ระหว่าง รูป กับ อารมณ์ ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Mdef, 9 ตุลาคม 2018.

  1. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    มันไม่เป็นอย่างนั้นคับ เราข้ามขั้นตอนในสิ่งที่สำคัญไม่ได้คับ ที่ยากคือเราจะยังไม่รู้ว่าเอกคัตารมณ์คืออะไร ถ้าเรามัวแต่เดาและถ้าไปถามใครส่วนมากจะตอบว่า อารมณ์ใดที่ถูกสร้างโดยสมมุติและเป็นไปตามสมมุติไม่ใช่สิ่งที่กำลังกล่าวถึง...เอกคัตตานั่นคืออารมณ์ที่ไม่เอื้อต่อสมมุติทั้งปวงพ้นจากนั้นคือสติปัญญา ที่จะวินิจฉัยว่าอะไรเป็นอะไร ผมเข้าใจว่ายากแต่อย่ามองข้ามในข้อนี้ ผมเองก็คำนึงถึงตลอดว่าอะไรที่ไม่อาศัยสมมุติมาเป็นข้อปฏิบัติในแง่ เพื่อการมองเห็น สมมุติจะไม่มีวันละสมมุติได้ มีแต่เริ่มจากไม่มีสมมุติจึงมองเก็นสมมุติและละมันไม่ใช่ทำลายมัน...เพราะเราไม่มีทางทำลายมันลงได้...เพราะมันคือสมมุติ...ประมาณนี้แหละคับ ลองทำดูนะคับ
     
  2. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    จากผมอ่านๆดูนี้ทำได้อย่างนั้นผมคงต้องวิมุตติเลยละมั้งครับเนี่ย
    ผมคงอยู่กับสมมุติไปอีกนานนี้หละครับ แต่ก็ขอบคุณสำหรับข้อเพิ่มเติมครับ
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    แรกๆผมก้คิดว่าลิ้นปี่
    พักหลักๆก้มองมาที่หัวใจ

    หัวใจเต้นสูบฉีดเหมือนเทียนที่ได้ติดไฟ

    ตุ้บตั้บ ตุ้บตั้บ
    เกิด ดับ เกิด ดับ
    เป้นแหล่งพลังงานใก้ร่างกายขับเคลื่อน
    ลมเข้าลมออกมาตั้งแต่ในท้อง


    เลยเข้าใจว่ามันเป้นตัวที่เชื่อมโยงกับจิตได้อย่างแนบแน่นเพราะจิตเป้นต้นตอที่แท้จริงของแหล่งพลังงานที่เกิดแต่กรรม


    คนใกล้ตาย ก้จะปั้มหัวใจ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ประมานนั้น เด่วพี่ช่วย

    อธิบายให้ฟังทีละข้อที่ถามแล้วกัน

    ใจจริงอยากจะให้เราเอะใจฉุกคิด

    ด้วยตัวเอง จะดีกว่า

    เอาข้อแรกก่อนนะ

    จะพยายามอธิบายให้ลองค่อยๆ

    คิดตามนะ

    ตอบ บ่ แมน เด้อ. ^_^ ^ ^ ^ ^(ยักคิ้ว ๒ ครั้ง)

    รูป คือ เราจับต้องได้ หรือจับต้องไม่ได้ ??? เช่น ส่วนประกอบที่รวมเป็นแก้ว เราจับแก้วได้ แต่จับองค์ประกอบของสะสารที่รวมเป็นแก้วไม่ได้ เกทเนาะ



    และที่สำคัญคือ มันคงตัวได้

    แต่แทนที่กันไม่ได้ ??


    เช่น แก้วเอามาวางซ้อนกัน

    มันไม่สามารถ กลายเป็นแก้วเดียวได้

    มันจะเป็นแก้ว ๒ ใบ)

    และมีเสื่อมได้แต่ปกติ(ย้ำว่าปกติ)มีเรื่องใช้เวลา เข้ามาเกี่ยว

    มากน้อยก็แล้วแต่สภาพแวดล้อม


    และรูปมีตั้งแต่ที่มองเห็น

    ได้ด้วยตาเปล่า

    และมองไม่เห็นได้ด้วยตา เช่น องค์

    ประกอบสะสาร เช่น เรามองเห็นแก้ว

    แต่เรามองไม่เห็น องค์ประกอบต่างๆ

    ก่อนที่มันจะรวมเป็นแก้ว


    หรือร่างกาย เรามองเห็นเป็นกาย

    แต่เรามองไม่เห็นองค์ประกอบของสะสารก่อนที่มันจะรวมเป็นกาย



    นามธรรม คือ คงตัวไม่ได้ แต่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ ???

    แม้จับต้องได้ เช่น คุยกับผี ถูกเนื้อต้อง แต่ผีหายไป เพราะคงตัวไม่ได้

    ก็ถือเป็นนามธรรม สังเกตุไหมว่า

    นามธรรมก็สามารถมีทั้งที่มองเห็นได้

    เช่น ผี และมองเห็นไม่ได้ เช่น ผีอีกนั่นหละ.


    ดังนั้น ให้ข้อคิดว่า อย่าตัดสินคำว่ารูปและนามธรรม จากการมองเห็นได้

    หรือจับต้องได้ ให้ดูว่า

    สิ่งนั้นมันคงสภาพเดิมได้ไหม

    จึงจะพอบอกได้ว่าเป็นรูป


    พอมองอะไรได้กว้างขึ้นไหม. ^_^


    ปล แสงมันเป็นในส่วนของสื่อนำแรง

    ชนิดหนึ่ง(จากทั้งหมด ๔)ทางวิทยาศาสตร์เราเรียกว่าโฟรตรอน หรือ คลื่นสนามแม่เหล็ก มีประจุ ไม่ว่าบวกหรือลบ

    มันไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้

    ถ้าไม่มีต้นกำเนิดของแรง

    หรือตัวทำให้เกิด

    คงไม่ต้องบอกนะว่าเป็นรูปหรือนาม



    ตอบ คนรถเรื่องกันเลย.

    นึกภาพตามนะ.

    จิตที่เกิด ปกติจะรวมกันเป็นคล้ายๆ

    วงกลม ไอ้จิตๆกลมๆนี้ มันเป็นต้นกำเนิดแรงประเภทหนึ่ง มันสามารถ

    สร้างแรงให้เกิดขึ้นมาได้ เปรียบเหมือนมอเตอร์ไฟฟ้า ถอดปลั๊กมันก็นิ่งๆ พอเสียบปลั๊กมันก็หมุนสร้าง

    สื่อนำแรงที่ประจุขึ้นมาได้. จิตคล้ายกัน ด้วยกมลสันดานชอบท่องเที่ยว

    สงสัยเป็นสายติสมาก่อน

    มันเจออะไรรอบตัวมัน มันเลยเสียบปลั๊กตัวเอง ก็เลยกำเนิดมีไอ้ตัวที่เรากันให้หล่อว่าตัววิญญาณ มันก็คือสื่อนำแรงประเภทหนึ่งที่สร้างจากจิตนั้นหละ เป็นเส้นๆวิ่งออกจากตัวจิต

    ปกติตาเปล่ามองไม่เห็น

    ส่วนจิตก็เป็นต้นกำเนิดของแรง

    ที่สร้างไอ้เส้นๆวิญญาณนี่หละ.



    ส่งไปกระสิ่งต่างๆภายนอก แต่ชอบส่ง ชอบเปรี้ยว แต่ไม่รู้เรื่องซักอย่าง

    ไม่รู้แล้วยังขี้เหนียว เอามาเก็บไว้อีก


    เก็บไปเก็บมา เห้ยซักไม่หล่อเว้ย

    สาวๆไม่กรีดกร็าดด. ตุ๊ดไม่กรี๊ดแตก

    เลยต้องสร้าง ช่องทางเพื่อส่งตัววิญญาณ ซักหน่อย เพื่อความเท่ห์

    กลายเป็น หู ตา จมูก ปาก จนรวมเป็นกาย


    สีแบบจับต้องได้

    ก็เป็นองค์ประกอบของสะสาร

    ที่เข้าพวกกัน

    ถ้าเป็นนามก็เป็นสื่อนำแรงพวกโฟรตรอนที่เข้าพวกกัน

    ตัววิญญานบอกไปแล้ว


    เพราะฉนั้นไม่เกี่ยวกับรู้แจ้งหรอก


    ตัววิญญาณเกิดอยู่ มันไม่มีทางรู้แจ้งหรอก

    เปรียบ

    เหมือนเราขับรถยนต์อยู่

    เราไม่มีทางรู้ว่ามันประกอบ

    ด้วยอะไรบ้าง แม้เราจะเคยได้ยินมา ได้ดู ได้ฟังมา แต่เราไม่ได้เห็นจริงๆถ้าเราไม่จอดรถยนต์ก่อน

    และรื้อค่อยๆรื้อ

    มันออกมาทีละชิ้นๆ

    เราถึงจะพอเข้าใจว่ามันประกอบ

    ด้วยอะไรบ้างอย่างไร


    แต่เราก็ยังไม่รู้อีกว่า

    ชิ้นส่วนต่างๆที่ประกอบเป็นรถ

    มันสร้างจากวัสดุอะไรอีก


    เราก็ต้องไปเรียนรู้

    ในองค์ประกอบของสะสาร

    ก่อนที่มันจะรวมกัน

    กลายเป็นขิ้นส่วนอีก

    เราถึงจะรู้ว่า ชิ้นนี้

    มันเกิดจากอะไร



    ดังนั้น ตัววิญญาณที่เกิด

    มันถึงไม่รู้อะไร

    มันก็เหมือนเราขับรถอยู่นั่นหละ

    รู้แค่ความเร็ว จับอย่างไร

    จะไปเข้าใจว่า รู้แจ้ง บ่ได้ ดอก

    ยังห่างไกลมากๆ


    เห็นไหมว่ามีอีกกี่ขั้นตอน

    เกทไหม






    บอกไปแล้วข้างบนตอนท้ายๆ



    อธิบายไปแระ ลองอ่านดู


    เข้าใจหรือยังว่าทำไมส่วนตัว

    ถึงได้แนะว่า อย่าพึ่งรีบตัดสิน

    หรือสรุป. เครเนาะ


    อธิบายนะพอได้

    แต่การเข้าใจด้วยตัวเอง

    มันดีกว่า
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คำถามทั้ง 4 ข้อ มี "รูปแบบ" ที่สัมพันธ์/คล้ายคลึงกัน แต่ "เนื้อหา" เป็นคนละส่วนกัน
    +++ ดังนั้น คำตอบ ที่ผมจะตอบ จำเป็นที่จะต้อง "กระชับภาษา" เพื่อชี้ให้ตรงกับอาการได้
    +++ "รูปธรรม" คือสิ่งที่ "เห็น/จับต้อง" ได้ เช่น "ตาเห็นรูป" ฯลฯ
    +++ "นามธรรม" คือ สิ่งที่ "เห็น/จับต้อง" ไม่ได้ แต่ "รู้สึกได้" เช่น ดีใจ/เสียใจ ฯลฯ

    +++ หาก "แสง/สี" สามารถ "เห็น/จับต้อง" ได้ ก็ถือว่าเป็น "รูปธรรม" เฉพาะผู้นั้น
    +++ หาก "รู้สึกได้" ก็จัดเป็น "นามธรรม" สำหรับผู้นั้น
    +++ หาก "เห็น/จับต้อง/รู้สึก" ได้ ก็เป็นทั้ง "รูป/นาม ธรรม" สำหรับผู้นั้น
    +++ วิญญาณ ในที่นี้จะชี้ไปที่ "วิญญาณขันธ์"
    +++ วิญญาณขันธ์ มีอาการ "ดู/รู้-เข้าใจ" ถ้า "ไม่ดู ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ"
    +++ ดังนั้น ในข้อ 2 นี้ ตรงกันหรือป่าว "ผู้ถาม ต้อง วินิจฉัยเอานะ"

    +++ ตัววิญญาณขันธ์ ถ้า "ดู/รู้-เข้าใจ ย่อม โปร่งใส"
    +++ ตัววิญญาณขันธ์ ถ้า "ดู/ไม่รู้เรื่อง-มึนตึ๊บ ย่อม ขุ่นมัว"

    +++ ดังนั้น สภาวะของ ตัววิญญาณขันธ์ ย่อมขึ้นอยู่กับ สถานการณ์/สภาวะแวดล้อม ณ ปัจจุบัณขณะ
    +++ ขาว = มองไม่ทะลุ
    +++ ใส = มองทะลุ
    +++ นามธรรม คือ "รู้สึก/รู้" ไม่ใช่อาการ "ดู/เห็น" แต่เป็นอาการ "รู้/เห็น"
    +++ การ "เห็นนามธรรม" ได้ สติจะต้อง "บริสุทธิ์" มากเพียงพอ

    +++ รู้ = ญาณ
    +++ เห็น = ทัศนะ
    +++ บริสุทธิ์ = วิสุทธิ

    +++ แก้วใส = จับต้องได้ มองทะลุได้ ใสมาก ๆ มองทะลุได้ "แต่" เดินชนกระจกใสได้ ระวังด้วยนะ "มันแพง"

    +++ การใช้ภาษาตรงนี้ ผม "ใช้ภาษาตามอาการของมัน" ดังนั้น อาจไม่เหมือนของผู้อื่น ก็ได้
    +++ ให้ "ผู้ถาม" สรุปรวมรวม ประเมินผล จากหลาย ๆ คำตอบดู ก็จะพอ "รู้เรื่อง" ได้ นะครับ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ภาษาตรงนี้ เรียกง่าย ๆ ว่า "จิตผุด"
    +++ แต่อาการจริง ๆ ของมันเป็น "จิตตะสังขารขันธ์" มันผุดขึ้นมา
    +++ ต่อจากนั้นก็มักจะ "มโน" กันต่อไป เรียกว่า "สัญญา สู่ สังขารขันธ์" ไปเรื่อย ๆ.....
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เอกัคตารมณ์ เป็น "สภาวะของนามธรรม ไม่มี รูปธรรม เข้ามาเจือปน"
    +++ ผู้ที่ "ฝึก" มาถึงในบริเวณนี้ได้ จะ "รู้" ได้ด้วย ตน ว่า

    +++ แม้จะอยู่ "ท่ามกลางรูปธรรม" ก็ตาม แต่ รูปธรรมทั้งหมด ไม่สามารถเข้ามา "เจือปน" ได้เลย
    +++ นามธรรม แห่ง ธรรมารมณ์ จะเป็น "อธิปัตติปัจจัยโย" โดดเด่นเป็นเอก ไร้สิ่งเจือปน

    +++ เป็นอาการของ "เอกอัคร+อัตตา+อารมณ์" มีความเป็น "ตน" ตั้งอยู่อย่างสมบูรณ์
    +++ ไม่โอนเอน "ส่งออก" ไปรับกับสิ่งอื่น (ไร้จิตส่งออก)

    +++ จะมีอาการที่ "ชัดเจน" คือ ท่องเที่ยวไปแต่ผู้เดียว "ลำพังตน ประดุจ นอแรด" ตามนั้นแล...
     
  8. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    +++ ให้ "ผู้ถาม" สรุปรวมรวม ประเมินผล จากหลาย ๆ คำตอบดู ก็จะพอ "รู้เรื่อง" ได้ นะครับ

    จากการประเมินผลของผมหากผมใช้ระบบ ดู + เห็น เมื่อผมดูสิ่งไหนคือจิตได้ส่งวิญญาณ
    ออกไปรับเอาจากภายนอกแล้วก็ฉวยเก็บเอามาเป็นสัญญาขันธ์ จากรูปธรรมภายนอกที่จับต้องได้
    เมื่อเอากลับมาแล้วกลายเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ จากรูป ไป นาม
    หากไม่มีความสามารถที่จะกลับไปเห็นสถานการณ์ปัจจุบันได้ว่า
    รูป ที่เคยเห็น ณ ขณะนั้นๆตอนนี้เป็นอย่างไรไปบ้าง
    ตามสถานการณ์ตามความเป็นจริง
    ณ ขณะปัจจุบันจะกลายเป็นหลงอยู่ในการ นึก คิด ตามสัญญาขันธ์ แล้วหลุดไปจาก

    สถานการณ์ปัจจุบันตามความเป็นจริง ไปโดยปริยาย เป็นการหลงนามธรรม
    จากจุดเริ่มต้นที่มี วิญญาณ ที่ส่งออกไปรับรู้แล้ววกกลับเข้ามาที่จิตตสังขาร

    หากผมใช้กระบวนการ รู้ + เห็น จะเป็นการประมวลผลแบบจาก นาม ไป รูป
    จากภายในที่เริ่มปรากฏไปสู่รูปธรรมได้แค่ไหนก็แค่นั้น
    ตามแต่กำลัง สติ+(สัมปชัญญะ/ความรู้สึก) โดยส่วนตัวผมยังไม่ถึงระดับการเห็น
    ที่พอจะมีปัญญาเห็นตามไปสู้ภาพปรากฏภายนอกตามความเป็นจริงได้
    +.+

    แสง นั้นอาจจะเป็น รูปธรรม สำหรับกายทิพย์ แต่จะยังเป็น นามธรรม สำหรับกายเนื้อ
    อันนี้ สันนิษฐาน แบบยังไม่เป็นทางการ อิอิ

    การประมวลผลของผมทั้งหมดจะยังไม่ชี้ชัด 100% เพราะผมยังมีส่วนของมิจฉาทิฐิก็ไม่น้อยครับ

    ก็ขอขอบคุณทุกท่านครับ
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    Doo kara hyoka...

    Trong tee parop wa pramuanpon

    Hi yok pramuanpol pen sing tee raruk di kong
    Tua kwan kan karn sickha kao ma trong trong

    Ru sue sue

    Mi ting tumni jit tee mun young ao tea
    Pramuanpol pi jang nippan

    Por rue tao ao tun sapawa assawa pramuan pol

    Long tam ha rung meo mao mong peer sadub amata nivarana

    Yo yo
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    เขียนภาษาไทยคนอ่านก็ท้อ
    อยู่แล้วฮับ
    ยังมาเขียนเป็นภาษามักคะยือ
    จะไปไหวมะเนี่ย... เอิ๊อก
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966

    +++ ตรงนี้ "ถูก" มันเป็นเช่นนั้น

    +++ แต่จากการประเมินผลของผมนั้น "เห็น/เข้าใจ" ว่า คุณ hyuga กำลังแหวกว่ายอยู่ใน "ทะเลของภาษา" นะ
    +++ ให้ระวัง "ทะเลภาษา ไร้ฟากฝั่ง" เอาไว้ด้วย เพราะมันจะทำให้ "กลับสู่ฝั่งไม่ได้"
    +++ รวมทั้ง "ระดับทะเลภาษา ที่ ลึกสุดหยังคาด" ด้วยเช่นกัน มันสามารถทำให้ "จมจนโผล่ไม่ได้" เหมือนกัน

    +++ ทะเลภาษาที่คุณ hyuga กำลังแหวกว่าย ในโพสท์ข้างล่างนี้ อยู่ในระดับ "ออกทะเลหลวง ใน ร่องน้ำลึก" เอามาก ๆ นะ
    +++ ภาษาในระดับ "รูป/นาม" นี้ หากจะเอากันจริง ๆ แล้ว เป็นภาษาในระดับ "มหาสติ ที่เป็น ปัฏฐาน" แล้ว
    +++ รวมถึงการทำ "มหาปัฏฐาน สูตร ในท่อน อธิปัตติปัจจัยโย" ได้แล้วนะ (สภาวะรู้ เป็น อธิปัตย์ ท่ามกลางทะเลแห่ง รูป/นาม)

    +++ ผมจะชี้ไปเป็น "ประโยค/คำศัพท์" แบบ 1/1 เท่าที่เวลาจะอำนวยให้ ก็แล้วกันนะ
    +++ "รูปธรรม" คือ สภาวะธรรม ที่มี "รูปร่างลักษณะ" จับต้องได้ก็มี จับต้องไม่ได้ก็มี

    +++ ในสภาวะแห่ง "ภูมิ" หนึ่ง ๆ "รูปธรรม" จะจับต้องได้ ต้องมีความ "เข้ากันได้" (สัมปะยุตตาธัมมา/Compatibilities)
    +++ ในสภาวะ "ต่างภูมิ" รูปธรรม นั้น ๆ อาจ "จับต้องไม่ได้" เว้นไว้แต่ "ผู้ที่จะจับต้อง ต้อง เปลี่ยนภูมิตนเอง ให้เข้ากันได้"
    +++ ตัวอย่างนี้ เป็นเรื่องใน "วิชชา/อภิญญา" ไปเรียบร้อยแล้ว ยังอยู่ในเรื่อง "รูปธรรมภายนอกที่จับต้องได้" เท่านั้นเอง
    +++ "นามธรรม" คือ สภาวะธรรม ที่ "ไม่มีรูปร่าง แต่อาจมีลักษณะได้" จับต้องได้ก็มี จับต้องไม่ได้ก็มี

    +++ ในสภาวะแห่ง "ภูมิ" หนึ่ง ๆ "นามธรรม" จะจับต้องได้ ต้องมีความ "เข้ากันได้" (สัมปะยุตตาธัมมา/Compatibilities)
    +++ ในสภาวะ "ต่างภูมิ" นามธรรม นั้น ๆ อาจ "จับต้องไม่ได้ แต่จะ ชำแรกผ่านกันไปมาได้"
    +++ เมื่อต้องการ "ไม่ให้ผ่าน (ชนกัน/สัมผัสกัน)" ผู้ที่จะจับต้อง ต้อง เปลี่ยนภูมิตนเอง ให้เสมอกันกับภูมินั้น ๆ เป็น
    +++ ตัวอย่างนี้ เป็นเรื่องใน "วิชชา/อถภิญญา" ในเรื่องของ "การปรับกาย/การใช้สักกายะทิฐิ" อยู่ในเรื่อง "นามธรรมที่จับต้อง ได้/ไม่ได้"
    +++ เมื่อ "รูปแตกสลาย" ไปแล้วเท่านั้น จึงจะเหลือแต่ "นาม" ได้ (ผมว่าคุณ hyuga ควรหลีกเลี่ยง ภาษาในระดับนี้จะดีกว่า)
    +++ นาม ตรงนี้ของคุณ hyuga ยังจัดเป็น "รูปละเอียด" อยู่เลย ยังไม่ได้เป็น นาม แม้แต่นิดเดียว

    +++ ท่อนนี้ส่วนใหญ OK เว้นไว้นิดหน่อย เท่านั้น คือ "เป็นการหลงนามธรรม" ตรงนี้เปลี่ยนเป็น "เป็นการหลงกาลเวลา" จะตรงกว่า

    +++ พยายาม "งด" ภาษาในเรื่อง "นาม/รูป" ไว้ก่อนจะเป็นการดี ให้ใช้ภาษา ตามอาการ ของมันจะดีที่สุด

    +++ ปล่อยให้ "แสงเป็นแสง และ สว่างเป็นสว่าง" ตามที่มันเป็น จะดีที่สุด
    +++ เพราะยามใดที่เจอ ความ "สว่างที่ไร้แสง จนแม้กระทั่ง เงาก็ตั้งอยู่ไม่ได้" แล้วจะรู้เอง ว่า "ภาษา" มันจำกัดเกินไป
    +++ การใช้ภาษาผิด จัดเป็น "ทุกฏ" หากความเข้าใจ ถูก ก็ไม่เท่าไร
    +++ แต่หาก "ความเข้าใจผิด" แต่บิดเบือนภาษา ให้ "ผิดเป็นถูก" ตรงนี้เป็นการ "ลวงโลก" ทีเดียว
    +++ วงจรของ "มรรค 8" เริ่ม "ต้นสายที่ ทิฐิ จบลงตรง ปลายเหตุที่ สมาธิ" แบบรวดเดียวจบ ดังนี้

    +++ มิจฉาทิฐิ = คิดผิด (ก็เลย)
    +++ มิจฉาสังกัปโป = เข้าใจผิด (ทำให้)
    +++ มิจฉาวาจา = พูดผิด/โพสท์ผิด (จากนั้น)
    +++ มิจฉากัมมันโต = ปฏิบัติ (กัมมัฏ) ผิด (ทำให้)
    +++ มิจฉาอาชีโว = อยู่ (ชีวิตา) อย่างผิด ๆ (จากนั้น)
    +++ มิจฉาวายาโม = เร่งมุ่ง (วิริยะ) ไปอย่างผิด ๆ (เหตุเพราะ)
    +++ มิจฉาสติ = สติที่ผิดพลาด (ระลึกหลง)
    +++ มิจฉาสมาธิ = ตั้งจิตมั่นผิดที่ (ส่งออก ไปตั้งที่อื่น)

    +++ จาก "ต้นสาย สู่ ปลายเหตุ" ของมรรคทั้ง 8 ที่ผิดเพี้ยนกันอยู่ใน "ทุกวันนี้"
    +++ หลาย ๆ ส่วน เกิดจาก การใช้ภาษา ที่เกินกว่าระดับของตน

    +++ พยายาม "งด" ภาษาที่ตนไปไม่ถึงไว้ด้วย สักวันมันจะ "กลับมาพันจิต ตนเอง"
    +++ ตรงนี้จัดว่าเป็น "ญาณสังวรณ์" ประการหนึ่งทีเดียว นะครับ
     
  12. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ขอบคุณท่านอาจารย์ธรรมชาติมากครับ หากไม่ได้รับการเตือนสติจากท่านอาจารย์ธรรมชาติ
    นี้ผมคงจะเข้าใจไปผิดทางจริงๆ
     
  13. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    +++ การใช้ภาษาผิด จัดเป็น "ทุกฏ" หากความเข้าใจ ถูก ก็ไม่เท่าไร
    +++ แต่หาก "ความเข้าใจผิด" แต่บิดเบือนภาษา ให้ "ผิดเป็นถูก" ตรงนี้เป็นการ "ลวงโลก" ทีเดียว
    +++ วงจรของ "มรรค 8" เริ่ม "ต้นสายที่ ทิฐิ จบลงตรง ปลายเหตุที่ สมาธิ" แบบรวดเดียวจบ ดังนี้

    +++ มิจฉาทิฐิ = คิดผิด (ก็เลย)
    +++ มิจฉาสังกัปโป = เข้าใจผิด (ทำให้)
    +++ มิจฉาวาจา = พูดผิด/โพสท์ผิด (จากนั้น)
    +++ มิจฉากัมมันโต = ปฏิบัติ (กัมมัฏ) ผิด (ทำให้)
    +++ มิจฉาอาชีโว = อยู่ (ชีวิตา) อย่างผิด ๆ (จากนั้น)
    +++ มิจฉาวายาโม = เร่งมุ่ง (วิริยะ) ไปอย่างผิด ๆ (เหตุเพราะ)
    +++ มิจฉาสติ = สติที่ผิดพลาด (ระลึกหลง)
    +++ มิจฉาสมาธิ = ตั้งจิตมั่นผิดที่ (ส่งออก ไปตั้งที่อื่น)


    ท่านอาจารย์ธรรมชาติครับ หากเหตุเริ่มต้นนี้มาจาก ทิฐิ ในเรื่องอริสัจย์ 4 จะประมาณนี้ป่าวครับ

    ทุกข์ = คิดผิด
    สมุทัย = เหตุที่ทำให้คิดผิด
    นิโรธ = ดับเหตุทางความคิดผิด
    มรรค = ผ่านนิโรธมาแล้วจึงเข้าสู่ทาง มรรค 8

    ผมลองสันนิษฐานไปก่อนเรื่องการปรับทิฐิแล้วแต่อาจารย์ธรรมชาติจะกรุณาเลยครับ
     
  14. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ทราบมาว่าเดี๋ยวนี้ทางการแพทย์
    มีหัวใจเทียมเปลี่ยนให้คนป่วย
    โรคหัวใจ

    แสดงว่าจิตไม่ได้อยู่ที่เนื้อหัวใจ

    ถ้าเป็นนักภาวนาตามหารังของจิต
    จะพบว่าขันธ์ทั้งห้าไม่รับทราบไม่ปรากฏ
    อายตนะหกดับหมด

    จะไปสู่สภาวะมิติไม่ปรากฏมาก่อน
    ก็จะพบตัวจิตดวงสว่างที่ผัวพันกับสังขารกรรม
    อยู่อย่างลึกลับ

    เหมือนดาวดวงหนึ่งที่เปล่งรัศมี ล่องลอยในอวกาศ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2018
  15. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ถ้าเป็นนักภาวนาตามหารังของจิต
    จะพบว่าขันธ์ทั้งห้าไม่รับทราบไม่ปรากฏ
    อายตนะหกดับหมด

    จะไปสู่สภาวะมิติไม่ปรากฏมาก่อน
    ก็จะพบตัวจิตดวงสว่างที่ผัวพันกับสังขารกรรม
    อยู่อย่างลึกลับ


    เหมือนดาวดวงหนึ่งที่เปล่งรัศมี ลองลอยในอวกาศ

    ขอแบบพากย์แปลไทยเป็นไทยอีกทีได้มั้ยครับ ท่านกล่องไม้ขีดไฟ
    ผมอ่านแล้วยัง งงๆ ยังไงชอบกล

     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถ้าจะเขียนแบบหลวงปู่ดุลย์
    ทำญาณให้เห็นจิตเจ้าของนะครับ

    มันก็สถิตอยู่บริเวณหน้าอก นั้นแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2018
  17. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถ้าถามว่าตรงไหน?

    เพราะเวลาภาวนาไปกายเนื้อหายไป
    กายทิพย์ไม่บดบัง ตัวจิตจะปรากฏตัวออกมา
     
  18. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    รังจิตที่ท่านกล่าวมานี้ น่าจะยังลึกลับเกินไปสำหรับผม
    เพราะระดับกายทิพย์นั้นผมก็ยังไม่มีปัญญาที่จะเห็นตามครับ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ถ้าจะเอากัน "ตามอาการ แบบ ตรงตัวตามความเป็นจริง" แล้วละก็

    ทุกข์ = ตัวดู/ตัวกู/ผู้รู้/ผู้เสือก/อัตตาจิต/วิญญาณขันธ์ แถมอีกคำคือ "ตัวทุกข์"
    สมุทัย = เพราะ "เสือก" ไปดูไม่รู้จักหยุด
    นิโรธ = ดับ/หยุด/ทำลาย "ตัวดู"
    มรรค = รู้วิธี "ทำลาย ตัวดู/ตัวกู/ผู้รู้/ผู้เสือก"

    +++ ภาษามันไม่ไพเราะนะ แต่ มัน Work เท่านั้นแหละ ;)
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "รังจิต" คือ "อาการ เกิด ของจิต" (จิตตะสังขาร) (ไม่ได้หมายเอาที่ "สภาวะรู้")
    +++ ในระดับ "แรกเริ่มกำเนิด" ก่อนที่จะมี "วิญญาณขันธ์" อันเป็น "ต้นกำเนิด ขันธ์ 5"

    +++ ตรงนี้ "ขันธ์ ยังไม่เกิด จึงยังไม่ปรากฏ" รวมทั้ง อายตนะ6 ที่ประจำอยู่กับขันธ์ ด้วย
    +++ จึงเป็นที่มาของ "ขันธ์ทั้งห้าไม่รับทราบไม่ปรากฏอายตนะหกดับหมด"

    +++ มันเป็นสภาวะ "ว่าง+รู้ = สภาวะรู้" สภาวะนี้จะ "ไม่ปรากฏมาก่อน ที่ ผู้ฝึก จะไปถึงได้"
    +++ เมื่อผู้ใด ไปถึงซึ่งสภาวะนี้แล้ว และ "เป็น" สภาวะนี้ ร่วมเป็น "เนื้อเดียวกัน" ได้

    +++ ย่อมทราบถึง "อาการกำเนิด ก่อนจะเป็นจิตตน (รวมทั้งจิตอื่น อันเป็น มาตรฐานเดียวกัน)"

    +++ ท่ามกลางสภาวะ "ว่างรู้" ประดุจเนื้ออวกาศ (แต่ไม่ใช่อวกาศ ที่ไร้ แรงโน้มถ่วง)
    +++ หากสภาวะ "ว่างรู้ ละเอียด สนิทดี" ย่อมทราบถึงอาการ "แรกเริ่ม ที่เกิด อาการส่งออก ไปจับ โฟกัส"
    +++ อาการเกิดของ โฟกัส จะเป็นการ "รวมกระแสของ การส่งออก" ไปยังจุด ๆ หนึ่ง ท่ามกลางความ "ว่างรู้"
    +++ ณ ขณะที่เกิด "โฟกัส จะมีอาการ รวมจุดแห่งกระแสส่งออก" ไปเป็น "จุดโฟกัส" ในความว่าง

    +++ ณ จุดโฟกัส นั้น จะมีความสว่าง ปรากฏขึ้นแต่ละ แว๊ป ของการรวมตัว ปรากฏการณ์ในท่อนนี้ทั้งหมด "อยู่ในความ ว่างรู้"
    +++ อาการที่เกิดขึ้น "แต่ละแว๊ป" นั้น ๆ จะเรียกว่า "เกิด/ดับ" ก็ย่อมได้ หากจะเอาให้ละเอียดกว่านั้น ก็จะทราบได้ว่า
    +++ "แต่ละแว๊ป" ที่เกิดนั้น มีรากฐานมาจาก "สัญญา" แต่ยังไม่ทันกลายตัวเป็นสัญญา มันก็ดับไป จึง "ไม่ใช่สัญญา"
    +++ อาการ ณ บริเวณนี้ คือ อาการของ "เนวสัญญานาสัญญายตนะ" ตามภาษาของ "ฌาน" แต่ภาษา กรรม-ฐาน เรียกเป็น "กิริยาจิต"
    +++ หากปล่อยให้ สัญญา เกิดต่อเนื่อง มันจะเป็น สังขาร ต่อด้วย วิญญาณ แต่เมื่อ "สัญญาโดนตัด" มันก็เหลือเพียงแต่ "กิริยาจิต" เท่านั้น
    +++ ผู้ที่จะ "รู้ถึง ต้นสาย/ปลายเหตุ" ตรงนี้ได้ ต้องผ่าน "โภชฌงค์" มาก่อนแล้ว และเป็น "เนื้อ ว่าง/รู้" ไม่อยู่ในส่วนของการ "ก่อกำเนิด"

    +++ อาการ "แต่ละแว๊ป" เกิด/ดับ แบบ ต่อเนื่อง จึงเป็นอาการคล้าย "ดาวดวงหนึ่งที่เปล่งรัศมี ล่องลอยในอวกาศ" เช่นนั้น แล.....

    +++ สิ่งที่ "ไม่" กล่าวในขั้นตอนนี้ คือ Dynamic (สังขตะ) ที่ก่อเกิด วังวนแห่งธาตุ จนเป็น แรงโน้มถ่วง เข้าไปจับเป็น โฟกัส
    +++ เพราะมันเป็นคนละส่วน กับโพสท์นี้ เช่นนั้น แล.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...