ขออนุญาตสอบถามพี่ๆและเพื่อนๆนักปฏิบัติทุกท่านครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rattanasak, 26 ธันวาคม 2017.

  1. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ประกาศมาครับใครอยากรู้เรื่องญานที่ถามมา. ประกาสตนมาว่าเป็นอริยแล้ว. จะได้คุยกันรู้เรื่อง. ถ้าไม่ใช่อริยะก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก. เพราะอีกคนมีเกิดขึ้นอีกคนไม่เกินขึ้น. ถ้างั้นก็ให้หาอ่านในหนังสือเอาเดาไปก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2018
  2. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    มโนทวาร หมายถึง ทวารต่างๆที่จิตใช้ไปเสพหรือสัมประยุตครับ
    มโนทวาราวัชชนะ หมายถึง สิ่งต่างๆที่จิตไปเสพหรือสัมประยุต
    ของหลวงปู่ดูลย์ หนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ นั้นเป็น อาการโดยปฏิโลม
    หรือสัจจานุโลมมิกญาณ เพราะในยุคนั้น ความเชื่อในพระธรรมคำสอนนั้น
    ตกต่ำมากถึงมากที่สุด กระแสวิทยาศาสตร์มาทำลายพุทธศาสตร์เกลี้ยงไม่เหลือหลอ
    จึงมีการเขียนบรรยาย สภาวะผลของการปฏิบัติของตนเพื่อประกาศและยืนยัน
    ว่าตนเข้าถึงอย่างแท้จริง
    เพราะสมัยนั้นชอบท้าทายกันว่า เก่งจริงต้องเขียนหนังสือออกมาให้คนอ่านได้
    แล้วจะได้ยอมรับกัน
    เป็นความเชื่อที่ต่ำช้าและบัดซบมากเพราะตามตูดพวกนอกศาสนา
    (ยอมรับว่าอุกอั๊งเอ้าคับแค้นใจมากในช่วงนั้น ไม่รู้ว่าจะทำยังไง แต่มันก็ผ่านไปแล้วนี่เนาะ๕๕๕)
    คุยเรื่องพวกนี้ดีกว่าแฮะ
    พวกกามตายด้านนี่สงสัยจะสกิทาคามีทุกคนแฮะ
    ไม่ได้ว่าใครเน้อ
     
  3. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ความเพียรนั้นท่านตรึกละลึกอยู่ในกามฉันทะอันมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ ตรึกละลึกนั้นด้วยสัญญาอาการที่เกิดขึ้น และธัมวิจยไปได้ เพื่อให้เห็นธรรม ก้เป็นการกระทำภาวนาอย่างหนึ่ง
    เมื่อท่านตรึกละลึงลงในจิตปัจจุบันขณะ ก้จะเห็นธรรมที่เกิดขึ้นแก่จิตในปัจจุบันนั้นด้วยเช่นกัน กามฉันทะที่ตรึกละลึกถึงนั้นสิ่งใดเกิดก่อนเฟ้นธรรมในสิ่งนั้นก่อน และวางธัมมารมนั้นด้วยความแช่มชื่นอิ่มเอิบ ด้วยความสงบระงับ ด้วยความวางเฉย
    เมื่อท่านตั้งเป้าใน กามกิจ ก้ตรึกลงในการเฝ้าระวังในกามกิจนั้น ให้สงบระงับไปเป็นส่วนๆ เมื่อจิตของท่านนั้นมีกำลังมากขึ้นก้เฝ้าระวังฉันทะอื่นๆ เช่นรสของอาหาร เมื่อจิตได้รับรู้รสจิตของท่านนั้นก้เข้าตรึกละลึกรู้และพิจารณาในฉันทะที่มีในปฎิคะที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดอิ่มเอิบสงบและวางเฉยต่อผัสสะนั้นๆทีละส่วนๆไป
    เมื่อจิตมีกำลังของสติและเฟ้นธรรมด้วยความเพียรจนเกิดผลเป็นอุเบขขาได้โดยรอบก้ได้ชื่อว่าท่่านระงับ กามฉันทะทั้ง รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสทางกาย สัมผัสทางใจ โดยครบถ้วน
    ธรรมนั้นมีหลากหลายด้วยต่างกรรมต่างวาระผู้ปติบัติจึงมีวิธีการที่เหมาะแก่จริตตนแตกต่างกันไป
    บางท่านนั้นตรึกละลึกในกามฉันทะด้วย รูป รส กลิ่น เสียง ธัมมารม และสัมผัสทางกาย ไปโดยพร้อมกัน ด้วยกลังสติตั่งมั่น ด้วยกำลังแห่งสมาธิ และ ธัมวิจย ไปโดยถ้วนทั่วพร้อมกัน ผลนั้นก้อาจจะเกิดขึ้นโดยพร้อมกันได้ คือจิตมีอุเบขขาสัมโพชฌง ต่อ กามฉันทะทั้งสิ้นไปทีเดียว
    แต่จะทำเช่นไรในการพิจารณาไปทีละส่วนหรือพิจารณาพร้อมกันทีเดียวนั้นก้ขอให้สุดแต่ใจท่านปราถนาเถิด
     
  4. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    เสียใจครับผมไม่ใช่กามตายด้านถ้าจะให้ออกไม่เกิน1นาทีแต่ที่ไม่เคลื่อนเลยมานานเพราะปัญญามีแท้จริง. พอเข้าใจนะ. ไม่ใช่ถึงเวลา. ปิ๊ดๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2018
  5. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    ๕๕๕๕๕๕
    งั้นก็ดีแล้ว แต่ผมจำคุณได้ไม่ใช่อะไรหรอกที่อำเภอหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด
    อย่าคิดว่าตนไม่มีเจโตปริยญาณแล้วผู้อื่นจะไม่มี
    ไม่สามารถล่วงรู้ในสิ่งที่คุณคิด คุณมี คุณสั่งสม
    ในที่นี้มีผู้รู้นะครับ อย่าคิดว่าจะคึกคะนองได้ตามอุปนิสัยที่สั่งสมมา
    อย่าอ้างจริตด้วย
    ในครั้งนั้นที่เดินหนีแล้วกล่าวเรื่องการพยากรณ์มรรคผลว่าเป็นของพระพุทธองค์แต่ผู้เดียวนั้น
    ไม่อยากให้เกิดโทษเท่านั้น
    แต่ดูเหมือนจะคิดผิด
     
  6. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ท่านธรรม-ชาติ งูๆปลาๆได้สดับธรรมที่ท่านกล่าวถึงเมื่อเข้าสู่วิญญาณัญจายตนะ และ อากิญจัญญายตนะ เมื่อเข้าถึงตัวนี้แล้ว จิตมีวิญญานนั้นเป็นรูป เมื่อเพิกวิญญานแล้ว ก้เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ คือมีอายตนะ เหลือเพียง มโนสังขาร อันมี เจตนาทางใจเป็นรูป อันมี
    • ปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี
    • อปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว
      • อาเนญชาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว
    เพราะเหตุอันอวิชายังมียังไม่สิ้นอาสวะจึงเป็นปัจจัยให้สังขารยังคงเกิดขึ้นอยู่ ในอากิญจัญญายตนะนี้ ปุญญาภิสังขาร และ อปุญญาภิสังขาร นั้นดับลงไปเพราะไม่เกิดกุศลและอกุศลในขั้นนี้ แต่มีอาเนญชาภิสังขารปรุงแต่งภพอันมั่นคงอยู่ สติยังคงอยู่ในความตั้งมั่น แต่ยังคงสามารถพิจารณาไตรลักษณืเพื่อเพิก สังขารจนเหลือเพียง สัญญาบ้างไม่มีสัญญาบ้างใน เนวสัญญานาสัญญายตนะ เหลือสัญญาเป็นอายตนะ ท่านธรรม-ชาติ ท่านกล่าวว่า ท่านทำลาย ขันธ์ อายตนะ สติความตั่งมั่นที่ท่านกล่าวว่าเป็น เช่นดังนี้

    อ้างอิงจาก http://palungjit.org/threads/ขออนุญาตสอบถามพี่ๆและเพื่อนๆนักปฏิบัติทุกท่านครับ.633133/page-5
    +++ ช่วงปี 2532 ผมให้ความ "สนใจ กับ การเกร็งตัวทางจิต" ซึ่งจะต้อง "ทำสติ ให้ตั้งอยู่ ตลอดเวลา" จึง "เห็น" อาการก่อนการ เกร็งตัว ชัดเจน
    +++ จากการ "เล่น ไป/มา" กับ "การเกร็งตัวทางจิต" จึงรู้ได้ชัดเจนว่า "การเกร็งตัว ในระดับต่าง ๆ นั่นเอง คือ ตัว ฌาน"
    +++ การ "เข้า/ออก" ต่างระดับไปมาใน "การเกร็งตัวทางจิต" จึงพบได้ว่า "จากอรูป สู่ รูป" หาก เข้า/ออก ช้า ๆ จะรู้ชัดเจน ถึงการก่อกำเนิด "สฬายตนัง"
    +++ แล้ว "ถอยฌาน" ช้า ๆ จึงรู้ได้ว่า "เมื่อ ยังเป็น อรูป สฬายตนัง ยังไม่เกิด การรับรู้ทั้งหมด เป็น มโนทวาร" ตรงนี้เป็น "อรูปพรหม"
    +++ เมื่อ "ถอยฌาน" ออกมาอีกอย่างช้า ๆ จึงรู้ได้ว่า "เมื่อ รูป เริ่มปรากฏ สฬายตนัง ก็เริ่มปรากฏ" แต่การรับรู้ทั้งหมด ยังเป็น มโนทวาร ตรงนี้เป็น "รูปพรหม"
    +++ แล้ว "ถอยฌาน" ช้า ๆ ออกมาอีก จึงรู้ได้ว่า "เมื่อ รูปปรากฏชัดเจนแล้ว สฬายตนัง จึงเริ่มทำงาน การรับรู้ทั้งหมด เป็น สฬายตนัง"
    +++ จากนั้นจึงค่อย ๆ "เห็นจิตส่งออก ไปตาม สฬายตนัง" และ นั่นแล... "กามาวจร"
    +++ จากนั้น "กิริยาจิต+จิตส่งออก" ไปตาม สฬายตนัง จึงเกิดขึ้น

    +++ ช่วงปี 2533 ผม "อยู่กับรู้" ไปเรื่อย ๆ จนสามารถ "ดับ/สลาย" การเกร็งตัวทางจิตลง จึงทราบชัดเจนได้ว่า "นิโรธ ดับสนิท" คืออะไร
    +++ หากทำให้ "การเกร็งตัวทางจิต" หยุดนิ่งอยู่กับที่ ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็น "นิโรธ" ชนิดหนึ่ง เป็น อนาคานิโรธ เพราะเหลือแค่ "การคลายตัว" อย่างเดียว
    +++ หากทำการ "ดับ/คลาย" แล้ว ปล่อย ให้อยู่อย่างนั้น ก็จะพ้นอกจาก อนาคานิโรธ เข้าสู่ "นิโรธสุดท้าย"
    +++ สิ่งที่เหลืออยู่ คือ "อยู่กับรู้ (มหาสติ)" ของหลวงปู่ดูลย์ เท่านั้นเอง
    +++ ไม่นาน ก็เริ่มรู้ว่า "การเกร็งตัวทางจิต นี่เองที่ทำให้ สภาวะรู้ หายไป" ตรงนี้คือ วิชชา/อวิชชา ในปฏิจจสมุปบาท
    +++ จากนั้นจึง ค่อย ๆ ปล่อยให้ "สภาวะ ไม่รู้ เกิดขึ้น" จึงชัดเจนได้ว่า มันเกิดมาจาก "อณู" เล็ก ๆ ที่มีอยู่โดยทั่วไป เป็นสาธารณะ
    +++ "อณู" เล็ก ๆ ที่มีอยู่โดยทั่วไปนี้ "มาจากที่ใด ไปสู่ที่ใด ไม่ปรากฏ และ ไม่มีอาการ เกิด/ดับ"
    +++ นี่เป็น "สังขตธาตุ ที่ไม่ เกิด/ดับ" มีอยู่จริง เป็นอยู่จริง

    +++ ช่วงกลางปี 2533 แม้ว่าจะ "รู้/เข้าใจ" ทุกอย่างแล้ว แต่ก็ "ยังไม่พ้น" จากสภาวะที่ยังมี "สังขตธาตุ ที่ไม่ เกิด/ดับ" นี้ออกไปได้
    +++ ไม่ว่า "การเดินจิต" อย่างไร ก็ "ไม่สามารถ พ้นได้" แม้ว่าจะทำ "ดับ/คลาย/ปล่อย" แล้วก็ตาม
    +++ เดี๋ยวมันก็กลับมารวมตัวกันใหม่อีก เนื่องจาก "สังขตธาตุ ที่ไม่ เกิด/ดับ" อันเป็น "อณูในความว่าง" ตรงนี้ที่เป็น "บ่อเกิดของการรวมตัว"
    +++ ตรงนี้คือ "เหตุปัจจัยโย หรือ ฐิติภูตัง" นั่นเอง
    +++ ผมทำการ "อยู่กับรู้" ไปเรื่อย ๆ จึงชัดเจนในเรื่องของ "การรวมตัว" ตรงนี้ว่ามัน "เป็น ธรรมารมณ์ ชนิดหนึ่ง" แน่นอน
    +++ และนี่คือ "เหตุปัจจัยโย สู่ อารัมณปัจจัยโย" และ หลังจาก อารัมณปัจจัยโย ขึ้นมา "ปิดบัง สภาวะรู้" แล้ว ฐิติความเป็นตน จึงตามมา
    +++ เมื่อ ความเป็นตน ตั้งอยู่ ความครอบครอง (อธิปัตย์) จึงเกิดขึ้น นี่เอง "อธิปัตติปัจจัยโย" ไปจนตลอดสาย "มหาปัฏฐานสูตร"

    +++ "ตัวดู" คือ "การเกร็งตัวทางจิต" มีสภาวะเป็น "อธิปัตติปัจจัยโย"
    +++ การทำการ "แฝงสภาวะรู้" แทรกซ้อน ลงไปใน "ตัวดูได้" เท่านั้น จึงเป็น "วิสุทธิขันธ์"
    +++ "สภาวะรู้" เป็นสภาวะที่ "ไม่จำเป็นที่จะต้องมีขันธ์ ก็ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง"
    +++ ยามใดที่จะต้อง "ใช้ขันธ์" ก็ "ทำ" ให้เกิด "การรวมตัว" เข้ามา แล้ว "แฝงสภาวะรู้" ลงไป
    +++ ยามใดที่จะไม่ "ใช้ขันธ์" ก็ "ทำ" ให้เกิด "การเพิกออกจากขันธ์" ให้สลายไป เหลือแต่ "สภาวะรู้" ที่ไม่ เกิด/ดับ เท่านั้น

    +++ การออกจาก "สังขตธาตุ ที่ไม่ เกิด/ดับ" นี้ สามารถทำได้ด้วยการทำการ "ดับ/คลาย/ปล่อย" ให้รุนแรงที่สุด เท่าที่จะทำได้
    +++ หรือจะใช้การ "ดับ" ในนิโรธ แล้ว "เร่งอัตราการคลายตัวออก" ก็ได้ อาการนี้ผมเรียกมันว่า "การระเบิดตัวดู"
    +++ ในระหว่าง "การระเบิดตัวดู" ออกนี้ จะเกิดอาการ "เจิดจ้า" ชนิดหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นคือ "การเกิดของ พรรณรังสี"
    +++ ณ ขณะที่ "พรรณรังสี (ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า ฉัพพรรณรังสี)" เกิดขึ้นนี้ ในภายหลังจึงพบว่า "มีผู้กล่าวอาการนี้ ไว้แล้ว"
    +++ ผมมาเจอเอาใน "เวปพลังจิต" ไม่นานมานี้เอง ผู้นั้นคือ "หลวงพ่อ พุทธทาส" ที่อธิบายถึง "ไกวัลยธรรม" นั้นเอง
    +++ ผู้ที่ทำการ "ระเบิดตัวดู อย่างรุนแรงสุดชีวิต" ได้แล้ว จึงจะรู้จัก "พรรณรังสี ซึ่งก็คือ ไกวัลยธรรม" อันเดียวกัน
    +++ และใน "พรรณรังสี หรือ ไกวัลยธรรม" นี้มักจะมีปรากฏการณ์ของ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" เสมอ ๆ
    +++ ผู้ที่ผมฝึกให้ใน กลุ่มฝึก ที่สามารถทำการ "ระเบิดตัวดู" ได้ ส่วนใหญ่ จะรู้จัก ปรากฏการณ์นี้ แจ้งแก่ใจตนเอง
    +++ ผู้ใด "เป็นพุทธศาสนิกชน" ในพระพุทธเจ้าองค์ใด "พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น ๆ จะปรากฏมาเป็น สักขีพยานเสมอ"
    +++ ดังนั้น พวกเราในกลุ่มฝึก จึงรู้จักชัดเจนว่า "โกญทัญญะโคตร กัสสปะโคตร และ โคตมะโคตร" มีความ เหมือน/ต่าง กันอย่างไร
    +++ หากสอบถาม "สื่อสาร" ก็มักจะได้ความเข้าใจว่า ผ่านระยะเวลา "กี่อสงไขย" มาแล้ว และชัดเจนว่า "อสงไขย" คืออะไร
    +++ การสื่อสาร ภายในปรากฏการณ์นี้ จะไม่มี "กิริยาจิต" เพราะ "พ้นจาก สังขตธาตุ ที่ไม่ เกิด/ดับ" เริ่มเข้าสู่ "อสังขตธาตุ" ตัวจริง



    เท่ากับว่า สติ สมาธิ ปัญญา เมื่อใช้แล้วเสร็จนั้นจบกิจก้ไม่จำเป็นต้องใช้อีก อันขันธ์ อายตนะ ธาตุนั้นก้พ้นไปด้วย อันเป็นธรรมของโลก สิ่งที่เหลืออยู่เป็นธรรมพ้นโลกแล้ว เช่นไกลวัลยธรรมใช่หรือไม่ที่มีความตั่งมั่นอยู่ เป็นจิตบริสุทธิ และเมื่อรวมจิตกลับมาจาก ัญญาเวทยิทนิโรธ สู่โลก ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สตินั้นก้ตั้งอยู่บริบูรณ์ ด้วยสติเป็นบาทฐานของ โพฌงค์ ยังวิชา และวิมุติให้บริบูรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2018
  7. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
    [​IMG]
    อุทธัมภาคิยสูตรที่ ๒
    ว่าด้วยวิธีกำจัดอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕
    [๓๕๓] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องสูง ๕ อย่างนี้
    ๕ อย่างเป็นไฉน? คือ รูปราคะ ๑ อรูปราคะ ๑ มานะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อวิชชา ๑ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย สังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องสูง ๕ อย่างนี้แล.
    [๓๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เพื่อรู้ยิ่ง
    เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องสูง ๕ อย่างนี้แล อริยมรรคอัน
    ประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ
    มีอันกำจัดราคะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโมหะเป็นที่สุด ฯลฯ ย่อมเจริญ
    สัมมาสมาธิ มีอันกำจัดราคะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโมหะเป็นที่สุด ฯลฯ
    ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ฯลฯ ย่อม
    เจริญสัมมาสมาธิ อันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ฯลฯ ย่อมเจริญ
    สัมมาทิฏฐิ อันน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ
    อันน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรเจริญ
    อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละสังโยชน์
    อันเป็นส่วนเบื้องสูง ๕ อย่างนี้แล.
     
  8. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ความเพี้ยนก็เป็นผลจากมโนทวารคับ
     
  9. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    อำเภอพนมไพรหรือเปล่าผมก็เติบโตที่นั่นนะ สงบดี มีพระธาตุพระสารีบุตร
     
  10. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ปล่อยวางเสียเถิด และอย่านับศพถ้าไม่เสร็จศึก
     
  11. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    หลวงพ่อพระมหาธาตุที่บรรจุพระอุรังคธาตุศักดิ์สิทธิ์นักแล
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ในท่อนนี้ "หากจะกล่าวให้ ตรงกับอาการ" ก็จะออกมาเป็น

    +++ เมื่อเข้าสู่วิญญาณัญจายตนะ และ อากิญจัญญายตนะ เมื่อเข้าถึงตัวนี้แล้ว "จิตจะไม่มีตัว จะเหลือแต่ตน เท่านั้น" คือมีอายตนะ เหลือเพียง "ความเป็นตน" มโนทวาร อันมี เจตนาทางใจ "จะเป็นกิริยาจิตเฉย ๆ กับ ผลลัพธ์ที่เกิดจาก กิริยาจิตนั้น ๆ" เท่านั้น
    ปุญญาภิสังขาร ไม่สามารถปรากฏได้
    อปุญญาภิสังขาร ไม่สามารถปรากฏได้
    อาเนญชาภิสังขาร ต่อให้อยู่ท่ามกลางวงดนตรี จิตก็ไม่กระดิกเคลื่อน

    +++ อาการของ อาเนญชาภิสังขาร นั้น เป็นอาการ "โดยเฉพาะของ สติที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ" เท่านั้น
    +++ อาการที่ "สติตั้งมั่นเป็นสมาธิ" นั้น เป็น "สมาธิแบบเปิด อายตนะทั้งหมด ไม่มีอาการปิดเหลืออยู่เลย (รู้สัพสิ่ง แต่ ไม่รับสัพสิ่ง)"
    +++ อาการ "รู้สัพสิ่ง แต่ ไม่รับสัพสิ่ง" นี่แล ... ไม่หวั่นไหว มั่นคง ต่อ สภาพที่ปรุงแต่งภพอันอุตลุด
    +++ ในท่อนนี้ เป็น "อาเนญชาภิสังขาร" เต็มตัว ดังนั้นจึง "เห็น" (ตรงนี้ไม่มีการพิจารณา) ไตรลักษณ์ ในลักษณะ "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่ง ๆ นั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา"

    +++ การ "เห็น" ในท่อนนี้ เป็นการ "เห็นในปัจจุบัณขณะ เป็นสัจจธรรมล้วน ๆ"
    +++ การ "เห็น" ในท่อนนี้ ไม่สามารถมี "สัญญา" เป็นองค์ประกอบได้
    +++ การ "เห็น" ในท่อนนี้ ไม่สามารถมี "รูป เวทนา สัญญา สังขาร" เป็นองค์ประกอบได้
    +++ การ "เห็น" ในท่อนนี้ มีแต่ "วิญญาณขันธ์" ที่ทำหน้าที่ "รับรู้" แต่เพียงอย่างเดียว

    +++ การ "เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่ง ๆ นั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" นั้น
    +++ การเห็นนั้น จะเกิดขึ้นพร้อมกับความ "รู้แจ้งชัด" ว่า "สิ่งหนึ่งใด ทั้งปวงทั้งหมด มันไม่ใช่ตัวกู มันไม่ใช่ของ ๆ กู"

    +++ อาการของ "เนวสัญญา" นั้นสามารถ "ฟันธง" ได้ว่ามันมาจาก "สัญญา"
    +++ แต่อาการของ "อาเนญชาภิสังขาร" นี้สามารถ "ฟันธง" ได้ว่ามันไม่ใช่ "สัญญา"
    +++ และ "อาเนญชาภิสังขาร" นี้สามารถ "ฟันธง" ได้ว่ามันเกิดจาก "สัจจธรรม ณ ปัจจุบัณขณะ"
    +++ เพียงแต่ "อาการของมัน คล้ายกับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ" ประดุจฝาแฝดกันเลย
    +++ สติที่ยังเป็น "กิริยาจิต" นั้น ไม่ได้ใช้มันอีก ถูกต้องแล้ว
    +++ มันกลายมาเป็น "การระลึก ทั้งหมด ถูกรู้" เหตุเพราะ "รู้อยู่แล้ว"
    +++ แม้ว่า "ไม่ต้องตั้งจิต" ก็รู้อยู่
    +++ และ "สภาวะรู้" นี้ "ไม่สามารถ ดับ ได้เลย"

    +++ สภาวะรู้นี้ "พ้นกิริยาจิต พ้นอาการ เกิด/ดับ ทั้งปวง"
    +++ สภาวะรู้นี้ "อาการ เกิด/ดับ ไม่สามารถเข้าถึงได้"

    +++ สภาวะรู้นี้ ผมเรียกมันว่า "สติบริสุทธิ์" และนี่คือ "อาการของ มหาสติ ตัวจริง"

    +++ สภาวะรู้นี้ ไม่สามารถ "ทำ" ให้เกิดขึ้นมาได้
    +++ สภาวะรู้นี้ ไม่สามารถ "ทำ" ให้ตั้งอยู่ได้
    +++ สภาวะรู้นี้ ไม่สามารถ "ทำ" ให้ดับไปได้

    +++ สภาวะรู้นี้ เป็นธรรมที่ "เกิดขึ้น" มาก่อนจิต นานแล้ว ไม่สามารถ "ทำให้เกิดขึ้น" ด้วยกิริยาจิตได้
    +++ สภาวะรู้นี้ เป็นธรรมที่ "ตั้งอยู่" ด้วยตัวมันเอง นานแล้ว ไม่สามารถ "ทำให้ตั้งอยู่" ด้วยกิริยาจิตได้
    +++ สภาวะรู้นี้ เป็นธรรมที่ "ไม่สามารถดับไป" ด้วยตัวมันเอง และ ไม่สามารถ "ทำให้ดับไป" ด้วยกิริยาจิตได้
    +++ ขันธ์ อายตนะ และ ธาตุ ไม่สามารถ "มีอยู่ภายใน เนื้อสภาวะธรรม ของสภาวะรู้" ได้เลย
    +++ แต่ "สภาวะรู้" สามารถ "แฝง" อยู่กับ ขันธ์ อายตนะ และ ธาตุ ได้ แต่ "สภาวะรู้" ไม่ใช่ ขันธ์ อายตนะ และ ธาตุ

    +++ แบบเดียวกับ "คำกล่าวที่ว่า นิพพาน/พุทธะ นั้นมีอยู่แล้วในจิตทุกดวง เพียงแต่หากันไม่พบเอง" นั่นแล....
    +++ ไกลวัลยธรรม เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเฉพาะ ณ ขณะที่ "อัตตา" โดนทำลาย เท่านั้น ไม่ได้ "ตั้งอยู่" ตลอดกาลแบบ สภาวะรู้
    +++ ไกลวัลยธรรม เป็นสภาวะที่ บ่งระบุว่า "อัตตา" โดนทำลาย ได้เรียบร้อยแล้ว
    +++ ไกลวัลยธรรม เป็น "ประตู" ทางออก "ฉุกเฉินเฉียบพลัน" หากเกิดอุบัติเหตุโดยไม่คาดมาก่อน โดยไม่ต้อง "ทำการดับขันธ์" แบบปกติ
    +++ ไกลวัลยธรรม เป็น "ประตู" ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มาปรากฏเพื่อเป็น "สักขีพยานธรรม" แก่พุทธมามกะ "ในศาสนาของพระองค์"
    +++ ไกลวัลยธรรม เป็น "สิ่งเดียว ที่ปรากฏในยามที่ กิจตน จบแล้ว"

    +++ หสิตุปบาท เป็นการเปิดประตู "ขาเข้า" ฉันใด ไกลวัลยธรรม ก็เป็น การปิดประตู "ขาออก" ฉันนั้น
    +++ คำว่า "จิตบริสุทธิ์" ยังไม่นับว่า "ตรงกับอาการ" ที่กลับมาจาก สัญญาเวทยิทนิโรธ
    +++ การกลับมาจาก สัญญาเวทยิทนิโรธ นั้น "ทำให้รู้ชัดเจนว่า จิตนี้ ถือกำเนิดมาได้อย่างไร" มากกว่า

    +++ การเห็น "เหตุปัจจัยโย ใน นิโรธสมาบัติ" นั้น กลับทำให้เกิด "การดำรงค์อยู่ ด้วยความไม่ประมาท ชนิดเข้มข้น"
    +++ การเห็น "เหตุปัจจัยโย ใน นิโรธสมาบัติ" กลับทำให้เกิดอาการ "ฮึดสู้แบบชนิด หัวชนฝา"
    +++ การเห็น "เหตุปัจจัยโย ใน นิโรธสมาบัติ" กลับทำให้รู้ว่า "สังขตะธรรม" ที่มีการเคลื่อนไหว (ตั้งอยู่) แต่ไม่มีการ เกิด/ดับ นั้น "มีอยู่"
    +++ การเห็น "เหตุปัจจัยโย ใน นิโรธสมาบัติ" กลับทำให้เกิดอาการ "ต้องไปให้ พ้นจาก เหตุปัจจัยโย" ตัวนี้ให้ได้ ทุกวิถีทาง

    +++ นั่นแล... ท้ายที่สุด ลงท้ายด้วยการ "ระเบิดตัวดู แบบเฉียบพลัน"
    +++ ณ ขณะนั้นแล... สภาวะธรรมแห่ง ไกลวัลยธรรม จึงปรากฏ
    +++ อยู่ใน ไกลวัลยธรรม แป็บเดียว สภาวะแห่ง "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ก็ปรากฏมาเอง โดยสมบูรณ์
    +++ สติที่เป็น "บาทฐานของ โพฌงค์" คือ สติที่ประกอบด้วย "กิริยาจิต"
    +++ เมื่อ "สติตั้งมั่นได้แล้ว ลงตัวได้แล้ว" ตรงนั้น คือ "ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์"
    +++ เมื่อมาถึง "อุเบกขาสัมโพชฌงค์" ได้จริงอาการ "หสิตุปบาท" จะเป็นอาการที่ยืนยัน ออกมาเอง
    +++ ส่วน "วิชชา และ วิมุติ" จะตามมาภายหลัง หลังจากฝึกในภาคของ "การใช้ขันธ์" เรียบร้อยแล้ว
    +++ การใช้ขันธ์ หลายครั้งก็ต้องออกมา "อยู่นอกขันธ์" แต่ปล่อยให้มันทำงานไปตามปกติ ซึ่งตรงนี้ เป็นส่วนของ "วิมุติ" ไปในตัวนั่นเอง (ตรงนี้ กลุ่มสุขวิปัสสโก จะฝึกไม่ได้ ลองมามากแล้ว ไปไม่ได้จริง ๆ)

    +++ หลัก ๆ ของโพณงค์ คือ "สติ สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ"
    +++ หวังว่า "คงจะได้ประโยชน์อยู่บ้าง คงไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว" นะครับ
     
  13. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    เอาของพื้นๆให้รอดกันก่อนนะ อย่าให้โผล่กันนัก ใครทำได้สาธุๆ
     
  14. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    พูดถึงใครเหรอ พูดเรื่องอะไรครับ. งง. ถ้าไม่ใช่เกี่ยวกับผมก็ขอโทษ ถ้าเกี่ยวกับผมช่วยอธิบายหน่อย งง
     
  15. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    คนที่จะพยากรณ์ใครเป็นอริยะได้ผู้นั้นจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าหรือเสมอพระองค์ครับ. แล้วคุณคิดว่ามีใครเสมอพระองค์ครับ.
     
  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,197
    ช่วยอธิบายตรงนี้เพิ่มเติมด้วยค่ะ เข้ามาศึกษาธรรมะเว็บพลังจิตผู้รู้หลายท่านบอกโดนอ้อมว่า ตนเองเข้าข่ายกลุ่มสุขวิปัสสโกค่ะ ก็เลยสงสัยว่า จิตของแต่ละดวงถูกกำหนดมาแล้วหรือค่ะว่าใครต้องเป็นสุขวิปัสสโก หรือ ท่านนี้ต้องเป็นฉฬภิญโญ อะไรเป็นตัววัดและแยกกลุ่มนะค่ะ และต้องดูที่ชาติปัจจุบัน หรือย้อนลงไปในอดีตชาติด้วยไหมค่ะ
     
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,422
    ค่าพลัง:
    +3,197
    จากตนเองที่ได้สนทนากับเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งค่ะท่านธรรม-ชาติ เข้าใจว่าอย่างไรค่ะ และมีจุดไหนไหมค่ะที่บ่งบอกว่าเป็นไกลวัลยธรรม สงสัยเรื่องไกลวัลยธรรม กับ สภาวะนิพพานต่างกันอย่างไรค่ะ ตามข้อความด้านล่างนี้ค่ะ....

    ขอบคุณค่ะสำหรับแง่คิดให้ได้ฉุกคิดเพื่อพิจารณา สำหรับความเข้าใจหรือปัญญาที่ตนเองได้รับแล้วและเห็นในสภาวะเหล่านั้นบ้างแล้ว ถ้าพูดถึงสังขตธรรม สัจธรรมของโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ มีลักษณะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา คำว่า"อนัตตา" ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นลักษณะบ่งบอกธรรมชาติที่เราอาศัยอยู่นี้มีลักษณะเช่นนี้ที่ไม่สามารถยึดถือสิ่งใดได้เลย ไตรลักษณะที่รวมอนัตตาอยู่ด้วยจึงเป็นการบ่งชี้สภาวะสังขตธรรม

    ส่วนสุญญตา คือ ความว่าง เป็นธรรมชาติหนึ่ง หรือ เป็นธรรมชาติของสภาวะอสังขตธรรม การเข้าถึงความว่างหรือธรรมชาติเดิมแท้ได้ เราจะพบนิพพาน บรมสุขอย่างยิ่งที่เที่ยงแท้ ความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีในนิพพานนี้ ก็คือ การไม่เกิด ก็คือการไม่เคลื่อนไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอีก


    : ถ้าเราคิดว่านิพพาน คือ อนัตตา เราก็มีในตัวเราทุกคนจะไปฝึกกรรมฐานทำไม?

    ไม่แน่ใจว่า ท่านเข้าใจระหว่างคำว่า "ความไม่ใช่ตัวตน" กับ"ความไม่มีตัวตน" หรือเปล่าค่ะ ถ้าไม่ใช่ขออภัย ถ้าอนัตตาเป็นลักษณะ "ความไม่ใช่ตัวตน" เป็นธรรมชาติหนึ่งที่มีลักษณะว่าง แต่ในความว่าง มีลักษณะสภาวะรู้ ก็คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน การเข้าถึงธรรมชาตินั้นได้ จึงเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง เราเรียกว่า นิพพานค่ะ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ เห็นคุณ งูๆปลาๆ ลบโพสท์ไปแล้ว แต่ก็จะ "โพสท์ตอบให้" ก็แล้วกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อ ส่วนรวมบางคน นะ

    อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 ดับอย่างไร สิ้นไปตอนไหนอย่างไร

    +++ ก่อนอื่นให้ทำ remark ไว้ก่อนว่า คำว่า "ราคะ" ในชั้น "อพรัมะจริยา" โดยการผ่านมาทาง "อาเนญชาภิสังขาร" นั้นจะไม่สามารถเข้าใจในอาการแบบ "กามาวจร" ได้เลย

    +++ ราคะในชั้นนี้ "ไม่ใช่ความชอบหรือติดใจ" แต่ประการใดทั้งสิ้น อาการที่แท้จริงคือ "ยังไม่มีปัญญาในการ เดินจิต ให้พ้นจากตรงนี้ไปได้ คือ ยังติดอยู่ในนี้"

    +++ ไม่ใช่อาการ "ติดใจ" แต่เป็นอาการที่ "ใจมันติดกับดัก อยู่ในนี้" เสียมากกว่า ทุกคนในกลุ่มที่ผมฝึกให้อยู่นี้ เคยผ่านอาการนี้มาทั้งนั้น ทุกคน "ไม่มีอาการติดใจ" แต่เป็นอาการ "ติดอยู่ ติดพัน ยังไม่พ้น ยังมีอยู่"

    +++ ในชั้น "อพรัมะจริยา" นั้น "ไม่มีจิตส่งออก" และในระดับ "อัปปนาสมาธิ แบบ อาเนญชาภิสังขาร" นั้น ผ่านพ้น "นิวรณ์ 5" ไปหมดแล้ว ดังนั้นจึง "ไม่ปรุงรูป" และเป็น "อนิมิต" เต็มตัวไปแล้ว

    6. รูปราคะ – ตามอาการที่แท้จริง คือ ยัง "ตั้งกายไว้ในจิต หรือ ตั้งจิตไว้ในกาย" โดยมีกายของตน เป็นเครื่องแยกระหว่าง ภายนอก กับ ภายใน

    7. อรูปราคะ – เมื่อสามารถ "คร่อม" ระหว่าง ภายนอก กับ ภายใน ได้สำเร็จ จึงพ้น "รูปที่ยังติดอยู่"

    +++ ในสภาวะของ "อรูป" มีการ ฝึกเดินจิต เพื่อ "รู้การเปลี่ยนแปลง ของ เนื้อฌาน (ธาตุ)"
    +++ อาการที่เกิดตรงนี้ การเดินจิตจาก อรูปเอกัคตาหนึ่ง สู่ อรูปอีกเอกัคตาหนึ่ง นั้น "การเดินจิตให้ผลเป็น เอกัคตา สู่ เอกัคตา"

    +++ ทำให้ "รู้" ชัดเจนว่า "เอกัคตา" เกิดจาก "การเดินจิต" ทำให้เกิดการค้นหาว่า "ใครหว่า คือ ผู้สร้าง ใครหว่า คือ ผู้ทำ"
    +++ ตรงนี้ เป็น "อุทธัจจะ" ในการแสวงหา แต่ "อุทธัจจะ" ในที่นี้ เป็นการ "เดินจิตอุตลุด" ตรงนี้แหละคือ "มานะ"
    +++ ทุกอย่างอยู่ใน "เอกัคตา" ให้เข้าใจไว้ว่า "ไม่ใช่ อุทธัจจะ แบบกามาวจร" ไม่ใช่ "ความคิดฟุ้งซ่าน"

    +++ ลงท้ายตรงนี้ก็จะพบได้เองว่า "กูเองแหละ ที่เป็น ผู้สร้างมันขึ้นมาเอง"
    +++ และชัดเจนเองว่า "เราทำกรรมเอง ผลของมันก็ตกแก่เราเอง" ไม่ไปไหนเลย

    8. มานะ – ตรงนี้ คือ "ความเพียร" ให้พ้นความเป็นตน ไม่เกี่ยวกับ "การถือตน แม้แต่แอะเดียว"

    9. อุทธัจจะ – จริง ๆ คือ "ธรรมะวิจัยยะ" เป็นการศึกษา "การเดินจิต VS ผลลัพธ์ของมัน" ทำให้รู้ "กฏแห่งกรรม" ในบริเวณนี้ด้วย

    +++ เมื่อชัดเจนว่า "กิริยาจิต และ ผลลัพธ์ของมัน" นั้น "ตัวกูสร้าง ตัวกูทำ ตัวกูเดินจิต ตัวกูทำให้เกิดกิริยาจิต"
    +++ ไม่นานก็จะรู้ชัดเจนได้เองว่า "อาการของ ตัวกู ที่แท้จริงนั้น เป็นอาการ ดู ชนิดหนึ่ง"
    +++ ดูที่ไหน ก็ รู้ที่นั้น ทำให้เข้าใจว่า นี่คือ "ผู้รู้ ตัวดู กูเอง อัตตาจิต" ที่ไม่ใช่ "มหาสติ"

    +++ ตรงนี้ทำให้เกิดอาการ "หยุดดู หยุดกู หยุดสัพสิ่ง ที่เป็น กู"
    +++ เมื่อ "หยุดได้สนิท" แล้ว จึงรู้ว่า "สัญญาไม่ปรากฏ เวทนาไม่ปรากฏ"
    +++ ตรงนี้เองที่ "ตามตำราเรียกว่า นิโรธสมาบัติ"
    +++ แต่ "กู" ยังอยู่ ยังไม่สลายไป

    +++ จากนั้นจึง "รู้ เฉพาะ ตัวดู" และทำให้ "ตัวดู ถูกรู้" ตลอดเวลา
    +++ จึงสังเกตุ "เห็น" ได้ว่า "บางขณะมันเข้มข้น และบางขณะมันเจือจางได้"

    +++ ณ ขณะที่มันเข้มข้น "ความทุกข์ก็เข้มข้นตาม" ขณะที่มันจางคลาย "ทุกข์ก็คลายตัวไปด้วย"
    +++ ณ ขณะที่มันส่งออกไปยังโลกภายนอก "ความเข้มข้น" จะสูงกว่า นั่นคือ "เหตุของทุกข์"
    +++ ณ ขณะที่ "หยุด" มันได้ อาการของ "ทุกข๋" ก็หยุดไปด้วยกัน ตรงนี้คือการ "ดับชั่วคราว"
    +++ เห็นหนทางอย่างเดียวว่า "ต้องไม่มีมัน จึงพ้นทุกข์ได้" ตรงนี้เป็น "มรรควิถี"

    +++ ตรงนี้เป็น "ทุกข์สัจจะ" "สมุทัยสัจจะ" "นิโรธสัจจะ" "มรรคสัจจะ"
    +++ ตรงนี้ "ไม่สามารถ พิจารณาเอาเอง ได้เลย"
    +++ ตรงนี้ "ต้องเห็น" ในชั้น "อรูป" ขึ้นไปเท่านั้น
    +++ ในชั้น "กามาวจร" หมดสิทธิในการ "เห็น" ตรงนี้

    10. อวิชชา – เห็นอาการที่ "ทำให้ รู้ เปลี่ยนเป็น ไม่รู้"

    +++ การ "หยุด" ตัวดู/ผู้รู้/อัตตาจิต แล้วปล่อยให้มัน "จางคลายสลายไป"
    +++ เมื่อการ "สลายไปหมดแล้ว" จึงรู้ว่า ตรงนี้เป็น "นิโรธ" อีกชั้นหนึ่ง ที่ต่างออกไป

    +++ อยู่ในนิโรธนี้ ยังมีเหตุให้ถอนกลับมา "เป็นตัวดู" ได้อีก จึงเริ่ม "เดินจิตศึกษา" ถึงการเกิดของมัน
    +++ จึงพบว่า "เหตุเกิดของตัวดู" มาจาก "อณู ในระดับ sub atomic particle" ที่เคลื่อนตัวโดยอิสระ ในความว่าง
    +++ การเคลื่อนที่ของมัน ทำให้เกิด "รอยแหวก" จะเรียกว่าเป็น wave ชนิดหนึ่งก็ได้
    +++ ตรงนี้ก่อกวนให้เกิด "แอ่งเว้า แบบ เลนซ์เว้า" แล้วเกิด "แรงโน้มถ่วง" ดึงดูด sub atomic particle ตัวอื่นเข้ามา

    +++ การประชุม หรือ การรวมตัว ตรงนี้ ทำให้เกิด "ความหนาแน่น เป็นแผ่นผืน" เป็นลักษณะ depression ชนิดหนึ่ง
    +++ เมื่อตรงนี้เกิดขึ้น "สภาวะรู้" จึงโดน "บดบัง"
    +++ จากการ "รู้" ตรงนี้จนชำนาญ จึงรู้ว่า หย่อม depression ตรงนี้เป็น "ธรรมารมณ์ ชนิดหนึ่ง" ตรงนี้ "ฟันธง" แน่นอน

    +++ หย่อม depression ตรงนี้ เมื่อ "ประชุมรวมตัว" กันมากขึ้น "แรงโน้มถ่วง" ก็มากขึ้นตามมา (อวิชชา)
    +++ เมื่อแรงโน้มถ่วงมากขึ้น ก็จะเกิดเป็น "เกลียววน" ที่ส่ง "จุดศูนย์กลาง" ไปที่ sub atomic particle ตัวนั้น (สังขารา)
    +++ เมื่อเกลียววน วิ่งไปถึง sub atomic particle ก็เกิดการ "แหวกตัวออก" ทำให้ sub atomic particle เป็นแกนกลาง
    +++ ณ แกนกลาง ผมเรียกมันว่า "ภาคตัด X" ณ ตาพายุบริเวณนั้น เกิดเป็น "การรู้เห็นของ ตัวดู/อัตตา/ผู้รู้" (วิญญาณัง)

    +++ เข้าออกตรงนี้ "หลายรอบ" จึงชัดเจนเองว่า "วงจรปฏิจจสมุปบาท" เป็นอาการนี้
    +++ ผู้ที่ยังอยู่ในชั้น กามาวจร ไม่สามารถรู้ไเลย และตรงนี้ "ไม่สามารถ พิจารณา เอาเองได้"
    +++ การพ้นตรงนี้ทั้งหมด นอกจากจะต้อง "เห็น" อาการของมันแล้ว ยังต้อง "พ้นเหตุเกิดของมัน" อีกด้วย

    +++ คำตอบของ "อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 ดับอย่างไร สิ้นไปตอนไหนอย่างไร" นั้น
    +++ สิ้นตรงการ "ระเบิด ตัวดู/ผู้รู้/อัตตาจิต/หลุมดำ"
    +++ เรื่องของหลุมดำ จะยังไม่กล่าวในที่นี้ เพราะจะยืดเยื้อเกินไปมาก
    +++ ตรงนี้เกิดจาก "การออกจากตัวดู จึงรู้เรื่องของ หลุมดำ ชัดเจน"
    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องของ "กาลจักรวาล" ทำให้รู้ว่าอะไรคือ โลกธาตุ วัฏฏะสังสาร ต่าง ๆ
    +++ แต่เห็นว่า มีการโจมตีกันมากเกินไป ดังนั้นจึงพิจารณาว่า "ไม่สมควรกล่าว" จึงงดไว้แค่นี้

    +++ หวังว่าจะ "เกิดประโยชน์" ขึ้นมาบ้าง พอสมควร นะครับ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ของคุณ jityim จะตอบให้ในภายหลัง นะครับ
     
  20. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    มีบางท่านใช้วิธีการใช้อิทธิวิธีแยกรูปนามออกมาไว้บนศีรษะของตน
    แล้วกำหนดให้ทำอิริยาบทต่างๆไปเรื่อยๆ
    เวลาจะใช้อิทธิวิธีก็จะกำหนดจากรูปนามตัวบนถ่ายลงมาตัวกายเนื้อครับ
    เป็นอิทธิวิธีเฉพาะของท่านที่บรรลุจตุปฏิสัมภิทา๔พร้อมด้วยฉฬภิญญาครับ
    ซึ่งเป็นของเฉพาะตน
     

แชร์หน้านี้

Loading...