ชอบ ไม่ชอบคือเชื้อก่อภพก่อชาติใช่หรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 22 ตุลาคม 2018.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    กิจกรรมทางกายทางใจและทางวาจา
    ทั้งหลาย ที่ทำแล้วสร้างความพอและไม่พอใจ
    ให้แก่นตนเองและโยคีอื่น
    ขอเรียนถามหากโยคี ที่ต้องการหลุดพ้นโดนด่วน
    ว่าจะทำไปทำไมเพราะความพอ ไม่พอใจ
    สะใจ
    ต่างๆล้วนใส่เชื้อให้ก่อเวรและก่อภพก่อชาติ
    ให้เกิดขึ้นแก่โยคีที่กำลังบำเพ็ญ
    ด้วยกันใช่หรือไม่ฮับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ใช่ครับ ชอบก็คือยึดอย่างหนึ่ง คือ ยึดในสิ่งที่ตนเองชอบ
    โดยมีตัวเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนไม่ชอบ

    ไม่ชอบก็คือ การยึดอีกแบบหนึ่ง คือยึดในสิ่งที่ตนไม่ชอบ
    โดยมีตัวเปรียบเทียบ
    กับสิ่งที่ตนเห็นว่าชอบ


    เพราะทั้งชอบและไม่ชอบ
    มันก็ยังมีตัวไปกระทำ ให้ชอบหรือไม่ชอบอยู่นั่นเองครับ
    แสดงว่า ใจก็ยังไม่เป็นกลาง ยังมีการยึดติดอยู่ครับ....


    ที่นี้พอเกิดกิริยา ทั้งชอบและไม่ชอบขึ้นแล้ว.......
    หากยังไม่รู้จักปล่อยวาง หรือ ทิ้งให้เป็นแล้ว


    ทั้ง กิริยาที่ใจชอบ และ กิริยาที่ใจไม่ชอบ
    มันก็จะ ก่อให้เกิดกิริยาหรือ ก่อเชื่อเพิ่มเติม
    ทางกาย วาจาใจ ตามมาอีก
    ดลให้เราเป็นไปตาม จริต อนุสัย วิบาก อย่างใดอย่างหนึ่ง
    เป็นสเตปต่อไปในอนาคตได้นั้นเอง
    หรือ พูดง่ายๆ ว่าไปสร้างเชื้อ สร้างเหตุให้เพิ่มพูน
    สร้างความวกวน วนเวียน อยู่ในวัฏจักรนี้
    ต่อไปด้วยเริ่มจากเหตุเพียงแค่ชอบหรือไม่ชอบนั่นหละครับ

    สุดท้าย ที่น่าเป็นไปได้ หากว่า ต้องการที่จะหลุดพ้น หรือ จบ
    การเวียนว่ายตายเกิดนั้น.......มันจะต้องมีอุบายต่างๆนาๆ
    ที่จะทำให้ ตัวจิต มันคลายจากความยึดมั่นถือมัน
    และวางใจเป็นกลางให้ได้ก่อน เพื่อตัดวงจรที่สร้างเชื้อ
    ให้เราต้อง เป็นไป ตาม จริต อนุสัย หรือ วิบากอย่างใด
    อย่างหนึ่งให้ได้ก่อน เพราะพวกนี้ มันก็คือ พฤติกรรม
    ทางกาย วาจา ใจเรานั่นเองครับ.......


    จะหลุดพ้น คงไม่สามารถมีตัวไปกระทำให้พ้นได้
    เพราะมันก็จะติด ที่ตัวไปกระทำนั่นหละครับ มันเลยไม่พ้น
    ต้องมีอุบาย วิธีการ กุศโลบายอะไรก็ได้ (โดยมาเน้นทางปัญญา
    ทางธรรมหรือจะปัญญาญาน ควบคู่กับ กำลังสมาธิ
    ที่มันสมดุลย์กันตามเหตุและปัจจัยแห่งดวงจิตนั้นๆ)
    ที่จะทำให้จิต มันเข้าสู่สภาวะที่พ้นได้ ของมันเอง
    อัตโนมัติ และเป็นธรรมชาติของตัวมันเอง
    ถึงจะ เป็นไปได้ว่า จะพ้นได้......

    ยกเว้นว่า จะมีปฏิภาน ว่าจะยังไม่คิดว่าจะต้องพ้น
    ก็แล้วแต่ดวงจิตนั่นๆครับ


    ปล. แต่ต้องระวัง พฤติกรรม ที่เป็น กิริยา ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
    ของเรา ที่มันเป็นเหตุมา จาก อนุสัย จริต วิบาก อย่างใด
    อย่างหนึ่งให้ดีๆด้วยครับ มองให้ออก ทิ้งให้เป็น
    เพื่อที่จะค่อยๆส่งให้จิต มันกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของมัน
    และค่อยๆส่งคืนสู่ธรรมชาติเดิมของมัน
    โอกาสที่จิต จะเริ่มคลายตัวเองได้
    ตามธรรมชาติของมันเองได้
    ถึงจะเริ่มมีมา ปรากฏขึ้น กับดวงจิตนั้นๆได้ครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 5
    • อนุโมทนา อนุโมทนา x 1
    • รักเลย รักเลย x 1
    • ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย x 1
    • ดูรายการ
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ความพอใจและไม่พอใจ
    ภาษาบาลีเรียกว่า
    อภิชฌาและโทมนัส

    เป็นตัวปกคลุมความรู้สึกของสัตว์
    ให้ยึดติดกายสังขารตัวเองและของคนอื่น
    และสิ่งแวดล้อมต่างๆที่อยู่รอบตัว

    อำนาจแห่งความพอใจและไม่พอใจ
    พระศาสดาบอกไว้

    ให้ถอดถอนออกจากความรู้สึกตัวออกก่อน
    แล้วจะมองเห็นโลกตามความเป็นจริง

    เป็นเบื้องต้นของหนทางพ้นทุกข์
     
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถ้าเป็นนักภาวนาจนจิตสงบ
    จะเห็นอำนาจแห่งความพอใจชัดมาก

    โดยเฉพาะการพอใจในฌาน
    ถอดถอนยากมาก
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตอบแบบ "ไม่ใช่ โยคี" นะ แต่บางที่ก็ใช้ "ยาตรา โยคี" ก็ได้ ถ้าหายาอย่างอื่นไม่เจอ
    +++ จริง ๆ แล้ว "กิจกรรมทั้งหลาย" ล้วนเกิดมาจาก "ความพอ/ไม่พอใจ" ทั้งต่อ ตน/ผู้อื่น ทั้งนั้นแหละ
    +++ มีกิจกรรมมาตรฐาน ไหนบ้าง ที่ "ไม่ได้เกิด" จากความ พอ/ไม่พอใจ (ยกเว้น กิจกรรมที่มาจาก การโดนบังคับ ไม่นับอยู่ใน มาตรฐาน)
    +++ อยู่ที่ว่า "โยคี" นั้น ๆ รู้ตัวอ่ะป่าว ว่า "กำลังโดนความ พอ/ไม่พอใจ" เล่นตนเองอยู่
    +++ โยคี นั้น ๆ ย่อม โดดโลดเต้น ไปตามกระแส พอ/ไม่พอใจ นั่นเอง
    +++ ถ้าเหนื่อยเมื่อไร ก็ ค่อย ๆ พิจารณา ห้างขายยา ตราโยคี ด้วยนะ
    +++ เป็นธรรมดา "กรรม/จองเวร" ถึงขั้น "ข้ามอสงไขย" ก็มาจากความ พอ/ไม่พอใจ นั่นแหละ
    +++ และนี่คือ "อาการของสัตว์โลก" ย่อมตกอยู่ในบ่วงของความ พอ/ไม่พอใจ นั่นเอง

    +++ ที่ "ตีเข่าเขย่าศอก" กันไป ๆ มา ๆ อยู่ในนี้ ลุงแมวคิดว่าเป็น "มวยคู่ใหม่" งั้นเหรอ
    +++ ที่นี่ "ห้อง อภิญญา-สมาธิ" ก็ต้องให้ "นักอภิญญาทั้งหลาย" ระลึกชาติกันเอาเอง
    +++ ไม่งั้นมันก็กลายเป็น "ห้อง กินยา-สมาทึบ" กันไปหมด
    +++ จากนั้น "นักกินยา" ก็ต้อง ก้มหน้าก้มตา กินยากันต่อไป
    +++ แต่บางที่ก็ มันส์....... ดีนะ ลุงแมวว่างัย..... พกยาตรา โยคี หรือยัง.....หือ...
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    อ้อ ฟัดกันข้ามภพข้ามชาติ
    ไม่ใช่เพิ่งมวยเปรียบใหม่ มันเหลือเชื่อ
    (แต่ก็ต้องเชื่อ)เพราะเจอมวยข้ามรุ่น
    เยอะคู่มากฮับ
    แต่ก็พอเข้าใจฮับ
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    งั้นเชิญนักฟัดคู่ต่อไปขึ้นสังเวียน
    มาไหว้ครูได้เลยฮับ
    นี่ห์ห์เป็นโปรโมเตอร์
    ซะเลย
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    555 ทำไมโยคีแมวขำม์ม์
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ใช้กติกา "รำไหว้ครูนาน แต่ ไม่ยอมต่อย (พูดแยะ คำภีรย์แยะ)" ให้ไล่ลงจากเวที ทันที นะ
    +++ อย่าลืม วัดครึ่งนึง/กรรมการครึ่งนึง ตามเพลงนะ 555
     
  10. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขออนุโมทนาในธรรมของทุกท่านด้วยความเคารพ

    ข้าพเจ้าขออนุญาตบอกเล่าประสบการณ์ที่มีอยู่เล็กน้อยของข้าพเจ้าบ้าง

    จากการยึดความพอใจและไม่พอใจ ทั้งที่เราไม่พอใจแต่ทำไมยังยึดไว้ไม่ปล่อยทิ้งไปเสีย
    เมื่อเราถูกผู้อื่นตี ทำให้เจ็บ กายถูกกระทบเกิดความรู้สึกเวทนาทางกายคือเจ็บ จากสัญญาที่มีว่าการที่ถูกกระทบจนมีการตึงแน่นร้อนอย่างนี้คือเจ็บ จิตเราเกิดความโกรธผู้ที่มาตีเราให้เจ็บ ในช่วงนี้จิตมีความโกรธตั้งอยู่ หากเหตุการณ์นั้นไม่เกิดต่อเนื่องต่อไป ไม่มีความเจ็บมากระตุ้นให้มากขึ้นอีก ความโกรธก็จะดับไป หรือหากเราเดินออกมาหรือผู้ที่ตีเดินจากไป ถ้าอารมณ์โกรธยังตั้งอยู่ เมื่อเรานึกถึงเหตุการณ์นั้นๆขึ้นมา ก็จะกระตุ้นให้ความโกรธยังคงตั้งอยู่ หรือหากดับไปแล้วก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ ยึดความโกรธนั้นไว้เพราะเหตุจากมีผู้ทำให้เจ็บ
    แต่เมื่อเวลาผ่านไป สัญญาในเหตุการณ์นั้นเริ่มไม่ชัดเพราะนอนเนื่องลงไปมีสัญญาใหม่มากมายมาทับถม ความโกรธก็จะเบาบางลงไปตามความชัดของสัญญา ถ้าสัญญาในเหตุการณ์นั้นหายไป ความโกรธเพราะเหตุการณ์นั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    หรือความโกรธนั้นหายไปเมื่อสิ่งที่เราผูกโกรธอยู่ แปรเปลี่ยนไป เปลี่ยนสภาพไปโดยแท้จริง เช่น ถ้าเราเป็นชายมีความรักในเพศหญิงแบบไม่ใช่ผู้ผิดเพศ หญิงคนนึงที่เรารักมากหวังอยากได้มานาน เมื่อได้สมหวังหญิงคนนั้นรับรักเรา แต่กลับพบว่าหญิงคนนั้นไม่ใช่หญิงแท้ เป็นผู้ผิดเพศ ความรักที่มีหายไปในทันที
    หรือ เช่น เมื่อข้าพเจ้ามีคนรักคนนึง นอกใจข้าพเจ้าโดยคนใกล้ตัวที่รู้จักกันดี ข้าพเจ้ารู้สึกผูกโกรธและแค้นขึ้นมา และในระหว่างนั้น ก็มีทั้งสุขและทุกข์อารมณ์ต่างๆเกิดปะปนกันไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันและสัญญาที่เกิดกับคนคนนั้นแต่ความโกรธก็ยังฝังแน่นอยู่ ต่อมาไม่นานเขาก็ตายไป ความโกรธที่ข้าพเจ้ามีจึงหายไปพร้อมกับชาติภพของเขาเช่นกัน เพราะตัวตนคนนั้นของเขาไม่มีเสียแล้ว แล้วเราจะผูกโกรธใครกันเล่า
    นี้แล อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


    นี่เองเป็นคำยืนยันหนึ่งในใจของข้าพเจ้าว่า ทำไมคำสอนครูบาอาจารย์ต่างๆถึงบอกว่า ให้ดูไปให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเรา เมื่อมันเห็นว่าไม่ใช่ตัวตนจิตมันจะคลายจากการยึดมั่นถือมั่นตัวตนเอง ไม่ต้องไปนึกวาง ต้องให้มันเห็นของจริง

    การปฏิบัตินั้น เมื่อเราปฏิบัติโดยหลีกหนีจากการเกิดการยึดมั่นสิ่งใหม่ๆ ซึ่งก่อนจะเข้าไปยึดแล้วเอามาฝังไว้ มันจะยังเป็นสภาวะหยาบ เมื่อปราศจากการยึดในสภาวะหยาบต่างๆ น้ำบนอ่างย่อมใส จึงมองเห็นตะกอนที่ก้นอ่าง แล้วจึงทำการล้างตะกอนที่ก้นอ่างต่อไป (ซึ่งก็คือสภาวะธรรมละเอียด)

    พระธรรม 84,000 นั้น เป็นการอธิบายถึงธรรมที่ครอบคลุมทั้งหมด ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด ทำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองมี ไม่จำเป็นต้องไปไขว่คว้าสิ่งที่ตัวเองไม่มี มีสิ่งใดทำสิ่งนี้จะง่ายขึ้นและสั้นขึ้น.

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ
     
  11. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    เชื้อ ก็ อวิชาครับ

    ตราบใด อวิชายังอยู่ ก็วนตามสังสารวัฏ ข้ามภพชาตินับไม่ถ้วน

    จงใช้ความพอใจในกรรมฐาน เดินไปให้สุดๆทาง ทำลายเชื้อเสียให้สิ้น

    เอาจริงยังครับ ล่วงหน้าไปโลด
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ความพอ/ไม่พอใจ เป็น ธัมมารมณ์ ในชั้น ธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
    +++ กล่าวในเรื่องของ รูป/นาม ตรงนี้เป็น "นามละเอียด" ในระดับเดียวกับ "สมถะ ฌานสมาบัติ"
    +++ ผู้ที่ยังไม่สามารถทำ "ฌาน ถูกรู้" ได้ ย่อมไม่สามารถ "จางคลายสลายฌาน" ได้
    +++ ความเป็น "ตน หรือ ตัวกูของกู" ก็เป็น ธัมมารมณ์ ที่เป็น ฌาน เหมือนกัน
    +++ ดังนั้น ความพอ/ไม่พอใจ กับความเป็น "กู" นั่นแหละ ยามที่มันเกิด "มันเป็นตัวเดียวกัน"
    +++ หากความโกรธ "เป็นอารมณ์เด่น อารมณ์เดียว" มันก็เป็นอันเดียวกับ "เอกัคตารมณ์" เช่นกัน มีความเป็น ฌาน เช่นกัน
    +++ แต่ตรงนี้ เป็น "มิจฉาสมาธิ" จัดเป็น Dark Side ของพวก Dark Lord และอยู่ตรงกันข้ามกับ "พรหมวิหาร 4"
    +++ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็น "พรหมวิหาร 4" ส่วน อิจฉา ริษยา อาฆาต พยาบาท เป็น "นรก 4" อยู่คนละปลาย
    +++ ดังนั้น พวกชอบดูละคร เมามันในธัมมารมณ์แห่ง "นรก 4" ย่อมปฏิบัติธรรม ได้ยาก เป็นธรรมดา
    +++ เทียบได้กับ "ฌานเสื่อม (มิจฉาสมาธิเสื่อม)" (นักปฏิบัติธรรม ควรมอง เอกัคตารมณ์ เป็นอันเดียวกัน ดี/เลว มีอาการ เกิด/ตั้ง/ดับ เหมือนกัน)
    +++ ตรงนี้ให้มองในลักษณะของ "วสี" มันเป็นแบบเดียวกัน ทั้งฝ่าย ดี/ชั่ว แบบเดียวกับการเดิน ฌาน
    +++ ฤทธิ์ ของสัญญาขันธ์ มันเป็น เช่นนั้นเอง
    +++ ให้เทียบกับ "อาการของ ฌานเสื่อม" มันเป็นอันเดียวกัน
    +++ นั่นแล ... ธัมมารมณ์เปลี่ยน "กุศลาธัมมา/อกุศลาธัมมา/อพยากตาธัมมา" ของความเป็น "ตน" ก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วยกัน
    +++ ตรงนี้ "งดคำบรรยาย" เพราะมีเหตุขัดข้องทางเทคนิค อันมาจาก "เพศ" อปกติ ขืนอธิบายไป จะเป็น "ทุ-กฏ" ดังนั้น ขอ-งด
    +++ ตรงนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวเพิ่ม
    +++ ผ่าน ธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ได้ก็จะเป็นเช่นนั้นแล... (รู้จัก ตัวกูของกู และ ตัวมึงของมึง ชัดเจน)
    +++ การยึด ไป/มา เป็นเรื่องของ "จิตส่งออก" ผู้ที่รู้จัก "กิริยาจิต" ย่อมสืบสาวราวเรื่องตรงนี้ได้
    +++ ส่วน ตะกอนก้นอ่าง เป็นเรื่องของ "อาการ จิตส่งออก ที่กำลังเริ่ม ก่อตัวขึ้นมา" ตรงนี้สืบไปถึง อวิชชา (ต้นจิต ต้นธาตุ) ได้
    +++ สำหรับมนุษย์ มี "กาย และจิต" แยกเป็น กาย/รู้สึกกาย และ จิต/รู้สึกจิต ก็จะเข้าถึง

    +++ กาย = รูปหยาบ
    +++ รู้สึกกาย = นามหยาบ
    +++ จิต = รูปละเอียด
    +++ รู้สึกจิต = นามละเอียด

    +++ เมื่อแจ้งใน "นาม/รูป หยาบ/ละเอียด อันเป็น นามะรูปัง ใน ปฏิจจสมุปบาท" แล้ว ก็ไม่ยากที่จะ สวนทาง เข้าถึง "วิญญาณัง สังขารา อวิชชา" ได้ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ
    +++ ให้คุณ Supop เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปในธรรม นะครับ

    +++ หมายเหตุ โพสท์นี้ เป็นโพสท์ในระดับของคุณ Supop หรือสูงกว่าขึ้นไป ที่มีความสามารถที่จะ Balance ระหว่าง ดี/ชั่ว ได้
    +++ โพสท์นี้ ไม่เหมาะ สำหรับผู้ที่ยัง ฝังหัว ในความ ดี/ชั่ว โดยไม่สามารถ "แยกแยะ" พฤติกรรมของ ธัมมารมณ์ ออกจากกันเป็น นะครับ
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    สาธุค่ะ ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเองที่ประสบมาแล้วนำมาพิจารณาเพื่อหาคำตอบของการเปลี่ยนแปลงอารมณ์กรรมของตนเองบ้างนะคะ

    คำตอบนี้น่าจะเหมาะกับผู้ที่ละสักกายทิฐิได้แล้ว ถ้าหากแม้ยังละไม่ได้ ก็ต้องเป็นผู้มีปัญญาแก่กล้าที่โยโสมนสิการมาอย่างช่ำชองจนเข้าใจความจริงของทุกสรรพสิ่งที่เรียกว่าปัญญาบารมีอันแก่กล้าที่แม้ไม่สามารถละสักกายะทิฐิได้ก็เข้าใจในความจริงของสิ่งนั้น

    กิเลสถึงแม้ว่าจะมี ๓ ตัว คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลงก็จริง แต่...ในความโลภ ความโกรธ หรือ ความหลง ที่เราประสบต่อเหตุการณ์หรือบุคคลแล้วเราเกิดเป็นอารมณ์กรรมที่จิตจดจำเอาไว้ อารมณ์กรรมที่เกิดขึ้นนั่นคือความเป็นภพหนึ่งภพต่อเหตุกาณ์ในความมีความเป็นของความเป็นภพต่อหนึ่งทิฐิเท่านั้น ซึ่งประกอบด้วย (เวทนา + สัญญา + สังขาร ) ทั้งสามขันธ์นี้จะปรุงแต่งร่วมกันเป็นเจตสิกหรือหนึ่งทิฐิความเห็นต่อเหตุการณ์นั้น ก็คือว่า เป็นเหตุของกุศลกรรม และอกุศลกรรม ที่จะฝังรากลึกลงเป็นนิสัย อุปนิสัย หรือหนึ่งภพ หนึ่งอารมณ์กรรม ก็คือ หนึ่งตัวเจตสิกที่เก็บไว้ข้าง ๆ จิตค่ะ หรือเรียกว่าบุรพกรรมเก่า ที่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันยังไม่หายไปไหน มันยังคงนอนเนื่อง(สันดาน) อยู่ในภวังคจิต ค่ะ

    เป็นการอบรมบ่มนิสัยของทิฐิแต่ละท่านค่ะ บางท่านเห็นแบบนี้จึงคิดและตัดสินใจแบบนี้ บางคนเจอเหตุการณ์อย่างเดียวกัน ก็ตัดสินใจต่างกัน ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า มีความชอบใจหรือไม่ชอบใจร่วมอยู่ในความเห็นหรือการตัดสินใจนั้นร่วมหรือไม่ค่ะ และการตัดสินใจที่ถูกต้อง เหมาะสม ดีงามต้อง...

    - ไม่ขับเคลื่อนความคิดใด ๆ ด้วยกิเลสตัณหา
    - ไม่คิดถามหารูปธรรมตัวตน
    - ไม่ตีกรอบการคิดการกระทำของตนไว้

    เพราะว่าหน้าที่ของการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว หมายถึง ผู้ที่สามารถดำเนินชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและยังสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่ตนคบหาสมาคมด้วยในเวลาเดียวกัน

    ๑.รักและปราถนาดีต่อกัน
    ๒.คิดดีต่อกัน
    ๓.ทำดีต่อกัน

    ถ้าหากว่าเรา....

    - ขับเคลื่อนความคิดของตนไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา
    - คิดหาแต่ตัวตรูปธรรม
    - ติดกรอบอยู่ในการคิดและการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ก็ยังอยู่ในความชอบ ไม่ชอบ หรือ อยู่ในความมี ความเป็นอยู่ค่ะ

    ค่ะ แต่สัญญาอารมณ์กรรมยังคงไม่หายไปไหน และบุรพกรรมนี้แหละค่ะที่คอยวนเวียนให้เราต้องพบและเจอในอารมณ์กรรมเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่บุคคลเดิม แต่สภาวะของความผูกโกรธแค้นที่เป็นความเห็นผิดคือทิฐิได้ถูกบันทึกเป็นอารมณ์กรรมที่เรียกว่าเจตสิก หรือ บุรพกรรมเดิม หรือ ความเป็นภพเอาไว้ค่ะ เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เช่น เราอาจจะมีคนรักใหม่ แต่บางทีเรารู้สึกไหมว่า อาจรู้สึกระแวงโดยไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง หากสัญญาอารมณ์กรรม (สัญญา+วทนา+สังขาร) ที่ปรุงแต่งจากเหตุที่มีความเห็นผิดคือทิฐิผูกโกรธไว้ มีแรงดึงดูดแห่งวิบากกรรมเก่าฝังแน่นไว้เป็นธรรมารมณ์ที่คอยบังคับจิตให้ปรุงแต่งเป็นไปตามสัญญาอารมณ์เดิม เราก็เข้าไปสู่วังวนเดิม คือการคิดและตัดสินใจเช่นเดิม ที่เปรียบประดุจดั่งรอยเท้าเกวียนที่หมุนไปฉะนั้นค่ะ

    ถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนะคะ
     
  14. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    มันก็สนุกดีนะคุยเรื่องนี้...แต่ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นในอินทรีย์มันก็ยังดูกัมกวมเช่น...แม้เราจะเคยได้ยินได้ฟังมาว่าเมื่อมีการเกิดย่อมมีการตายในภาพกว้างคือสังขารอันเป็นรูปมีการกำเนิดปฏิสนธิจากสองสิ่งกลายยเป็นสิ่งเดียวใยภาพละเอียดคือความวกวนวิ่งไขว่คว้าสิ่งใดก็ตามก็ให้ผลที่ไม่แตกต่างเลย...มันละเอียดและยิ่งใหญ่เพียงพอจะทำให้หลงในวัฏสงสารนี้...การจุติจากสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่งๆนั้นหลักการมาจากสภาวะที่สร้าง...ทำไปเพราะไม่รู้ผลกรรมก็ตามนั้นจะมากน้อยอย่างำรคงประมาณให้ไม่ได้..แต่ทำไปเพราะรู้ย่อมหนักหนาแน่นอน...ทีนี้ผู้มีปัญญาใดที่ไหนบ้างจะกระทำตนให้หมกไหม้ไปกับความคิดที่ไม่เป็นจริง....ก็ดีที่มีเมตตาเห็นคนอื่นแล้วอยากใช้คำว่สอยากเพราะ...ยังไงก็คืออยาก...อยากให้คนนั้นเป็นอย่างนั้นอยากให้คยนี้เป็นอย่างนี้ในความเป็นจริงยากมาก...บางครั้งเข้าได้กับจิตส่งออก..เราอยากให้เขาเป็นแต่เราไม่เป็น....มันคงไม่สำเร็จ...อุเบกขาพูดตามกันมาคือวางเฉยแล้วจริงๆวางเฉยจากอะไรเล่าจากความอยากของเราหรือความอยากของผู้อื่น...ลองตรองดูนะคับ
     
  15. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    อนุเคราะห์ให้อีกสิ่งถ้าใครว่าชีวิตนี้ไม่ทุกข์แต่ไม่ระลึกเห่งตอนเกิดคงไม่ใช่...ไหนจะบิดามารดา...ญาติโกโหติกาทั้งหลาย...ไหนจะตัวเรา...เห็นไหมว่ามันลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดและความทุกข์..ครั้นอยู่ต่อไปบ้างก็สร้างสิ่งดีงามไว้กับตัวและครอบครัวบ้างก็สร้างทุกข์เอาไว้...แต่จุดมุ่งหมายถ้ามาทางนี้คงเลือกได้...ก็เข้าได้กับเรื่องราวอื่นๆที่เคยกล่าวกันไว้...ว่าผู้ที่เลือกเกิดได้กับผู้เลือกไม่ได้ก็มี...อันนี้แล้วแต่ศรัทธาเลย...ว่าจะเชื่อมั่นในคำสอนพระศาสดาแค่ไหน...และทำไมบุคคลเหล่านั้นถึงเลือกเกิดได้...ก็สงเคราะห์ให้ประมาณนี้แล้วกัน...เพราะยังไงทุกข์ก็คงมีเหมือนๆกันแต่มากน้อยย่อมแตกต่างกันไปตามวาระไปตามกรรมที่สร้างสมเอาไว้
     
  16. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขอขอบคุณและอนุโมทนาในธรรมของคุณธรรมชาติที่แนะนำและเพิ่มเติรายละเอียดให้ ด้วยความเคารพครับ

    ประสบการณ์เหล่านี้มาจากการปฏิบัติแบบลุ่มๆดอนตามทางของข้าพเจ้าครับ เลยอาจจะอธิบายตกหล่นไปและอาจจะเข้าใจยากสักหน่อยครับ แต่คุณธรรมชาติก็มาช่วยขยายและแนะนำให้ครับ ขอบคุณครับ จะทำความเข้าใจต่อไปครับ

    ขอให้คุณธรรมชาติเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ


    ขอขอบคุณและขออนุโมทนาในธรรมของคุณ jityim ครับ ด้วยความเคารพครับ

    ขอขอบคุณที่ร่วมเสวนาครับ


    ข้าพเจ้ายังคงธรรมดาๆทั่วไปอยู่ครับ แต่สิ่งที่รู้นั้น คือรู้จริงและเข้าใจจริงครับ

    ข้าพเจ้าขอเว้นจากการเสวนาต่อนะครับ ด้วยความเคารพทุกท่านครับ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2018
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    ด้วยความยินดีค่ะ ที่จริงแล้วเป็นความเห็นส่วนตัวของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนในการสนทนากันค่ะ เพราะจริตและความเห็นแต่ละคนแตกต่างกันออกไปจึงมีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันออกไป เผอิญว่าสิ่งที่ตนเองได้รับทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทิฐิความเห็นแล้วแล้วทุกข์น้อยลง แล้วมาเจอตรงกับเรื่องราวของท่านที่เข้ากันได้กับสิ่งที่ตนเพิ่งได้รับจากการพิจารณา จึงเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ค่ะ

    ตัวเองก็ยังต้องศึกษาอารมณ์ของตนเองอีกมาก หลวงปู่ชา เคยบอกว่า...

    "ให้อารมณ์นี้แหละ มันเป็นครูสอนเรา"

    ใช่เลย ! ชีวิตของเราต้องเผชิญกับอารมณ์ไม่มีวันหยุด หากหมดอารมณ์เมื่อไหร่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "หาอารมณ์มิได้ นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์" เราจึงต้องเรียนรู้อารมณ์ตลอดชีวิต และตลอดไปจนกว่าจะพ้นไปจากวัฏสงสารนี้ เพียงแต่ว่าอารมณ์ใดที่เกิดขึ้น และทำไมมันจึงเกิดซ้ำ ๆ ถ้าใครเฝ้าติดตามอารมณ์ของตนเองตลอดเวลาจะรู้ว่าไม่ต้องรอชาติหน้าค่ะ เพราะความเป็นภพเป็นชาติสืบต่อกันได้ด้วยชาตินี้แหละค่ะ และทำอย่างไรไม่ให้ทุกข์กับมัน แต่ละคนคงมีวิธีการเป็นของตนเอง

    หมายเหตุ:- หลายคนเข้าใจว่า ความเป็นภพคือ ภพที่แสดงถึงขอบเขตและลักษณะ คือ มนุษย์ เทวดา ฯลฯ ส่วนความเป็นชาติ คือแสดงสัญลักษณ์คือใคร เป็นหญิงหรือเป็นชาย ขื่อแส้อะไร แต่...ที่ตนเองกล่าวนั้น หมายถึงความมีความเป็นของอารมณ์ที่เกิดนิสัย คือ เกิดอารมณ์แบบนั้น จึงเกิดมีจึงอยากเป็นเนื่องมีความฉันทะพอใจแบบนั้น และดำเนินไปตามที่มีที่เป็น คือ การกระทำ เรียกว่าชาติ ที่บ่งบอกให้เห็นสภาพลักษณะที่ทำต่อจากภพจากความพอใจที่จะมีจะเป็นอย่างนั้นนะค่ะ

    หากคำว่า "วงเวียน" หรือ "วงจร" ก็หมายถึง "กรรม" ที่พระพุธเจ้าตัรสไว้ว่า "เป็นดั่งเงาตามตัว" นั้น ที่เราเข้าใจกันก็คือเจ้ากรรม-นายเวร หรือ การกระทำ(กรรม) กับ วิบากกรรม นั่นเองค่ะ สองสิ่งนี้ จึงเป็นวงล้อที่หมุนทับซ้ำรอยเดิมไปเรื่อย ๆ จนกว่า กรรมจะหมด ก็หยุดวิบากลง เมื่อกรรมเกิดขึ้นเพราะทิฐิที่เห็นผิด การจะแก้กรรมนั้นก็ต้องใช้สัมมาทิฐิเข้าไปแก้ค่ะ

    จาการที่เคยอ่านโพสของท่านหลาย ๆ จิตของท่านสูงยิ่งด้วยคุณธรรม ด้วยความเคารพและขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆขึ้นไปเช่นเดียวกันค่ะ ยินดีที่ได้ร่วมสนทนาและจะนำไปเป็นแบบอย่าง
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ตัณหา
    อุปาทาน
    หลง
    โกรธ
    โลภ
    กิเลสกระบวนยาวมาก
    ใครมีกุศโลบายในการพิจารณา
    ตัดตอนกิเลสตัวหนึ่งตัวใด
    ให้ทุเลาลงโดยไม่ต้องใช้
    วิปัสนาญาณบ้างฮับ
    โดยใช้วิธีอื่นใดแล้วมีผลพากิเลสตัวอื่น
    หมดฤทธิ์ตามไปด้วยฮับ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตัณหา = อยากไปตามที่ "คิด/เห็น/มโน"
    +++ อุปาทาน = ยึดไปตามที่ "คิด/เห็น/มโน"
    +++ หลง = หลงไปตามที่ "คิด/เห็น/มโน"
    +++ โกรธ = โกรธไปตามที่ "คิด/เห็น/มโน"
    +++ โลภ = โลภไปตามที่ "คิด/เห็น/มโน"

    +++ ทั้งหมดล้วนเป็น สิ่งลวงจิต
    +++ กิเลส = สิ่งลวงจิต
    +++ สติ = จิตอยู่กับ ความเป็นจริง
    +++ กิเลส กระบวนการมี "นิดเดียว" คือ "คิด/เห็น/มโน" ไม่ตรงความเป็นจริง (มิจฉาทิฏฐิ)
    +++ เริ่มจากที่นี่ จากนั้นมันก็ แผ่ขยายสาขาไปเอง
    +++ เรื่องแบบนี้ "คิด/มโน เท่าไร ก็ ไม่รู้" (กิเลส มันพาคิด/มโน)
    +++ ต่อเมื่อ "หยุดคิด/มโน จึง รู้" ของหลวงปู่ดูลย์ (พอกิเลสมันหยุด ความจริงจึงปรากฏ)

    +++ นั่นแล... กิเลส = สิ่งลวงจิต
    +++ สติ = จิตอยู่กับ ความเป็นจริง
    +++ เท่านั้น แล .....
     
  20. เพลงพรายพิญ

    เพลงพรายพิญ The Myth 2077

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +1,996
    555
     

แชร์หน้านี้

Loading...