รู้ธรรมะจริงๆ คือรู้สภาวะของตนในขณะนั้นๆ

รู้จักเป็นความจำกับความรู้ ที่รับมาเข้ามา
ปรุงแต่งความคิด
รู้กับรู้สึก เป็นสติกับสัมปชัญญะที่ไม่มีปรุงแต่ง

 

รู้ธรรมคือรู้สึกตัวรู้ความคิด
ไม่ใช่รู้ความรู้ หรือรู้คัมภีร์โน่นนี่นั่น

 

ธรรมใดเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับผลย่อมดับไป พระอุปติสสะกำหนดรู้ตามกระแสธรรมที่พระอัสสชิกล่าว ได้ดวงตาเห็นธรรม และเห็นความดับไปของธรรมนั้น ..เนาะ พระอัสชิพระอุปปติสสะให้ตัวอย่างไว้แล้วนี่ ว่าให้รู้อะไร ลองดู ท่านไม่ได้ให้รู้อะไรเยอะนี่ เอานะพอ

 

มีสติรู้ตัวตนรู้ความคิด
แม้อ่านหนังสือไม่ออก
ก็รู้แจ้งได้
รู้คัมภีร์แต่ไม่มีสติรู้ตัว และไม่รู้ความคิด
จะรู้แจ้งไม่ได้

 

ข้อความที่เขียนมา
เป็นสิ่งที่ยกมาเพื่อปรุงแต่งเท่านั้น
ยกมาอีกก็เพื่อปรุงแต่งอีกฮับ
เพราะมันเป็นแค่ความรู้

 

" เอานะพอ....."
ยังเอาได้อีก จะพอทำไมปล่อยให้หมดแม๊ก
ไปเลยจิฮับ

 

อิอิ รู้แต่อักษร ทำเป็นใช้ศัพท์แสง
เพื่อยกตนเองทำให้ดูดี มีภูมิธรรม
พอมีครูบาร์อาจารย์ดูแล
เลยพอมีสัมผัส จับความรู้สึกได้บ้างเล็กน้อย
แต่ไม่รู้สภาวะธรรม ของการปฎิบัติเลย
แต่พูดเป็นต่อยหอย
คิดวิเคราะห์ เอาทั้งนั้น
ประหนึ่งว่าจะไปสอบเอาวุฒิบัตร
ประหนึ่งว่าตนรู้สภาวะตาม

ที่ติดคิดวิเคราะห์แยกแยะ
เพราะวิบากเรื่องปรามาสผู้
มีคุณมาตั้งแต่อดีต
ส่งผลถึงปัจจุบัน ให้นิสัยไม่เปลี่ยน
เพราะมันมีเชื้อเหลืออยู่
คือเอาตัวเองเป็นหลัก
และนิสัยจะเป็นทั้งชาติ
แก้ไม่หาย

พวกมีวิบากอย่างนี้(ถ้าไม่แก้)
ต่อให้ทั้งชาติ
ก็ไม่บรรลุ
และไม่มีทางฝึกกรรมฐาน
อะไรสำเร็จ แน่นอน
บ้านเปอร์เซนต์
พวกนี้เคยฝึกกรรมฐานมา
แต่ทำไม่ได้ ฝึกไม่เคยสำเร็จเลยซักอย่าง
เลยต้องมาทาง เล่นศัพท์แสง
เพื่อยกตนประหนึ่งว่ามีธรรม



รู้อะไรก็เลย
เป็นแค่รู้ทางโลกไปวันๆ อิอิ

ปล. ไม่ได้ว่าลุงแมว
พูดถึง นาย ฅนไร้บ้าน
กบในกะลา ที่เข้าใจว่าตน
รู้ทั้งโลก. ข้าพเจ้าพูดผิดตรงไหน
ช่วยบอก และชี้แจงได้นะ
จะได้ขอโทษ ถ้าพูดผิดไป ^_^

 

ทำไมการปฏิบัติวิปัสสนาของท่านจึงไม่ก้าวหน้า ?
.....เพราะท่านไม่เคยบำเพ็ญบุพภาคปฏิปทา
หรือ ข้อปฏิบัติในส่วนเบื้องต้นมาก่อนนั่นเอง ดังพระอรรถกถาจารย์ได้ไว้กล่าวว่า
.....อันที่จริง บุพภาคปฏิปทา (ข้อปฏิบัติในส่วนเบื้องต้น) ของผู้ใดยังไม่บริสุทธิ์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสบอกบุพภาคปฏิปทานี้ คือ
(๑) ความสำรวมระวังในศีล
(๒) ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
(๓) ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค
(๔) ความประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเป็นเครื่องตื่น ในสัทธรรมทั้ง ๗
(เป็นผู้มีศรัทธา, เป็นผู้มีหิริ, เป็นผู้มีโอตตัปปะ, เป็นพหูสูต, เป็นผู้ปรารภความเพียร, เป็นผู้มีสติมั่นคง, เป็นผู้มีปัญญา) และในฌานทั้ง ๔ แก่ผู้นั้นก่อนทีเดียว.

ส่วนบุพภาคปฏิปทานั้น ของผู้ใดบริสุทธิ์. พระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่ตรัสบุพภาคปฏิปทานั้น
จะทรงตรัสบอกวิปัสสนาที่เป็นพื้นฐานแห่งความเป็นพระอรหันต์แก่ผู้นั้นทีเดียว.
ก็บุพภาคปฏิปทาของกุลบุตรบริสุทธิ์แล้ว.

 

+++ ลุงแมวพูดถึง "หลวงตาเยื้อน ขันติพโล" ใช่ป่าวเนี๊ยะ

 

ยังไม่เคยฟังหลวงตาเยื้อนลยคับ
ล่าสุดฟังอ.แดงกีต้าร์
กะหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภ
มาคับ
ต้องอึ้งอ.แดงกีต้าร์
ยาวเลยฮับ

 

อ้อ.. ฟังพระอาจารยํสมภพ อุปสโมด้วยฮับ

 

Apitotangkalamukala hedchala ti.

 

Tauy tung kalamunk taek.

 

เข้ามาทักครับ
ยุคนี้เขาเน้นวิปัสสนากัน
มองข้ามสมถะ

ทั้งที่มันคู่กัน

 

แล้วแต่สติปัญญาผู้สอนและผู้เรียน
ว่าจะเลิศด้านใด
องค์ศาสดาทรงค้นหาและปฏิบัติมาทุกทาง
เมื่อตรัสรู้แล้ว
ทรงใช้วิธีที่เหมาะกับแต่ละบุคคลฮับ
ไม่ใช้บทเรียนสำเร็จรูปกับทุกบุคคล
ที่ต่างจริตต่างปัญญา
เหมือนแจกเสื้อเบอร์เดียวกันให้คนทั้ง
กลุ่มใหญ่ๆ

 

หลวงตาเยื้อนก็มีอุบายที่แยบยลลึกซึ้ง
เช่นกันนะฮับลุงแมวดูแล้วฮับ

 

koh pawana tor pai hub ...

pen sanya meoy sayan ....hlood jark pop ning ning wang wang
pi pop hang karn truek .....kwang pai kwang ma ........deaw koh
hen tang sai klang

like as a new member "like tua like ton" kao koh keoy lang kee tar
ma kon .................law ..... BANK !!!

 

dhramma kong ong eak sassada , pawana sanook

mee lom look klook klan , yang kuan ka karn pawana

 

+++ อันนี้แหละ "เรื่องจริงของ หลวงตาเยื้อน" นะเนี๊ยะ

 

หลวงพ่อเทียนด้วยคับ