายังหนุ่มสาว ยังแข็งแรงไม่ตายง่าย ชีวิตกับความตายไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า สิ่งที่แน่ก็คือทุกคนต้องผจญทุกข์ แม้นายเคนเนดี้เป็นคนหนุ่ม มีเกียรติสูงที่จะมีอนาคตอีกไกล แต่ก็ตายอย่างไม่ทันรู้ตัว จะมีเงินมากมายหลายสิบล้าน แต่เงินเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะช่วยแลกซื้อชีวิตของนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ คืนมาได้

    เมื่อพิจารณาดูแล้วก็คงจะเป็นกรรมในอดีต เห็นชัดแจ้งตามหลักธรรม ทำให้ผมเกิดความรู้สึกตัวคิดได้ เวลานี้ผมจัดการเลี้ยงพระทำบุญ ทำทาน ถวายอาหารคาวหวานให้ท่านมาฉันที่บ้านทุกวันอาทิตย์ เอาเงินทองทรัพย์สินมาแลกเป็นบุญกุศลเพื่อจะได้บารมี มีทานติดตามวิญญาณ เมื่อสังขารดับสูญไปแล้ว แต่วิญญาณเป็นอมตะไม่สูญสิ้น และผมก็มีโอกาสได้สนทนากับพระท่าน ทำให้จิตใจผมสบายขึ้น และคิดจะทำประโยชน์อะไรให้แก่ส่วนรวมต่อไป”

    เมื่อได้ทราบว่า เวลานี้หมอได้เริ่มก่อการสร้างกุศล ทำให้ข้าพเจ้าพลอยปลื้มปีติ เพราะหมอเป็นผู้มั่งคั่งผู้หนึ่ง สามารถจะทำประโยชน์สร้างกุศลในทางศาสนาได้มาก จึงบอกว่า

    “ผมขอแสดงความยินดีด้วย ที่หมอได้เกิดความรู้สึกในทางดีในบั้นปลายของชีวิต ขออนุโมทนาด้วยความจริงใจ ขอให้ช่วยกันสร้างประโยชน์ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ และได้เห็นผลงานของเราเพื่อจะได้เป็นกรรมดี เกิดกุศลบารมีติดตามไปสู่ที่สุคติในชาติต่อไป เพราะเรายังไม่มีโอกาสบรรลุนิพพาน ยังต้องวนเวียนว่ายตายเกิดยังไม่รู้สิ้นสุด ผู้ไม่ประมาทย่อมคิดได้”

    ......................... เอวัง .........................
    กรรมชาตินี้แรงนักหากเจตนา
    จะตามมาตอบสนองให้หมองไหม้
    เช่นพระภิกษุรูปนี้รับกรรมไว
    เพราะเคยใช้เข็มแหลมแทงตาปลา
    ท่านจักษุพิการบอดสนิท
    ชั่วชีวิตเห็นโลกมืดไม่ปรารถนา
    เพราะปฏิบัติศีลสมาธิวิปัสสนา
    จึงทราบว่าผลกรรมนั้นตามมา

    ท.เลียงพิบูลย์
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    .................... LpJarunMetta.jpg
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    praNogoodIfyouwrong.jpg
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    อาจารย์ยอด : เสี่ยงเซียมซี [ลึกลับ]

    อาจารย์ยอด
    Published on Nov 5, 2017
     
  14. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    สาธุ อนุโมทนากับข้อความนะคะ

    เล่าสู่กันฟังค่ะ

    เราทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านไทยที่อเมริกา
    ย่อมเจอลูกค้าหลากหลาย ... และที่สำคัญการบริการต้องมาก่อน...

    วันนี้ ได้พบเหตุการณ์ ทดสอบจิตใจ เรียกว่า เจ้ากรรมนายเวรมาในรูปแบบ ลูกค้าก็ว่าได้

    สามีคนดำ ภรรยาลาติน อุ้มลูกวัยกำลังซน สองคน หนึ่งขวบกับสองขวบ เข้าร้านมา เสียงเด็กทะเลาะงอแง ดังลั่น จนลูกค้าคนอื่นๆ ที่นั่งในร้าน เริ่ม ไม่พอใจ....

    เราไปรับลูกค้าปกติ ก็ไปหยิบเก้าอี้เด็ก มาสองตัว จัดแจงให้นั่ง และ บริการน้ำ ตามปกติ

    พอตอนรับออเดอร์ ความป่วนก็เกิดขึ้น
    เด็กๆ ไม่หยุดนิ่งโยเยงอแง คนเป็นแม่นี้ย้อมผมแดงแป้ด อ้วนใหญ่ เร่งดูเมนูอย่างร้อนรน โดยไม่สนใจเสียงงอแงนั้น
    “ทำไมไม่มีอาหารชุดคอมโบแบบร้านจีนล่ะ ? มีติ่มซำมั้ย มีแบบข้าวผัดจานใหญ่ๆมั้ย”

    เราตอบปฏิเสธ เพราะร้านไทยที่ทำเป็นร้านไสตล์คลาสสักหน่อย จริงๆไม่ค่อยเหมาะพาเด็กเล็กมากๆมาทานเท่าไร อาหารราคาค่อนข้างสูงด้วย

    สามีเริ่มหงุดหงิด จึงสั่งก่อน บอกว่า ต้องการข้าวผัดไก่ เนื้อ และกุ้ง เพื่อ แชร์อาหารของตนกับลูกเล็กอีกสอง ส่วนภรรยา เธอบอกว่าตั้งท้อง ต้องการผัดขี้เมาไก่เนื้อกุ้ง จานพิเศษไม่ต้องแชร์...

    พอ อาหารปรุงเสร็จเราเดินเสริฟ พบว่า ลูกเธอกำลังก่อกวน เอาส้อมที่วางบนโต้พตีเข้าหน้าแม่อย่างจัง เธอหงุดหงิด สามีเธอก็ไม่ใส่ใจนัก มัวแต่ แชทในมือถือก้มหน้าก้มตา เธอ จึงแสดงความไม่พอใจ ออกมาเมื่อเราเอาอาหารไปเสริฟ

    เธอเอาส้อมเขี่ยผัดขี้เมา แล้วโวยวายเสียงดัง ชั้นไม่ต้องการใบกะเพรานะ ?!??! ชั้นแพ้ใบกะเพรา ชั้นสั่งแต่เเรกไม่มีใบกะเพรา ไม่เข้าใจเหรอ?!?!

    เราพยายามข่มสติ พูดแก้ไข “ขอโทษนะมาดาม เราจะทำอาหารให้ใหม่เดี๋ยวนี้ “
    เธอพยักหน้าและออกอาการฟึดฟัด
    สามีเธอ เดินออกไปเอานมใส่ขวดให้ลูกๆทาน และก้มหน้าก้มตาแบ่งข้าวผัดอย่างละหนึ่งช้อน ให้ลูกๆ และหันมาสั่งเราให้เอา
    “พริกน้ำปลา พริกป่น น้ำส้ม” มา

    เราเดินกลับมาพร้อม พวงเครื่องปรุงรสเผ็ด
    สามี รับไป ขณะที่ภรรยากำลังรออาหารของเธอที่เราเอาไปเปลี่ยนทำให้ใหม่ เธอเริ่มหงุดหงิด สีหน้าไม่พอใจ .. สามีเธอก้มหน้าก้มตากิน เทพริกป่น น้ำปลา ผสมข้าวผัด ทั้งหมด ไม่ได้มองว่า เมียและลูกๆ จะกินกันต่อหรือไม่...

    พออาหารออกมา ผัดขี้เมารวมมิตร ไม่ใส่กะเพราเมนูแก้ไข รอบแรก เธอ รีบตักอาหารเข้าปาก แล้ว ร้อน เธอสบถอย่างหัวเสีย เรากับเด็กเสริฟอีกคน รู้สึกเลย ว่า จบไม่สวยแน่

    สักพัก พอลูกงอแงหนัก เธอ ขอกล่องแพคผัดขี้เมานั้น แล้วเธอเดินไปพูดกับเด็กอีกคน ว่าอยากคุยกับผู้จัดการ เธอว่า เรากลั่นแกล้งเธอ เธอสังผัดขี้เมาไม่ใส่กะเพราและไม่เผ็ด เธอต้องการแบ่งให้ลูกเล็กๆวัยขวบและสองขวบกิน (-*- เหมือนสั่งต้มยำป้อนลูกที่ยังไม่เดินประมาณนั้น เราก็งง) เราก็ยืนยันว่าเธอไม่ได้สั่งแบบนี้แต่แรก แต่เราก้ สะกดอารมณ์เพราะ งานบริการ ลูกค้าคือพระเจ้า จะอย่างไรเสีย เราต้องรับฟัง.... ที่สำคัญจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ..

    เธอบอกว่าเธอไม่พอใจ เราจึงเสนอ ทำผัดขี้เมารวมมิตรให้เธอใหม่ตามที่เธอต้องการ
    คิดดู หัวหน้าเชฟ หงุดหงิดมาก บอกกระแทกมาว่า มันไม่ใช่เมนูเด็ก ตอนรับออเดอร์ ทำไมเราไม่คุยกับลูกค้าให้เข้าใจ...
    ยังไม่พอ แม้เราจะทำอาหาร ที่ลูกค้าจะได้ฟรีกลับบ้าน เธอยังต้องการเครดิตทานฟรี พอที่ได้คุยโทรศัพท์ต่อว่ากับ เจ้าของร้านแล้ว

    แล้วเจ้าของ ก็จะมาลงใคร ข้าพเจ้าไง

    สรุป เหนื่อยอามรณ์ เงินทิปก็ไม่ได้ เสียสุขสาพจิต ลูกค้าโต้ะอื่นก็รำคาญเสียงเด็กร้องงอแง เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับ
    ทั้งแม่ครัว เจ้านาย และลูกค้า....

    ทั้งขึ้นทั้งล่อง... สบายเลย ...

    เอาเถอะ ทดสอบสมาธิ จริงๆ มันวุ่นวายมากแค่ไหนในครัว เดินออกไปเสริฟ ก็ต้องยิ้ม ท่วงท่าการเดิน การพูดคุย การวางอาหาร ก็ต้อง ระมัดระวัง จะไปเอาอารมณ์ที่วุ่นวายขุ่นมัวมาแสดงให้ลูกค้าเห็นไม่ได้ ยิ้มอย่างเดียว

    จะว่าไปยังไม่ได้ทานข้าวค่ะ แวะมาเล่าให้ฟัง
    กว่าจะได้เงินเขา ก็ลำบาก เกิดเป็นมนุษย์ เจอคำว่าโทสะ ต้องระงับแม้จะอยากกระโดดถีบก็ตาม เฮ้อ.....

    บุญรักษาค่ะ

    หนูมน
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ฟังแล้วเหนื่อยเลย โดนมาเยอะเหมือนกันค่ะ ทั้งหมอทั้งคนไข้ก็เจ้านายทั้งนั้น ต้องใช้ทั้งขันติทั้งข่มทั้งอดทน ใครๆก็มาลงที่เราหมด เฮ้อ แต่ตอนหลังมีคนอยากตามอย่างนะคะว่า"ใจเย็นฉ...เลย" ที่แท้แล้วข้างในยังกับไฟ แต่ถ้ามีเรื่องร้ายแรงจริงๆจะรอดทุกทีค่ะ สาธุ(เขามาลองเรานะคะว่าจะทนได้สักแค่ไหน)
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    LpRuesriOvart.jpg
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2019
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    .......... .jpg
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    อโหสิกรรม
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒


    คืนหนึ่งในเดือนมิถุนายน ๒๕๑๑ ข้าพเจ้ากำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องหนังสือ ในยามเงียบสงัดปราศจากเสียงรบกวนทำให้อารมณ์สงบ เด็กเข้ามาบอกว่า มีผู้ต้องการพูดด้วยทางโทรศัพท์ ข้าพเจ้าก็ต้องรีบวางงานออกจากห้องไปรับโทรศัพท์ กล่าวขอโทษที่มารับโทรศัพท์ช้าไป เพราะห้องที่ทำงานกับโทรศัพท์อยู่คนละแห่ง

    เมื่อท่านผู้นั้นได้ทราบว่าข้าพเจ้าเป็นผู้พูด ก็แสดงความดีใจและกล่าวคำขอโทษที่รบกวนในยามค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้ บอกชื่อและที่อยู่ให้ทราบ แล้วท่านก็เริ่มระบายอารมณ์ที่ขุ่นมัวออกมา ทั้งโกรธแค้นเจ็บใจที่อัดไว้แน่นออกมาในเสียงทางโทรศัพท์ ข้าพเจ้าก็นิ่งฟังด้วยจิตสงบ ให้ความสนใจและเห็นใจ

    เราพูดกันอยู่คนละฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเราไม่เห็นตัว ทำให้นึกเดากิริยาท่าทางของผู้พูด ซึ่งพูดออกมาเสียงขุ่นๆ ตอนหนึ่งว่า

    “คุณเขียนแต่เรื่องพบคนดี ทำไมไม่เขียนเรื่องพบคนชั่วบ้าง คิดว่าคุณไม่เคยพบคนชั่ว คุณเป็นคนโชคดีพบแต่คนดี แต่ผมโชคร้าย หนีไม่พ้นคนชั่ว มันน่าเจ็บใจเหลือเกิน มนุษย์สมัยนี้บางคนมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจมันโสมมยิ่งกว่าสัตว์ที่น่ารังเกียจ เพราะหาความแน่นอนไม่ได้ มีแต่ความสับปรับ แม้แต่ภายนอกมันจะแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษ กิริยาอ่อนน้อม และนั่งรถยนต์ราคาแพง แต่มันก็แฝงความชั่วไว้ภายใน ห่อหุ้มฉาบหน้าแสดงท่าเป็นสุภาพบุรุษไว้ภายนอก ผมได้พบมนุษย์ชนิดนี้มาแล้ว”

    แต่แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังกว่าปกติคล้ายอารมณ์เสียว่า “นี่คุณฟังอยู่หรือเปล่า”

    ข้าพเจ้าสะดุ้งแล้วรีบตอบ “ผมกำลังฟังอยู่ด้วยความสนใจทุกคำ ทุกประโยค โปรดพูดต่อไปเถิดครับ ผมคอยฟังอยู่แล้ว”

    เสียงหัวเราะในทางโทรศัพท์ว่า “ขอบคุณที่ได้สนใจฟังอย่างสงบ เผลอไปคิดว่าคุณไม่ได้ฟัง ขอโทษด้วย นึกว่าปล่อยให้ผมพูดอยู่คนเดียว เหตุที่ผมต้องโทรศัพท์มารบกวนในยามค่ำคืนนี้ ก็เพราะเหตุที่คุณเป็นผู้เขียนเรื่อง “พบคนดี" ในชุดกฎแห่งกรรม เมื่อได้อ่านแล้วทำให้จิตใจสบายซาบซึ้งถึงคุณธรรมสูงของท่านที่ประกอบกรรมทำดี เป็นผู้เสียสละมิได้เห็นแก่ตัว แม้จะเป็นคนในประเทศหรือนอกประเทศ รู้สึกมีชีวิตที่ราบรื่น โลกนี้น่าอยู่มีแต่ความสดชื่นสวยงาม อบอวลไปด้วยกลิ่นของคุณธรรมสูง ชื่อเสียงบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้ที่สวยสดงดงามและกลิ่นหอม เป็นที่เคารพนับถือของคนที่รู้จักทั่วไป ผู้ใดประสบการณ์เข้าไปอยู่ในหมู่คนดีมีศีลธรรม ก็นับว่าเป็นโชคดีที่สุดในโลก มีความอบอุ่นด้วยคุณธรรม”

    ผู้พูดหยุดระยะหนึ่งแล้ว พูดต่อไปว่า “ผมอยากทราบว่า ถ้าคุณพบคนชั่วที่แฝงอยู่ในร่างมนุษย์ คุณจะทำอย่างไร จะหาทางสั่งสอนมันด้วยเลือดให้สมกับความชั่วของมันไหม คุณจะเขียนเรื่องพบคนชั่วไหม”

    ได้ฟังผู้พูดระบายความรู้สึกออกมาตามอารมณ์แล้ว ข้าพเจ้าก็หัวเราะพูดปลอบใจว่า “คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ในโลก หนีไม่พ้นที่จะต้องพบทั้งคนดีและคนชั่ว ผิดแต่ว่าเมื่อเราจะชักจูงให้การเห็นผิดเป็นชอบกลับมาเป็นผู้ที่เกิดมีศีลธรรม เห็นว่าตนหลงมัวเมากลับจิตใจได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถช่วยให้กลับตัวได้ เพราะสันดานชั่วติดแน่น เราก็แผ่ความสงสารให้มาก แล้วก็ทำจิตใจให้อยู่ใน “อุเบกขา” เพราะรู้ว่าเขาจะต้องรับเคราะห์กรรม ที่เขาก่อขึ้นตามสนองอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว

    มีตัวอย่างมากมายที่ผู้ก่อกรรมชั่วขึ้นเอง เป็นต้นเหตุให้เคราะห์กรรมติดตามให้ผลภายหลัง ผมจึงไม่สมัครใจจะเขียนเรื่อง “พบคนชั่ว” เพราะยุคนี้มีผู้ทำชั่วกันมาก สำหรับผู้สร้างกรรมดีนั้นหาได้น้อยมาก เหมือนเพชรเป็นสิ่งที่หายากจึงมีค่าสูง สำหรับศึกษาเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องส่งเสริมคนสร้างกรรมดี เพราะจะทำให้ผู้เขียนและผู้อ่าน ผู้ฟัง มีจิตใจเบิกบานอิ่มเอิบสดชื่น ส่วนเรื่องคนชั่วนั้น อยู่ที่ไหนก็ทำให้คนดีเดือดร้อน และชื่อเสียงเหม็นที่นั่น เป็นที่รังเกียจของคนดีทั่วไป เมื่อฟังแล้วก็มีแต่ความเศร้า จิตใจหดหู่ มีแต่เรื่องฆ่า เรื่องปล้น เรื่องยิง เรื่องฟันกันตาย เรื่องหักหลังล้างแค้น ทำลายพระพุทธรูป เห็นจะไม่มียุคใดสมัยใดที่มนุษย์ชั่วจิตเหี้ยมโหดใจทมิฬ ตัดเศียรพระพุทธรูป มีข่าวประจำ ทำลายจิตใจชาวพุทธส่วนรวมทั้งประเทศ พากันสลดใจเศร้าหมอง กรรมหนักก็จะติดตามสนองมนุษย์ชั่วชาติในบั้นปลายของชีวิต

    ทุกวันนี้มนุษย์ได้ประพฤติตนผิดศีล ๕ ข้อ ของพระพุทธศาสนา จึงเกิดฆ่าฟันทำลายชีวิต เพื่อล้างแค้นในการผิดลูกผิดเมียเป็นข่าวที่น่าเศร้าสลดใจ เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่อยากเขียนเพราะเป็นดาบสองคม แทนที่จะเป็นตัวอย่าง กลับเอาแบบอย่างความชั่วไปใช้กันง่ายขึ้น

    อย่าเข้าใจว่าผมพบแต่คนดี ไม่เคยพบคนชั่ว หากแต่พบคนชั่วน้อยเพราะผมไม่สนใจ เมื่อเราได้พบก็นึกว่าเป็นธรรมดา เพราะเราเป็นมนุษย์ปุถุชนยังวนเวียนอยู่ในโลก

    แม้แต่พระอริยเจ้าหรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เลิศด้วยบารมี ทรงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแสวงหาสัจธรรม หวังจะช่วยให้สัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ให้พ้นจากความมัวเมาหลงเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น ก่อนที่พระองค์จะทรงบรรลุเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ต้องผจญมารใจชั่ว มุ่งหวังทำลายมิให้พระองค์สำเร็จพระบรมโพธิญาณ ไม่ยอมให้ช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์ แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนา พระองค์ทรงพบกับคนชั่ว คือพวกเดียรถีย์

    สมัยพุทธกาลมีลัทธิเอาชีวิตและเลือดเนื้อบูชายัญ ตรงกันข้ามศีลธรรมของพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้วพวกเดียรถีย์ก็อับแสง และเสื่อมจากลาภ ขาดผู้สักการะบูชาลง จึงมีจิตอิจฉาริษยาพยาบาท จึงออกอุบายให้ นางจิญจมาณวิกาแสดงเป็นหญิงมีครรภ์ เที่ยวประกาศตัวว่าตนได้ร่วมและมีครรภ์กับองค์พระศาสดา ท่ามกลางฝูงชนที่มาคอยดับฟังพระองค์แสดงสัจธรรม แต่องค์พระตถาคตมิได้ทรงยินดียินร้าย ด้วยบารมีศีลบริสุทธิ์สะอาด ซึ่งพระองค์ได้สละเวียงวังสาวสนมนางใน และพระราชอำนาจออกแสวงหาสัจธรรม ได้ดับกิเลสตัณหาที่เป็นต้นเหตุแห่งกรรม จนบรรลุสัจธรรมเพื่อทรงสอนประชาชนให้พ้นทุกข์ ผลแห่งบารมีเกิดบันดาลให้คนชั่วคิดร้ายใส่ความในพระองค์ต้องรับกรรมชั่วที่เกิดขึ้นตามสนอง นางจิญจมาณวิกาก็ถูกแผ่นดินสูบเป็นกรรมตามสนอง

    นี่ก็เห็นว่า ผู้ได้ประกอบกรรมชั่ว กรรมนั้นจะต้องตามสนองไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้น พระศาสดาจึงสอนเราอย่าประมาทให้เรามีสติ รู้ตัวก่อน หากว่าความโกรธกำลังจะเกิดขึ้น มีเวลายับยั้ง มีปัญญาพอจะรู้ได้ว่าความโกรธเป็นภัยที่ร้ายแรงแก่ผู้โกรธเอง ยิ่งโกรธมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นโทษเป็นภัยมากเท่านั้น โดยโทษภัยนั้นจะติดตามมาภายหลัง เรามีสติพอ มีเวลาสามารถที่จะดับความโกรธลงได้ก่อนที่จะถึงจุดบ้าร้อนแรงเดือดพลุ่งขึ้นมา พอที่เผาผลาญอนาคตและชีวิตของตนเองได้”
     

แชร์หน้านี้

Loading...