ขอคำแนะนำการฝึกกสินลมคับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฮักตัวน้อย, 17 กรกฎาคม 2018.

  1. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
    ผมฝึกกสินลมคับ ช่วงนี้ฝนตกหนักทั้งวันไม่มีธรรมชาติให้ดู เลยใช้พัดลมเป่าผ้า
    แล้วดูการไหวปลิวของผ้าเอา เริ่มมาได้อาทิตย์กว่า ยังไม่เห็นอุคคหนิมิตเลย ปกติต้องใช้เวลานานขนาดไหนคับถึงเห็นอุคคหนิมิตของลม ขอคำแนะนำให้ฝึกได้สำเร็จถึงณาน4ให้เร็วๆด้วยคับ
     
  2. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    สาธุ รอเลยครับ ไม่มีข้อมูลแนะนำ มาให้กำลังใจครับ คนอยากฝึกเป็นจริงเป็นจังแบบนี้หายาก
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ขาดคำภาวนาบริกรรมไม่ได้นะคับ .

    แล้วให้เอาพัดลมเปิดเป่าลมใส่ตัวเอง แล้วหลับตา เอาอารมณ์ความรู้สึกที่ลมโดนสัมผัสผิวร่างกายเรามาเป็นอารมณ์ในการภาวนา ที่สำคัญคือคำบริกรรมห้ามขาดเด็ดขาดครับ ภาวนาบริกรรมมิให้ขาดสายจนจิตสงบจากนิวรณ์ 5 จิตเข้าฌานครับ

    จะทรงกสิณได้ ต้องมีอานาปานสติเป็นฐาน ถ้าไม่มีจะไม่สามารถทรงอารมณ์ตั้งกสิณให้อยู่ได้


    และสิ่งสำคัญคือ จิตฟุ้งซ่านจะเป็นตัวขวางผลการปฏิบัติ ถ้าไม่สามารถที่จะระงับ หยุดความคิดได้ เวลาปฏิบัติ พัดลมมีเสียงดังออกมา รบกวนเรา เราเผลอเอาจิตไปจับเสียงพัดลม หลุดจากที่เอาจิตจดจ่ออยูกับคำบริกรรมกสิณ ก็ขวางไม่ให้เข้าถึงแล้วคับ เพราะเสียงเป็นศัตรูของปฐมฌาน ตัวขวางไม่ให้จิตเรารวมลงฌาน 1 คับ

    ถ้าสามารถทำได้ก็ให้นึกภาพป่าใหญ่ ที่มีลมพัดแล้วยอดไม้ไหวไปมา จับอารมณ์ที่ยอดใบไม้ไหวจากลมพัดมาเป็นอารมณ์ในการภาวนากสิณลม รักษาให้จิตเป็นอารมณ์หนึ่งในคำบริกรรมกสิณ ไม่ให้เผลอจิตหลุดไปฟุ้งซ่านจับอารมณ์อื่นเข้ามาให้ได้ ทำติดต่อกันจดจิตตั้งมั่นสงบลงสู่ฌานปฐมฌาน เมื่อจิตเข้ากสิณปฐมฌานแล้วก็รักษาอารมณ์หนึ่งไว้ เพ่งดวงกสิณลมที่้เกิดต่อไปพร้อมบริกรรมในจิตไม่ให้ขาดสาย จนจิตลงสู่ฌานสอง สติตั้งมั่น มีอารมณ์กสิณเป็นที่ตั้งก็เพ่งต่อไปเรื่อยๆ ถ้าสามารถ เราก็จะลงสู่ฌาน สาม สี่ได้ต่อไปตามขั้นองค์ของกสิณ ครับ .


    ถ้าทำไม่ถึงไม่สำเร็จก็ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านใดๆ ให้ปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออกในชีวิตประจำวัน ให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ในอารมณ์ ทรงอารมณ์สมาธิฌาน เอาไว้ในชีวิตประจำวัน 24 ชม อย่าให้เผลออารมณ์ไปฟุ้งซ่านออกไปหาอดีต หรืออนาคต กิเลสต่างๆนาๆใดๆ ให้มีสติอยู่กับอารมณ์ในองค์ภาวนา ปฏิบัติไปเรื่อย เมื่อไหร่ที่จิตสงบจากนิวรณ์ 5 ได้จนถึงฐาน ฐานของจิต จิตก็จะเข้าฌานปฐมฌาน ครับ ถ้าจิตสงบแต่ไม่สงบลงจนถึงฐาน ก็ยังไม่สามารถทรงฌานได้ เพราะนิวรณ์ 5 ยังกำเริบอยุ่นั้นเอง

    สิ่งสำคัญคือในชีวิตประจำวันอย่าให้กิเลสกำเริบกินเอาจนไหลไปตามอารมณ์กิเลส เพราะกำลังใจตัวเองไม่หนักพอที่จะระงับความต้องการของกิเลสอย่างหยาบได้ ก็ต้องพยายามหักห้ามใจ เพราะเรากำลังทวนกระแสอยู่ ถ้าปล่อยให้ใจไหลไปตามน้ำตามกิเลส ก็ยากที่จะสำเร็จได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2018
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อยากถึงฌาน ๔ แต่ดันไปฝึก
    แบบแนววิปัสสนา
    ที่จะแป๊กที่กำลังระดับปฐมฌาน
    ชาตินี้จะฝึกสำเร็จได้ไหมหละครับเนี่ย
    มันไม่ต้องรอฟ้ารอฝนหรอก
    แค่เล่าให้ฟังนะ

    เวลาบอกไม่ได้ อดีตพระท่านที่มีชื่อทางอุทัย
    อาทิตย์เดียวได้หมด บางคนก็เดือน บางคนก็ปี บางคนก็หลายปี
    บางคนให้ฝึกทั้งชาติไม่สำเร็จก็มี

    เพราะความเฉลียวที่
    มาจากกำลังสติทางธรรม
    ที่จะทำให้ก้าวข้ามสภาวะนามธรรมต่างๆ
    ก่อนที่จะผ่านบททดสอบจากภาคส่วน
    ภพภูมิ และผ่านเรื่องเมตตาและความกลัวตายได้มันแตกต่างกัน. ดังนั้นควรจะ
    แยกรูปแยกนามได้ก่อนและเดินปัญญา
    มาระยะเวลาหนึ่ง มันถึงจะเร็ว
    จะได้ไม่ติดนามธรรมแบะกำลังสติทาง
    มันจะช่วยให้ข้ามสภาวะนามธรรม
    ต่างๆได้เร็ว

    พวกนี้ถ้าจะฝึกได้มันก็คือได้
    แนะให้ดูระบบหายใจเราเตรียมพร้อม
    หรือยัง การวางพื้นฐานทางด้าน
    สายตาเพื่อเป็นข่องทางให้จิต
    สร้างภาพด้วยตัวเองได้ จนกระทั่ง
    ไปถึงระดับปฎิภาคนิมิต ก่อนที่จะเลือก
    ไปทาง ด้านกำลังจิต ด้านอฐิษญานจิต
    หรือด้านอรูปฌานเราพร้อมและเข้าใจ
    หรือยัง

    อีกอย่างการตั้งปฎิทานเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เพื่อเรียกของเก่า เพื่อประโยชน์ทางธรรม
    เรามีในใจหรือยัง

    ถ้าอยากหล่อ อยากเท่ห์
    และระบบหายใจ การวางสายตา
    กำลังสติที่ได้จากการเจริญสติ
    เราไม่พร้อม ตลอดมีปฎิธานเพื่อตนเอง
    แนวหนี้แนะนำว่าชาตินี้อย่าฝึก
    เพราะเสียเวลาเฉยๆ

    จะฝึกต้องสร้างสายตาพิเศษ
    ที่สร้างจากจิตตัวเอง
    จนมันสามารถมองเห็นลม
    เห็นอากาศได้ จนสามารถยกขึ้น
    เป็นอุคหนิมิต แล้วเข้าๆออกๆจนคล่อง
    จนข้ามไปปฏิภาคได้ก่อนเป็น
    อันดับแรก
    มันถึงจะมีสิทธิ์ถึงระดับฌาน ๔ ได้

    แล้วค่อยมาดูว่า จะไปทางด้าน
    สร้างกำลังจิต ด้านอฐิษฐานจิต
    หรือไปต่ออรูปฌาน

    ทำได้แล้ว ใช้ได้แล้ว
    ค่อยทิ้งอีก มาทางปัญญาต่อ
    ถ้าต้องการ
    พัฒนา ขึ้นเรื่อยๆ
    และไม่เสื่อม

    จำไว้กรรมฐานกองนี้
    ถ้าเมื่อไรก็ตามที่ยัง
    ไม่สามารถใช้งานได้
    ห้ามสนใจ กิริยา ความสามารถ
    ระหว่างทางทุกๆกรณี
    ไม่ว่าจะอลังการงานสร้าง
    ระดับจักรวาลมาเวล ก็ตาม
    ห้ามสนใจเป็นอัดขาด


    ปล ที่พูดคือหยาบๆ ในภาพกว้างๆ
     
  5. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
    ปัญญาผมก็ยังน้อย ยังเตาะแตะอยู่ จึงมาขอคำแนะนำแหละคับ กรรมฐานกองนี้หาคนสอนยาก เรื่องการใช้ลมหายใจ ตลอดจนปฏิปทาต่างๆ ผมพอเข้าใจนะคับ จากกระทู้ก่อนๆที่คุณนพเคยสอน แต่การสร้างสายตาเพื่อให้มองเห็นลมอากาสได้นี่ไม่รู้จริงๆ ทำไงคับ ขอคำชี้แนะละกันคับ ผมต้องแก้ไขในจุดไหนอีกเพื่อให้เดินกองนี้เร็ว
     
  6. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
    อีกอย่างคับ ผมไม่รุ้ว่าที่ผมทำอยู่ฝึกแบบไหนไปทางปัญญา หรือสมถะ ขอชี้แนะด้วยคับ ต้องทำไงถึงไปทางสมถะไปถึงณาน4ได้
     
  7. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    อย่าอยากได้เร็วๆ มันจะทำให้ช้า อย่าไปรีบกับมันมาก วันนี้ทำไม่ได้ทำไม่ดีก็ไม่เป็นไร พรุ้งนี้ยังมี
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    51c96a45fb6a6462fa3a560435834b16.png
    คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อฤาษีลิงดํา
    http://www.thasungmedia.com/wat/puy/ebook/2555/Kammatharn/#/98/
     
  9. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
  10. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ขออนุญาตแนะนำนะครับ ให้คุณลองไปหน้า 13 ให้หากระทู้ที่ชื่อว่า “กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ ?”

    กระทู้นี้ลองอ่านๆดูนะครับ ฝึกเรื่อยๆนะครับ ไม่ต้องรีบ แล้วมันจะมีบททดสอบมาเรื่อย ๆ แล้วคุณจะรู้ได้ด้วยตนเอง ผมไม่ทราบว่าของเก่าของคุณคืออะไร แต่ถ้าขึ้นด้วยน้ำ มันพอจะเห็นอากาศได้บ้าง ค่อยๆเป็นค่อยไปครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เอางี้นะ..อ่านดีๆ..เด่วจะขยายความให้อีกรอบ
    จริงๆถ้าน้องอ่านละเอียดนะ จะเข้าใจไปตั้งแต่แรกแล้ว
    แต่ไม่เป็นไร...บางทีก่อนหน้านี้พี่อาจจะอธิบายยากไปหน่อย...

    Let's start to begin
    ปัญญาที่จะพูดคือ ปัญญาทางธรรมนะ
    นั้นมันช่วยในเรื่องการไม่ยึดติด
    ในนามธรรม ไม่ให้เราไปหลงมันว่า มันวิเศษวิโส
    มันเลอเลิศ เราเห็นได้ เราเป็นอะไรที่เก่งกว่าชาวโลก
    หรือเผลอไปยึดมัน แล้วเอามาโม้อวดชาวโลก
    นี่คือ ตัวปัญญา...เครไหมน้อง....


    ....ส่วนสติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสตินั้น
    มันช่วยในเรื่องความเข้าใจทาง
    ด้านนามธรรม เช่น เห็นอาการแบบนี้ เห้ย !! นี่มันปิตินี่ว่า
    เห้ย !! นี่มันไม่ใช่นิมิต กสิณที่เราฝึกนี่ว่า ถ้าเราไม่มีตรงนี้
    เราก็จะเผลอไปตามนิมิต ไปสนใจมัน แค่นั้นยังไม่พอ
    ยังจะมัวซื่อบื้อ ไม่อยากรู้อีก ว่ามันคืออะไรว๋า มันเกิดไงว๋า
    เห็นหน้าที่ ของสติทางธรรมในเรื่องความเข้าใจทาง
    ด้านนามธรรมไหมครับน้อง...

    ....เมื่อเรามีความเข้าใจทางด้านนามธรรม
    ที่ดี ...ความเฉลียวก็จะตามมา..เมื่อมีความเฉลียว
    เราก็จะก้าวข้ามสภาวะทางนามธรรมต่างๆ ในระหว่าง
    ทางที่เราเจอให้เราสามารถผ่านได้เร็วขึ้น.....
    โอกาศที่เราจะฝึก ถึงขั้นที่จะสำเร็จจนใช้งานได้นั้น
    มันก็จะสั้นเข้ามา.......พอเข้าใจหรือยัง.....

    ถามว่า มันเกี่ยวกับการที่เรามีปัญญามากปัญญาน้อยตรงไหนคเพราะถ้าต่อให้น้องมีปัญญาระดับโลก เป็นพระบิดา
    ของศาสตรจารย์ทางด้านตำรา เจ้าพ่อแห่งวงการกสิณ
    ระดับโลก......ถามว่า ปัญญาทางโลกๆแบบนี้
    มันช่วยทำให้น้องสามารถฝึกสำเร็จจนใช้งานได้จริงไหม....

    เพราะมันใช้อยู่ ๒ ตัวเป็นแกนนำ คือ
    ๑.ปัญญาทางธรรม ที่จะทำให้เราไม่หลงไปกับนามธรรม
    และ ๒.สติทางธรรม ที่จะทำให้ความเข้าใจทางนามธรรม
    หรือกิริยาต่างๆด้านนามธรรมระหว่างทางเราดีขึ้น....

    ดังนั้น ฟังพี่ ถ้ามีใครคนไหน มาบอกว่า
    ที่. มะรึง ฝึกไม่ได้ซักที เพราะมะรึงปัญญาน้อย
    หรือมะรึงโง่ ในทางปัญญาแบบโลกๆ
    พี่แนะนำว่า กระโดดเตะก้าน คอมันซักป๊าบ
    แล้วกระทีบซ้ำ เพื่อความสบายเท้าของเราซะ....
    เพราะคนแนะนำ มันยังไม่รู้พระแสงอะไรเลย
    ว่า เครื่องมือหลักๆที่จะมาหนุนการฝึกให้เข้าถึง
    ผลสำเร็จได้ คืออะไร...

    แต่ถ้าเค้าบอก ว่าเห้ยน้อง
    ควรฝึกเจริญสติให้ต่อเนื่อง
    และเดินปัญญาทางธรรมให้ได้ก่อน
    แล้วค่อยมาฝึก มันถึงจะไปได้เร็ว
    อย่างนี้ ค่อยน่าฟังหน่อย
    จริงๆไม่อยากพูด
    เด่วจะหาว่า พูดอวยตัวเอง
    แต่หลักการและเหตุผล
    ในการเข้าถึงระดับที่สำเร็จถึง
    ขั้นใช้งานได้ มันควรจะต้องมี
    ต้นทุนทางด้านปัญญาทางธรรม
    และสติทางธรรมก่อน..มันถึง
    จะพอมองเห็นฝั่งได้.....

    ไม่ใช่ ไม่รู้เรื่องอะไร
    ฝึกก็ไม่เคยสำเร็จ
    เอะอะ ปี๊แปะ ท่าเดียว....
    เห็นช่องทาง สบโอกาศหน่อย
    อ้าว ตรูมีหลักฐานแย้งโว้ย
    เด่ว เสร็จ...แล้วจะขยายเรื่องนี้
    ให้น้องฟังดังๆ แล้วน้องจะได้ยิน
    เสียง กะลาแตกดังโป๊ะ...
    โอ้. ตรู พอมองเห็นแสงสว่างแล้วโว้ย....
    ในเบรคถัดไป ใน #Rep หน้า
    งานนี้รับรองว่า.....ซ้ำในรักษาตัวนาน...





    เรื่องธรรมดา อธิบายไว้ข้างบนแล้ว...
    ขอแต่เพียงมีแนวทางชัดเจน
    ว่าอย่างน้อย ต้องไปถึงฌาน ๔
    คิดว่าจะไปถึงฌาน ๔
    คงไม่ได้ว่า จะเอากำลังมาวิปัสสนาอย่างเดียวหรอกนะ
    อย่างน้อย ก็ต้องลองใช้งานบ้าง...
    ป้องกันตัวเองได้บ้าง
    เวลาเดินผ่านตำหนักทรง บ้านหมอผี
    บ้านหมอธรรม ที่ชอบเลี้ยงผี
    หรือเจอหมอจะแม ที่ชอบปล่อยของ
    รังแกคน นิสัยไม่ดี เราจะได้ปลอดภัย
    แต่ไม่ใช่จะไปแสดงกล้ามใส่เค้า
    หรือเอาไว้ ป้องกันภัยให้คนอื่นๆ
    หรือช่วยคนอื่นๆในด้านใด
    ก็ตามแต่วาระของเรา


    และจะได้รู้ว่า อ้อออ. มันเป็นจังซี่ จังซั่น
    พอไว้โม้ให้เด็กน้อย งง เล่นบ้าง...เนาะ...

    เด่วมาต่ออีก #Rep

    อย่าพึ่งอ้างอิง และพึ่งตอบอะไร
    จนกว่า จะเห็น #Rep ต่อไป...
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ไอ้ลิงค์ที่เอามาลงนั้น ถ้าตามหนังสือ
    มันคือหน้าที่ ๘๘ หรือ 88 ตามลิงค์เวบ
    มันคือ หน้า ๑๐๔ หรือ ถ้าตามลิงค์มันคือ
    หน้าตามลิงค์ข้างล่างนี้...

    http://www.thasungmedia.com/wat/puy/ebook/2555/Kammatharn/files/mobile/index.html#104

    จะปี๊แปะ หรือ ก๊อบปี๊เอามาลง หัดดูเลขหน้า
    หัดอ่านให้ดีๆก่อนจะปี๊แปะ บ้าง........

    ที่นี้มาคุย กับ ฮักตัวน้อย ต่อ.......
    น้องเคยสังเกตุบางไหมเรื่องกสิณ
    ว่าทำไมท่านที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
    ในปัจจุบันหรือท่านมีชื่อในอดีต
    ที่เราเชื่อว่าเป็นเจ้าของตำรา
    ทำไมกสิณบางกอง ท่านก็สอนว่า



    ''ต้องจำภาพให้ติดตาติดใจ ใช้ดินโน้น น้ำนี่ ใช้เทียน
    ใช้ หลอดไฟ มองสีโน้นนี่นั้น ???
    ให้คิดเล่นๆก่อน. ให้งงๆไปก่อน


    และกสิณบางกองท่านก็สอนทำนองว่า
    ต้องจับเอาความรู้สึก เอาโน้นเอานี่ที่มากระทบกาย
    เป็นอารมย์ ???? เช่นลมพัด พัดลม สายลม อากาศ งงอีก
    รอบไหม แต่ชักเริ่มสงสัยและเอะใจแระ...

    แต่สุดท้ายที่เหมือนกันคือ จะบอกว่า
    ปฏิภาคนิมิต กสิณกองโน้นนี่นั้น เป็นอย่างนั่นอย่างนี้''


    เห้ย !!!!! มันคืออะไร. น้องเห็นอะไร. น้องได้หลักสังเกตุ
    อะไรบ้าง.....ไอ้พี่ Nopphakan มันแนะนำมั่วหรือวะ
    บางคน จอมปี๊แปะ มันเห็น ไอ้ Nopphakan แนะนำอย่างนี้
    มันดีใจใหญ่ รีบปี๊แปะ ซะจนมะ แร่ง ไม่ได้ดูเลขหน้าเลย
    งานนี้ มึงแระแน่ ไอ้ Nopphakan มะรึงแซะตรูไว้เยอ
    แล้วมันก็จะคอยแอบขำ...

    หรือ น้องเริ่มสงสัยบ้าง เอ่อ ทำไมตำราถึงเขียนไม่เหมือน
    พี่ Nopphakan แนะนำเลย.....

    ชักสนุกโว้ย.......มาเด่วมา. The Avengers
    ภาค สยบจอมปี๊แปะ แห่งดาวไททัน ต่อ...



    ถ้ายังไม่เกท จะเล่าให้ฟังต่อ เป็นฉากๆ
    ฉากที่ ๑.จับสังเกตุได้ไหม ถ้าเราพูดถึงอารมย์...
    การเข้าถึงอารมย์ ความรู้สึก ซึ่งเป็นนามธรรม เป็นปรมัตถ์
    เช่น ความรู้สึกร้อน ความรู้สึกเย็น แม้จะพูดไม่เหมือนกัน
    แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ร้อนก็ร้อนเหมือนกัน
    ฝรั่งเรียก Hot or Very Hot. คนไทยเรียก ร้อน
    บางคน แมร่งร้อนจิหาย. คนภาคตะออกเฉียงเหนือ
    เรียก ฮ้อน หรือ แมร่งฮ้อนตับแตก...ทางเหนือบอก
    คือมาฮ้อนแต่เจ้า....เขมรเรียก #@$%@$$(ดงไดไดดง คือเดา)
    เผาซูลูเรียก %*^$#@#$%. แต่ที่ทุกเชื้อชาติ
    ทุกศาสนา จะรับรู้เหมือนกัน
    มันก็คือ ความรู้สึกร้อน.......น้องว่า ตรงนี้
    มันเป็น. การฝึกทางด้าน สมถะ หรือ ด้านวิปัสสนาครับ

    เอ้าเริ่มเกทบ้างแล้วนะ....มาฉากต่อไป
    ฉากที่ ๒. จำภาพให้ติดตาติดใจ พยายามจำภาพเอาไว้ในใจ
    ระลึกเป็นภาพขึ้นมาให้ได้คล้ายภาพติดตาติดใจ
    สร้างให้จิตสามารถสร้างภาพด้วยตัวเอง....
    จนเกิดเป็นภาพอุคคนิมิต แล้วพัฒนาต่อไปจนถึงระดับปฏิภาค
    นิมิต. แล้วก็ตบท้ายด้วยการสอนวิธีการอฐิษฐานจิต
    บ้างก็บอกว่าไปต่ออรูปฌาน บ้างก็ว่าสร้างกำลังจิต
    ด้วยการปั่นปฎิภาคนิมิตวนซ้าย ถ้าเป็นรูปพระก็ย่อ
    ที่ฝั่งซ้าย ทั้งหมดทั้งมวล ในกำลังสมาธิระดับสูง...
    จะพูดว่า ฌาน ๔ มันจะดูหล่อเกินไป...

    ถามน้องอีกครั้งว่า. ตรงนี้ มันเป็นสมถะ หรือ วิปัสนาครับ
    ไอ้สร้างภาพ เพื่อสร้างให้มีตา ที่มองเห็นนามธรรมได้เนี่ย
    มัน สมถะ หรือ วิปัสสนาครับน้อง........

    เห้ย กระลาแตกแล้ว โว้ย....โอ้พึ่งเกท......

    ฉากที่ ๓. เมื่อเราผ่าน ฉาก ๑ และ ฉาก ๒ มาแล้ว
    เราก็จะเข้าใจได้เองว่า เห้ย !!! แท้จริงแล้ว
    กสินเนี่ย มันไปได้ ทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา นี่ว่า....
    เป็นไง เกทเพิ่มอีกไหม.....

    ที่นี้ เราก็มาดูว่า เราจะฝึกกสิณเนี่ย เราจะเน้นทางด้านไหน
    ก่อน...ในเบื้องต้น. ถ้าเราเป็นคนที่ โอ้ย ขอเน้นทางวิปัสสนา
    ชาตินี้ไม่เอาอะไรมาก ข้าพเจ้าชอบเงียบๆ
    เน้นหนักเพื่อพระนิพพาน เพื่อการหลุดพ้นโดยตรง
    โดยที่ไม่แวะตรงไหนเลย ขอตรงอย่างเดียว
    แต่ถามว่า มั่นใจได้อย่างไร ว่าตนเองกำลัง
    อยู่ในเส้นทางแห่งการหลุดพ้น..

    ก็ให้ไปทางด้าน การเข้าถึงอารมย์ ความรู้สึก
    ซึ่งมันก็มีวิธีการที่จะฝึกอีกแบบหนึ่ง
    ซึ่งทั้งคุณลุง ป้า น้า อา อาแปะ
    อากง อาก๊ง ตา ยาย ปู่ ย่า. ท่านๆ
    ทั้งหลายเหล่านี้ ก็สามารถทำได้..
    ซึ่งในตำราท่านไม่ได้เขียนวิธีการฝึกทิ้งไว้หรอก
    อยู่ดีๆก็ข้ามไปปฎิภาคนิมิตเลย..
    ข้ามไปการอฐิษฐานจิตเลย
    ซึ่งมันเป็นเพียงการพูด ในภาพกว้างๆ
    เพื่อให้คนส่วนมากเข้าถึงได้ง่าย
    แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด มันต้องลองผิดลองถูก
    ลองปฏิบัติดู และเป็นคนช่างสังเกตุมันถึงจะพอ
    สะกิดใจอะไรได้บ้าง และในแนวทางนี้
    มันไม่จำเป็นจะต้อง ไปสร้างกำลังจิต
    ไม่ต้องเกร๊งกล้ามตรูด นั่งให้เหนื่อย
    เพื่อไปอฐิษฐานจิตให้เกิดผล
    หรือต้องเกร๊งกล้ามต่อเพื่อไปอรูปฌาน พอเข้าใจไหม...

    หรือเราเน้นที่จะเข้าถึงกำลังระดับฌานสูง
    ถ้าเราเน้นตรงนี้ก่อน ถ้าเราไปฝึกกสิณเพื่อ
    เน้นด้านปัญญาแล้ว แต่หวังผลทางสมถะระดับสูง
    มันก็เหมือน การพยายามว่ายน้ำทวนกระแส
    นอกจากจะเหนื่อยแล้ว เราจะตายก่อน
    เพราะ เราไม่ใช่ ปลา ที่ชอบ โดเรม่อน (ปลาแซวม่อน)
    พอจะเกทไหม....

    มาถึงตรงนี้ แสงสว่าง แห่งการสำเร็จในการฝึกกรรมฐาน
    กองนี้ เราเริ่มมองเห็นได้แล้วววววววววววววววววววววว


    ฉากต่อมา ก็คือ ฉาก ภาค ออริจินอน ฮักตัวน้อย
    เข้าใจนะ พอหนังมันดัง ตัวเด่นๆ เรามักจะสร้าง
    ภาคออริจินอล...ตัวนั้นๆ...
    ในฉากภาคนี้ก็คือ ภาคเชิงเทคนิคคอลเทอม
    หรือ วิธีการเชิงเทิคนิค ที่ช่วยให้ประสบผลสำเร็จ
    ในการฝึกได้เร็วขึ้นนั้นเอง.....

    ๑.ถ้ามั่นใจว่า เคยอ่านระบบหายใจที่แนะนำไปแล้ว
    จนมั่นใจว่า เข้าใจและทำได้ จนเป็นระบบหายใจ
    ปกติในชีวิตประจำวันได้แล้ว จนลืมไปเลยว่า
    ไอ้การหายใจลึกถึงแค่หน้าอกมันเป็นอย่างไรแล้ว
    แล้วไม่เผลอไปตามลม ที่มันจะทำให้แป๊กในระดับปฐมฌานได้แล้วก็ให้มาดู วิธีการสร้างสายตาเพื่อการมองเห็นนามธรรม
    ไม่อยากพูดว่า วิธีสร้างทิพย์จักขุ มันหล่อไป...
    เพราะว่า มันมีหลายระดับ เอาว่า เรียกว่า ทิพยคิกขุแล้วกัน
    มันก็คือๆกันในทางกิริยานั่นหละ แต่ไม่อยากพูดให้มันดูหล่อ
    ก็มาอ่านข้อ ต่อไปนี้

    ข้อที่ ๒..ถ้าหลับตานั่งสมาธิ เวลาระลึกให้เกิดภาพอุคหนิมิต
    อะไรก็ตาม อย่าไปใช้ ลูกนัยต์ตาทั้ง ๒ ข้างปกติของเรา
    ไปพยายามมอง หรือพยายามสร้างเป็นภาพนั้นๆเป็นอันขาด
    ถ้าเราโน้มสายตาปกติมองที่ลิ้นปี่ได้(สังเกตุสายตาพระพุทธรูป)
    ในเวลาที่เราหลับตา มันจะเหมือนว่า เราจะมีอีกตา
    ซึ่งมันมีตาเดียว ที่เราจะรู้สึกว่า มันอยู่เหนือระหว่างคิ้วตรงกลาง
    ที่มันจะทำหน้าที่แทนตาปกติที่ใช้
    ในชีวิตประจำวัน ไอ้ตาตรงนี้นี่หละ
    มันเป็นช่องทาง พูดให้หล่อก็คือ เป็นอาตนะตัวหนึ่ง
    ให้การให้จิตเป็นทางผ่าน เพื่อไปสร้างภาพทางด้าน
    นามธรรมที่ ตัวจิตมันได้สร้างขึ้นมาเอง ด้วยตัวมันเอง
    (ช่องทางผ่านเวลาปกติ คือ ลูกตาทั้ง ๒ ข้างของเรา เข้าใจเนาะ)


    แรกๆมันจะดำๆ มืดๆ มัวๆ มองอะไรไม่เห็นเลย
    ต่อมา มันถึงจะมีขอบๆ มีสีๆ มีขอบหลายสี
    หรือไม่ก็ไม่มีสี หรือสีใส แต่ยังไงมันก็จะมีขอบ
    แม้ว่าจะสีใส ลำดับในการพัฒนามันมีขั้นมีตอนของมัน
    ให้เข้าใจว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา...
    ในบางกอง ช่วงแรกๆของการฝึก
    ท่านถึงให้มองแล้วละ หรือ จำติดตา เพื่อ
    อาศัยการสะท้อน ของสายตา ที่มันคงให้เกิดเป็นภาพได้อยู่
    (เช่น มองหลอดไฟ แล้วละสายตาไปมองที่อื่น จะมีภาพ
    หลงเหลืออยู่ ภาพส่วนนี้ที่กำลังพูด)
    เพื่อเป็นอุบาย ให้จิตมันสร้างภาพคล้ายๆเหล่านั้น
    ให้เกิดขึ้นมาได้ ด้วยตัวจิตมันเองในอนาคต
    พอจะเข้าใจ เพิ่มขึ้นไหม......

    ถ้าเราเน้นผลเพื่อกำลังสมาธิระดับสูง
    เราควรใช้การฝึกแบบนี้
    เพื่อสร้างอุคนิมิต ลมให้มันเกิดขึ้นให้ได้ก่อน
    ลมกับอากาศ มันคล้ายๆกัน แต่อุคหนิมิต
    ลมมันแค่มีลูกเล่นมากกว่าอากาศหน่อย
    ในอนาคตถ้ากำลังสติทางธรรมเรามากพอ
    เราจะพอแยกแยะได้เอง.......


    และจำไว้ ต่อให้เป็นอุคหนิมิตลม
    หรือสร้างได้แล้วก็ตาม ห้ามสนใจ
    เพราะกสิณ เคยบอกไปแล้วว่า
    ถ้ายังใช้งานไม่ได้ ห้ามสนใจ
    กิริยาระหว่างทางทุกๆกรณี

    พอขึ้นอุคนิมิต ตรงได้แล้ว
    เราถึงมา เข้าไปแล้วรีบออก
    และก็เข้าไปใหม่ ให้เร็วขึ้น
    การเข้าๆออกๆได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ
    นี่หละ จิตมันถึงจะมีกำลังสมาธิ
    เพียงพอที่จะยกระดับตัวเอง
    ไปถึงปฏิภาคนิมิตได้เอง

    ไม่ใช่การไปพยายามรักษาภาพเอาไว้นานๆ
    ยิ่งไปพยายามรักษา มันก็เหมือน
    เราขับรถไปโดยไม่พักเครื่องยนต์
    ซักพักมันก็น๊อก เครื่องก็จะพัง
    ทางปฏิบัติก็จะเรียกว่า การจมการแช่
    หรือเค้าเรียกว่า จิตพิการ ก็เปรียบได้
    กับอาการเครื่องพังนั่นหละ.....



    ปล.หวังว่าจะเปิด มุมมอง วิสัยทัศน์ได้กว้างขึ้น
    เห็นพื้นฐาน หัวใจสำคัญ ที่จะหนุนผลแห่งความสำเร็จ
    ให้เข้าถึงได้เร็วขึ้นแล้วนะ...... ^_^.

    การที่จิตมีความสามารถทำได้เหนือวิสัย
    มันทำให้ความเข้าใจทางด้านนามธรรม
    เราชัดเจนขึ้น ละเอียดขึ้น
    มันทำให้เราได้เปรียบ ถ้าเราจะมาต่อทางด้านปัญญา
    ทางปัญญามันก็จะทำให้เราไปได้เร็วขึ้นอีกเช่นกัน
    นี่คือข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง....พอจะเกทเนาะ

    ไม่ใช่เอะอะ ก็บอกว่า ฝึกทำไมกสิณมันไม่ใช่ปัญญา
    มันเน้นฤิทธิ์ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน เป็นพวกฤาษี
    พวกนอกคอก ไม่ทำให้หลุดพ้น
    มันคือ พวกไม่รู้เรื่อง พวกนี้ประกันได้
    ฝึกกรรมฐานอะไรก็ไม่สำเร็จซักอย่างหรอกในชาตินี้
    อ่านไม่เข้าใจเจตนาผู้แต่ง ผู้ถ่ายทอด
    มองแต่ในด้านลบ ยกตนเองข่ม เป็นพวกใจแคบ
    ที่บ้าตำรา ยึดจนเป็นแนวทางตนเอง พวกหลงตัวเอง
    คิดว่า ตรูอ่านตำรา ทั้งหลาย ตรูรู้ ตรูจะบรรลุ
    ตรูจะเข้านิพพาน....แต่ถ้าขอให้มาแสดงให้ดูหน่อย เค้าจะอ้างเน้น ปรมัถต์ อ้างว่าเน้นสายตรงที่พระพุทธเจ้าสอน
    เน้นหลุดพ้น แต่ตอนมันคุยยกตนเอง ทับถมเนี่ย
    เหมือนเก่งระดับจักรวาล

    ทางปฎิบัติ
    เรียกง่ายๆว่า
    พวกกระโหลกกะลา ปลาซิวปลาสร้อย
    อย่าไปสนใจ บุคคลนิสัยประเภทนี้ จำไว้ จบ....
     
  13. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
    ขอบคุณมากๆคับ แตกกระจายเลย
     
  14. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
    คำถามเพิ่มหน่อยคับ ตอนนี้ผมยังเห็นแค่เป็นภาพผ้าปลิวไปมา นี่ยังไม่ใช่อุคคหนิมิตลมใช่ไหมคับ ต้องมองภาพตรงนี้ไปเรื่อยๆแล้วจิตจะสามารถสร้างอุคคหนิมิตขึ้นมาเองได้ใช่ไหมคับ
     
  15. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    อาจจะ1ปี 10ปี 50ปี หรือทั้งชาติ หรือท้อเลิกซะก่อนครับ หมายความว่าทำไปเรื่อยๆ

    เหมือนผมยังไม่ได้หางอึ่งอะไรเลย แต่ก็ต้องทำทุกวันถึงจะขั้นสมาธิเด็กๆก็ต้องทำ ค่อยสะสมกำลังไปจะจับภาพติดใจหรือเน้นความสงบสุดติ่งก็ตาม

    ทำจนมันได้ดั่งใจปรารถนาโน่นแหละครับ นานเท่าไรก็ต้องทำกันไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  16. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    อย่าย่อท้อนะคะ สู้ๆ ตามอ่านมานาน เลยเข้าใจว่า คำว่า " คนในวงการ " เขานับคนที่เริ่มปฎิบัติว่า
    ยังไม่เป็นวุ้น ส่วนที่ปฎิบัติได้จนเราพอเรียกว่า อาจารย์ได้ ส่วนใหญ่ท่านจะว่า ตนเองอยู่ระดับเด็กทารก เพราะฉะนั้น การที่ใครพูดเถียงเคียงว่า เราเป็นวุ้น หรือ เป็นเด็กทารก ไม่ต้องโกรธเขาเหล่านั้น หรือ คิดท้อน้อยใจ เพราะเป็นคำเปรียบเปรยของคนในวงการ ที่คนนอกอย่างเราไม่เข้าใจเท่านั้นค่ะ

    เคยไปพบท่านนึงที่ อ.นบ เคยแนะนำทิ้งไว้ในโพสต่างๆ ตอนแรกท่านว่าท่าน แค่ระดับประถม พอเราบอกว่า งั้นเราขอเป็นระดับพึ่งหัดคลาน ท่านบอกว่า ไม่ใช่ เพราะท่านพึ่งหัดคลาน เราก็เลยบอกว่า ถ้าท่านพึ่งหัดคลาน งั้นเรา คงเป็นวุ้นยังไม่เกิด นี่ไง แสดงให้เห็นว่า ท่านที่มีความสามารถขนาดนั้นยังรู้จักถ่อมตัว จนเราเองเสียอีก ที่ไม่เป็นอะไรเลย ยังจะกล้าไปขอติดลำดับทางเดิน 555 ว่าแล้วละอายยิ่งนัก
     
  17. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    บางอย่างเราก็มักจะสงสัยไปก่อน ซึ่งก็ถือเป็นปกติของผู้ที่ยังไม่เคยเจอเคยผ่านตรงจุดนั้น เช่นเมื่อก่อนจริงๆ ผมก็เห็นหลายคนบอกว่าอย่าไปอยากเห็นมันนะนิมิต ถ้าเห็นแล้วมันจะติด คำถามแรกที่ผมตั้งในใจ นิมิตเป็นไงอยากเห็นจริงๆ มันจะติดยังไง ขอให้ได้เห็นสักครั้งเถอะ เหมือนยิ่งห้ามจะยิ่งยุ

    พอเรานั่งสมาธินานวันไปเรื่อยๆ จนลืมเรื่องที่อยากเห็นนิมิตที่เขาล่ำลือ วันหนึ่งมันก็มาให้เห็น แล้วเราก็จะโอ้หนอที่เขาว่านิมิตๆมันเป็นแบบนี้นี่เอง หายสงสัยไม่ต้องไปถามใครอีกแล้ว

    วันหลังมันมาอีกเรื่อยๆเราก็ถือว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่ตื่นเต้นฟูฟ่องว่ามันวิเศษวิโสอะไรเพราะเราเห็นเป็นปกติแล้ว มาก็เห็นไม่มาก็ไม่ได้อยากเห็นอะไรทำใจเป็นกลางๆ

    แต่ถ้าผมติดอยากเห็นนิมิตที่เขาล่ำลือกันว่ามันจะเป็นยังไงน้อๆๆๆ พร่ำเพ้อหาอยากเห็นนิมิตทุกวัน มาถึงวันนี้ผมก็คงจะไม่ได้เห็นแม้แต่เศษเสี้ยวอะไรของนิมงนิมิต คงรู้จักแต่เพียงตามตำราที่มีคนเขียนว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้นเท่านั้น(ตัวอย่างเปรียบเทียบ)

    ปล.การวางอารมณ์กลางๆในขณะเราปฏิบัติภาวนาก็มีส่วนสำคัญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ใช่ ยังไง ไปย้อนอ่านอีกรอบนะ
    เอาว่า ถ้าไม่ใสเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าและเหมือนอะไรตรงกลาง
    ในเวลาลืมตาเห็น หรือเป็นวงกลมมีอะไรรอบๆวงกลม
    หรือไม่เป็นวงกลมหรือเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
    ในเวลาหลับ และในวงกลมและในสี่เหลี่ยม
    ผืนผ้ามันจะมีอะไรๆให้สังเกตุอยู่
    ที่สำคัญคือ มันจะต้องสีใส จบ
    นี่คืออุคหนิมิต


    และย้ำอีกรอบนะ จำนะ
    สำหรับกสิณ ต่อให้เป็นนิมิตตรงของมันเอง
    ก็ยังเป็นโทษและตัวขวางได้หมด
    ไม่ว่าจะนิมิตตรงกองใดๆก็ตาม
    ขั้นตอนต่อไปให้ย้อนไปอ่านที่แนะนำ
    ใน#Rep ก่อนหน้าเอง

    รู้อะไรไหม เล่าให้ฟังเล่นไรนะ
    เวลามีทางภพภูมิ
    มาแนะทริป มาวางอุบายให้เรา
    ก้าวพ้นสภาวะที่ติดขัดต่างๆ
    จะไม่มีคำว่า รอบที่สอง

    ข้อดีเวลาคนสอนคนคือ
    บอกแล้วบอกอีก
    ก็ยังถามแล้วถามอีกได้

    ถ้าในทางภพภูมิอย่าฝัน
    ถ้าไม่ได้ในครั้งนั้น
    ชาตินี้คือจบ.
    หรืออีกแสนนานกว่าจะมีโอกาส
    พอจะเห็นประโยชน์
    ของกำลังสติทางธรรมไหม


    ดังนั้นอย่าสนใจ กิริยากะโหลกกะลา
    สัมผัสพิศดาร กะโหลกกะลา
    ไม่ว่าจะทาง ตา จิต กาย หู ทุกชนิด
    ที่เกิดระหว่างทาง เป็นอันขาด
    และแม้ว่าจะเห็นอุคหนิมิตมันก็อย่าสนใจ

    จนกว่าจะสามารถ ทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ได้

    ๑.เล่นกับภาพระดับ
    ปฎิภาคนิมิต ในสมาธิระดับสูงได้ก่อน
    (ไม่ใช่ภาพที่เห็นตอนลืมตาในเวลาปกติ
    เช่นตอน กำลังคะรี่ หรือ ตื่นนอน หรือครึ่งหลับครึ่งตื่น)
    หรือ ๒.อฐิษฐานจิต จนเกิดผลจริงซักครั้ง
    เช่น ลมเป็นลม รอบตัวเราในห้อง

    หรือ๓ ทิ้งรูปในระดับปฎิภาคนิมิตร
    แล้วไปอรูปฌานได้ก่อน

    ค่อยว่ากัน จิตถึงจะพอทำอะไรได้บ้าง
    ในวงการใช้งาน ใันคือการเริ่มต้น
    คือพึ่งเริ่มคลาน มันยังมีอะไรๆที่รอวาระ
    ในการเข้าถึงอีกเยอะๆๆๆๆๆๆ

    ปล. การถูกดูดไปนั่งที่อื่น หรือการมีสถานที่อื่นเข้ามาแทนบริเวณที่เรานั่ง
    มันเป็นเรื่องปกติสุดแสนธรรมดา
    ที่จะเกิดขึ้นได้ ในระหว่างทาง
    ของกสิณลมหรืออากาศ
    ธรรมดาคือเกิดได้ปกติ
    ให้ช่างมันไว้ก่อน จำไว้

    จิตที่จะสามารถทำอะไรพิเศษได้
    ควรสร้างความเฉลียว
    ให้เกิดมีเอาไว้เป็นทุน
    เราควรต้องฉลาดในเรื่องแบบนี้
    มาจากกำลังสติทางธรรมล้วนๆ

    ดังนั้นพอรู้แนวแล้ว
    ก็เตรียมความพร้อม
    เพื่อรองรับสิ่งที่จะเกิดในอนาคต
    เอาไว้ให้ดีๆ
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไปตามลำดับ. ^_^



     
  19. noomman2

    noomman2 จงสำเร็จทุกประการ เอวัง โหตุ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +69
    ฝึกสำเร็จไม่ง่ายครับ เรามีพื้นแค่ไหนปกตินั่งสมาธิเป็นประจำหรือป่าว มีศีล มีที่เรียนแบบตามลำดับขั้นมีครูอาจารย์ใจดีเข้าใจ ความอ่อนแข็งของแต่ละคน แต่ละคนมีจุดหมายต่างกัน แต่ถ้าแค่ใจสงบน่าจะพอไหว
    ผมเชื่อว่า การทำความเข้าใจในกลไกของการฝึกแล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้น แต่ว่าจะสำเร็จก้อต้องฝึก ฝึก ฝึก
    ขั้นต่อไป เขาเรียกว่า จะมีวิธีที่เราถนัด หรือ ตามจริต เราค่อย ต่อ ยอด กันไป แต่แค่คุณเริ่มตั้งใจในการลงมือฝึกทั้งสมถะแลวิปัสสนาย่อมชนะไปครึ่งทางแล้ว
    ส่วนคำถามที่ว่า เมื่อไรสำเร็จ ถามทีไร ก้อตอบแค่ว่า ทำไปเรื่อยไปทำทุกวัน
    ผมก้อเพิ่งเข้าใจ
    ว่าไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่า เมื่อทุกอย่างมาประจบกัน ก้อจะสำเร็จ ไม่สามารถบอกได้ ใช้ความเพียรฝึกไปเรื่อยๆ
    มีตุ่มน้ำขนาดใหญ่ ไม่สามารถตักใช้ได้
    ถ้าน้ำไม่เต็ม ถ้าเราฝึกจะมีน้ำหยดลงหนึ่งหยด
    ถ้าไม่ฝึกไม่มีน้ำหยดลงไป ฝึกผิดน้ำลงข้างตุ่ม
    เราไปถามผู้รู้ ไม่มีใครบอกไว่ว่าจะเต็มเมื่อไร น้ำจะเต็มเร็ว หรือช้า อยู่ที่เรา แต่ต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะจะดีมากครับ
    คนที่จิตมีพลังเข้มแข็งมีสติ มีปัญญา ย่อมตักน้ำได้มาก ไม่หก เต็มไว
    ผมก้อไม่ได้เรื่องเหมือนกัน สู้ๆครับทุกท่าน
    อนุโมทนาบุญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  20. maxmi

    maxmi แม็กคับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2017
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +1,203
    แต่ก่อนก็เคยฝึกกสิณลม ตอนภาวนาอยู่แล้วมีไอน้ำมาจากไหนไม่รู้มาเกาะแว่น ตอนฝึกกสิณสีขาว ก็เคยเห็นแผ่นที่ฝึก ลอยอยู่ข้างหน้า ไปๆมาๆความทุกข์รุมเร้าก็เลยเลิก ตอนนี้มาสวดมนต์เอาอย่างเดียว ภาวนาบ้างนิดหน่อยบางวัน ถ้าฝึกก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรไม่อยากได้ฤทธิ์อะไรแล้ว เดี๋ยวนี้อยากได้เงินได้ทองอย่างเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...