บุญ และผลของบุญคืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย งูๆปลาๆ, 18 พฤษภาคม 2018.

  1. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ตามหัวข้อกระทู้เลยครับ อยากฟังความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละท่านครับ บุญและผลของบุญคืออะไรครับ
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    จริงๆ ใช้ความหมายในพระไตรปิฏก น่าจะดีที่สุด
    เป็นภาษากลางในการสื่อสารการปฏิบัติธรรม สุดยอดแล้ว

    หากแต่ละสำนัก คิดความหมายมาเอง พอไปคุยกัน
    ก็ทะเลาะกันเสียแล้ว
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    คือ ภพ

    การเกิดแห่งภพ

    บุคคลครุ้นคิดถึงสิ่งใด สิ้งนั้นย่อม ตามนอน(ยังมี ภพ อยู่)

    เรีบกตามบาลี ปุญญาภิสังขาร

    ภพดีๆ บุญดีๆ หากยกขึ้นกำหนดรู้ เหนเกิดดับ

    ภพหยาบๆ บุญขาวบุญดำ ก้ไม่ต้องเสียเวลา ไปครุ้นคิด
     
  4. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    บุญคือ ธรรมารมณ์ ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น กรรมวิธี มีส่วนเพียงเล็กน้อย

    ทำเยอะ แต่ ธรรมารมณ์ มีเพียงน้อยนิด ก็ได้เท่าน้อยๆ ตามธรรมารมณ์

    ทำนิดเดียว ธรรมารมณ์ มีเยอะมาก ตามเจตนา ณขณะนั้น ก็ได้เยอะครับ

    ถ้าบอกว่า ทำบาป แล้ว ไม่เศร้าหมอง กูไม่มีอารมณ์ทางผิดแต่คิดว่ามันเป็นความสุขสนุกของกู ไม่ใช่ แต่เป็น เพราะจิต มันเพ่งโทษต่างหาก เพ่งในทางที่ผิด เพ่งโทษมากๆ แบบเลือดเย็น มันก็ลง โลกันตร์ นรก แบบเย็นๆถึงใจ

    บุญ บาป คือ ธรรมารมณ์ และเพ่งโทษ ใดๆ

    เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ผลของธรรมารมณ์นั้นก็เสร็จสมบูรณ์ แล้ว และจะฝังอยู่ในดวงจิตของเราเองครับ รอรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน

    ยกตัวอย่างพระเทวทัต เพ่งโทษหนักมากเมื่อตายก็กลายเป็นฌาน 4 แบบเพ่งโทษ ตกอยู่ใน อเวจี นรก นั้นเอง เรียก ไม่ได้ยิน เพราะจมในอารมณ์เดียว ตัดสภาวะรอบด้าน ไม่ได้ยินอะไรเลย

    ฌาน4 อุเบกขา ก็เช่นกัน เพียงแต่ เป็นธรรมารมณ์ เดียว และจมอยู่ภายใน จึงตัดภายนอกออกไม่รับรู้ ใดๆ

    555 ถามเรื่องบุญ แต่ผมลากมาเรื่อง ฌาน ซะงั้น

    แต่จริงๆ มันเป็นคนละเรื่องเดียวกันครับ 555

    ผลของ ธรรมารมณ์ คือ ก็ต้องตามรับผลนั่นไปเรื่อยๆ เกิดใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะ ยังอยู่ในโลกียะ

    โลกุตระ ไม่มีธรรมารมณ์ หรือเพ่งโทษ ใดๆ เกาะได้ในสภาวะ จิตพุทธ จึงไม่ต้องรับผล ของกรรมนั้นอีกครับ พระอรหันต์ยังมีเจตนา แต่ไม่ถือผลของเจตนาเช่นน้ำกลิ้งบนใบบัว

    ผู้พ้นเจตนาคือ ไม่มีเจตนาเหลือ คือ สภาวะของ พระพุทธเจ้าครับ

    เพราะฉะนั้น หากบอกว่า การวิปัสนาต้องไม่ให้มีเจตนาในการพิจารณา หรือ เจตนาในการเดินจิต

    อันนี้ผิดเต็มๆ ไม่รู้ว่า ไปเอามาจากไหนกัน ใครสอนมา ในเวปนี้ชอบสอนกันแบบนี้ ผมไปค้นพระไตรปิฎก จนเวียนหัวไปหมด ไม่ยักกะเจอ มีเขียนที่ไหน การเดินจิตต้องไม่มีเจตนา ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2018
  5. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ว่าแต่ว่า ใครสอนหรือครับ

    ว่าการเดินจิตต้องไม่มีเจตนา

    (หากการเจริญสติ มีความหมายเดียวกับการเดินจิต)
     
  6. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    หลายท่านในเวปนี่ครับ ไม่ขอออกนามครับ เพราะเยอะมาก
     
  7. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    อ๋อ แซวขำๆ เดึ๋ยวอาจไป สน.
    นักปฏิบัติสมัยใหม่ ชอบไป สน.
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนตัวมองว่าคือความสบายใจ
    ส่วนผลมีมากมายแล้วแต่รูปแบบ
    และการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล
    แต่ถ้าจะเอาให้พ้น
    ต้องไม่ยึดทั้งบุญและบาป
    เพราะจะต้องไปเสวยผลอยู่ดี

    บุญแบบที่มาจากการตั้งเอา
    การคาดหวัง การติดตาม
    พวกนี้ไม่นานมันจะหมดไปได้
    ถ้ารับผลและใช้มันไปแล้ว

    ควรเป็นแบบที่มาจากการ ไม่ตั้ง
    ไม่คาด ไม่หวังอะไร
    มันจะพลิกกลายเป็นบารมีไหล
    เวียนย้อนกลับมาได้เรื่อยๆ
    ของมันเอง

    ส่วนจะมาจากเหตุที่ตั้งเอา
    หรือไม่ตั้ง ก็แล้วแต่ความเหมาะสม
    ในช่วงขณะเวลานั้นๆ ไม่ต้องไปซี

    เพียงแต่อย่าไปยึดก็พอครับ
     
  9. เพื่อ

    เพื่อ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่มีเป้าหมายแล้วมันจะไปถึงจุดหมายหรอครับ

    ศาสดาเรายังตั้งเป้าเพื่อ ไม่เกิดแก่เจ็บตาย ถึงรำ่เรียน ทนทรมาณ กว่าจะบรรลุ เป้าหมายเพื่อปล่อยคนของท่านจากเวียนว่ายตายเกิด เราทำไม่มีเป้าหมายมันจะไปถึงไหมครับ มันดูไรเหตุผลที่จะบริกรรมนะครับ ไม่มีเป้าเท่ากับเดินสะเปะสะปะนะครับ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ไปถาม หลวงพ่อ พุธ จิ .....ชอบเปิดฟัง มะชะหรอ

    " สมถะ เริ่มเมื่อหมดเจตนา "

    " วิปัสสนา เริ่ม เมื่อหยุดคิด "

    ฮิววววววววววววววววววววววววววววววส์


    อ้อ พระเทวทัต ท่าน ฌาณเสื่อม ตั้งแต่ กลิ้งหิน
    และ เพราะ ฌาณเสื่อม จึงไม่มี คุรุกรรมหนักฝ่ายดี ช่วยปิดอบาย

    เพ่งโทษ(มีฌาณ+ญาณสัมปยุติ)แล้ว ตก นารกเย็นเนี่ยะ สงสัย มนตด เกย์เฮีย สอนมา กระมัง
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    สมัครมาใหม่เพื่อมาแย้ง
    กับข้าพเจ้าโดยเฉพาะเนาะ
    เด่วจัดให้นะครับ

    ๑. อ่านหรือยังว่า จขกท ต้องการอยากฟังความคิดเห็นส่วนตัว เข้าใจภาษาไทยนะ
    จัดระเบียบสมองดีๆก่อนอย่าสะเปะสะปะ

    ๒.ความเห็นส่วนตัวคือ จะแสดงความคิด
    อะไรก็ได้เกี่ยวกับเรื่องในหัวข้อ
    ผิดถูกไม่ทราบ ไม่ใช่ประเด็น
    ซึ่งหัวข้อพูดเรื่องเกี่ยวกับเรื่อง บุญ
    และผลของบุญ ตรงนี้ก็ภาษาไทย
    อ่านภาษาไทยออกอยู่ใช่ไหม
    อย่าสะเปะสะปะนะ หมายถึงสมอง


    ๓.และถ้าไม่แสดงความคิดเห็นอะไร
    เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้ ก็ไม่ควร ส ใส่ เกือก
    เที่ยวมาแย้ง ความคิดคนอื่นๆ
    ถ้าเป็นไปเพื่อต้องการความเห็นเชิงมิตร
    หรือจะเสนอหรือ
    แนะนำไม่เป็นไร
    แต่ถ้าเป็น
    ข้อเสนอหน้า
    แล้วยังมาโชว์ความ
    สะเปะสะปะ
    ของระบบสมอง
    และวิธีคิดแบบโชว์โง่ๆแบบนี้อีก
    ขอความกรุณาอย่าทำอีกนะครับ


    และอ่านดีๆไม่มีส่วนไหนที่
    ที่ใช้ข้าพเจ้าใช้คำว่าเป้าหมาย
    และเรื่องบริกรรมอะไรเลย
    อย่าสะเปะสะปะ นะครับ


    มีแต่คำว่าตั้งเอา การคาดหวัง
    และพูดเกี่ยวกับเรื่องบุญ
    บอกไปแล้วว่ามันจะหมด
    เพราะพูดเรื่องบุญฯลฯ


    และอย่าเอาศาสดามาอ้าง อย่าดึงของสูง
    มาเพื่อข่มในกรณีนี้ เพราะไม่ได้พูดถึงเรื่อง
    เป้าหมายหรือบริกรรม

    จะอ้างเพื่อ? ทำไปเพื่อ?
    อย่าสะเปะสะปะ

    ย้ำว่ากระทู้พูดถึง
    เรื่องบุญ และผลของบุญ
    ในมุมความคิดเห็นส่วนตัว

    มโนมาจากไหน จะมโนแย้งคนอื่นๆ
    หัดอ่านภาษาไทย ให้ดีๆก่อนไหม
    แล้วยังพาลไปอ้าง ของสูงเพื่อมาข่ม
    ความคิดเห็นคนอื่นๆ เลิกซะนะครับ

    ถ้าอ้างในเรื่องที่มันเกี่ยวกับหัวข้อกระทู้
    ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาแบบมโน
    ปั้นน้ำเป็นตัว อย่าทำอีก

    เวรกรรมอะไรมันทำให้พวก
    ชอบเสนอหน้ามันถึงอ่านภาษาไทย
    แล้วถึงชอบมโน อุปโลกน์
    คำพูดมาแย้งคนอื่นๆเป็นแบบนี้

    ยังมีหน้ามาใช้คำว่า สะเปะสะปะ
    ช่างไม่สำเหนียกในพฤติกรรมแห่งตน
    ปล คุณเป็น ช จริงๆหรือเปล่า ถามแค่นี้
    เจ้าสะเปะสะปะ ที่ชอบอ้างอิง
    โชว์อะไรโง่ๆ ของสมอง
    ที่สะเปะสะปะไปแล้ว
     
  12. เพื่อ

    เพื่อ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
     
  13. เพื่อ

    เพื่อ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    แรงมาก อิอิ
     
  14. เพื่อ

    เพื่อ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    บุญแบบที่มาจากการตั้งเอา
    การคาดหวัง การติดตาม
    พวกนี้ไม่นานมันจะหมดไปได้
    ถ้ารับผลและใช้มันไปแล้ว

    ควรเป็นแบบที่มาจากการ ไม่ตั้ง
    ไม่คาด ไม่หวังอะไร
    มันจะพลิกกลายเป็นบารมีไหล
    เวียนย้อนกลับมาได้เรื่อยๆ
    ของมันเอง


    แต่เวลาผมทำบุญ ผมคาดหวังนะครับ อยากให้บุญที่ผมทำไปให้เค้าดีขึ้นให้เค้าไปใช้ในทางที่ดีผิดไหมครับ
     
  15. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ใช่ครับผมเขาใจอันนี้นะ สิ่งที่เราทำแล้วหวังสุขสบายสวรรทำนองนั้นไม่ยั่งยืนเสวยผลหมดจบกันเหมือนคนลงทุนหวังกำไรได้ใช้กำไรนั้นแล้วลงทุนไหม่ๆร่ำไปเพื่อให้เกิดกำไรไปเรื่อยๆก้เหมือนการพยามทำบุญเพื่อหวังสุขในภายหน้า
    บุญและผลของบุญจึงไม่ใช่สิ่งควรหวังเพราะให้ผลเป็นภพจริงๆครับ แต่กลับกันบุญที่เกิดจากการละความตระหนี่ในใจได้นั้นทำได้ยากกว่า เพราะไม่ได้หวังผลแต่กลับด้านกันเลยที่ทำลายโลภะ ทำลายความอยากบุญยั้ยจึงเป็นสิ่งควรทำ เพราะทำให้ใจไม่ยึดจิตได้ไม่เศร้าหมองได้ไม่อยากไม่เพลิดเพลิน
     
  16. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ใช่ครับ ผมมาครุ่นคิดนะท่าผมหวังผลบุญของสิ่งที่ผมทำ มันคือความอยากล้วนๆ
     
  17. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ครับเมื่อเกิดธรรมมารมใดๆธรรมมารมนั้นๆย่อมเกิดผล ผลนั้นยังคงอยู่เพราะความยึดมั่นยังคงอยู่ ท่าไม่มีความยึดมั่นแล้วผลของบุญบาปก้น่าจะหมดสิ้นไป
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ตรึกแบบนี้ ไม่ถูกส่วน

    ต้อง ตรึกในบุญ "เห็นผล" ที่จะได้ มีการรู้ชัด หากมี มโนยุกยิก จะเห็นเป็น วิมาน ชัดๆ

    พอมีความชัด รู้ชัด สัญญาเกิด ......ตรงเนี่ยะ ค่อย ถอน

    คือ ต้องมีการเห็น วัตถุ ก่อน แล้วจึงมี อุเบกขา จึงเป็นการเห็นตามจริง และ
    เพราะมี อุเบกขา (กำหนดรู้อีกทีว่า เกิดดับ ไม่เที่ยง) จึง ถอน แล้ว ผั๊วะ !!

    แต่ถ้าเป็นการ ด้นเด้า หาสูตรลัด จะปรารภ ทำบุญทิ้งเหวแบบ ไม่มี อิกขิ(การเข้าไปเห็น)
    แล้ว ค่อยร้อง จังซี้มันต้องถอน

    สังเกตดีๆ มนสิการ ปุญญาฤทธิ์ แล้วค่อย อนุโลมกำหนดรู้ความดับ ต่อหน้า ต่อตา

    ถ้า ทำบุญทิ้งเหว ทำแบบ ส่งเดช ชาติหน้าเกิดมาจะ พิการแขนขา ตา หู จมูก ลิ้น
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    น่าจะคุยกับข้าพเจ้าเนาะ
    เพราะมีคำพูดข้าพเจ้าใน #Rep

    ทางที่ดีผิดไหม
    ยังต้องถามอีกใช่ไหม เอ้าอ่านซะ

    “ส่วนจะมาจากเหตุที่ตั้งเอา
    หรือไม่ตั้ง ก็แล้วแต่ความเหมาะสมในช่วงขณะเวลานั้นๆ ไม่ต้องไปซี
    เพียงแต่อย่าไปยึดก็พอครับ”

    ยกมาอีกรอบ นะย้ำอีกที


    ถ้าคิดแค่นี้ไม่ได้ ก็ไปเกิดใหม่ซะเนาะ
    ไอ้สมองสะเปะสะปะ ตอนสมัครใหม่
    มาอ้างโชว์โง่ จะแย้งใคร
    ก็หัดอ่านดีๆบ้าง
    ไม่แสดงความเห็น
    เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้
    จะเสนอหน้ามาเพื่อ?

    ยังมาถามโชว์โง่ซ้ำอีก
    นอกจากสมองสะเปะสะปะ
    สายตายังเลือนๆ
    มโน มโน คำว่า เป้าหมาย
    คำว่าบริกรรม อ้างของสูง
    ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวอะไรเลย

    ไปไกลไป๊ ชิวๆ เสะเสะ
     
  20. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +406
    วิปัสสนาคือการเห็นแจ้งในสังขารที่เป็นทุกข์และไม่เที่ยง

    ปัญญาที่เกิดจากการเห็นทำให้แจ้งคือ มี 2

    สังขารร่างกาย เพื่อละสักกายะทิฐิ และ

    สังขาร คือ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด

    การเห็นนี้เป็นลักษณะการเห็นในลักษณะอย่างไร? ขอความรู้ด้วยค่ะ

    อารมณ์เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ถ้าจิตใจไม่สงบตลอดเวลาก็จะไม่เห็นได้ จะเห็นเฉพาะที่จิตใจสงบ

    และถ้าหากจิตสงบก็หยุดกรรมได้ ถ้าหากเกิดใหม่ ยังละสักกายะทิฐิไม่ได้ มาแล้วยังไม่รู้จักฝึกสมาธิ เกิดไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยให้จิตสงบ แล้วเราจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างไรนะ เพราะในอดีตชาติจิตเราสงบ เราจึงไม่หวั่นไหวไปในอารมณ์ แล้วถ้าเราเกิดใหม่และหลงลืมไปล่ะ เกิดใหม่ตั้งต้นใหม่ อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่

    แล้วกรรมที่เก็บไว้ในอดีตชาติ ที่เราจำอารมณ์มาจากอดีตมันจะแสดงตัวออกมาถ้าเราใจไม่สงบ การเห็นจากอดีตมาหากนำมาใช้ได้ แสดงว่าต้องเกิดจากการพิจารณา คือโยโสมนสิการ

    แต่ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันการลดละในปัจจุบัน เพื่อให้จิตเบาบางลงบ้าง อย่างน้อยปัญญาในจิตที่สั่งสมพอกพูนเอาไว้ ก็น่าจะทำให้เราได้นิสัยที่เป็นบารมีของตนที่ใช้แสดงออกเป็นคุณสมบัติส่วนตัว นี่ก็น่าจะได้เหมือนกันนะ อย่างนี้ได้ไหมค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...