รู้ซื่อๆ เป็นยังงัยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 8 กุมภาพันธ์ 2019.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    มีสติรู้ตามธรรมชาติโดยไม่ใช่รู้จาก
    ความคิด
    หรือรู้จากความจำ (จากวิญาณสังขารหรือจิตสังขาร)มีวิธีการปฏิบัติกันอย่างไรบ้าง
    คับ ใครมีวิธีที่ทำง่ายและเข้า - ออก
    ตัว รู้ ได้เร็วและทรงตัวได้ดี
    ขอแสดงลำดับขั้นตอนด้วย ขอบคุณคับ
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    มันง่ายมากครับ

    เกิดผัสสะ อย่างหยาบ เช่น ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นรับรส กายสัมผัส จมูกได้กลิ่น

    จิตเป็นอย่างไร ก้รู้ ตามอย่างนั้น จะเรียกว่า รู้เฉยๆซื่อๆ กำหนดรู้อะไรก็แล้วแต่ ล้วนแต่คือการรู้ตามสิ่งที่ปรากฎ ที่จิต เวลารู้ไม่ต้องพากต่อ เอาแค่รู้ หยุดที่รู้

    ผัสสะอย่างละเอียด ก็ จิตกระทบความคิด เช่น เกิด ยินดี ยินร้าย เฉยๆ
    อันนี้จะละเอียดหน่อย แต่ก็ง่ายเหมือนกันแต่คนชอบทำให้มันยาก แค่รู้ตามที่เป็นเช่นเดิม

    ความยากมันอยู่ที่ว่า
    1.คนชอบปรุงแต่ว่าการปฏิบัติมันเป็นเรื่องพิสดาร เลยต้องไปหาอะไรทำที่ผิดแหวกธรรมชาติของการรู้
    2.วิธีนี้มันง่ายมากๆ แต่ที่ยากเพราะ ไม่ทำต่อเนื่อง วันๆนึง อารมณ์เกิดดับนับไม่ถ้วน
    ไม่สามารถรู้ตามได้ตลอด วันๆนึงรู้ตามได้สักสามสี่รอบ จนฝึกไปเรื่อยๆ จนชำนาญขึ้นสามารถรู้ตามได้เป็นพันๆ ครั้ง หมื่นๆครั้ง จน สามารถจากรู้ตามเป็น รู้เท่าทันอารมณ์ได้ ถี่ขึ้นต่อวัน

    สักยภาพมันจะแสดงออกมาตรงที่เมื่อจิตรู้เท่าทันอารมณ์จิต
    คือการที่จิตมีสติเกิดขึ้นเอง อย่างต่อนื่อง จากการอบรม ตามรู้อารมณ์จิตไปเรื่อยๆ
    จนมันรู้เท่าทัน

    สรุปคือ ความขี้เกียจรู้ตาม มันจะทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จ

    คนที่ปัญญากล้า จะมุ่งรู้ตามอารมณ์จิตไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปกังวลเรื่อง ศีล

    ก็จะไปได้เร็ว

    คนที่ปัญญาอ่อนลงมาก็จะกังวลเรื่องศีล ก็จะเสียเวลามาเรียนรู้เรื่องศีลไปอีก
    จะเนิ่นช้าไปอีก

    คนที่ปัญญาอ่อนลงมาอีกขั้นนอกจากจะเรื่องศีลก็จะมากังวลเรื่อง ทานเพิ่มขึ้น
    กลัวจะไม่มีกินร่ำรวยในชาติหน้าไปอีก สักกายะทิฐิ รัดแน่น

    ปัญญาอ่อน ในที่นี่ไม่ใช่คนวิกลจริตในภาษาไทย
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เป็น "รู้" ที่ไม่โดนความคิดมัน "โกง" ความเป็นจริงไปหนะ ลุงแมว
    +++ ลุงแมวก็เพิ่งพูดออกมาว่า "มีสติรู้ตามธรรมชาติ" ก็ ถูกแล้ว เท่านั้นเอง
    +++ ไม่ใช่ "คิดเอาเอง เออเอาเอง มโนเอาเอง" ท้ายที่สุดก็ "หลอกตนเอง" แล...
    +++ ลุงแมวก็ "รู้" อยู่แล้วนี่นา ว่า "อยู่ที่ไหน" ที่มี "ครบทุกประการที่ ลุงแมว" ถามหามาหนะ จิงม่ะ
    +++ แต่กระทู้นั้น "ต้อง" ปฏิบัติลูกเดียวนะ ไม่ใช่รายการ "20 คำถาม" ประเภทนั้น

    https://palungjit.org/threads/A2.512443/page-68#post-10852078

    ========================================
    https://www.m-culture.go.th/young/ewt_news.php?nid=105&filename=index

    ธรรมคุณ 6
    วันที่ 11 ม.ค. 2559

    ธรรมคุณ 6

    ธรรมคุณ หมายถึง คุณของพระธรรมมี 6 ประการ ดังนี้
    1.สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมเป็นคำสอนอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นความจริงแท้ เป็นหลักครองชีวิตอันประเสริฐ
    2.สันทิฏฐิโก พระธรรมนี้ผู้ปฏิบัติตามจะเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อคำผู้อื่น ผู้ที่มิได้ปฏิบัตินั้นแม้จะมีใครมาบอกและอธิบายให้ฟังก็ไม่อาจเห็นได้

    3.อกาลิโก ไม่เนื่องด้วยกาลเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับเวลาปฏิบัติตามได้พร้อมบริบูรณ์เมื่อใดก็เห็นผลเมื่อนั้น เป็นจริงตลอดเวลาไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย สิ่งที่เนื่องด้วยเวลาเป็นสิ่งที่มีเกิด มีเปลี่ยนแปลง มีดับไปตามเวลา แต่พระธรรมเป็นจริงอยู่เสมอเป็นนิจ

    4.เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู คือ พระธรรมเป็นคำสอนที่ควรจะเชิญให้ใครๆ มาดู มาพิสูจน์ มาตรวจสอบ เพราะเป็นของที่จริงตลอดเวลา

    5.โอปะนะยิโก ควรน้อมเข้ามา คือ เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้าไว้ในใจเพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในชีวิต จะได้บรรลุถึงความหลุดพ้น

    6.ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือวิญญูชนรู้ได้เฉพาะตน คือพระธรรมนี้เป็นสิ่งที่วิญญูชนจะรู้ได้ และการรู้ได้นั้นเป็นของเฉพาะตน ต้องปฏิบัติตามจึงจะรู้ ทำแทนกันไม่ได้ แบ่งปันให้กันไม่ได้ ต้องประจักษ์ด้วยตนเอง

    กระทรวงวัฒนธรรม
    ========================================

    +++ คุณของพระธรรมมี 6 ประการ ดังนี้

    1. สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นความจริง เป็นหลักครองชีวิตที่ดี
    2. สันทิฏฐิโก ต้องปฏิบัติเอาเอง ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ไม่อาจ รู้/เห็น ได้ ด้วยการอธิบาย
    3. อกาลิโก ปฏิบัติตามเมื่อไร มันก็ยัง "จริง" อยู่เช่นเดิม ไม่เกี่ยวกับ "เวลา"
    4. เอหิปัสสิโก ให้มา "ปฏิบัติพิสูจน์" ไม่ใช่ "มานั่งเถียงพิสูจน์"
    5. โอปะนะยิโก เดินจิตให้ถึง สภาวะที่ต้องการ
    6. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แล้วจะ "รู้ชัดแจ้ง" ได้ด้วยตน

    +++ ก้อ "รู้อยู่แล้ว" นี่นาลุงแมว...
     
  4. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ถาม เนี่ยะ เพื่อ จะด่า คนที่ บัญญัติ
    ขึ้นมาใช้ ( ชลบุรี )

    หรือ จะ ฟัง แล้วลองไปเฝ้นดู ว่า
    จะเข้าไปเหนด้วยจิตตั้งมั่น เปน
    กลาง ได้ไหม

    ธรรมะ ต้องไม่บืมว่า ไม่ใข่ฟังเพื่อ
    ตีความหรือ รับได้ รับไม่ได้

    ธรรมะ หากใส่ใจสนใจ กิจที่จะ
    พึงมีคือ ลองพิสูจน์ว่า จะเข้าไป
    เหนเองโดยพ้นการฟัง ทำตามๆ
    กันไป ได้ไหม

    นะ

    ถ้าถามเพื่อ ด่า อายเฮีย คนที่
    งัดขึ้นมาใช้ก้ไม่รู้จะถามทำไม
    ด่า อายเฮีย มาเลยก้สิ้นเรื่อง

    แต่ถ่า เอาว่ามาสิ ...ก้ลองฟัง

    รู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ คือ just touch
    or only sens

    ขออภัยที่ต้อง อังกฤษนำก่อน

    ยกตัวอย่าง ลิ้น ก้เอาแต่ การ
    รู้รส ส่วนรสเปรียว หวาน มัน
    หรือ ไม่มีรส อันนั้น ส่งออก
    จากฐาน"รู้" เลยการ touch or
    sens ไปแล้ว

    หู กระทบเสียง ก้เอาแค่ ระลึกได้
    ว่า ขณะนี้ หูกระทบ

    ขณะนี้ ตา กระทบ

    ขณะนี้ ใจ กระทบ

    ขณะนี้ กาย กระทบ

    พอ just touch or sense ได้
    เพียวๆ ไม่ล่วงเลยไปใน อย่างอื่น
    ก้เรียกว่า หยุดอยู่ที่ "รู้" หรือ
    รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ

    หรือ จิตรู้อยู่ที่ฐาน

    หรือ โยนิโสมนสิการ พิจารณา
    อยู่ในกองวิญญาน กองเดียว

    ซึ่ง ยังไม่ถือว่า เหนจิตนะ เว้น
    แต่มี ญานสัมปยุติ เหนความดับ

    จิต touch ทางหู ดับทางหู
    ทันทีแล้วไปเกิด ทางตา ทางจมูก
    ทางลิ้นทางกาย ทางมโน(ใช้ มโน
    มาไขว้แทนการพูดว่า จิตเกิด
    ทางจิตดับทางจิต กัน ตาไก่แตก)

    พอเหนความดับของจิต จึงจะเรียก
    ว่า พิจารณาที่จิต ......

    พอชำนาญ ค่อยยก สภาวะ "สิกขา"
    ว่ามีไหม ถ้ายังมีเนืองๆ ก้เริ่มพูดว่า
    ยดจิตเข้าสู่การวิปัสสนา

    เหนจิตยกเข้าสู่วิปัสสนา ได้ ก้เรียก
    ว่า มีสติ

    เหนจิตไม่ภาวนา ก้ใช้ได้ มี สติ
    เสมอกัน

    ตามเหน การเกิด สติ อีกที ...ก้จะชัด
    ว่า จิตไม่เที่ยง เปนอนิจจัง อนัตตา
    เกิดจากปัจจัยการ ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน
    บุคตล เรา เขา

    อบรมให้มากๆ จึงชื่อว่า ตามเหนตาม
    ความเปนจริง

    พอเหนตามความเปนจริง ได้มากๆ
    จะเหน การคลายกำหนัด ยึดถือ
    จิตเปน ตน บุคคล เรา เขา ....
    ..แต่มันยังไม่จำนน ไม่ขาดเปน
    สมุทเฉท

    ยังไม่มีมรรคสมังคี ซึ่งมี สี่รอบ

    ละวางจิต เปนสมุทเฉทรอบแรก
    ก็เรียกโสดา .... .....ซึ่ง การฉวย
    จิตยังมี เหมือนแหวกจอกแหนได้
    มันก้กลับมาปิด

    เรียก อาการรู้ชัด จิตไม่ใช่สัตว
    ตัวตนบุคคล เรา เขา รอบแรกที่
    มีการกลับมาปิดว่า "ญานทัสนะ"
    คือหมดความเหนผิดเรื่องจิต เปน
    ปูเสฉวน ได้เด็ดขาดมันหลอกไม่
    ได้อีกแล้ว ไม่เกินเจ็ดชาติจะจบงาน

    ลองดูนะ

    อย่าอ่านเพื่อ เอาความเข้าใจ หรือไป
    ลองทำตาม เทียบๆ เคียงๆ

    สิ่งที่พูด เปน สภาวะ ที่มีตลอดเวลา
    เพียงแต่ ขาดดารกำหนดรู้

    ดังนั้น เวลาเหน จะเปนเรื่อง
    ตรัสรู้เองโดยชอบสถานเดียว
    แล้วถ้าเหนจริงจะ พูดเปนอะไร
    ก้ได้ ไม่ต้อง กะเกณฑ์ต้อง
    คำนั้น คำนี้

    แต่ บัณฑิตที่มีความกตัญญู
    จะใช้ คำตถาคต

    เว้นแต่ ไม่มีอธิษฐานด้าน คันธุระ
    พระพุทธองค์ตรัสโองการ ว่า
    ....ก้ พูดไปเถอะ ภาษาถิ่น....แล้ว
    ห้าม การบังคับใช้ภาษาเดียว( อนุญาติ
    ทั้งสองทาง จะได้ไม่ปน ตลาด
    ขายปลา เหมือน สงฆ์ในสมัยท่าน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2019
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ บัญญัติขึ้นมา เพื่อ
    ให้นักปฏิบัต ที่ปฏิบัตมานาน แต่

    ยังมีความ ไม่อุ่นใจ เหมือน
    ยังไร้ทรัพย์

    พอได้ยินอะไรใหม่ๆ ก้ จะหลุด
    จากความประมาท ในสีล วัตร
    ที่จับอยู่

    พระท่าน ออกตัวเสมอ ถ้ามาลอง
    ใช้อุบายแล้ว ติดขัด ก้ หา อุบาย
    อื่นก้ได้ ไม่ต้องทู้ซี้ ใช้

    (โดยสถิติ ถ้า ใช้อุบายนี้ แล้ว
    ได้ผล จะใช้เวลาสั้นๆ สามเดือน
    ....ถ้าไม่เวิก ก้เปลี่ยนสำนัก แต่
    ถ้าอยู่ต่อ....พระท่านก้ จะให้ อุบาย
    เปนคำอื่นไป...ไม่ได้ ให้ราคาว่า
    ต้องใช้คำ รู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ จึงจะ
    อยู่ร่วมกันได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2019
  6. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +248
    17TemCKIxuqCGoNPq7DIPo1kdFCE5f7MFPyQ6RNXzHovhPUqvqlQsokooeXpDUPksWJm=w1440-h810.jpg


    chan-drunken-master.jpg
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    356 มาโชว์หน่อยฮับ
    55 โชว์ลีลาได้ดีฮับ น่านั่งเก้าอี้ในสภาฯ
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    อนึ่ง พึงทราบว่า

    หากจะ เทียบ ภาษา รู้ซื่อๆ
    รู้เฉยๆ ลงกับสำนวนในพระไตร
    ปิฏก จะใช้คำว่า

    "รู้ ดั่งเข็มสละด้าย"

    คือ ไม่ตามในรส ไม่ติดในปม
    อารมณ์ใดๆดั่งสายใยด้ายที่
    ไหลผ่านช่องรูเข็ม มีแต่
    อารมณ์ใหม่ๆ ส่วนของด้าย
    ใหม่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
    ไม่สะดุด ติดขัด แม้นการ
    แอบชำเลือง

    งานเกิด และ เสร็จ ต่อเมืองชุน
    พ้ง ลา เสร็จสิ้นโดยไม่ต้องใส่ใจ
    เลยว่า ด้ายไหลผ่านไปเท่าไหร่
    กิเลส อาสวะถูกขัดเกลาไปเท่าไหร่

    จะเหนว่า หากใช้ คำตถาคต จะ
    ขยายได้ง่ายกว่า แต่....ก้ขึ้นกับ
    เคยเย็บผ้าด้วยมือหรือไม่ ถ้าเคย
    ก้จะ มี กาย เวทนา จิต ธรรมครบ

    วลีอื่น จะมีมากในอานาปานสติ เช่น
    เลื่อยของช่างเลื่ยสองคน ช่างกลึง
    การเข็นเรือขึ้นหาด ฯลฯ

    ติ๊ง จบ
     
  9. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    หลวงปู่มักสอนว่าสติรู้ รู้แล้วก็วาง แต่ที่รู้คือสติรู้ ไม่ใช่ความคิดรู้ แต่จะมีคำอื่นตามมาอีกคือจิตรู้ แต่ถ้าจิตไม่มีสติ หรือไม่ใช่สติจิตหรือจิตสติ คงเป็นการรู้ด้วยอาการปรุงแต่งเพราะจิตที่ไม่มีสติจะไหลไปไหนก็ได้ อันนี้เท่าที่พอทราบมาคับ
     
  10. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    สมมุติว่ารู้แต่ไม่วางสิ่งที่เกิดขึ้นลำดับแรกคือสงสัยจากนั้นเกิดการพิจารณาวินิจฉัยแล้วจะเกิดการรู้อีกแบบเห็นเหตุผลจริงแต่มันก็ไม่จริง เพราะที่จริงรู้หรือไม่ก็เป็นไปตามนั้น ถ้าหลงไปพิจารณาความคิดสิ่งที่มีก็มีเพียงนิวรณ์ ที่เห็นชัดเจนที่สุด ส่วนธรรมนั้นเห็นแต่ไม่ชัดเจน
     
  11. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ผมเห็นบ่อยในเรื่องปฏิกูลสัญญา เคยสงสัยเหมือนกันว่า ครั้งแรกที่พระศาสดาเสด็จออกบวชและต้องฉันภัตตาหารที่ไม่เป็นไปตามสิ่งที่เกิดทั่วไป พระบรมศาสดาตรัสว่า ล้วนแล้วแต่น่าสะอิดสะเอียนเพราะทุกสิ่งที่ถวายผสมคลุกเคล้ากันโดยเจตนาก็ดีโดยไม่เจตนาก็ดี แต่ก็ทรงฉัน ครั้งแรกพระองค์ตรัสในพระทัยว่าฉันได้ไหม ฉันแล้วพระองค์ก็คายและอาเจียน และในที่สุดพระองค์ก็พิจารณาเห็นว่า ยังไงก็ตามสิ่งที่รับรู้มันก็เป็นแค่กลไกหนึ่งของธรรมชาติ การที่เห็นแล้วเป็นทุกข์มาจากความปรุงแต่ไปตามสัญญา เพราะเหตุนี้ การไม่ยึดติดจึงเริ่มต้นจากการฉันหรือรับอาหารจากผู้คนและฉันอย่างมีสติไม่หวั่นเกรง เพราะพ้นจากลิ้นไปก็ไม่มีสิ่งใดรับรู้ได้ ที่รับรู้ก็คือจอตที่ปรุงแต่งเท่านั้น
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ทำได้ง่ายๆเลย ในการรู้ซื่อๆ ลองทำดูนะ
    เช่น ให้คุณนอนนิ่งๆ หรือนั่งนิ่งๆ หลับตา ผ่อนคลายกายใจ สบายๆเบาๆ

    แล้ว ถ้าคุณเกิดคัน ก็ให้อยู่นิ่งๆเฉยๆห้ามเกา ไม่สนปล้อยให้มันคันจนมันหายเอง (จะทำได้เปล่า มัน มันส์ดีนะ) หรือ นอนดูรู้สึก เฝ้าดูทุกอาการที่มันเกิดในร่างกาย ปวดหัว ท้องร้อง เรานอนนิ่งๆเฝ้าดูเฉยเท่านั้น นี่แหล่ะคือการรู้ซื่อๆ
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ตั้งคำถามมาเยอะแยะหลายปี มาแล้ว ได้อะไรบ้างครับ
    ที่ถามๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มาหบายปี ได้ลองทำอะไรถึงไหนบ้างครับ
    ไม่เห็นเอาสภาวะจริงมาเล่าเลย ผมว่าคุณคง นิพพานแล้วมั้งเนาะ
    แล้วก็มาตั้งกระทู้ถามหาคนสอนไปนิพพาน พอเป็นพิธี
    ผมว่าคุณก็เอาที่คุณทำได้ มาสอนคนอื่นมั่งสิครับ
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    55 สอนก็โดนเสยจิฮับ
    เหยือดไปทุกรายแทบหมดห้องแล้วหึหึ
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ก็หัดเป็นเหยื่อซะบ้างดิ..ไม่ไช่จะมาล่อเหยื่ออย่างเดียว...
    เดี๋ยวนี้ ปลากินเหยื่อยาก เพราะปลามีแต่อยากอิ่ม แต่ไม่กล้ากิน
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    กระมู้ว์ที่ลุงแมวตั้ง
    มาล่อเพื่อให้ fc มาฝึกละอารมย์กัน
    วันละนิด วันละหน่อย ทำบ่อยๆ ก็หมดอารมย์
    ละไปเรื่อยๆ จนเห็นสัจจะธรรมด้วยปัญญา
    ศีลและสมาธิ
    หรือมรรคมีองค์ 8 นั่นแหล่ะฮับ
    แต่ถ้าใครจะมาไขว้กันก็แล้วแต่วิบากของเค้า555
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    อย่าหงุดหงิดกับความเลวของบุคคลอื่น
    ให้เห็นเป็นปกติธรรมให้มาก ปล่อยวาง
    อย่าให้มีความเกาะติดความชั่วของบุคคลอื่น
    เรื่องรับรู้อย่างไรก็ต้องรับรู้ เพราะยังมีอายตนะ
    คืออายตนะไม่เสีย เพียงแต่ว่ารับรู้แล้ว
    ให้พิจารณาลงตัวธรรมดา จึงจักปล่อยวางได้
    อย่าไปมีหุ้นกับความเลวของบุคคลอื่น
    Cr.คำสอนของสมเด็จองค์ปฐมฯ
     
  18. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    รู้ซื่อๆ หลวงพ่อปราโมทย์ใช้บ่อย
    อยากรู้ ก็ควรไปศึกษากับท่าน
    น่าจะเหมาะกว่า
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    เวทีนี้โชว์ได้ฮับ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ลองอ่านที่ ส่วนตัวจะเขียนดูว่า
    จะพอเข้าใจหรือเปล่านะครับ คุณ ลุงแมว...

    รู้ซื่อๆ เป็นภาษาสมมุติ ที่อุปโลกขึ้นมาแทนกิริยา
    ที่เป็นอุบายอย่างหนึ่ง
    ของตัวสติทางธรรม(ไม่ใช่ทางโลก)

    เพื่อเป็นแนวทางให้ตัวสติทางธรรมตัวนี้
    ต่อยอดเข้าสู่กระบวนการในการสร้างปัญญาทางธรรม
    ซึ่งปกติทั่วไปแล้วสติทางธรรม
    มันจะ คอยทำหน้าที่ควบคุมความคิด
    ไม่ให้เกิดแล้วไปปรุงร่วมกับตัวจิต
    หรือแม้กระทั่ง คอยควบคุมขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ให้เข้ามาปรุงร่วมกับตัวจิต
    เลยกลายเป็นการควบคุมพฤติกรรมของจิต
    ในลำดับต่อมานั้นเอง.....

    ต่อยอดไปปัญญาทางธรรมอย่างไร
    สำหรับคำว่า รู้ซื่อๆ
    ก็เพราะในส่วนกระบวณการที่จะทำให้จิตเกิดเป็นปัญญา
    ทางธรรม(ไม่ใช่ทางโลก)ขึ้นมาได้นั้น....

    ทั่วไปจำเป็นที่ ตัวจิตจะต้องไม่เกิดเลย
    แล้วมีกำลังสติตัวนี้ ที่ได้มาจากการรู้ซื่อๆ
    เข้ามา ควบคุมตัวจิตเอาไว้
    ปล่อยให้จิตรับรู้ตามความเป็นจริงด้วย
    ความเป็นกลาง ณ เวลาปัจจุบันนั้นๆ.....

    หากว่า ไม่อุปโลกน์ คำว่า ซื่อๆขึ้นมาแล้ว...
    การต่อยอดไปทางด้านปัญญาทางธรรม
    อาจจะไม่เกิดเป็นปัญญาทางธรรม
    ที่จะช่วย ลด ละ คลาย ความยึดมั่นถือมั่น
    ต่างๆได้จริง......
    เพราะจะกลายเป็นว่า เผลอมีตัวเข้าไปกระทำ
    ในส่วนของการเดินปัญญาเพื่อให้เกิดเป็น
    ปัญญาทางธรรมนั่นเอง

    เพราะอาจจะกลายเป็น
    การที่ตัวจิตนั้น ยกความคิดจากสัญญาที่มี
    อยู่ในจิตขึ้นมาเอง (นึกออกไหม พอสติรู้ทันแล้ว
    ไม่เฉย ไม่ว่างก่อน เพื่อให้จิตมันมีความเป็นกลาง
    แล้วไปพิจารณาต่อในเรื่องที่รู้เท่าทันทันที)

    เพราะไปเข้าใจว่า การที่สติรู้ทันปุ๊บ
    แล้วมีสัญญาความจำได้ในจิต จากการอ่าน
    ได้ยิน ได้ฟัง มาในแนวทางการเป็นไปเพื่อการ
    ปล่อยว่างต่าง มันเป็นปัญญาทางธรรม
    ก็เลยเผลอไปพิจารณาต่อ โดยที่จิตยังไม่เป็นกลาง
    เพราะ โดยขาดการสังเกตุว่า เวลานั้น
    จิตยังเกิดร่วมกับความคิดหรือเกิดร่วมกับขันธ์
    ๕ ส่วนนามธรรมอยู่แล้วเปล่านั่นเอง
    ซึ่งตรงนี้นี่หละครับที่ต่อไป
    มันจะกลายเป็นวิปัสสนึก


    เพราะมันจะต่อยอด จากสัญญาในจิต
    ที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมา
    กลายมาเป็น การคิด วิเคราะห์
    แยกแยะ ตีความ ตามสัญญา
    หรือความรู้ที่ตนเองมี
    ร่วมกับการปฏิบัติที่ตนเข้าถึงได้
    ณ ช่วงเวลานั้น

    มันจึงยังกลายเป็น ปัญญาทางโลกๆอยู่
    ก็เลยมักพบว่า แม้ปฏิบัติมานาน เหตุใด
    ยังมีความยึดมั่นถือมั่น มีอัตตาตัวตนอยู่
    ยังชื่นชมในกามคุณ ยินดีในกามอารมย์
    ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมก็ดี นามธรรมก็ดี
    หรือส่งผลต่อการปฏิบัติต่างๆไม่สำเร็จ
    จนถึงระดับใช้งานได้ซักกอง..
    (แต่มักอ้างว่า เคยเข้าถึง เคยทำได้
    และไม่ใช่ทาง ทั้งๆที่ยังไม่เคยฝึกสำเร็จ
    ใช้งานได้จริง)

    ตลอดจน นิสัย ความเข้าใจทางนามธรรม
    ไม่ดีขึ้น
    ส่วนผู้ที่พอมีสัมผัสทางด้านนามธรรมมาบ้าง
    กลับพบว่า มีความยึดมั่นถือมั่นทางด้าน
    นามธรรมกลับเพิ่มมากขึ้น
    แทนที่จะรู้แล้วปล่อยวาง
    เห็นว่าไม่ใช่สาระนั่นเองครับ

    อุบายแบบนี้ เป็นเฉพาะทาง
    สำหรับการสร้างสติทางธรรม
    เพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรม
    ในลำดับต่อมา ในกำลังสมาธิ
    พื้นฐานทั่วไป ที่บุคคลส่วนมากเข้าถึงได้

    ส่วนการจะต่อยอด จากรู้ซื่อๆไปถึงระดับปัญญาญาน
    ที่จะสามารถย้อน ค้นไปถึงเหตุของการเกิด
    และการดับ ในเรื่องนั้นๆได้จริง จนเรื่องนั้น
    ไม่ย้อนกลับขึ้นมาอีก ในอนาคตเหมือนปัญญาทางธรรม
    (ไม่ใช่จากการ คิดวิเคราะห์ ตีความ ขยายความ
    แจกแจง แล้วเข้าใจไปว่า น่าจะแบบนั้นแบบนี้
    จากระดับการปฏิบัติของตน ความเข้าใจของตน
    และสัญญาในจิตณ เวลานั้น)
    กระบวณการรู้ซื่อๆนี้ จะเป็นเอกลักษณ์
    เฉพาะดวงจิตนั้นๆ ว่าได้เคยสะสมมาทางด้านนี้
    หรือเปล่าร่วมด้วยนะครับ...
    หรือถ้าจะไปได้ ก็ยังต้องอาศัยกระบวณการ
    ในการสังเกตุเพิ่มเติม มากกว่า ที่เล่า
    ให้ฟังก่อนหน้านี้ ร่วมด้วย

    เอาไว้โอกาสต่อไปค่อยว่ากันครับ....



     

แชร์หน้านี้

Loading...