พระบูชาที่บ้าน และแบบ แขวนคอ จากผู้สร้างเดียวกัน พิธีเดียวกัน จะมีพลังเท่ากันหรือเปล่าครับ

ถามผู้รู้ครับ องค์พระขนาดบูชา กับ องค์พระแบบแขวนคอ ผู้สร้างเดียวกัน พิธีเดียวกัน จะมีพลัง เหมือนหรือ ต่างกัน และมีกำลังเท่ากันมั้ยครับ

 

องค์พระบูชา จะมีพลัง และกำลังมากกว่าครับ
เป็นสื่อระลึก ถึง ครอบคลุม เมื่อเป็นพิธีกรรม

พุทธคุณ เหมือนกัน อยู่ที่ผู้เคารพ จิตดีก็ดึงมาใช้ได้เยอะ

 

ยิ่งมีสติสัมปชัญญะ พระยิ่งขลัง
ไม่ว่าองค์เล็กองค์ใหญ่
ถ้าขาดสติคล้องคออยู่ ก็พลาดได้ฮับ

 

จาก ปสก ที่บ้าน

พระที่โต๊ะหมู่มีบารมีมากกว่าแน่นวล

ส่วนพระห้อยคอจะแนวแคล้วคลาด เห็นมากะตาทั้ง 2 อย่าง บารมีการช่วยจะคนละอย่างกัน

 

เวลาดูหนังจำพวก คอนสแตนติน ปราบซาตาน
ก็เห็นเอากางเขนห้อยคอ จุ่มน้ำมนต์ ร่ายคาถา
ปราบผี ได้เหมือนกันนะ

ในนามแห่งพระองค์ ข้าขอขับไล่ซาตาน
จงกลับไปสู่ก้นบึ้งแห่ง อเวจี...........

กรี๊ดดดดด

ขลังเหมือนกันนะ น่าลองเอามาห้อยคอ
Made in USA

 

เท่าหรือไม่คงอยู่ที่เราไม่ใช่ขนาดของพระครับ ทั้งหมดคือเครื่องระลึก ขนาดอาจมีผลในขณะที่ระลึกแต่วัตถุประสงค์คือ ระลึกในสิ่งดีงาม ไม่ประมาท ถ้าเกิดขึ้นจริงมันคือเรื่องชะตา ยังไม่ถึงเวลา เพราะว่ามีทั่งคนที่ไม่เข้าใจใช้ชีวิตอย่างประมาท จึงขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา เหตุที่เกิดส่วนใหญ่มาจากความประมาท ชะตาคนไม่เหมือนกันจึงเทียบกันไม่ได้ แต่การระลึกนึกถึงสิ่งดีๆที่ทำให้เราไม่ประมาท อันนี้เราน่าจะเห็นได้

 

ขอพูดในอีกมุมหนึ่งนะครับ
แต่ก็ควรฟังแบบฟังหูไว้หูนะครับ
บางส่วนก็อิงตำราบ้าง
บางส่วนก็มาจากประสบการณ์บ้าง
ดังนั้นถือว่าเป็นเพียงข้อมูลหนึ่งแล้วกันนะครับ

พลังงานเป็นนามธรรมนะครับ
บนโลกนี้ที่ค้นพบ มีพลังงานหลักๆอยู่ ๔ ชนิด
คือ ๑. แรงโน้มถ่วง(มีเฟอรมิออนที่เป็น
สื่อนำแรงเรียกว่า กาวิตรอน)
๒. แรงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
บ้างก็เรียกแสง มีโปรตรอน เป็นเฟอรมิออน เป็นสื่อนำแรง
๓.แรงนิวเคียร์แบบเข้มและแบบอ่อน(มี กูออนเป็นสื่อนำแรง)
หากสังเกตุจะพบว่า ทุกแรงที่กล่าว จะมีเฟอรมิออนที่เป็นสื่อ
นำแรงเพียงชนิดเดียวทุกแรง

ยกเว้น แบบอ่อนที่มี เฟอรมิออนที่เป็นสื่อนำแรงหลายชนิด
และสามารถเปลี่ยนแปลงอนุภาคได้
จากนิวตรอนเป็นโปรตรอนได้
ฝรั่งตอนนี้เข้าใจว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงประจุ
มันหายไปได้ แม้จะใช้เครื่องตรวจจับ
อนุภาคก็ตาม ข้อมูลที่เล่าเป็นแบบภาพรวมหยาบๆ
แต่ทางสายปฎิบัติ จะเป็นเพียงสภาวะว่าง
ที่เครื่องตรวจจับอนุภาคยังไม่พบเพราะสภาวะนั้น
มันมีความเร็วมากกว่าแสงครับ ฟังหูไว้หูนะครับ)
และ ๕. ฮิกต์ ซึ่งอยู่ในเรื่องของ ทฤษฏีควอนตัม
และก็ยังไม่มีบรรจุในระบบการเรียนการสอนปกตินะครับ

ที่เล่าให้ฟังมานี้ ในข้อ ๑ ถึง ๓. ยังสามารถ
มีการกระทำ กำเนิด สร้างได้ ส่วนข้อ ๔ ยังไม่ข้อกล่าวถึงครับ
ซึ่งการกระทำนี้ตรงนี้ จะเกี่ยวข้องกับศรัทธาของผู้ครอบครอง
ลักษณะพฤติกรรมต่างๆ ที่จะส่งผลในการเข้าถึงแรงต่างๆ
ที่อยู่ในวัตถุไปยังต้นกำเนิดของแรงนั่นเองครับ

ควรเข้าใจก่อนว่า สื่อนำแรงนี้ที่เป็นนามธรรมนี้
(พลังงานต่างๆ รวมทั้งที่เราเข้าใจว่า พุทธคุณนั้น
ก็เป็นนามธรรม เป็นสื่อนำแรงเช่นกัน)
มีเอกลักษณ์ปกติคือ สามารถแทรกอยู่ในวัตถุได้
(อิงมาจากเรื่องการกำเนิดสะสาร ที่เกิดขึ้นจาก
สื่อนำแรง ๒ ประเภทคือ ๑. เฟอรมิออนที่เป็นสื่อนำแรงที่เป็นองค์ประกอบของสะสารเอกลักษณะคือแทนที่กันไม่ได้ เช่น มีแก้ว
๑ ใบเอามาต่อกันจะเป็นแก้ว ๒ ใบ เป็นต้น และ๒.เฟอรมิออน
ที่เป็นสื่อนำแรง ที่กล่าาวไปแล้ว ๕ ข้อข้างบนก่อนหน้า
เอกลักษณ์ของมันเองไม่ได้ขึ้นอยู่พื้นที่นะครับ
พูดง่ายๆก็คือ จะมีกี่ล้านๆชนิดของแรงก็สามารถ
อยู่ร่วมกันได้ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เปรียบกับแก้ว
ถ้ามี แก้ว ๑ ใบ แล้วเอาแก้วอีก ๑๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ ใบมาต่อกัน
ในระบบพื้นที่ มันก็จะมีแก้วเพียงใบเดียว
ตัวอย่างนี้พูดพอให้เห็นภาพนะครับ พอให้เข้าใจ
เอกลักษณะของแรงเฉยๆนะครับ



ส่วนวัตถุหรือสิ่งแทนรูปร่างเหมือนกัน
เข้าพิธีเดียวกัน บุคคลเดียวกันทำพิธี
หรือมีหลายบุคคลคลกระทำพิธี
สิ่งที่มีเหมือนกัน ก็คือ
เอกลักษณ์ของพลังงานที่มีอยู่หรือแทรกเข้าไปในวัตถุ
หรือสิ่งแทนนั้นๆนั่นเองครับ

เช่น เอกลักษณ์พลังงานแบบพระพุทธฯ
เบา เร็ว แรง นิ่ม ขึ้นบน
เอกลักษณ์พลังงานแบบพระโพธิสัตว์
หนัก เร็ว แรง กระชาก ขึ้นบน
เอกลักษณ์พลังงานแบบพระมหาฤาษี
หนัก เร็ว วน แรง กระชาก ขึ้นบน
เป็นไปในทางที่ดี สุดท้ายย่อมขึ้นข้างบน
หรือเอกลักษณ์พลังงานที่ ไม่ขึ้นบน ซึ่งเป็นลักษณะแรง
ที่เราถือว่าไม่ดี บ้างที่เราเรียก แรงแบบนี้ ว่าแรงสายดำ
หรือทางไสยศาสตร์นั่นเอง. และสิ่งต่างๆนอกจากแรง
พื้นฐานที่แทรกในวัตถุแล้ว ยัง
รวมทั้งเอกลักษณ์พลังงาน ที่เป็นแรงที่ได้มาจาก
วิชาเฉพาะแขนงต่างๆ ที่มาจากบุคคล
ที่ส่งเสริมไปในทางด้านต่างๆนั้น
แทรกรวมอยู่ด้วยครับ

กล่าวโดยความรวมคือ เอกลักษณ์ของแรง
ในพิธีฯ บุคคล หรือ หลายๆบุคคล
ที่กล่าวมาย่อม ไปในทิศทางเดียวกัน
ขึ้นอยู่กับเจตนาตั้งต้น ณ ตอนแรกที่ทำพิธี
ว่าจะให้แรงออกไปในทิศทางใดครับ


ถ้าอ่านแล้วพอเข้าใจ จากทฤษฏีที่มีการค้นพบแล้ว
ด้วยเครื่องตรวจจับอนุภาค จะพบว่า เรื่องของความหนาแน่น
ของพลังงานหรือ จำนวนของแรง หรือกำลังของแรง
ที่แทรกอยู่ในวัตถุหรือสิ่งแทนนั้นๆ ขนาดของวัตถุ
จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดได้แน่นอนว่าที่จะบอกได้ว่า
ขนาดใหญ่จะมีกำลังมากกว่า หรือ
ขนาดเล็กจะมีกำลังน้อยกว่าครับ.
พูดง่ายๆว่า ขนาดไม่ใช่ตัวที่ชี้วัดเรื่องนี้ได้ครับ....
แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ขนาดไม่มีผลในเรื่อง
ของความหนาแน่นนะครับ ให้ดูเป็นกรณีๆไปครับ

เพราะตัวแปรมีเยอะ เช่น
๑. การถ่ายแรงไปยังวัตถุต่างๆ
ในขณะทำพิธีที่อาจจะไม่เท่าเทียมกัน
หรืออาจจะมีการเสริม ทำเพิ่มแล้วไม่ผ่านพิธีก็ได้
๒. ต้นกำเนิดของแรงที่มาจากตัวผู้ครอบครองที่สร้างจากจิต
ที่ไม่สามารถสร้างหรือกำเนิดแรงจากตนเอง
เข้าไปเชื่อมกับ แรงที่มีอยู่ในวัตถุนั้นๆ เพื่อเชื่อมไป
สู่ต้นกำเนิดแรงในวัตถุอีกทีหนึ่ง อาจจะมาจากการขาด
ศรัทธา ความเชื่อ ความเคารพ ขาดสติ มีเรื่องที่ทำให้จิตใจไม่สงบต่างๆมารบกวนตัวจิตอยู่ ฯลฯ
๓. สถานที่ๆวัตถุหรือสิ่งแทนวางอยู่ ว่ามีลักษณะของแรง
บริเวณรอบๆที่อยู่ ที่มาขวางหรือมากด แรงที่มีอยู่แล้วในวัตถุ
หรือไม่ เช่น การนำวัตถุไปอยู่ในสถานที่ มีแรงลักษณะตรงข้าม
ที่ผลักกัน ไม่เข้าพวกกัน อะไรทำทองนี้ครับ


วัตถุแท้จริงๆ เป็นเพียงสื่อกลางในการระลึกถึง
ต้นกำเนิดของแรงนั้นๆ ทางพุทธศาสนา
จะให้ความสำคัญของการ ระลึกถึงคุณความดี
แล้วปฏิบัติตามคำสอน มากกว่าการมองไปในทางศักดิ์สิทธิ์
หรืออภินิหารต่างๆ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้
เป็นไปตามวาระและเหตุของบุคคลครับ

เป็นเพียงข้อมูลหนึ่ง แค่เพียงเล่าให้ฟัง
ควรฟังหูไว้หูครับ

 

ใช้ได้เหมือนกันครับ อยู่ที่ผู้สร้าง
จะก้อนหิน ก้อน ดิน ก้านธูป ได้หมด อยู่ที่พลังจิตผู้สร้าง

วัตถุพวกนี้ เป็นสื่อ นำพลังจิต ของสมาธิ ที่เป็นของกลางๆ ไม่เกี่ยวกะการหลุดพ้น
ศาสนาไหนที่ทำสมาธิแบบนี้ ก็ทำได้หมด

เพียงแต่พอมาบ้านเรา ก็เป็นอุบาย เอามาเป็นที่ระลึกเฉยๆ
คนโลภมาก้เอาไปหาแดก
คนคิดดีก้เอาเป็นที่ระลึก ก้แค่นี้


มันก็เปรียบเหมือนมีด ดีไม่ดีอยู่ที่ผู้ใช้

 

กรรมและสุขทุกข์ ไม่ได้เกิดจากผู้อื่นบันดาล
กรรมและสุขทุกข์ ไม่ได้เกิดจากตัวเองบันดาล
กรรมและสุขทุกข์ ไม่ได้เกิดจากผู้อื่นและตนเองบันดาล
กรรมและสุขทุกข์ ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆโดยปราศจากเหตุผล


เครไม่เถียง พูดยาก
เอาเปงว่า ลุงปราบ ยังมีทิฐิ แบบนี้อยู่
เถียงกันให้ตายเรื่องนี้ ก็มะจบ

อิอิ

 

อันนี้มันเรื่องวัตถุ ไม่ได้เกี่ยวกะของหลุดพ้น
มันเป้นศาสตร์ เป็นวิชาแขนงนึง

ดีไม่ดี อยู่ที่ผู้ใช้

เหมือนกับ เราพูดได้หลายภาษาก็แค่นั้น
จะเอาภาษาที่เราพูดได้เพิ่ม มาคุยกะคนที่พูดไม่เป็น มันก้ไม่รู้เรื่อง

 

คือทำไมต้องคิดวัสดุ เบสิก เกินไปแบบนั้นละ
ดิน ก้านธูป อะไรงี้ได้หมดใช่มะ มันดูธรรมดาไปอะ

คิดไปถึงวัสดุพิเศษ อย่างเช่น กระดาษเช็ดตุ๊ด
ขันล้างตุ๊ด รถยนต์ เครื่องยนต์ลง J สำหรับขาซิ่ง
โถขรี้ อะไรอย่างเงี้ย

ปลุกเสกในวัตถุอะไรก็ได้
มันก็ขลัง ทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วจิ

ปลุกเสกคอนกรีตจากโรงงาน ก็ได้อะ
ถนนจะได้ปลอดภัย ลดอุบัติเหตุจราจร
เชิญทำพิธีทุกวันเลย

เห็นมะ บอกแล้วเถียงมันไม่จบ

อิอิ​

 

ลุงถึงบอกว่า มันคุยคนละภาษา 555

 

ใช่มะ

ปฏิธรรมมาแทบตาย ยังละทิฐิแบบนี้ไม่ได้

นั่นมัน ทิฐิ อริยา เชียวนาา
ตามคำสอนพระพุทธ

มะสนเหรอ

 

มันเป็นสันดาน นะ ผมชอบแนวอิทธิฤทธิ์

จึงได้เน้นว่ามันอยู่ที่ผู้ใช้

 

แนวฤทธิ์ อะครายก็ชอบบ

มีใครบ้างไม่อยากเหาะได้
ฝรั่งมันยังอยากได้เลย
สนุกมันแน่


แต่ลุงปราบคิดว่า
มรรค มีกี่ทาง
ทางเดียว หรือ หลายทาง

ถ้างั้น แนวฤทธิ มันก็ขัดกับแนวปัญญาอะเด๊
เดินคนละมรรค กลายเป็นมรรคมีองค์ 16

เจริญสติ เจริญปัญญา อะ ที่ชอบพูด
ปัญญาอารายกาน อันนี้พูดแบบกว้าง ๆฮับ

เห็นธาตุ โดยความเป็นธาตุยัง
มันก็เป็นแค่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอนิจจา

สุขทุกข์ เกิดจากก้อนดิน บรรดาล
ปัญญา ต้องมองแระ เฮ่ย มันไม่ใช่

นะ ลุงปราบ

มรรค มีหนึ่งเดียว ไม่มีสาย ไม่มีสี เหลือง แดง
แบ่งขั้วกัน

 

นี่ๆ มรรค มีหนึ่งเดียวนั่นถูกแล้ว

ลุงกะบอกแต่ต้นแล้ว ว่า สมาธิชิดนี้มันไม่เกี่ยวกะการหลุดพ้น อยู่ที่ผุ้ใช้
อิทธิฤทธิ์ ก็ไม่ใช่แนวหลุดพ้น อยู่ที่ผุ้ใช้

หากว่ากันเรื่องปัญญาจริงๆเรื่อง มรรค
วัตถุ มงคลไม่ได้เกี่ยวเลย

เข้าจายหม้ายย

 

คือเรื่องฤทธิ สายฤทธิอะไรเงี้ย
ไม่ต้องอริยะบุคคลอะ

ฤษีก็ทำได้
แค่มีอุปกิเลสอ่อน ควรแก่งาน
จิตบริสุทธฺิ มีอุเบกขาตั้งอยู่

แต่ไอนี่ผมยกพระสูตรมานะ

นั่น ๆ โสดาทุกคน ต้องมีนิสัยเยี่ยงกระนั้น
คำตรัสของศาสดาเราเอง
แต่ถ้าโสดา อัพเกรด เป็น ชั้นสูงขึ้น
มีอุปกิเลสอ่อนควรแก่งาน
ก็ฤทธิ มาเต็มอะฮับ

เข้าใจบ่อ เฮีย

55555555

วอ 2 วอ4 จบข่าว

เอาเรื่องที่ค้างกันไว้ต่อเลยมะ
55555​

 

หากผู้บรรลุพระโสดาบันที่มีภูมิ ฤษีมาแต่ปางก่อน ท่านแสดงฤทธิ์ ได้แน่นอนครับ
หรือ
หากผู้บรรลุพระโสดาบันที่มีภูมิ สมถะมาตอนปัจจุบัน ท่านแสดงฤทธิ์ ได้แน่นอนครับ

เรื่องริดก้บอกแล้วว่า ไม่ต้อง ไหนไกล
ศาสนาไหนที่เขาทำสมาธิได้ฌาน
เขาทำได้อยู่แล้ว มันเป็นศาตร์ เป็นของกลางๆ ไม่ได้เกี่ยวกะการหลุดพ้น

อิสลามเขาก้ทำได้
ฮินดุเขาก็ทำได้
ครีสเขาก็ทำได้
ฯ
เพียงแต่ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ เพื่อการหลุดพ้น

 

ไม่ใช่อะฮับลุงปราบ

เรื่องนี้จะต่อเนื่องกับเรื่องเก่าพอดี
ที่ว่า โสดา ได้ฌาน 1 2 3 4
ตายไปจะไปเกิดที่ไหน
เพราะการได้ฌาน 4 คือฤทธิ ในตัว
เป็นออพชั่นพ่วงแถมอยู่แล้ว

เด๋วกินน้ำแปีป มาต่อ

 

เด๋ว ตบกะบาลก่อนค่อยไปกินน้ำ 555