พื้นฐานจิต "สกปรก" นั่นแหลมารจะได้ช่อง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ใครบรรลุธรรม, 23 ตุลาคม 2018.

  1. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    สภาพจิตโดยรวมทั้งดวง-ทั้งก้อน- ของเราจึงถูกซับ-ย้อม-ด้วยน้ำสกปรก-ดูดดึง-ด้วยพลังของ อวิชชา-อกุศล ที่ครองพื้นที่ในจิตเกิน 50 เปอร์เซ็นต์..(อวิชชาเยอะที่สุด) เพราะพื้นฐานจิตไม่ดี
    การทำงานของจิต เปรียบเสมือนการ " ออสโมซิส" (ส่วนที่เข้มข้นกว่าดูดดึงส่วนที่เจือจางกว่าเข้ามาปนเปื้อนด้วย) จิตส่วนที่เข้มข้นกว่า จึงดูดซึมส่วนที่เหลือให้ปนเเปื้อนไปด้วยได้ดีกว่า.. จิตจึงไหลลงสู่ที่ตำ่เสมอ..นี่ไง เพื่อให้จิตไปคิดแต่เรื่องอกุศล..ซำ้ ซำ้ ซำ้ วนเวียนอยู่ทั้งวัน .เดือน-ปี-อยู่เฉยๆก็ตกตำ่ได้..โดยสภาพของจิตครับ..

    ..ความคิดจึงทำร้ายเราตลอดเวลา เพราะพื้นฐานจิตเรา มีแต่อกุศล-ฟุ้งซ่าน-ไม่สงบ-ระงับ-สลด-กับทุกข์ที่เกิดจากความคิด..จะแก้กันยังไงครับ
     
  2. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :) เปรียบเสมือนโยนก้อนหิน ก้อนดินลงไปในพื้นดินเปียก ก้อนดินหรือก้อนหิน ก็จะได้ช่อง จมลงในพื้นดินนั้น ตามน้ำหนักก้อนหินหรือก้อนดินที่โยนลงไป .."มาร"..ก็จักได้ช่อง..-หากพื้นฐานจิตดี ก็เปรียบเสมือน โยน ก้อนกระดาษ ลงไปในพื้นดินเปียก มารก็จะไม่ได้ช่องเลบ..นี่เป็น พุทธวจน ครับ
    " ดังนั้น การปฏิบัติธรรม พื้นฐานจิต-ต้องดี-ต้องซื่อตรงกับ มรรค์มีองค์8.."
     
  3. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    เหตุผลทางธรรมเท่านั้น ที่จะหยุดอกุศลได้อย่างเด็ดขาด -เหตุผลทางธรรม-เท่านั้น จะสามารถหยุดอกุศลได้ ไม่ใช่การละนันทิ-ละความคิด-แบบไม่ใช้ความคิดความเข้าใจในธรรม-ไม่มีสุตตะมัยปัญญา-จินตมัย-ภาวนามัย- ว่าทำไมต้องละ(ละแบบต้องการหนีทุกข์)-ไม่ยอมป้อนเหตุผลให้จิตคิด- เพื่อจิตจะได้เข้มแข็ง- มั่นคง- มีหลักการไว้ยึดเหนี่ยว-เป็นพยานหลักฐานในจิต
    "ซักจิต-ใจ-ให้สะอาดก่อนที่จะย้อมจิตให้สะอาด ด้วย เหตุผลทางธรรม-ข้อธรรม ครับ"
     
  4. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    สมาธิจะเสื่อมก็ชั่งมัน เหลือปัญญา-ความรู้ -นี่แหละมั่นคงนัก ค้างไว้ในจิตครับ..ไม่มีตกต่ำเลย ปัญญาแท้ๆที่เราสะสมไว้ จะยืนยันให้เราเชื่อได้..ฐีติภูตังค์ ก็นี่แหละ
    ..(พวกที่ปฏิบัติมาตั้งนานนน-เหตุใดจึงได้ผลช้า-เอาแต่วนเวียนกลับมาที่เดิมอีกหากเผลอ- ก็เพราะจิต ไม่เชื่อ-ไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นพอนั่นเอง)
    ดังนั้นจึงต้อง ใช้ปัญญาจิตที่สั่งสม สุตตะไว้มาคิด-คิด-คิด-แล้วละนันทิ เหตุผลจะค่อยๆแทรกช่องว่างกัน อวิชชา-อกุสลออกไป จิตจะมีที่ยึดเหนี่ยวคือเหตุผล ที่เราทำไมต้องละนันทิแทน..เพื่อไม่ให้ความคิดอกุศลกลับมาวนเวียนคิดอีก ความเบาสบายจะค่อยๆเกิดกับเราเมื่อเราทำได้ครับ
     
  5. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ใช้กำลังแห่งกุศลเข้าไปแทนที่อกุศล คำว่า กุศล แปล่าฉลาด ความหมายและวิธีการใช้กว้างขวาง การใช้เหตุผลทางธรรมก็เป็นวิธีการหนึ่ง จริงๆก็คือไปเปลี่ยนความเชื่อเดิมๆเพื่อให้เห็นอีกมุมหนึ่ง เพื่อให้จิตคลายจากความยึดถืออันเหนียวแน่นลงชั่วคราว

    เมื่อจิตคลายความยึดก็หมายถึงภาวะการหลงปล่อยให้ถูกทิฏฐิความเห็นต่างๆครอบงำอำพรางอยู่ก็ลดน้อยถอยลงชั่วคราว จริงๆจุดนี้จะเป็นจุดแห่งความใจกว้างที่สุด ณ เวลานั้นแล้ว แล้วทีนี้ใจจะเริ่มแคบลงอีกครั้ง เมื่อเริ่มพอใจกับการคลายตัวด้วยทิฏฐิอย่างใหม่แทน ตกลงเราพร้อมจะถูกย้อมจากทิฏฐิความเห็นและความเชื่ออย่างใหม่ได้ตลอดเวลาครับ

    นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องหมั่นเจริญสติให้ต่อเนื่องไปอีก ต้องหมั่นประกอบในเหตุไปจนกว่าจะเริ่มเท่าทันในความคิดและอารมณ์ได้จริงๆ จึงจะเริ่มเห็นความจริงเรื่องการหลงสังขารความคิดจนเป็นจริงเป็นจังเหล่านั้นได้ว่ามันเป็นอย่างไร นั่นถึงจะเรียกว่าเริ่มรู้ความหลงจริงๆ ต่อไปจึงค่อยเป็นทางไปสู่การเจริญวิปัสสนาเห็นตามความเป็นจริงโดยแท้จริง ซึ่งจุดนี้ถ้าประมาทพลาดพลั้งก็ยังตกกระป๋องได้เหมือนเดิม ต้องเจริญในเหตุสังเกตในผลไปจนจิตเกิดการคลายความยึดหรือที่ท่านๆเรียกว่าจิตคลายตัวเองเป็น นั่นแหละถึงจะเริ่มชัดเจนในแนวทางยิ่งขึ้นๆ ทีนี้การศึกษาถึงจะเปลี่ยนหน้าจากเข้าใจว่าเป็นเรื่องของการสะสม จะกลายเป็นลักษณะรู้แจ้งเห็นจริงและคลี่คลายไปเองในแต่ละเรื่องๆ ไปตามเหตุปัจจัย

    การเจตนาจงใจไปกระทำใดๆ จะเป็นเรื่องของการมีอัตตาไปกระทำทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้จิตรู้ไปเองไปตามธรรมชาติ รู้เองเห็นเองแจ้งแก่ใจไปเองคลี่คลายไปเองตามส่วนทั้งหมด ซึ่งมันจะค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับแบบนี้เองแหละครับ
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ตามนั้นคับผม
    เอาจิตหลงหยิบบัญญัติมาสอนจิตหลง
    ยิ่งพากันหลงไปยกใหญ่ และไม่มีทาง
    บรรลุอะไรได้เลยเพราะเมาบัญญัติ
    ต้องอาศัยการเรียนและเพียรฝึกภาวนาทั้งสมถกรรมฐาน
    และวิปัสสนากรรมฐาน ที่เป็นทั้งกุศล
    และวิธีการรู้แจ้งเกื้อกูลสนับสนุน
    สลับกันระหว่าง
    สติ สมาธิและปัญญา

    แต่ถ้าผู้สอนทรงจิตวิมุติหลุดพ้นแล้ว
    มากล่าวสอนจิตที่ยังหลง จึงจะพาหลุดพ้น
    ตามได้ง่ายและลัดกว่าเพราะ
    ใช้เจโตฯ เป็นตัวช่วยได้อีกด้วย
    ไม่ต้องชักแม่น้ำ 5 สายมาพูด
    ให้เหนื่อยทั้งคนฟังคนพูด
    เพราะสิ่งที่แนะนำกันนั้น
    ไม่เป็นพระอริยะมรรค
    จึงไม่เกิดพระอริยะผลและนิพพาน
     
  7. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :) ย้อนแย้ง-ถ้าไม่ใช้อัตตา-จะใช้อะไรมาสะสมสุตตะ ครับ

    :) ปล่อยให้จิตรู้ไปเอง-รู้อะไรครับ- หากไม่สั่งสมสุตตะเป็นแผนที่ข้อมูล-เพื่อให้จิตตะมัย ใช้ในการตรึก นึก คิด แล้วนำมา ภาวนาครับ ?
     
  8. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :) รู้จัก ปัญญา วิมุติ ไหมครับ..?
     
  9. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ตอนทวนกระแส ก็ต้องแบบนั้นล่ะครับ ทวนไปก่อน จะทวนด้วยพระสูตรไหนก็ทวนไป จนกว่าจะเข้าถึงเห็นจริง อย่าเอาย่อหน้าสุดท้ายที่ผมกล่าว ไปขึ้นต้นก็จบปัญหาที่ถามมาได้นะครับ ว่าไปตามลำดับ
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ปัญญาวิมุติไม่อาจมาจากตัวหนังสือ
    หรือคำภีร์
    นะฮับนั่นเป็นแค่ปัญญาบัญญัติ
    หรือปัญญาสมมุติฮับ
     
  11. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :) ขออภัย คุณปฏิบัติธรรมโดยไม่ใช้ตำรา แผนที่ มาก่อนรึครับ..แล้วคุณเอาความรู้ จากไหนมาปฏิบัติล่ะครับ
     
  12. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :):):).."นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องหมั่นเจริญสติให้ต่อเนื่องไปอีก ต้องหมั่นประกอบในเหตุไปจนกว่าจะเริ่มเท่าทันในความคิดและอารมณ์ได้จริงๆ จึงจะเริ่มเห็นความจริงเรื่องการหลงสังขารความคิดจนเป็นจริงเป็นจังเหล่านั้นได้ว่ามันเป็นอย่างไร นั่นถึงจะเรียกว่าเริ่มรู้ความหลงจริง"..(ของท่านโพสต์)

    ..กระทู้ผมให้ใช้ความคิด จากสุตตะที่สะสมมา ใช้พิจราณาให้รู้เท่าทันความคิดที่เป็น อกุศล เพื่อละนันทิ..ส่วนที่เป็น กุศล.. นั้นควรใช้ความคิด เพราะเป็นปัญญาทางธรรมที่จะเข้าแทนที่ อกุศล-ละสังโยชน์-อยู่กับปัจจุบันได้ (นี่ผลของมันครับ) ครับ ผมจึงบอกว่า คำตอบของคุณ "ย้อนแย้ง" มาก ผมงง..!
     
  13. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :) อันนี้เห็นด้วยครับ หากมองว่าเป็นการทวนกระแส อนุโมทนาครับ
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    จิตไม่ใช่ของใคร และเป็นอนัตตา
    ที่ใช้คำว่า " จิตสกปรก" มันก็เป็นกำหนดให้
    มันมีตัวตนให้มันคงที่
    และให้มันสกปรก เหมือนกับว่าจิตมี
    การปั๊มออกมาเป็นล้อตๆ แล้วมาเปื้อน
    สิ่งสกปรกอันเดียวกัน
    ต้องมารีเซ็ตจิตทั้งหมดด้วยเครื่องมือเดียวกัน
    มันเลยไม่ใข่วิชาพุทธะอ่ะฮับ

    จิตคือเครื่องรู้อารมย์ต่างๆ (ที่มันเกิดเกิดดับดับ
    อยู่ตลอดเวลา)
    มันทำหน้าที่รู้อารมย์ทั้งหลายทั้งกุศลและอกุศลใช่ไหม
    ( เพราะจริงๆควรรู้แต่อารมย์นิพพานตามสัจจะของศาสนาพุทธ)
    แต่เพราะอวิชชาครอบงำ
    อยู่จึงมัวแต่หลงไปรู้แต่อารมย์ที่เป็นเหตุก่อ
    ทุกข์ใช่ไหม)
    การชำระอวิชชาแบบลัดๆ
    ไม่อ้อมค้อมและกำจัดต้นตอของอารมย์
    จากการหลงรู้หลงเชื่อในรูปรส กลิ่นเสียง
    สัมผัสผัสต่างๆว่าไม่มีจริง
    จะเป็นจริงได้คือต้องใช้ การรู้"ด้วยญาณปัญญา"
    ที่เกิดจากการลงมือ
    ปฏิบัติจิตภาวนาเท่านั้น
    เพื่อให้รู้ความจริงเห็นความจริงด้วยตนเอง

    ไม่ใช่ความรู้บัญญัติจากคำภีร์เข้าใจยังฮับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2018
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    สูตรนี้มันเป็นปรัชญา ที่แปลกๆนะฮับ
    ผมว่ามันไม่สอดคล้องกับพุทธะ
    มันจ่อจะหลงนะฮีับ
     
  16. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    พูดง่ายๆก็คือ ฝึกสติ ให้สติมันไปรู้เท่าทันในกระบวนการหลงคิดเป็นเรื่องเป็นราวไปตั้งแต่เนิ่นๆให้ได้เสียก่อนนั่นแหละครับ ถ้าไปทันเอาตอนกลางตอนปลายซะแล้วมันปลายเหตุมากๆ หรือถ้าไม่สนใจจะไปรู้ที่ต้นเหตุเลย มันก็คือการบล็อกสิ่งที่ควรจะเข้าถึงยิ่งไว้ด้วยทิฏฐิความเห็นความเชื่อที่มีอยู่ก่อนนั่นเองครับ

    ถ้ารู้ความหลงจริงๆ จะต้องรู้ทั้งวงจร รู้ทั้งระบบจริงๆ คือเท่าทันตั้งแต่ต้นกระบวนการ ไม่ใช่การคิดวิเคราะห์ แต่เห็นด้วยใจจริงๆ จะเห็นด้วยใจจริงๆ ก็จำเป็นต้องทวนกระแสเข้าไป

    พระสูตรท่านก็มีไว้เพื่อขจัดอุปสรรคเพื่อเข้าถึงความจริง ณ จุดเดียวกัน พัฒนาไปสู่การรู้รอบทั้งกระบวนการ กระจ่างให้หมด คลี่คลายหมดสิ้นสงสัย เรื่องเดียวกันหมด ที่สุดก็คือรู้โลกที่หลงอยู่ตามความเป็นจริง โลกที่หลงมีอะไรบ้าง โลกคือกายอันยาววาหนาคืบกว้างศอกมีใจครอง โลกคือสังขารความคิด โลกคือดินน้ำลมไฟอากาศธาตุ

    วิธีพายเรือและประเภทเรือที่ใช้อาจจะทรงไม่เหมือนกัน แต่ล้วนใช้เพื่อจุดประสงค์เดียวกันคือข้ามฝั่ง โฟกัสที่การข้ามฝั่ง ถ้าการข้ามฝั่งทำได้จริง ก็จะรู้ว่าอะไรคือความสำคัญ สำคัญ ณ เวลาใด และจะรู้จักวางอุปกรณ์ไปเองครับ
     
  17. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
     
  18. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    ..ความเห็น อันนี้โดยรวมแล้วเห็นด้วยครับ..

    ..แต่ความเห็นที่ผมนำเสนอนี้ ผมไม่ได้นำมาเน้นฝึกสติ ผมเน้นจำ "สุุตตะ" เพื่อนำมาใช้ ในปัจจุบัน.. เพื่อตัด ผัสสะ-ละสังโยชน์-ตัดความเพลินติด= ละนันทิ เพียงครั้งเดียว.. ในชีวิตประจำวันครับ
     
  19. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    ..เอ้อ..เอ้อ..?
     
  20. เทวินตพรหม

    เทวินตพรหม พรหมวิหาร4มรรคมีองค์แปด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    651
    ค่าพลัง:
    +1,005
    ขอเหล่าสาธุชนโปรดพิจารณาธรรมขอรับ

    อนัตตลักขณสูตร

    ยันตัง สัตเตหิ ทุกเขนะ เญยยัง อะนัตตะลักขะณัง
    อัตตะวาทาตตะสัญญานัง สัมมะเทวะ วิโมจะนัง
    สัมพุทโธ ตัง ปะกาเสสิ ทิฏฐะสัจจานะ โยคินัง
    อุตตะริง ปะฏิเวธายะ ภาเวตุง ญาณะมุตตะมัง
    ยันเตสัง ทิฏฐะธัมมานัง ญาเณนุปะปะริกขะตัง
    สัพพาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสุ อะเสสะโต
    ตะถา ญาณานุสาเรนะ สาสะนัง กาตุมิจฉะตัง
    สาธูนัง อัตถะสิทธัตถัง ตัง สุตตัน
    ตัง ภะณามะ เส

    พระสูตรนี้มีใจความโดยย่อดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ได้ทรงมีพระนิพนธ์ไว้ดังต่อไปนี้

    ตอนที่ 1 พระบรมศาสดาได้ทรงแสดง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน ถ้าทั้งห้านี้ พึงเป็นอัตตาตัวตน ทั้งห้านี้ก็ถึงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลก็จะพึงได้ในส่วนทั้งห้านี้ว่า ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่เพราะเหตุว่าทั้งห้านี้มิใช่อัตตาตัวตน ฉะนั้น ทั้งห้านี้จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลก็ย่อมไม่ได้ส่วนทั้งห้านี้ว่า ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ตอนที่ 2 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอบความรู้ความเห็นของท่านทั้งห้านั้น ตรัสถามว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านทั้งห้า ทูลตอบว่า ไม่เที่ยง ตรัสถามอีกว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ท่านทั้งห้ากราบทูลว่าเป็นทุกข์ ก็ตรัสถามต่อไปว่า สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือจะเห็นสิ่งนั้น

    ตอนที่ 3 พระพุทธเจ้าได้ตรัสรุปลงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้ที่เป็นส่วนอดีตก็ดี เป็นส่วนอนาคตก็ดี เป็นส่วนปัจจุบันก็ดี เป็นส่วนภายในก็ดี เป็นส่วนภายนอกก็ดี เป็นส่วนหยาบก็ดี เป็นส่วนละเอียดก็ดี เป็นส่วนเลวก็ดี เป็นส่วนประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมดก็สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ควรเป็นด้วยปัญญาชอบตามที่เป็นแล้วว่า นี่ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นี่ นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา

    ตอนที่ 4 พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงผลทีเกิดแก่ผู้ฟังและเกิดความรู้เห็นชอบดั่งกล่าวมานั้นต่อไปว่า อริยสาวก คือ ผู้ฟังผู้ประเสริฐซึ่งได้สดับแล้วอย่างนี้ ย่อมเกิดนิพพิทา คือ ความหน่ายในรูป หน่ายในเวทนา หน่ายในสัญญา หน่ายในสังขาร หน่ายในวิญญาณ เมื่อหน่ายก็ย่อมสิ้นราคะ คือ สิ้นความติด ความยินดี ความกำหนัด เมื้อสิ้นราคะ ก็ย่อมวิมุตติ คือ หลุดพ้น เมื่อวิมุตติ ก็ย่อมมีญาณ คือความรู้ว่าวิมุตติ หลุดพ้นแล้ว และย่อมรู้ว่า ชาติ คือ ความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะพึงทำเพื่อความเป็นเช่นนี้อีกต่อไป

    อาทิตตปริยายสูตร

    https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/30163.html

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน, ก็อะไรเล่าชื่อว่า สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน?

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของร้อน รูปทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน ความเสวยอารมณ์(เวทนา)เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยแม้นั้นก็เป็นของร้อน

    [กล่าวคือเป็นไปดังกระบวนธรรมนี้ ตา(จักษุ) [​IMG]รูป [​IMG] จักษุวิญญาณ [​IMG]ผัสสะ[​IMG] เวทนา เป็นสุขเป็นทุกข์ หรืออทุกขมสุขเวทนา]

    ร้อนเพราะอะไร? เรากล่าวว่า

    ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ

    ร้อนเพราะความเกิด(ชาติ) เพราะความแก่(ชรา) และความตาย(มรณะ)

    ร้อนเพราะความโศก(โสกะ) เพราะความรำพัน(ปริเทวะ) เพราะทุกข์กาย(ทุกข์) เพราะทุกข์ใจ(โทมนัส) เพราะความคับแค้น(อุปายาส).

    (กล่าวคือ เป็นไปตาม ปฏิจจสมุปบาทธรรม จึงมี ชาติ, ชรา-มรณะ ทั้งโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส อันเป็นทุกข์อุปาทานที่เร่าร้อนเผาลน)

    โสตเป็นของร้อน เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน ..... (ข้อความเดียวกับข้างต้น เปลี่ยนจากจักษุเป็นโสต, และรูปเป็นเสียง เท่านั้น)

    ฆานะเป็นของร้อน กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน .....

    ชิวหาเป็นของร้อน รสทั้งหลายเป็นของร้อน .....

    กายเป็นของร้อน โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน .....

    มนะ(ใจ)เป็นของร้อน ธรรม(ธรรมารมณ์-คิด)ทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน

    ความเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยแม้นั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร?

    เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ

    ร้อนเพราะความเกิด(ชาติ) เพราะความแก(ชรา)่ และความตาย(มรณะ)

    ร้อนเพราะความโศก(โสกะ) เพราะความรำพัน(ปริเทวะ) เพราะทุกข์กาย(ทุกข์) เพราะทุกข์ใจ(โทมนัส) เพราะความคับแค้น(อุปายาส).

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสต ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียงทั้งหลาย .....

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่นทั้งหลาย .....

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรสทั้งหลาย .....

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย .....

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยมนะ

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย.

    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว

    อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี(ไปกว่านี้อีกแล้ว).

    ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุ ๑,๐๐๐ รูปนั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น(สิ้นอุปาทาน).



    สาธุในธรรมครับ :)




     

แชร์หน้านี้

Loading...