ปัญญามี2 อย่าง ปัญญาทางโลก(ปริยัติ) กับ ปัญญาทางธรรม-ปฏิเวธ ครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ใครบรรลุธรรม, 25 ตุลาคม 2018.

  1. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :):):) เอามรรคมีองค์8..ที่เป็นปริยัติ มาเรียนรู้ พร้อม วงจรปฏิจจะสมุปบาท ..ค่อยๆจดจำ-พร้อมกึ่งปฏิบัติก็ได้ แล้วนำ.."ปัญญา" ที่จำได้-หมายรู้กึ่งปฏิบัตินี้ มาดูการทำงานของมัน ให้คุ้นชิน-ปฏิบัติ ในขณะที่จิตมีสมาธิอ่อนๆในทางโลกปะปนอยู่แล้วทุกท่าน เป็นพื้นฐาน ปฏิบัติไปนานเข้า จนเกิด..ปฏิเวธ..ปฏิเวธ-ครับ

    ปฏิเวธ..ที่เกิดกับเรา จะทำให้เบา-สบาย-และหลุดพ้นได้ ไม่เครียดกับสมาธิ-สติ-เพราะปัญญาเราเกิดแล้ว และจากการฝึกปฏิบัตินี้ ผลที่เกิดกับตัวเรา จะไม่เพี้ยน-ไม่ซึมเศร้า-ไม่เป็นไบโพลา-ไม่ต้อง กินยา "ต้านเศร้า" ด้วยครับ
     
  2. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :):) จดจ่อกับ..ปัญญา ปริยัตินี้ก่อน เพราะ สติ-สมาธิ-เขามี เขาจะเกิดกับเราอยู่ในตัวแล้ว-ในชีวิตประจำวันครับ ..
    :) ..อย่าไปใช้ สติ-สมาธิ..เป็นตัวนำ-เพราะหากประจวบเหมาะ "เกิด สติ-สมาธิแล้ว"..จะเพี้ยนครับ เพราะความรู้ในจิตทางศาสนา เรายังมีไม่พอเพียง..หรือตามความรู้ที่สะสมอยู่ในจิตไม่มีเลย หรือมีแบบ จำกันมาหลายๆทอด ไม่มีตำราอ้างอิง..ต่างสำนัก-ต่าวครูอาจารย์-ความรู้ก็ต่างกันไปหมด..สับสน-ปนเป-จึงเพี้ยนครับ
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ปัญญาทางโลก ไว้ทำมาหากิน
    ปัญญาทางธรรม ไว้ฆ่ากิเลส
     
  4. เพลงพรายพิญ

    เพลงพรายพิญ The Myth 2077

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +1,996
    ====
     
  5. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    พี่เกิดลองหาพุทธวจน ที่อธิบายเกี่ยวกับ ความเป็นอัญญะมัญญะ ของ สติ ดูครับ

    หากว่าโดยทางธรรม
    จะกล่าวถึงสติสัมโพชฌง หรือสัมมาสติ ก้แล้วแต่

    สติจะเป็นอัญญะมัญญะกับ สัมปชัญญะ เหมือน เปลวไฟกับแสงสว่าง

    เช่นว่า ไม่มีเปลวไฟที่ไหน ที่ไม่มีแสงสว่างตามมา

    มีเปลวไฟที่ไหน แสงสว่างก็จะตามมาเสมอ

    สติก้เช่นกัน มีสติที่ไหน สัมปชัญญะ ก้เกิดตามมาเสมอ

    พระท่านหลายๆองค์ ท่านจึงมักสอนเน้น ลงที่สติตัวเดียว

    อย่าง เช่น หลวงปู่บุญฤทธิ์ ท่านใช้ คำว่า สตินิพพาน

    สติตัวเดียวพาไปสู่นิพพาน

    หลวงปู่พุธ ท่านบอกว่า จุดมุ่งของการฝึก สมาธิก็เพื่อ สติตัวเดียว

    ถือว่าเล่าสู่กันฟังพอเป็นแนวทาง
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    สติทางธรรม เป็นเครื่องมือที่คอยควบคุม
    ความคิดและพฤติกรรมของจิต
    เสมือนเป็นตัวที่จะทำให้เราเข้าใจ
    กิริยาทางด้านนามธรรมต่างๆครับ
    กิริยาทางสมาธิ อารมย์ ความคิด
    ความคิดผุดหรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ตลอดจนตัว โทสะ โมหะ โลภะในจิต
    ที่จะไปดึงสิ่งต่างๆภายนอกเข้ามาก็ล้วนแล้ว
    แต่เป็นนามธรรมทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงมอง
    ข้ามเรื่องการเจริญสติไม่ได้เลย
    อย่าเริ่มต้นด้วย คำสอนสูงๆโดยมองข้าม
    พื้นฐานเรื่องสติตรงนี้ไป

    การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความได้
    แม้เราจะเก่งระดับโลก มันก็ยังเป็นสมมุติ
    และมันเป็นสมมุติ ที่เราสร้างมันมาปกปิด
    สภาวะธรรมจริงๆที่จะเกิดกับตัวจิตเราเท่านั้น

    แต่ตัวติตมันไม่ได้เข้าถึงสภาวะนั้นๆ
    ได้ตามความเป็นจริงครับ
    อย่างที่เคยถาม. ถ้าคุณพูดแบบมีคำสอน
    ปนตำราได้ ทั้งเรื่องมรรค เรื่องปะฯ
    อะไรนั้น แล้วจิตเข้าใจจริงๆ
    คุณจะตอบเรื่อง การเกิดจองภาพได้อย่าง
    สิวๆ เพราะอารมณ์ต่างๆ มันก็
    วิถีการเกิดเหมือนกันครับ

    ถ้าเราแยก จิต ความคิด ขันธ์ ๕
    ส่วนนามธรรม พวกนี้ ที่เป็นฝ่าย
    อารมย์ เป็นนามยังไม่ได้

    เราจะเผลอไปคิดว่าความคิด
    ที่เกิดจากคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ
    ที่เรารับรู้มาจากการอ่าน การได้ยิน
    การได้ฟัง นั้นเป็นตัวสติ เป็นปัญญา
    แล้วเผลอนำมันมาพิจารณา
    มันจะกลายเป็นวิปัสสนึกได้ครับ

    ยิ่งดวงจิตที่มีวิบาก ในการลูบคลำคำสอน
    ดูถูกดูหมิ่น คำสอนหรือ
    ศาสนาพุทธมาในอดีตนั้น

    ก็จะยิ่งยึดมั่นถือมั่น
    ในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ
    จากตำราใดตำราหนึ่ง
    บางทีเราเรียกว่า วิบากกรรมหมู่
    ตรงนี้ อย่างถอนตัวและวางใจ
    เป็นกลางได้ยากมากครับ

    จริงอยู่มันไม่ได้ทำให้เราบ้า
    หรือเพี้ยน. เหมือนดวงจิต
    ที่มีวิบากเกี่ยวข้อง
    กับเรื่องพลังงานหรอกครับ

    แต่มันจะทำให้
    สติ สัญญา ทิฐิ ของเรานั้น
    วิปลาส. วิปลาสคือเห็นต่าง
    จากชาวบ้านชาวช่องเค้า
    ในมุมที่คาดไม่ถึงครับ

    ปล โปรดระวัง แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
    วิบากกรรม ชักนำพาให้เกิด
    ไม่อยากเกิด ต้องรู้ธรรมนำวิถี
    รู้ละ รู้วาง ทุกนาที ชีวิตนี้มีแต่สุข
    ทุกข์ไม่มีนะครับ. ไม่ใช่เอา
    สัญญา มาคิด วิเคราะห์ แยกแยะ
    ตีความ. นั้นมันแค่สร้าง
    มาปกปิดเราแค่ชั่วคราว
    เรากำลังถูกมันหลอกอยู่ครับ
    มันจะเหมือนเราเรื่องมะนาวดีทุกอย่าง
    แต่เราไม่เคยชิมนั้นหละครับ

    ธรรมะ เป็นสภาวะธรรม ตามอริยสัจ ๔
    ไม่มีใครในจักรวาลนี้ทำให้
    มันเปลี่ยนแปลงได้หรอกครับ
    เหมือน ตำรา ที่เปลี่ยนแปลงได้
    ตีความได้ ตามแต่ระดับการปฏิบัติ
    และกิเลสในใจตนครับ

    ฝากไว้พิจารณานะครับ
    คิดได้ ยังไม่สาย

    ดีกว่า อนาคต สติ ทิฐิ สัญญา
    วิปลาสไปแล้ว
    ไม่มีใครช่วยได้นะครับ

    เล่าสู่กันฟังครับ
     
  7. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :):):) การปฏิบัติ การเดินตาม มรรคมีองค์8..ไม่มีเพี้ยน หรือทิฏฐิ-สติ วิปลาสหรอกครับ ไม่ต้องห่วงแผนที่ เขายืนยันชัดเจนครับ
     
  8. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :):):) อันนี้เห็นด้วยกับพี่ปราบ ครับ-สติปัฏฐานสี่บริบูรณ์ โพชงฌ์7 ย่อมบริบูรณ์ด้วย อาณาปานสติ..ละนันทิ แล้วกลับมาอยู่กับเสาเขื่อน-เสาหลัก-คือ ลมหายใจหรือกายครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    มีเยอะแยะครับ ว่าแต่คุณดู
    ออกหรือเปล่าหละครับ
    ชีวิตส่วนตัว
    เจอมาทั้งสองแบบนั้นหละครับ
    พวกที่เพี้ยนเพราะวิบากด้านพลังงาน
    ยังพอช่วยได้ และช่วยมาหลายคนแล้วครับ
    แต่พวกที่สติ ทิฏฐิ สัญญาวิปลาส
    ยังไงใครก็ช่วยไม่ได้นะครับ
    เพราะพวกนี้ ทิฐิสูง และหลงตัวเอง
    ทั้งๆที่รู้แค่ตำรา ไม่รู้สภาวะเลย
    มีมากมายนับได้ไม่ถ้วนครับ

    ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ
    มีความรู้ทางด้านตำราลึกๆ
    ละเอียด กว่าใครในเวบนี้แน่นอน
    และมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
    ยัง สติ ทิฐิ สัญญา วิปลาสเลยครับ
    เอาอะไรกับ กะโหลกกะลา
    แบบเราๆครับ พูดถึงฆารวาสนะครับ

    ปล แยกดีๆ แยกเป็น ( เพี้ยนฉ
    กับ( สติ ทิฐิ สัญญา วิปลาส)

    ๑. เพี้ยนเพราะอะไร บอกไปแล้ว
    ๒.สติ ทิฐิ สัญญา วิปลาสเพราะอะไร
    นี่ก็บอกไปแล้ว

    การมีแผนที่ไม่ได้ประกันว่า
    ผู้ที่ถือจะไม่หลงทางนะครับ

    คือต่อให้มีพระพุทธเจ้าอยู่
    ต่อหน้าคุณ สอนธรรมะคุณ
    ก็ไม่ได้เป็นเครื่องประกันได้ว่า
    คุณจะพ้นได้นะครับ

    พ้นมันเป็นสภาวะ เป็นนามธรรม
    คุณแน่ใจว่าคุณมีเครื่องมือ
    ตรงนี้ดีพอหรือครับ?

    แผนที่เป็นเครื่องมือในการ
    ประกอบการเดินทางไปยังเป้าหมาย

    แต่ในขณะเวลาที่เราเดินทางนั้น
    เราจะต้องเจอสภาพแวดล้อมระหว่างทาง
    ตลอดเวลา ซึ่งในแผนที่ไม่สามารถ
    ที่จะนำเอาสภาพแวดล้อมเรานั้น
    ใส่ลงมาได้เหมือนของจริงทั้งหมด
    เพราะมันเป็นไปไม่ได้
    ต่อให้ทำแบบสามมิติ
    มันก็มีองค์ประกอบอื่นๆ
    ทำให้สภาพแวดล้อมจริงเปลี่ยนแปลงได้

    เปรียบได้กับสภาวะธรรม
    หรือธรรมะที่เราต้องเจอต้องผ่าน
    ต้องประสบด้วยตนเองนั่นหละครับ


    ถามจริงๆ สิ่งที่คุณพูดมา
    เอาคำสอนมาเสริมนั้น
    มันพูดดูง่ายๆไปไหมครับ
    คุณพูดเหมือน รอสซี่ นักแข่ง
    โมโต Gp แต่มีคนถามคุณว่า
    ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่ตรงไหนครับ
    แต่กลับตอบไม่ได้
    มันใช่หรือครับ?

    ท้ายนี้ ถามแบบไม่ต้องการคำตอบนะครับ

    ถาม พูดเรื่องมรรคมีองค์ ๘
    ผมถามว่า. จิต คุณแยกรูปแยก
    นามได้หรือยังครับ?

    พูดเรื่องวงจร ปฏิจฯ คุณมีเครื่องมือทางนามธรรมไปเห็นมันหรือยังครับ?

    พูดว่า ไม่เครียด สบายๆ คุณมีปัญญาทางธรรม ที่รู้เห็นตามความเป็นจริง
    ที่จะไปละไปคลายตรงนี้หรือยัง?

    พูดว่าเข้าใจใน ปฏิจฯ คุณมีปัญญาญาน
    ที่จะรู้ต้นตอ ของการเกิดดับได้หรือยัง?

    ถ้ามี จะต้องรู้ กิริยาความคิด
    กิริยาจิตกระเพื่อม. กิริยาที่จิตเป็นกลาง
    กิริยาจิตรวมกับขันธ์ ๕ นามธรรม
    ว่าเป็นอย่างไร แบบปกติ

    พูดว่าเข้าใจวงจรปฏิจฯ
    ตอบได้ไหม ว่าภาพนามธรรม
    ที่เห็นเกิดจากอะไร ตอบตรงนี้
    ไม่ได้ ก็ไม่รู้เรื่องอารมณ์ต่างๆ
    เช่นกันเพราะเป็นนามธรรม
    เหมือนกันครับ

    ตอบไม่ได้แล้วยังดื้อดึง ดันทุรัง
    สติ ทิฐิ สัญญา จะวิปลาสในอนาคต
    ได้อย่างไม่รู้ตัวนะครับ

    วิบากการลูบคล้ำคำสอน ปฎิเสธคำสอน
    ทางพุทธศาสนามาก่อนมันแรงนะครับ
    แรงจนไม่มีใครช่วยได้นะครับ
    มาชาตินี้ พวกนี้จะยึดแต่ตำรา
    ยึดคำสอนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
    นั้นหละวิบากกรรม. ที่จะส่งผล
    ให้ ทิฐิ สติ สัญญา วิปลาส
    ในอนาคตต่อไปได้ครับ


    ปล อ่านให้ครบ จะพบซึ่งเจตนา
    เรื่องแบบนี้ ถ้าส่วนตัวลองได้เตือนใคร
    ประกันว่าไม่เคยพลาดครับ
    แค่เล่าให้ฟัง ด้วยความปรารถนาดีนะครับ
     
  10. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268

    nopphakann

    :):):)..คนที่ปฏิบัติ ตามคำสอนมรรคมีองค์8-วงจรปฏิจจะสมุปบาท-..มีทั้งประเทศ-ตั้งแต่ สมเด็จองค์สังฆราช.. ลงมา สมณะสงฆ์-ทุกรูป เพราะนี่คือคำสอนของ พจ.ไม่มีใครทิฏฐิวิปลาสหรอกครับ..นี่เป็นแผนที่ ภาคปฏิยัติ -เพื่อนำไปปฏิบัติ-ไม่ใช่ คิด-นึก-เอาเอง-

    :):):) รูป-นาม-เขาแยกกันอยู่แล้วในภาษาและลักษณะ จับต้องได้ จะไปแยกมันทำไม เพื่อให้ได้ อะไรอีกครับ ทุกคนรู้อยู่แล้ว..(ธาตุ4-ขันธ์5-อากาศธาตุ-เป็นปริยัติอยู่ในตัวแล้วครับ)
     
  11. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    รูปอะพอเข้าใจภาษาและลักษณะ
    แต่นามนี่สิ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อย่าอ้างของสูงเสริม ทิฐิ สติ สัญญา
    ที่เริ่มวิปลาสของตนเองครับ
    วิบากกรมจะมาเร็วขึ้นนะครับ
    แล้วจะหาว่าไม่เคยเตือนนะครับ
    ท่านที่คุณอ้างเหล่านั้น ท่านไม่ได้มีสภาวะ
    และความเข้าใจแบบตื้นๆหรือบ๊องตื้นอย่างที่คุณคิดวิเคราะห์หรอก ระดับความคิดอนุบาลอย่าไปเอาระดับปรมาจารย์มาอ้างเสริม ควรว่ากันด้วยเหตุและผล
    จากการปฎิบัติไม่ใช่ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และสรุปเอาเหมือนเด็กครับ แยกรูปแยกนาม มันไม่เกี่ยวกับรูปหรือธาตุ ๔ เลย มันมีแต่ ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม จิต กับความคิด มันแยกทั้งๆที่อยู่ในกายนี้และครับ
    ความเข้าใจทางนามธรรมคุณไม่มีเลยตรงนี้ นี่หละการไม่สนใจเรื่องสร้างสติ จะเอาแต่ธรรมะระดับสูงๆ แต่กลับไม่เข้าพื้นฐานเลย มันไม่ใช้หรอกครับ

    ตอนแรกเอาของเก่ามา
    เด่วช่วยเสริมเรื่องแยกรูปแยกนามในบางมุม
    ถ้าเราเจริญสติต่อเนื่องปกติในชีวิตประจำวันได้จริงๆเราจะพบกิริยา
    ของจิตดังต่อไปนี้ได้เป็นปกติ

    ๑.จิตก่อตัวเป็นก้อนกลมๆ ออกไปนอกกาย
    ทางศรีษะเราจะรู้สึกเหมือนหกคะเมนตีลังกา
    ๒.จิตก่อตัวเป็นก้อนกลมๆกำลังวิ่งขึ้นตามแนวจักระขึ้นทางศรีษะ จะรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรกำลังวิ่งขึ้นมา เห็นรู้ได้ดวยตาเปล่า
    ๓.จิตก่อตัวเป็นก้อนกลมขึ้นอยู่ตรงลิ้นปี่
    ๔.จิตก่อตัวคล้ายๆเกลียว นึกภาพคลื่นทอนาโดร์เทียบดูครับ ดูที่ปลายคลื่นนะครับ
    ๕.จิตก่อตัวคล้ายก้นหอย ดูก้นหอยเทียบ
    ๖.จิตเป็นเส้นๆหลายเส้น
    กำลังจะรวมเป็นก้นหอย
    ๗.กำลังเป็นเส้น

    ถ้าเห็นข้อ ๗ ได้จิตจะดีดความคิด
    ออกจากตัวมันได้เอง และจะเกิดกิริยา
    ต่างๆตามมา หมายความว่าถ้าเริ่มจากข้อหนึ่งให้เราดับมันอย่างเดียว
    อย่าตาม อย่าสนใจเป็นอันขาด ดับเรื่อยๆมันจะย้อมมาถึงจ้อ ๗ ได้เอง
    และเราจะเริ่มเดินปัญญาแบบที่ไม่เป็นวิปัสสนึกได้ครับ และเดินปัญญาต่อซักระยะ
    อย่างที่เคยบอก จะฝึกกรรมฐานอะไร
    จะไม่ยากครับ

    แต่ถ้าอายุมากแล้วปลายๆ ๕๐ หรือ ๕๐ อัพ
    จะไม่เห็นข้อ ๖ และ ๗ เป็นปกติครับ
    หรือคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาว
    ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากก็ไม่เห็น
    เช่น พรุ้งนี้บ้านจะโดนยึด แต่นอน
    กร๊นคร๊อกๆได้เหมือนปกติ ประมานนี้ครับ

    แต่ก็จะแยกรูปแยกนามได้
    และเข้าใจกิริยาต่างๆของจิต ความคิดขันธ์๕ ส่วนนามธรรมเหมือนคนมีอายุไม่มากได้
    เช่นกัน

    ปล แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ


    เด่วจะขอพูดเรื่อง แยกรูปแยกนาม จะลองใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ
    ลองดูว่า อ่านแล้ว พอจะเข้าใจไหม....

    การแยกรูปแยกนามนั้นเป็นกิริยาอย่างหนึ่ง ที่จิตสามารถเห็นได้ว่า
    องค์ประกอบต่างๆดังต่อไปนี้ เป็นคนละส่วนกันอย่างชัดเจน ประกอบด้วย

    ๑.ความคิดที่เกิดจากจิต หรือความคิดทั่วไปที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน
    ซึ่ง มันสามารถที่ จะเปลี่ยนแปลงได้ตามใจเรา ไม่ว่าจะเชิงกุศลหรืออกุศล
    ยกตัวอย่างเช่น เห็นนาย ก. ผิวสีดำ แต่เราสามารถคิดและ บอกว่า นาย ก. ผิวสีขาว ได้ เป็นต้น
    หรือ นาย ก ผิวสีดำ เราจะคิดว่า นาย ก. หล่อ หรือ ไม่หล่อ ก็ได้ นี่คือ เอกลักษณของความ
    คิดที่เกิดจากจิต สังเกตุไหมว่า ทำไมเรียกว่า เกิดจากจิต เพราะมันขึ้นมาจากตัวจิตนั่นเอง

    ๒.ตัวจิต หรือ ดวงจิต หรือ ใจ ที่มันเป็นดวงกลมๆ แล้วแต่จะเรียก

    ๓.ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน ไม่มีรูปนะ) หรือ เรียกอีกอย่าง
    ว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มักจะเป็นความคิดในอดีตที่ผ่านมาแล้ว
    บางทีสายป่า ก็เรียกว่า วิบากกรรม มันคือตัวเดียวกัน แต่เรียกต่างกัน
    ซึ่งตัวนี้ จะเป็นฝ่ายอารมย์ เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง
    เช่น อยู่ดีๆก็นึกเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้วเป็น ๑๐ หรือ ๒๐ ปีได้ หรือ อยู่ดีๆก็มีความคิด
    ที่ผ่านมาแล้ว หลาย ปี หลายเดือน ยิ่งเวลาผ่านไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เราเคยผ่านมา
    บางทีก็นึกเรื่องราวในอดีตได้เอง เอกลักษณมันคือ ไม่เลือกที่ เลือกเวลา
    (และก็สามารถตามไปได้ แม้ว่าจะอยู่ในโหมดพิเศษ เช่นกำลังส่งจิต หรือ ฝัน )
    ตัวอย่างเรื่อง เช่น นึกเรื่อง นาย ก ที่เราเคยเห็นว่า ผิวสีดำ อยู่ดีๆ นาย ก ผิวสีดำ
    ก็ผุดขึ้นมา และเราจะไปคิด บอกว่า นาย ก ผิวไม่ได้ดำ ก็ไม่ได้ มันก็จะขึ้นมาว่า
    นาย ก ผิวสีดำ และ ถ้า เรื่องนาย ก ผิวสีดำ ขึ้นมา พอเราไปรู้ หรือ ไปเจตนา ดู
    มันก็จะดับไปทันที พวกนี้คือ เอกลักษณ์ ของความคิดผุด ที่เป็นขันธ์ ๕ นามธรรม
    เล่าให้ฟังก่อน...อาจจะยังงงๆ.ว่ามันมีแบบนี้ด้วยหรือ แต่มันเป็นพื้นฐาน
    ที่สำคัญ ที่จะทำให้เราเดินปัญญาได้ โดยไม่กลายเป็นวิปัสสนึก


    การปฏิบัติ ก็คือ ให้เราเปลี่ยนความตั้งใจในการปฏิบัติ มาเป็นการเจริญสติให้ต่อเนื่อง
    ในชีวิตประจำวัน ..ทำไมต้องเปลี่ยนความตั้งใจในการปฏิบัติ เพราะถ้าหากว่าเรา
    ตั้งใจในการปฏิบัติ มันจะไปปิดกั้นตัวเราเอง ก็คือ ปิดกันใจเราเอง
    ให้มาเจริญสติในชีวิตประจำวัน ให้ต่อเนื่อง ด้วยวิธีอะไรก็ได้ ขอให้ฐานอยู่ที่กาย
    ฐานอยู่ที่กาย เช่น เวลาเดินไปไหน นับจำนวนเก้า นี่คืออยู่ที่กายคือเท้า
    หรือ เวลานิ่งๆ ให้มาระลึกรู้สึกว่า มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
    หยุดที่ปลายจมูก โดยจะภาวนา
    หรือไม่ภาวนาก็ได้ และก็ไม่ควรลืมช่วงเอี่ยว(คือช่วงที่เราทำอะไรจนเป็นปกติ
    เช่น เดินไปทานข้าว เดินไปเข้าห้องน้ำ เดินไปขึ้นรถ เรามักจะขาดการเจริญสติ
    ในช่วงนี้) และที่สำคัญก็คือให้ดับความอยากที่จะทานอาหารก่อนที่จะทาน
    ส่วนจะนั่งสมาธิหรือไม่นั่งสมาธิก็สุดแล้วแต่ความสดวก

    จนกระทั่ง ใจหรือจิต คลายจากความคิด คลายจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    คลายยังไง ????

    ถ้าเราเจริญสติ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เราสามารถทันความคิดที่เกิดจากจิต
    หรือเห็นมันได้ ในขณะที่มัน(ความคิดจากจิต)กำลังจะขึ้นจากตัวจิตเราได้
    ตัวจิต มันจะ ดีด หรือ แยก ความคิดจากจิต ออกจากตัวมันทันที
    ตอนนี้ จะเห็นและเข้ากิริยา อย่างที่พูดในย่อหน้าแรก ได้เอง
    ลำดับกิริยาปกติทั่วไปที่เจอมันจะประมาณนี้
    ๑.ปกติเราจะไม่รู้เรื่องอะไร ปรุงคิดไปเรื่อยเปื่อย หรือไม่ก็ร่วมกระทำด้วย สุดท้ายแล้วลืม
    ๒.รู้ตัวอีกทีเมื่อเวลาผ่านมาแล้วช่วงระยะเวลาหนึ่ง
    ๓.รู้ตัวได้เร็วขึ้น แล้วมันก็หายไป
    ๔.มันจะขึ้นมาหลายๆเรื่อง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แม้ในนาที ขึ้นมาจนนับไม่ได้
    ๕.แล้วก็ถึงจะมีจังหวะไปเห็น ตอนที่มันจะขึ้นจากตัวจิต
    ที่เล่ามาเป็นขั้นตอนที่จะเกิดปกติ

    และในทำนองเดียวกัน ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    มันก็จะมาในลักษณะสัญญาในอดีต
    อย่าลืมเอกลักษณมัน
    ถ้าเราไปเจตนาดู(ไปรู้ทันมัน) มันจะดับทันที
    และจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆ ทำให้เรางงเล่นๆ ๕๕
    และเรื่องเดิมๆ ที่มันเคยดับไป เด่วมันจะหาจัวหวะกลับขึ้นมาอีก
    และถ้าเราไปกำหนดให้มันดับ มันก็ดับได้ หรือใช้สมาธิข่มมันก็ดับได้อีก

    ต่อไปส่วนสำคัญ ถ้ามีความคิดลักษณะนี้ขึ้นมา ให้เราค่อยๆดูก่อน
    และเราอย่าพึ่งไปดับมัน ถ้าเราสังเกตุทันตอนที่มันกำลัง
    จะมารวมกับตัวจิตได้(***** สังเกตุนะ ว่าทำไมใช้คำว่า มารวมกับตัวจิต
    ไม่ได้ใช้คำว่า ขึ้นมาจากจิต เพราะแท้จริงแล้ว ขันธ์ ๕ นี้ มันมาจากภายนอก
    เพียงแต่มันเข้ามาอยู่ใกล้กับจิตเรามาก ถ้าไม่เจริญสติให้ต่อเนื่องจริงๆ
    เราจะสังเกตุตรงนี้ไม่ออก และจะคิดว่า มันเป็นตัวเดียวกับจิตของเรา ที่คนหลงตัวเอง
    ที่คนวิปัสสนา จนกลายเป็นผู้วิเศษ เก่งกว่าใคร หรือหลุดโลก ก็เพราะไม่ทันตรงนี้***)
    ไอ้ ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม มันจะแยกตัวเองออกได้ เป็นเส้นๆ คล้ายๆเกลียวเชือก
    ที่มันถูกดึงออกจากกัน เพราะมันมัดรวมกันอยู่เป็นปกติ...


    มาถึงจุดนี้ ความเห็นชอบก็จะเปิดทางให้ เราสามารถที่จะเดินปัญญาได้
    จะไม่กลายเป็นวิปัสสนึก เพราะ เราจะแยกได้อย่างชัดเจน
    ทั้ง ๑.ความคิดจากจิต ๒.จิต และ ๓.ขันธ์ ๕
    เวลาเราเดินปัญญา
    ความคิด ๑.และ ๓. เราจะดับมันไม่ให้มีเลย
    และปล่อยให้จิตว่างรับรู้อยู่อย่างนั้น ตอนนี้จะมีกำลังสติคอยควมคุมตัวจิตอยู่
    คล้ายๆว่า ให้จิตมันอยู่เฉยๆ เป็นกลางๆ(เหมือนไม่คิดอะไร) ก็จะเข้าสู่
    การเริ่มเดินปัญญา จนเกิดเป็นปัญญาทางธรรมได้ในอนาคตของมันเอง
    ตรงนี้เป็นการเริ่มต้น ....ซึ่งต่อไปจะมีในส่วนการพิจารณา
    แต่ว่า จิตต้องอยู่ในสภาวะที่เป็นกลางจริงๆ และรู้จักการวางอารมย์
    เรื่องที่จะพิจารณา(เราจะเห็นจากกำลังสติทางธรรมว่าเราพลาดอะไร
    ในระหว่างวัน แล้วระลึกรู้ไว้ และลืมๆไป นี่คือการวางอารมย์)
    เคย อ้อๆผุดอะไรได้เองเองไหมเช่นเวลาอาบน้ำ เวลาเข้าห้องน้ำ
    หรือเดินๆไปแบบชิวๆ หรือนั่งทำอะไรชิวๆ
    ที่มันมักจะมาหลังจากที่เราไม่ได้สนใจมันแล้ว
    หรือเฉยๆกับเรื่องนั้นไปแล้ว

    หรือเวลาได้ยินเรื่องแบบนี้ ที่เมื่อก่อนทำให้เราโกรธ
    แต่ตอนนี้รู้สึกเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไร พวกนี้เป็นผลของมัน
    ที่เกิดขึ้นมาจากช่วงที่เราเริ่มเดินปัญญานั่นเอง......

    ปล. ลองอ่านดู ทำไมต้องเดินปัญญาให้ได้ก่อน
    เพราะถ้าไปได้ฝึกกรรมฐานก่อน มันจะดูเหมือนไม่ยึด
    แต่ว่าจะยึด ไม่สนใจเรื่องสติ และปัญญา เราเรียกกิเลสธรรม
    จะสนใจแต่เรื่องนามธรรม เรื่องพิเศษต่างๆ
    และเมื่อเดินปัญญาไปแล้ว ความเข้าใจทางนามธรรมเราจะดีขี้นได้เอง
    นามธรรมพวกนี้ ก็คือ กิริยาต่างๆในระหว่างทางที่เราจะเจอ
    ในระหว่างการฝึกกรรมฐานต่างๆ ซึ่งช่วยหนุนให้เราเข้าใจว่าต้องทำอย่างไร
    และไม่ยึดมัน ถ้าไม่มีตรงนี้ เวลาเจอสัมผัสอะไรแปลกๆ
    มันก็มัวแต่จะคอยสงสัย ค้นคว้าหาคำตอบ เผลอคิดว่าสิ่งที่ตนเจอ
    เป็นอะไรที่วิเศษ ทั้งๆที่มันเป็นเพียงแค่ กิริยาหรือวิถีจิตปกติ
    ที่เกิดขึ้นได้ของมันเองไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนั่นเอง
    พูดง่ายๆ จะเผลอไปยึดวิถีกิริยาต่างๆของจิตที่เกิดได้ปกตินั่นเอง

    จบพื้นฐานเริ่มต้น...

    *** สำคัญนะ ฟังดูแล้ว เหมือนปฏิบัติแล้ว มันดูไม่หล่อ ไม่เท่ห์
    ดูแล้ว ไม่เห็นมันจะเกิดความสามารถพิเศษอะไรให้ตัวจิต ทำเพื่อ???

    แต่นี้หละ ที่อนาคต จะเป็นความแตกต่างว่า
    ทำไมบางดวงจิต ฝึกกรรมฐานต่างๆ มานานมาก ไม่เคยสำเร็จซักกอง
    ใช้งานไม่ได้ซักที ใช้ได้ก็ไม่ดี แถมใช้แล้วก็เสื่อม กว่าจะใช้ได้ก็เหนื่อย
    และได้ผลน้อยอีกต่างๆหาก และมีขึ้นๆลงๆ
    ไม่มีความกล้าแสดงๆออก คนอื่นๆรับรู้เหมือนตนไม่ได้
    รู้ได้แต่ตัวเอง พูดแต่ในนิมิต ที่ตนพบมา และก็จะกลายเป็นว่า หลงตัวเอง
    คิดว่า การพบเห็นในนิมิต เอามายึดว่าตนเอง เหนือกว่าผู้อื่นๆ
    หลงกิริยาต่างๆ เหมือนกับว่ามันเป็นจริง พูดให้ดู วิเศษวิโส
    ขาดกำลังสมาธิ ขาดกำลังจิต
    ขาดภูมิต้านทานต่างๆ
    เพราะมองข้ามพื้นฐานสำคัญตรงนี้ไปนั่นเอง***

    มีสองตอน ถ้าไม่เข้าใจ แสดงว่า
    จิตแยกรูปแยกนามไม่ได้

    คุยว่าขับโมโต GP แข่งสนามช้าง
    ที่บุรีรัมย์ แต่หาปุ่มสตาร์ทไม่เจอ
    มันไม่ใช่หรอกครับน้อง
    แล้วจะหาว่าพี่ไม่เคยเตือนนะครับ. ^_^
    บอกแล้วส่วนตัวไม่เคยพลาดเรื่อง
    แบบนี้ที่หลัง. กรุณาอย่าอ้างของสูง
    อีกนะ และอนาคต
    อย่าเล่นมุขบาปบุญด้วยนะครับ
     
  13. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    โปรดตั้งใจทำความเข้าใจเม้นท์
    2เม้นท์ที่ท่าน Nopphakan
    ได้ตั้งใจแจกแจงให้อย่างละเอียดละออ
    และโอกาสต่อไป
    ควรตั้งใจพูดคุยธรรมะด้วยความเคารพ
    ในพระรัตนตรัย
    เพื่อเป็นกุศลไปในตัวควรชวนเพื่อน
    ขาจรมาดูด้วยฮับ
     
  14. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +470
    ดูอะไรอะลุง
    เดี๋ยวได้ ติดกิ๊บ วิปลาราด พริกนา
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    คนเพี้ยนยังพอรู้ว่าตัวเพี้ยน
    วิปลาสนี่มันร้ายแรงยิ่งกว่าเพี้ยนหลายเท่า
    รู้ตัวเองยาก
    ตัวใครตัวเผือกละกัน
     
  16. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +470
    ลุงแมวลองเซ็นโอนลอยอีกทีจิ
    วิปลาส เนี่ย พุทธองค์กล่าวว่ากระไร
    เซ็นโอนลอยไปเลย ไม่ต้องรอผู้โปรด
    จะเห็นความต่าง กับ โลก ของ(สนสายน้ำ) พึ่ง


    ปล. http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=1410&Z=1433
     
  17. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    • :):):) ทุกคนในเวบนี้เชื่อ และอยากปฏิบัติตาม มรรคมีองค์8..หรือเรียนรู้ ..วงจรปฏิจจะสมุปบาท-..แต่มีคนพาล หาช่องทาง-ยกตนว่าเก่งวาทะมาก่นด่า-คนอื่นที่เขาเชื่อ และปฏิบัติตาม-เวบนี้มีคนพาล-ตั้งตนเป็นผู้รู้- ยิ่งกว่า พระไตรปิฏก คำสอนของ พจ.กล่าวตู่อ้างว่าจะ ..ทิฏฐิวิปลาส -น่าอนาถใจแท้ยุคสมัยนี้ ไม่มองดูตัวเองเลย..เวบพลังจิต "ท่านขันธ์" ครับ ผมคิดถึงท่านจริงๆ..ตามสบายครับ สาธุ

    :):):)
     
  18. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :):):) ขนาด องค์สมเด็จพระสังฆราช พระสงฆ์ในพุทธศาสนาทุกรูป ท่านก็เรียนรู้-ในพระไตรปิฏกทุกเล่ม-ทุกมหาวิทยาลัยทั่วโลก-ทั้ง ใน-นอก ประเทศไทย-ก็เรียน.. "มรรคมีองค8-วงจรปฏิจจะสมุปบาท"..นี้ทั้งสิ้น ยังมีคนพาล ใช้วาจาแถไถ-อีกเพื่อจะอวดตัว-สร้างสงครามวาทะ-ว่าข้านี่เก่ง-คารมชั้นยอด-เยี่ยมกว่าใครในนี้-ทุกคนต้องฟังข้า-เป็นพวกข้า- ตามสบายครับ สาธุ
     
  19. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :) ใครก็ตามที่ยังใช้ความเกรงใจไม่ใช้ปัญญาในตนเองในการเรียนรู้- เกรงใจคนพาล-ไม่เกรงใจธรรมหรือความถูกต้อง-ความกลัวทำให้เสื่อม-ขนาดในเวบไม่เห็นหน้ายังขนาดนี้ พวกคนมีธรรม ยังไม่กล้าแสดงความซื่อสัตย์จากใจ ตอบโต้อสัตย์ธรรม เพื่อรักษา "สัจจธรรม-ความถูกต้องไว้"..
    :) นั่นแสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์กับ สัจจธรรม ความจริง..ความเสื่อมย่อมตามมาในไม่ช้า ..ตามสบายครับ ผมเบื่อจะโต้คารมครับ (ทั้งที่ผมนี่โต้คารมเก่งนะครับ ทำได้แต่ไม่ทำ)

     
  20. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    :) ผมแค่นักศึกษา ไม่ได้สำเร็จอะไร-ไม่คิดจะมาแข่งบารมี-ความรู้เหนือ พวกคุณหรอก ผมมาเผยแพร่ตำรา-คำสอน-และวิธีปฏิบัติ ที่ไม่ยากเกินไป-เพื่อหาข้อยุติ วิเคราะห์ วิจัย เพื่อหยั่งธรรมสากัจฉา-แลกเปลี่ยนกันหรือ ให้พวกที่ไม่พร้อมเข้าใจ-

     

แชร์หน้านี้

Loading...