บทสนทนาพระอาจาร์มั่น กับพระพุทธเจ้า ทางนิมิตของสมาธิจิต ไม่ใช่ นิมิต วิปัสสนูกิเลสที่ไม่เป็นจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 14 มกราคม 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    starcross.jpg





    บทสนทนาพระอาจาร์มั่น
    กับพระพุทธเจ้า ทางนิมิตของสมาธิจิต
    ไม่ใช่ นิมิต วิปัสสนูกิเลสที่ไม่เป็นจริง



    ในพระโอวาทของพระพุทธเจ้า
    ทั้งหลายที่ประทานอนุโมทนาแก่หลวงปู่มั่นนั้น พอประมวล
    โดยรวม มีสาระส่วนใหญ่ดังนี้ เราตถาคตทราบว่าเธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์
    ในที่คุมขังแหล่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก
    และมีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวติดอยู่รอบตัว
    ไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้
    เพราะสัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่
    กับตัวตลอดมา ว่าเป็นสิ่งที่ทรมาน และเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอ
    จะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่างๆ ก็เหมือนคน
    เป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึง
    ไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น
    ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพ
    เพราะโลกกิเลสตัณหาภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้ เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อไร
    สิ่งตายตัวคือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมจะไม่มีวันหาย
    ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายคละเคล้าไปกับ
    ความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยง
    กันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล
    ธรรมแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ ก็ไม่ สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัว
    เท่าที่ควรจะได้รับจากธรรม ธรรมก็
    อยู่แบบธรรมสัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์
    ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดย
    ไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้นสุดทุกข์ลงได้เมื่อใด
    ไม่มีทางช่วยได้ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเองโดยยึดธรรมมา เป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม
    พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์
    และสั่งสอนมากมายเพียงไรผลที่ได้รับก็
    เท่าที่โรคประเภทที่คอยรับยาอยู่เท่านั้น
    ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัว
    อยู่อย่างเดียวกันคือ สอนให้ละชั่วทำดีทั้งนั้น ไม่มีธรรมพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่กิเลสตัณหาพิเศษ
    ในใจสัตว์โลกที่พิเศษเหนือธรรมที่ประกาศสอนไว้
    เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้ว
    เป็นธรรมที่ควรรื้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว
    นอกจากผู้รับฟังและปฎิบัติตาม
    จะยอมแพ้ต่อกิเลสตัณหาของตัวเองเสียเอง แล้วธรรม เป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น
    ที่นี่เธอเห็นตถาคตจริงแล้วมิใช่หรือ
    พระตถาคตแท้คืออะไรคือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็น
    แล้วนั้นแล ที่พระตถาคตมาในร่างนี้มา
    ในร่างแห่งสมมติต่างหาก เพราะตถาคต
    และพระอรหันต์อันที่จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้ นี่ เป็นเพียงเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมติเท่านั้น
    หลวงปู่ได้กราบทูลถามว่า ข้าพระองค์ทราบพระตถาคต
    และพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยคือพระองค์ ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพาน
    ไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่เลย แล้วเสด็จมาในร่างนี้
    ได้อย่างไร ?
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์กายใจ
    ด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมติอยู่
    ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมติตอบรับ คือต้องมา ในร่างสมมติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้ ถ้าต่างฝ่ายต่าง
    เป็นอนุปาทิเสสนิพานด้วยกัน แล้วไม่มีส่วนสมมติอยู่
    ตถาคตก็ไม่มีอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก ฉะนั้นการมา
    ในร่างสมมตินี้เพื่อสมมติเท่านั้น ถ้า
    ไม่มีสมมติอย่างเดียวก็หมดปัญหา พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีต
    อนาคตก็ทรงถือเอานิมิตคือสมมติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้นๆ
    มาเป็นเครื่องหมายให้ทราบเช่น
    ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรง
    เป็นมาอย่างไรเป็นต้น ก็
    ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ และพระอาการนั้นๆ เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้า
    ไม่มีสมมติของสิ่งนั้นๆ เป็นเครื่องหมายก็ไม่มีทางทราบได้
    ในสมมติเพราะวิมุติล้วนๆ ไม่มีทางแสดงได้
    ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัย หรือถามพอ
    เป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน ?
    หลวงปู่ท่านกราบทูล ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมติ และวิมุติของพระพุทธองค์ทั้งหลาย แต่ที่กราบทูล
    นั้นก็เพียงเพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมตินั้น
    แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ ก็มิได้สงสัยว่า
    พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด
    แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้
    นั้นเห็นเราตถาคต อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มิใช่อื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมติ
    ในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่เราตถาคตถามเธอมิได้ถามด้วย
    ความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย แต่ถามเพื่อ
    เป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น
    บรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์ และแต่ละครั้งนั้นมิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับหลวงปู่เลย
    มีพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียว
    ส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่งฟังอยู่อย่างสงบ
    น่าเคารพน่าเลื่อมใสมากเท่านั้น
    .
    .

    ส่วนหนึ่งในหนังสือ ประวัติหลวงปู่มั่น
    โดย พระอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    หลวงปู่มั่นพบพระพุทธเจ้าในพระนิพพาน โดย สมเด็จพระญาณสังวรฯ

    มีเรื่องเล่ากันนานปีมาแล้ว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ

    ท่านเคยเล่า ว่าคืนหนึ่งขณะท่านปฏิบัติอยู่ในป่า ใจร่ำร้องกราบพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา ขอประทานพระมหาเมตตาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสมปรารถนาได้พ้นทุกข์ และสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงพระเมตตาเสด็จลงให้ท่านพระอาจารย์
    ได้เฝ้าพระพุทธบาทรับประทานวิธีปฏิบัติธรรมไปสู่ความไกลกิเลสได้สิ้นเชิง ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงให้ท่านได้เฝ้าพระพุทธบาทได้เห็นพระพุทธองค์ดั่งได้เฝ้าพระองค์จริงขณะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ฉะนั้น ไม่ทราบว่าท่านพระอาจารย์ท่านบอกหรือเปล่า ว่าท่านทีความปีติโสมนัสเพียงไรในบุญวาสนาของท่านที่ไม่น่าเป็นไปได้ในชีวิตผู้ใดแต่ได้เกิดแก่ชีวิตท่านพระอาจารย์ท่าน
    แล้วจริงโปรดประทานพระมหากรุณาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีเดินจงกรม วิธีปฏิบัติจิตใจ จนในที่สุดท่านพระอาจารย์ท่านก็ได้เป็นดั่งองค์
    แทนศิษยานุศิษย์ผู้สามารถปฏิบัติธรรมดำเนินถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ได้เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมองค์สำคัญที่สุดอยู่ในยุคนี้
    เป็นที่รู้กันอยู่ในบรรดาผู้ใส่ใจในการปฏิบัติธรรมทุกถ้วนหน้า เรื่องนี้ ที่ท่านพระอาจารย์ท่านได้เล่าไว้ ไม่เพียงทำให้ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้สอนธัมมะสำคัญแก่ศิษยานุศิษย์มากหลาย แต่ทำให้ได้ความเข้าใจที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในเมืองพระนิพพานแน่ ยังทรงได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ที่ควรแก่การได้รับพระพุทธเมตตา เช่นท่านอาจารย์มั่นท่านนั่นเอง ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านควรที่สุดแน่นอนแล้วที่จะได้รับพระมหากรุณา ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายย่อมเห็นด้วยกับความจริงนี้แน่นอน.

    : แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๐
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1405:2010-01-14-17-45-16&catid=68:2012-03-31-07-37-30&Itemid=199
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    บทสนทนาพระอาจาร์มั่น
    กับพระพุทธเจ้า ทางนิมิตของสมาธิจิต
    ไม่ใช่ นิมิต วิปัสสนูกิเลสที่ไม่เป็นจริง”


    บทความที่ยกมานี้ มีในแหล่งข้อมูล
    ที่อ้างอิงมาไหมครับ

     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ส่วนหนึ่งในหนังสือ ประวัติหลวงปู่มั่น
    โดย พระอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    2A194F45-CF84-44FD-ADDE-58125F566CAF.png
    ขอบคุณที่ตอบแทน
    ใจจริงเจตนาถามคนตั้งกระทู้มากกว่าครับ
    คืออ่านแล้วมันแปลกๆ
    เฉพาะตัวหนังสือสีแดงนะครับ
    ส่วนตัวว่าไม่ดีมากนะครับ
    การที่จะมามโนแทรกความคิดตนเอง
    เสริมทั้งที่ไม่มีความเข้าใจสภาวะเพียงพอ
    จากการปฎิบัติ ถ้ามีข้อความนี้ขออภัยงั้น
    ขอ เลขหน้า link ที่มายืนยันด้วยครับ
    มันบอกถึงมารยาทบางอย่างของเราเอง

    นี่ครับต้นฉบับ
    ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น04
    อ้างอิงที่มาข้างล่างครับ
    ข้อความอยู่หน้า ๑๐๔ ครับ

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_book_detail.php?cgiBookID=4
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จขกท น่าจะหมายความว่า

    กับพระพุทธเจ้า ทางนิมิตของสมาธิจิต

    คับ

    ไม่ใช่ นิมิต วิปัสสนูกิเลส ที่ไม่เป็นจริง


    ส่วนหัวโพสนั้น น่าจะเกืดจากว่า น่าจะมีพวกคนบางคนบางกลุ่มที่ปฏิบัติไม่ถึง กล่าวปรามาส ว่าการที่พระพุทธเจ้ามาโมทนากับหลวงปู่มั่นนั้น ไม่เป็นความจริง เป็นการหลอกต่างๆนาๆ ที่จะพยายามใส่ร้ายมากกว่า. จขกท ก็เลยนำบทความมาลงยันให้พวกที่ปรามาสอ่านดูคับ

    ปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ คนพวกนี้แถมเยอะด้วย

    ส่วนตัวผม ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังว่า สมัยช่วงหนังสือออกนั้น พวกที่มีความคิดว่านิพพานสูญ พระพุทธเจ้าสูญนั้นออกมาโจมตีเยอะมาก. ด้วยเพราะความอวิขาของคนพวกนั้น. ก่อกรรมไม่รู้ตัว วิจารณ์สร้างกรรมหนัก จนตอนหลังๆ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ต้องบอกไปว่าเป็นนิมิตแทน เพื่อไม่ให้คนปรามาสครับ. คือเอาจริงๆ พระพุทธเจ้ามาหาจริง ไม่ใช่นิมิต คับ

    สมัยปัจจุบันคนพวกนี้ก็ยังมีอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2018
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อความข้างบนครับ.....
    พอเข้าใจที่คุณ Saber อธิบายครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...