อนัตตา เปรียบดั่งยาขมของผู้ปฏิบัติธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 สิงหาคม 2018.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ?temp_hash=ff1c6806ece72148523a89873d5b33d1.jpg

    เมื่อใดก็ตามที่เกิดการพูดคุยถกธรรมกันขึ้นในหัวข้อ "อนัตตา" ของเหล่านักปฏิบัติธรรมชาวพุทธ ก็มักมีความขัดแย้งกันร่ำไป ไม่ลงรอยกันตามธรรมที่สมควรแก่ธรรมของแต่ละบุคคลที่ได้เคยปฏิบัติธรรม เรียนรู้ ศึกษา รับฟังมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างหมดหัวใจที่มีอยู่ก่อนแล้ว จนทำให้ขาดวิจารณญาณที่ดีในการพิจารณาธรรมที่เคย ได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษาแล้ว เพื่อนำมาตรวจสอบ สอบสวน เปรียบเทียบ เทียบเคียง กับธรรมที่พระผู้มีพระภาคย์เจ้าได้ทรงตรัสไว้ดีแล้วว่า สิ่งที่รู้มานั้นสามารถลงกันได้ดี ไม่มีความขัดแย้งกันกับพระพุทธพจน์ที่เป็นหลัก ภูมิรู้ภูมิธรรมที่ตนมีอยู่นั้นเป็นเรื่องเดียวกันรอยเดียวกันกับพระพุทธพจน์หรือไม่

    ดังมีปรากฏในอนัตตลักขณสูตรที่พระองค์ทรงตรัสสั่งสอนเรื่อง "อนัตตา" ที่เปรียบเหมือนยาขมที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของนักปฏิบัติรุ่นใหม่ เมื่อมีความเข้าใจความหมายของคำๆ นี้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เช่น อนัตตาแปลว่าไม่มีตัวตน พระพุทธองค์ทรงสอนแต่เรื่องอนัตตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา (สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา) ฯลฯ

    เรามาพิจารณาพระสูตรที่มีปรากฏอยู่นั้น คำว่า "อนัตตา" แปลว่า "ไม่ใช่ตัวตน" ซึ่งมีความหมายแตกต่างเป็นคนละเรื่องเลยกับคำว่า "ไม่มีตัวตน" นั้น หมายถึง สิ่งที่เรากำลังกล่าวถึงไม่มีอยู่จริง ไม่เคยปรากฏให้รู้ให้เห็น ไม่มีเจ้าของ ภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่ายๆ ก็คือการติต่างมันขึ้นมาเองเพื่อพูดคุยกันเท่านั้น ซึ่งแตกต่างไปจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ฝ่ายปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเวลาท่านเทศน์สั่งสอนชาวบ้านนั้น คำว่า "ไม่มีตัวตน"ของท่านหมายเอาสิ่งที่กำลังพูดถึงนั้นมีอยู่จริง แต่ไม่มีรูปร่างปรากฏให้จับต้องได้เท่านั้น สามารถรับรู้ได้ ฯลฯ

    ส่วนฝ่ายที่เชื่อเรื่องไม่มีตัวตนในสายปริยัตินั้น หมายเอาสิ่งทั้งหลายไม่มีอยู่จริง เช่น การกระทำมีอยู่ ผู้กระทำไม่มี ทางเดินมีอยู่ ผู้เดินไม่มี เช่น มรรคมีองค์ ๘ นั้นก็สักแต่ว่าเป็นทางเดิน แต่ไม่มีผู้เดิน นิพพานนั้นก็สักแต่ว่านิพพาน แต่ผู้เข้าถึงนิพพานไม่มี สรุปง่ายๆ ก็คือ อะไรๆ ก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่มี ที่มีก็ไม่ใช่ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ความจริงแล้วคำสอนว่าไม่มีตัวตนดังที่กล่าวมา เป็นคำสอนของพวกปริพาชกจำพวกนัตถิกทิฐิ เป็นพวกนอกพุทธศ่าสนา

    แปลกแต่จริงที่เกิดขึ้นในพวกที่มีความเชื่อแบบนั้น กลับมีความเชื่ออีกอย่างว่า กฏแห่งกรรมมีอยู่จริง ทำดีได้รับผลดีฯ เมื่อคนเราตกตายลงไปแล้วต้องมีอะไรสักอย่างที่เคลื่อนออกไป (จุติ) เพื่อไปชดใช้กรรมดีกรรมชั่วที่ (ตน) ทำไว้ (การกระทำมีอยู่) แต่กลับเชื่อว่าผู้กระทำไม่มี มักกล่าวอ้างบิดเบือนเถลไถลว่าเป็นแต่เพียง "สมมุติบัญญัติ" ทั้งที่นิยามของสมมุติบัญญัตินั้นชัดเจนโดยไม่ต้องตีความใดๆ การจะสมมุติอะไรขึ้นมาได้นั้นสิ่งนั้นต้องมีอยู่จริง เช่น กระจกรูปทรงกระบอกก้นปิดเรียกว่า "แก้ว" แล้วบัญญัติซ้อนลงไปเป็น "สมมุติบัญญัติ" ว่า นั่นแก้วกาแฟ แก้วน้ำ เป็นต้น

    เมื่อมีสมมุติบัญญัติ เรื่อง "อนัตตา" พระองค์ทรงต้องมีบัญญัติของคู่กันคือ "อัตตา" ซึ่งเป็นทวินิยม (ของคู่กัน) และคำว่าอัตตานั้นก็ยังมีปรากฏอยู่มากมายในพระสูตร อีกทั้งมีนัยยะที่แตกต่างกันไปตามแต่บริบทนั้นๆ

    เรามาพิจารณาขอบเขตของอนัตตากัน เมื่อจิตมีการยึดมั่นถือมั่นเอา (สมมุติบัญญัตินั้น) รูปร่างกายที่มีอวัยวะภายในครบสมบูรณ์ มีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด รัก ชอบ ชัง เหตุเพราะมีจิตเข้ามายึดครองร่างกายนี้ อีกทั้งยังยึดเอาอารมณ์ทั้งหลายว่าเป็นของๆ ตนคือจิตนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตยึดเอารูป-นาม (ขันธ์ ๕) ว่าเป็นของๆ ตน เมื่อตรวจสอบกับพระพุทธพจน์ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน คือจิตที่ยึดครองอยู่นั้น เพราะจิตที่ยึดครองอยู่ยังซัดส่าย วุ่นวาย หวั่นไหวไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น เราย่อมเอาจิตสังขารเหล่านั้นมาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ (อนัตตา)

    เมื่อรู้จักฝั่งนั้นแล้วลองหันมารู้จัก "อัตตา" ที่มีความหมายตรงข้ามกับ "อนัตตา"ในรูปแบบนามธรรมที่ไม่มีรูปร่างให้จับต้องได้ เราเคยได้พบเจอกันบ่อยๆ แต่กับถูกบดบังด้วยอนัตตาธรรมจนมองข้ามเรื่องนี้ไป เรามักได้ยิน ได้ฟังเสมอๆ เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านสั่งสอนลูกหลานของตนที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านวัยเป็นผู้ใหญ่ "เมื่อไหร่เอ็งจึงจะเป็นตัวเป็นตน" เสียที เมื่อได้ยินได้ฟังปุ๊บ เรารู้ได้ทันทีว่า ท่านกำลังบอกให้ลูกหลานของท่านให้รู้จักฝึกฝนอบรมจิตใจของตน เพื่อให้รู้จักความสงบตั้งมั่นที่ต้องรับผิดชอบดูแลตนเองและคนรอบข้าง เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ นี่เป็นเพียงอัตตาระดับชาวบ้าน

    ส่วนอัตตาที่เป็นนามธาตุในพระสูตรอันเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้นั้น คือจิตผู้รู้ชั้นพุทโธ ซึ่งบริสุทธิ์หมดจดตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เข้ามากระทบ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ซึ่งเป็นพระอริยะชั้นโสดาบัน ว่าดังนี้ "ตสฺมา ตีหานนฺท อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา" แปลว่า "ด้วยเหตุนี้แหละอานนท์ เธอจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"

    ทั้งนี้แสดงว่า พระองค์ทรงสอนเรื่อง ตัวตน ถ้าไม่มีตัวตนจริงๆ ดังที่สอนกันอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว พระองค์ย่อมนำมาตรัสสอนพระอานนท์ไม่ได้เลย พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ รูปนาม (อารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์) ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรยึดถือสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นอัตตาตัวตนที่เที่ยงตรงคงที่ ถ้าหากปล่อยวางเสียได้ จิตก็จะบรรลุเข้าสู่สภาพธรรมที่ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ เป็นที่พึ่งที่อาศัยอันเที่ยงตรงคงที่ (อกุปปธรรม) อย่างแท้จริง

    มีพระบาลีในปัณฑิตวัคคแห่งพระธรรมบทกล่าวไว้ ดังนี้คือ "ปริโยทเปยฺย อตฺตานํ จิตฺตกฺกิเลเสหิ ปณฺฑิโต" แปลว่า "บัณฑิตพึงชำระตนคือจิต ให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส" แสดงว่า จิตที่บริสุทธิ์นี้ คือ ตน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกมาสอนพระอานนท์ดังกล่าวแล้วข้างต้นนี้ ดังนั้นคำสอนที่ว่า ไม่มีตัวตน จึงย่อมขัดแย้งกับพุทธพจน์ข้อนี้อย่างไม่มีปัญหา

    สำหรับข้อที่ว่า "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" นั้น เป็นการอ้างแบบเฉไฉไม่ยอมรับความจริง โดยที่ไม่เคยดูบริบทก่อนหน้านั้นให้ดีเสียก่อน ทุกครั้งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสถึง สัพเพ ธัมมา อนัตตา นั้น บริบทก่อนหน้าจะต้องกล่าวถึงรูป-นาม (ขันธ์ ๕) ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นอนัตตา กระทั่งมีการละไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่กลับถูกมองข้ามไปเสีย

    เราต้องไม่ลืมว่ายังมีธรรมฝ่ายโลกุตตรธรรม ที่เที่ยงตรงคงที่ต่อพระนิพพานนั้นมีอยู่ เช่น อมตธรรม อกุปปธรรม วิราคะธรรม ฯลฯ ธรรมดังกล่าวทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ ซึ่งตรงข้ามกับ "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ดังที่กล่าวอ้างไว้ โดยมีพระพุทธพจน์ตรัสรองรับไว้ ในฉันทสูตร ดังนี้ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลายพึงละความพอใจในสิ่งนั้นเสีย"

    เหตุทำให้เข้าถึง "อนัตตาธรรม" ได้นั้น ควรเดินตามรอยทางเดินที่นำไปสู่ความเป็นอริยเจ้า คือ "อริยมรรคมีองค์ ๘" ซึ่งในมหาจัตตารีสกสูตร พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ
    สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
    เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง"

    องค์ประกอบดังกล่าวมีสัมมาทิฐิเป็นใหญ่เป็นประธาน ทำให้จิตมีพลังรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า อันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่ "รูป-นาม(ขันธ์ ๕) ไม่ใช่ตนคือจิต จิตไม่ใช่รูป-นาม (ขันธ์ ๕)"

    สรุปสุดท้าย กล่าวตามข้อเท็จจริง พระพุทธองค์มิได้ทรงสอนให้ถอนคำบัญญัติทิ้งเสีย หรือทรงสอนให้ทำลายสิ่งที่รองรับคำบัญญัติ ให้ละลายหายสูญไปด้วยแต่ประการใดเลย เนื่องจากทุกข์โทษทั้งหลาย มิได้เกิดจากการใช้คำบัญญัติ แต่เกิดจากการเข้าไปยึดถือสิ่งรองรับคำบัญญัติ ด้วยความเข้าใจผิด ว่ามีแก่นสารสาระเป็นอัตตา (ตัวตน) ต่างหาก

    พระองค์ทรงสอนให้ ถอนความยึดมั่นถือมั่น สิ่งรองรับคำบัญญัติ ด้วยความเข้าใจผิดไปนั้นเสีย เมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่รองรับคำบัญญัติเสียแล้ว ก็ย่อมหลุดพ้นจากวัตถุหรืออารมณ์ที่รองรับคำบัญญัติทั้งหลายได้อย่างสิ้นเชิง จิตก็ย่อมผ่องแผ้วบริสุทธิ์ ไม่หลงไปพลอยเกิดพลอยตายกับสิ่งที่รองรับคำบัญญัตินั้นด้วย จิตจึงเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้อย่างแท้จริง

    เจริญในธรรมทุกๆ ท่าน
    ธรรมภูต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • anatta.jpg
      anatta.jpg
      ขนาดไฟล์:
      116.6 KB
      เปิดดู:
      908
  2. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    คนที่เอา ธรรมเป็นคำๆ ยกมาตั้งกระทู้ถามตอบโต้เถียงโอ้อวดภูมิ...ง่กันแบบ เอาสีข้างถูกันดังบึกๆ มันเป็นของโลกๆทั้งนั้นครับ คนที่พ้นปุถุชนแล้วจริงๆไม่มีใครมาเสียเวลาเอาธรรมมาไล่เถียงไล่งัดกันแบบปุถุเต็ม100เพื่อโชวพาวหรอกครับ

    ถ้ายังอยากงัดอยากถกกันอยู่ไม่ต้องคิดไกล จิตยังห่างไกลธรรมจริงๆมาก พวกเดียวกันทั้งนั้น

    (ไม่ได้ว่าผู้ตั้งกระทู้นี้ครับ) พูดถึงในเว็บธรรมะทั่วๆไปที่มีให้เห็นเกลื่อน บางที่หนักพูดประกาศตนว่าเป็นผู้บรรลุโสดา*เฝ้าเว็บบอร์ด แล้วมาไล่งัดกับปุถุชนทั่วไปด้วยกิเลสแบบลืมตัวชั่วขณะเมามัน เห็นแล้วสลดสังเวช ไม่แน่แถวนี้ก็อาจจะมีด้วยป่าว...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2018
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ขึ้นชื่อว่าปุถุชนคนหยาบกิเลสหนา ก็ยังวนเวียนเข้าบอร์ดออกบอร์ดบ้างเป็นธรรมดา

    ส่วนใครจะโชว์ความเขลาเบาปัญญาก็สุดแท้แต่ความพอใจ คงห้ามได้ยาก

    พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน ถ้าลงมือปฏิบัตินำมาบอกกล่าวกันได้

    ส่วนใครเข้าใจหรือไม่นั้น ชอบหรือไม่คงห้ามยาก แต่จะกล่าวหาใครว่า "โง่" คงไม่ได้

    เค้าอธิบายมาผิดตรงไหนก็ควรชี้ชัดลงไปว่า ตรงนี้น่าจะไม่ใช่ แล้วต้องบอกที่ใช่ไปด้วย

    การนำเอาพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาอ้างควรระมัดระวัง เพราะท่านไม่ได้มาแก้ต่างเอง

    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

    ล้วนกำหนดรู้แล้ว ละแล้ว ดับได้จริงแล้ว เดินตามทางปฏิบัติเพื่อดับทุกข์แล้ว

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรม
     
  4. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    เรียนคุณ ผมก็ไม่อยากให้มันมีปัญหาอะไรกันหรอกนะครับ แต่ก็ต้องแก้ไขไปตามตรงว่า ผมไม่ได้เอาชื่อหลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา มาอ้างในทางเสียๆหายๆ ไม่มีเลย สำหรับคนที่อ่านแล้วเข้าใจมันก็ไม่มีอะไร มันเป็นการยกตัวอย่างครับซึ่งผมก็ยกแบบในสิ่งที่เป็นจริง หวังว่าคงเข้าใจ
     
  5. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ในพระสูตร อนัตตลักขณสูตร
    เป็นที่รู้กัน มันตัดเรื่องจิตออกไป
    (ไม่รู้หายไปไหน)

    เป็นที่เข้าใจกันของนักภาวนา

    คนคนหนึ่งนั้นมีสองส่วน
    คือ
    ขันธ์ห้ากับจิต

    เราพิจารณาขันธ์ห้าด้วยความเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา
    เพื่อทำลายความเห็นผิดที่เข้าใจว่าเป็นอัตตา(ตัวกู)
    ส่วนนี้เป็นที่เข้าใจกันโดยมาก

    เราพิจารณาจิตด้วยความเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา
    เพื่อทำลายตัวอัตตาที่ฝังตัวในดวงจิตเจ้าของ

    ..
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    พระธรรม คำสั่งสอน ท่องจำได้
    จารึกอักษรก็ได้ เขียนให้เพี้ยน
    แปลเปลี่ยนยังไงก็ได้

    แต่ธรรมะและสภาวะธรรมตามอริยสัจ
    ซึ่งเขียนเป็นอักษรไม่ได้
    หามีสิ่งใดในจักรวาลนี้มา
    ทำให้เพี้ยนเปลี่ยนเฉก
    เช่น พระธรรมไม่


    เรียนทางพุทธศาสนาเพื่อเข้าหาอนัตตา
    เพื่อหมดอัตตาตัวตน มิใช่เพื่อเพิ่มครู
    บาร์อาจารย์เป็นปรมาจารย์เพิ่มอัตตาตัวตน

    คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ
    ให้ความหมายความเห็น
    โดยขาดการการปฎิบัติ
    เป็นการไปกระทำให้สิ่งที่มันไม่มี
    อะไรอยู่แล้วมันมีตัวตนขึ้นมา
    จะติดวิบากเล็กๆน้อย
    ที่เป็นเหตุให้ สติ สัญญา ทิฐิ
    เริ่มวิปลาสได้อย่างคาดไม่ถึง

    พระพุทธเจ้า และเหล่าอัครสาวกทั้งหลาย
    ท่านบรรลุธรรมจากพระธรรมหรือธรรมะ
    ตรรกะง่ายๆแค่นี้ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจกัน
    อ้างกันไปร้อยแปดพันเก้า
    ตามแต่วิบากหมู่แห่งตนที่ยึดติด

    เพราะมัวแต่ไปเพิ่มครูบาร์อาจารย์
    เพื่อเป็นปรมาจารย์สนองอัตตาแห่งตน
    จึงวกวน ไม่รู้จบ ทั้งสติ ทิฐิ สัญญา
    จนเป็นเหตุให้วิปลาสกลายๆ
    และไร้ความสามารถทาง
    ด้านนามธรรมและทางจิตใดๆ
    แต่ก็ยังไม่รู้จักสำเหนียกตนเอง

    ป่านนั้นยังเข้าใจว่าตนเอง
    บรรลุธรรม. เอาเซลล์สมอง
    ส่วนไหนมาคิด.

    ปล. พวก(.......)เรียกพี่ทั้งหลาย
    นี่หละเหตุเพราะศึกษาเพื่อเพิ่ม
    แทนที่จะเอาออก จะได้จบๆ
    ทั้งๆที่ตัวอย่างก็มีมาให้เห็น
    ไม่รู้ตั้งกี่พันปีผ่านมาแล้ว

    จริงๆไม่อยากพูดมากหรอก
    เด่วพวกดัดจริตสร้างภาพทางจิต
    แต่ไร้ความสามารถทั้งหลาย
    มันจะเอาไปเปรียบกับที่มันยึด
    แล้วมันจะเอามายกเทียบกับอัตตา
    ตัวตนของมันว่ามันดีแสนดี
    เพียงเพราะด้วยคำพูดหวานๆ เพราะๆ
    แต่เต็มไปด้วย ทิฐิสัญญาและสติ
    ที่วิปลาสแห่งตน. จบ

     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    เข้าใจครับ แต่ต้องเตือนไว้ก่อน

    เท่าที่ผ่านมาได้วนเวียนอยู่ในนี้มานานพอสมควร

    รู้เห็นอะไรต่อมิอะไรผ่านตามามาก

    บางคนเอาคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาอ้าง(หวังดี)

    และไม่ใช่เอามาอ้างแบบเสียๆ หายๆด้วย

    แต่กับถูกบุคคลที่เห็นไม่ตรงกัน ถามกลับมาด้วยคำพูดแบบเสียๆหายๆ

    ซึ่งโดยความเป็นจริง บางครั้งท่านเทศน์ไปแล้วมีช่องวาง

    เนื่องจากท่านเห็นว่ามีบริบทอื่นที่ท่านเคยเทศน์รองรับไว้

    แต่คนที่ไม่เห็นด้วย กลับแกล้งเอาที่เห็นเฉพาะหน้ามาโจมตีให้เสียหายก็มี

    คิดเสียว่า คนแก่เตือนด้วยความหวังดีก็แล้วกันนะ
     
  8. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    แล้วที่เจาะจงมาเตือนผม มันมีอะไรแอบแฝงในใจป่าวครับ ถ้าผมจะเตือนคุณบ้างว่าอย่าเสียเวลาเตือนผม ให้ไปเตือนใจคุณเองเถอะ จะยอมรับไหม

    เรื่องการเอาพระท่านมาอ้างไม่อ้างผมเห็นว่ามันไม่มีน้ำหนักที่คุณจะมาไล่ตามเตือนผม ทั้งที่ความหมายที่ผมยกมามันก็ไม่ได้มีอะไรสำหรับคนทั่วๆไป นอกจากคุณจะเข้าใจว่าคำพูดที่ผมสื่อมันโดนเข้าตัวของคุณเองเลยอยู่เฉยๆ ไม่ได้ครับ

    ปล.เพื่อความสบายใจของคุณ ผมจะลบคำที่คุณติดใจออกไปให้ มันจะได้ไม่มีอะไรยืดเยื้อในประเด็นนี้อีกต่อไป...จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2018
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ฮา ฮา ฮา

    คนอะไรว่ะ คิดได้เป็นตุเป็นตะ

    ส่วนอยากเตือนอะไรก็เตือนมาเลย คงไม่มีใครว่า

    อย่าคิดเองเออเอง ให้เสียเวลาในการภาวนา

    ส่วนจะยอมรับหรือไม่รับนั้น ไม่ต้องเอาไปมโนเองอีกหล่ะ

    เชิญ อยากลบอะไรก็ลบไปเถอะ อยากไว้ก็ไว้ คงห้ามไม่ได้

    เพียงแค่คำพูดในนี้คงไม่ได้ทำให้ใครดีขึ้นหรือเลวลงได้หรอกนะ

    ถ้าจิตใจยังแกว่งได้ง่ายๆขนาดนี้

    เชื่อเถอะไม่ต้องไปพูดถึงใคร หรืออ้างถึงใครอีกนะ

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรม
     
  10. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    แล้วไม่ดูตัวเองเหรอวะ เสือกมาทำเป็นเตือนคนอื่น ไม่ดูเงาหัวตัวเองบ้าง อย่ามาทำเป็นพูดดีเลย ที่จริงมันน่าจะจบไปนานแล้ว แต่ไอ้คนมันไม่อยากจบก็ทำเป็นมาอยากตักอยากเตือนถุย ไม่เตือนตัวเอง ทำเป็นพูดว่าแค่นี้คุมอารมณ์ไม่ได้ แล้วมันคุมได้ป่าวล่ะ ขนาดไม่ได้พูดถึงมันเลยในตอนต้นยังเสือกร้อนตัวทำมาเป็นระแคะระคาย

    ธรรมมีไว้สำหรับคนมีธรรม แต่คนชอบงัดมันก็ต้องจัด ตอนต้นได้วงไว้แล้วว่าไม่ได้พูดถึงเจ้าของกระทู้ แต่มันคงอ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่อง เลยร้อนตัว

    ทำมาเป็นพูดว่าเจริญในธรรม ถ้าพูดแล้วทำให้มันเจริญจริงๆยังกับมันเขียน มันก็จบไปแล้วสิ แต่นี่คือมันไม่ยอมจบไง มันถึงร้อนตัวมีมาต่อจนถึงวันนี้ แล้วจะทำเป็นเหมือนตัวเองมีธรรมเหนือกว่าคนอื่นทำไมฟ๊ะ

    ถ้าไม่มีวะใส่กันก่อนคงไม่ได้เห็นคำพวกนี้
    ถ้าอยากเตือนคนจริงๆ ทำไมไม่ไปไล่เตือนทั้งเว็บวะ คนอื่นๆที่อ้างถึงบุคคลอื่นในวัดมีเยอะแยะ ตอนคนอื่นฉะกันไม่เห็นมันโผล่หัวออกมาเตือนใครเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2018
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!

    กรูล่ะปลงเลยจริงๆ ปล่อยคนหัวร้อนสมองบวมแบบนี้มาเข้าได้ยังไงว่ะ5555+

    คำว่า "ว่ะ" เป็นคำของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่เค้าแสดงออกถึงความเป็นกันเองและจริงใจ

    ถ้ารับไม่ได้กับอารมณ์หยาบๆแค่นี้

    เชื่อเถอะนอนเกาะพุงเล่น อย่าอยู่หน้าคอมเลยยังมีประโยชน์กว่า

    คนอื่น กรูจะไปเตือนมันทำไม ในเมื่อมันไม่ได้มาแสดงความเห่ยที่กระทู้นี้

    ว่างๆหัดไปเสิร์ชของเก่าๆดูบ้างนะ ใครบ้างที่โดนธรรมภูตเตือนแบบหนักกว่านี้ไปบ้าง

    แล้วจำไว้ให้แม่นๆด้วยนะ อย่าลืมล่ะ

    ถ้ามีวุฒิภาวะต่ำเตี้ยเพียงแค่นี้ อย่าแอบอ้างพ่อแม่ครูบาอาจรย์อย่างเด็ดขาดอีกเลย

    ไม่ได้เสือกนะ แต่อยากเสือกจริงๆ เพราะรู้สึกสังเวชอย่างจับใจจริงว่ะ5555 (อย่าถอดใจล่ะ) สู้ๆ

    ***เฮ้อ!!! กรูก็รู้ว่าไม่ได้พูดถึงกรู แต่เสือกแอบอ้างพ่อแม่ครูบาอาจารย์นี่ไง

    เจริญในธรรมยิ่งๆนะจ๊ะ
     
  12. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    กูไม่ได้แอบอ้างในทางเสียหายก็แล้วกัน แต่ในเมื่ออยากคุยกับกูนานๆก็ได้ เวลากูจะอ้างถึงพระกูก็อ้างในทางดี ส่วนมึงจะเห็นว่าไม่ดีก็เรื่องของมึง การมาเถียงกับมึงกูรู้ว่ามันก็ไม่ได้อะไร เพราะมึงก็ไม่มีคุณค่าอะไรสำหรับกูแม้แต่นิดเดียวเหมือนกัน และกูก็ไม่เห็นว่ามึงจะดีไปกว่ากูตรงไหน

    ทุกสิ่งที่มึงว่ากูวุฒิภาวะต่ำอะไรนั่น มึงก็ต่ำพอๆกับกู เพราะกูยังไม่คิดที่จะเสือกไปยุ่งอะไรกับมึง แต่มึงเสือกมายุ่งกับกู โดยเอาคำว่ากูเสือกอ้างครูบาอาจารย์ มาเป็นเหตุ มึงไม่ได้ฉลาดไปกว่ากูเลย จิตใจมึงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากู มึงว่ากูต่ำยังไงมึงก็ต่ำยังงั้นแหละ

    กูไม่ได้อยากมีเรื่องกับใคร แต่มึงเสือกอยากมามีปัญหากับกู จะโยนความผิดให้กู ไม่มีทางยังไงกูก็ไม่ยอมรับในคำของมึง เพราะกูไม่ได้พูดถึงพระในทางเสียหาย มีแต่มึงอยากทะเลาะกับกูเป็นการส่วนตัวเอง อย่าเอาพระมาอ้างเลย

    และกูก็เขียนตอบโต้มึงได้ทุกวัน ถ้ามึงยังอยากมีปัญหากับกูใส่ความกูว่ากูไปอ้างครูบาในทางไม่ดี เพราะกูไม่ยอมรับ และกูก็ไม่ยอมคนชอบเสือกใส่ความคนอื่นอย่างมึงด้วยสิ

    ถ้ามึงยังอ้างถึงหาว่ากูพูดถึงพระในทางไม่ดีแต่เจตนามึงจริงๆเพื่อจะทะเลาะกับกู ก็อย่าจบเลยเพราะกูก็ไม่ชอบคนแบบนี้เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2018
  13. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    มึงตั้งกระทู้มาเพื่อจะมีปัญหากับคนที่มาโพสในกระทู้ เพื่อสนองตัญหาความเสือกอยากเอาชนะของตัวมึงเอง กูไม่ได้แค้นอะไรมึงเป็นการส่วนตัว แต่มึงไม่จบเอง ภาษานี้กูใช้สำหรับมึงเท่านั้น เพราะค่าของมึงมันก็ไม่มีเศษเสี้ยวอะไรเหมือนกัน

    กูเข้ามาในเว็บธรรมะกูก็ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับใคร ไม่ได้อยากจะพูดคำหยาบๆใส่ใคร แต่มึงเป็นคนเริ่มต้นใส่กูและมึงก็ทำตัวมามีปัญหากับกูเองมึงอยากสั่งสอนกูยังไง กูก็จะสั่งสอนมึงแบบนั้นแหละมึงจะได้ในสิ่งที่ตัวของมึงก็มีเหมือนกู

    เรื่องกิเลสกูไม่แพ้มึงก็แล้วกันฉะกูได้ทุกวัน คนอย่างมึงพูดดีๆแล้วเสือกได้ใจก็ต้องเอากิเลสนั่นแหละของที่มึงชอบนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2018
  14. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ตราบใดที่ยังมีกระทู้ที่มึงอยากจะเอาชนะกูนี้อยู่ และมึงยังแคปคำพูดกูมาเพื่อทะเลาะกับกูได้เรื่อยๆ ตราบนั้นก็ยังมีกู ที่จะตอบโต้มึงด้วยสิ่งเลวๆของมึงที่กูก็มีจนกว่ามึงจะจบ

    กูโง่มาทะเลาะกับมึง และมึงก็โคตรโง่มาทะเลาะกับกู กูก็อยากรู้ว่าความโง่ๆเหล่านี้ของมึงมันจะหมดไปเมื่อไร กูยอมหมดช้ากว่ามึงถ้ามึงยังอยากทะเลาะกับกูด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2018
  15. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ใบลานเปล่าเฒ่ากิเลสภูติ กะโหลกกะลาปาจิงโกะ อยากโชวพาวว่ากูเก่ง ไล่บี้คนไปทั่ว ถุย ตัวกิเลสเฒ่า พูดถึงคนสะเออะว่าตนบรรลุทั้งที่กิเลสยังเต็มหัว สงสัยเข้าตัวไอ้เฒ่ากิเลสภูติเลยดิ้นใหญ่ มึงบี้กูเองนะ ทีนี้ตากูบ้างละกัน รออยู่กูฉะมึงได้ทุกวันไม่ตาสว่างก็จมไปด้วยกันกูชอบ เหตุผลข้ออ้างอะไรไม่ต้องกิเลสล้วนพร้อมจัดให้ ของที่มึงชอบไงไอ้เฒ่ากิเลสภูติ หัวหงอกแล้วไม่เจียมกะลาหัว ชอบอยู่ไม่สุข วางฟอมพูดดีน้ำตาลน้ำอ้อย ถุย เนื้อแท้แฝงกิเลสท่วมท้น ไม่ได้ลดลงเลย

    ทำมาอวดยกหางตนว่าใครโดนไอ้เฒ่ากิเลสภูติคนโง่นี้เตือน จะต้องมุดหนีตัวสันระริกระรี้ ถุย มึงสำเหนียกเตือนกิเลสชอบเสือกข่มคนไปทั่วของตัวมึงเองให้ได้ก่อน ไอ้ใบลานเฒ่ากิเลสภูติกะโหลกกะลาเบบี๋
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2018
  16. ศิษย์โง่ Ultimate

    ศิษย์โง่ Ultimate สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +4
    สรรพคุณของ พุทรา
    1. ผลมีรสหวานมันและฝาด ช่วยบำรุงร่างกาย (ผล)[1]
    2. ผลช่วยบำรุงกำลัง[2] หรือสำหรับคนที่ผอมแห้งแรงน้อยหากรับประทานผลพุทราจะช่วยทำให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้น (ผล)[5]
    3. พุทราจีนอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย (ผล)[1],[4]
    4. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผิวมีสุขภาพดีและแข็งแรง และป้องกันโรคเกี่ยวกับผิวพรรณได้ (ผล)[2]
    5. ช่วยบำรุงประสาทและสมอง (ผล)[1],[2],[4]

    1. ช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ (ผล)[1],[2],[4]
    2. สรรพคุณของพุทราจีน ผลช่วยบำรุงโลหิต (ผล)[1],[2]
    3. ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง (ผล)[4]
    4. ช่วยบำรุงม้ามและตับ (ผล)[4]
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    เฮ้อ!!!

    เพิ่งรู้หรือไงว่าตัวเอง "โง่" ยังดีนะที่รู้ว่าโง่ คงฉลาดเข้าสักวัน

    ส่วนใครที่โคตรโง่นั้น ใจร่มๆ แล้วลองพิจารณาช้าๆก็จะรู้เองว่าใครโคตรโง่

    มีแต่พวกโง่ดักดานเท่านั้น ที่เวลาอัดอั้นตันใจมากๆ

    ก็จะระบายความโง่เขลาเบาปัญญาออกมาเยอะจนจำไม่ได้ น่าสังเวช

    ใครก็ไม่รู้ว่ะ ที่อยากชอบอวดรู้โชว์ภูมิโดยพยายามจะเอาพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาบัง

    แปลกนะ ไม่เคยเชิญมรึงเข้ามาตอบที่กระทู้นี้เลย แบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร?

    เชิญจร้า เอาให้จมหรือเป็นลมคาบอร์ดเลยก็ได้ ถ้าทำได้นะ

    เรื่องง่ายแค่นี้ยังอยากจะอวดเก่งเลย ไม่สงสัยจริงๆ

    เจริญในธรรมที่ทำให้เห็นกิเลสตัวเองชัดๆจร้า
     
  18. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ไอ้ใบลานเปล่าเฒ่ากิเลสภูติ บรมโครตโง่ ก็หัดดูตัวเองสิไอ้โง่ คนโง่อย่างมึงก็แค่ไอ้ใบลานเฒ่ากระจอกๆไง ไอ้โครตโง่ ไอ้ปัญญาตื้น ดักดานยิ่งกว่าควายแล้วเสือกโชวโง่ น้ำตาลน้ำอ้อยก็ช่วยคนโคตรโง่อย่างมึงไม่ได้นะจร้า ไอ้เฒ่ากิเลสภูติต่ำต้อย ถ้ากูโง่มึงก็โคตรโง่ไง ไอ้เฒ่ากะโลกกะลาตำราคลุมหัว

    ถ้าไม่อยากให้ใครกวนก็อย่าทำตัวสูงส่งข่มคนอื่นให้มากนัก กิเลสตัวเท่าบ้านก็มีเหมือนกันอย่าทำๆ หุบปากไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2018
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    เฮ้อ!!!

    ไม่ได้คิดเลยจริงๆว่าจะมาเจอคนโง่ดักดานได้ขนาดนี้

    โคตรโง่จนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังแสดงอาการ ของคนความหยาบยิ่งพวกที่ไร้การศึกษา

    เพียงเพราะอยากจะตั้งตัวเป็นอาจารย์ในบอร์ด เหมือนหลายคนที่ผ่านมา

    ย้อนอดีตไป ก็เช่นนี้ พอไปเตือนพวกที่แอบแฝงอยากตั้งตัวเป็นอาจารย์

    เหมือนกันยังแพะกะแกะ โดนคำหยาบเท่าที่มีในตลาดโดยพวกคนชั้นต่ำๆเค้าใช่กัน

    พรั่งพรูออกมาราวกับว่ากลัวคนอ่านจะไม่รู้ว่าตนมีสันดานหยาบสถุลไร้สกุลรุนชาติ

    แล้วอย่าเที่ยวใส่ร้ายคนอื่นเค้าง่ายๆโดยขาดเหตุผลล่ะ

    ขอหลักฐานๆหน่อยซิว่ายกตนข่มท่านตรงไว้ไหน? คนอะไรดานได้ขนาดนี้

    เพราะความมืดบอดในใจของตนเองแท้ คิดไปแล้วก็น่าสงสารและสังเวชจริงๆ

    ปล. ที่กระทู้โน้น เขียนบอกไว้ชัดเจนแล้วด้วยคำว่า "ไปละ"

    คนที่เล่นในนี้เก่าๆเค้ารู้ว่าธรรมภูตไม่เข้าไปตอบอีกแล้ว

    อยากด่าอะไรอย่าถอดใจมาด่าที่กระทู้นี้เยอะ (ถ้าไม่มีหัวข้อธรรมจะแสดง)555+

    เพราะพูดไปแล้วว่าไม่เข้าไปดู

    เพราะที่ผ่านมาอันยาวนาน เมื่อบอก "ไปละ" ความหมายนั้นจริงๆ

    คือไม่เข้าไปดูอีกเลย แม้แต่แอบดูก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นจะไม่รู้อะไรเลยในกระทู้นั้น

    เจริญในธรรมนะ อย่าพลาดจนให้ล่าช้า เพราะโดนธรรมมันขัดขวางเอา
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    หัวข้อธรรมวันนี้

    ๑. อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
    ปูชา จ ปูชเนยฺยานํ เอตมฺมงฺคมุตฺตมํ
    (อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
    ปูชา จะ ปูชะเนยยานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง)

    การไม่คบหาพวกคนพาล ๑ การคบหาแต่เหล่าบัณฑิต ๑
    การบูชาผู้ที่ควรบูชา ๑ ข้อที่ว่ามานี้ จัดเป็นมงคลอันสูงสุด (๓)
     

แชร์หน้านี้

Loading...