แค่มีสติสักกะว่ารู้สิ้นทุกข์ได้ไหม?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 20 เมษายน 2019.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ท่านพาหิยะฆะราวาสอยากบรรลุนิพพานใจแทบขาด
    ค่ั้นมีโอกาสได้รับฟังพุทธโอวาท
    ที่ประทานให้สั้นๆ
    แค่ว่า " พาหิยะเธอจงทำใจให้สักกะว่ารู้
    แล้วเธอจะบรรลุนิพพาน "
    พาหิยะทำตามจึงบรรลุนิพพานในเวลาต่อมา
    ไม่นาน ไม่กี่วัน
    ท่านคิดว่าถ้าเราจะทำตามพาหิยะ
    เราต้องทำอะไรเพิ่มขึ้นมากกว่านั้นบ้างฮับ
     
  2. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    ทำใจครับลุงแมว
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    หากไม่เคยฝึกเจริญสติมา ไม่มีทางเลยครับ
    มีแต่การเจริญสติ ไม่ว่าจะฝึกมาจากชาติไหนแต่ปางก่อนมันจะตามมาให้เป็น
    เมื่อได้ฟังคำสอน ของพระพุทธเจ้าเอง

    พระพาหิยะท่าน ฝึกมาพร้อมแต่ปางก่อนแล้ว ถึงบรรลุเร็ว

    ชาตินี้หากไม่เริ่มการเจริญสติ เอาแต่การจำ
    ไม่มีทางเลยที่จะทำได้แบบพระพาหิยะ

    แต่หากฝึกการเจริญสติในชาตินี้
    แม้ไม่บรรลุชาตินี้
    ชาติต่อไปจะส่งผลให้เป็นและฝึก เจริญสติได้ง่ายขึ้น
     
  4. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    สิ่งที่ควรสะสม คือ การเจริญ สติปัฏฐาน
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แค่มีสติสักกะว่ารู้สิ้นทุกข์ได้ แต่ลืมไปว่า ตัวเอง ไม่ใช่ พระพาหิยะ ไม่ใช่พระอรหันต์ก็สิ้นทุกข์ ไม่ได้หรอกนะ จขกท. ต้องไปสร้างบารมีให้เต็มก่อน



    การสร้างบารมีของพระอริยะ(พระสาวก)

    การสร้างบารมีขงอพระอริยะ นั้นมีหลายแบบ ระยะเวลาในการสร้างบารมีก็ไม่เท่าเทียมกัน และการสร้างบารมีของพระอริยะ ก็คือการสร้างสมทศบารมี(บารมี 10 ทัศ)เหมือนกัน แต่ไม่ได้มากมายเท่ากับพระพุทธเจ้า เมื่อจัดลำดับการสร้างบารมีของพระสาวกก็สามารถจัดได้ดังนี้
    1.พระอริยะปกติสาวก
    2.พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา
    3.พระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ
    4.พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ
    5.พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวก
    6.พระอริยะผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ
    7.พระอรหันต์ผู้เป็นพระอเสติ
    8.พระอรหันต์ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและขวา
    9.คำปทานของพระเถราที่สำคัญ
    10.คำปทานของพระเถรีที่สำคัญ ตอนที่ 1
    11.คำปทานของพระเถรีที่สำคัญ ตอนที่ 2

    1.พระอริยะปกติสาวก นั้นระยะเวลาการสร้างบารมีไม่แน่นอน เช่นบางท่านตั้งความปรารถนาถึงซึ่งพระนิพพาน แต่ไม่ได้บำเพ็ญบารมีอย่างดี ก็ย่อมวนเวียนในวัฏสังขารเป็นเวลายาวนานหลังจากตั้งความปรารถนาไว้ จนจำไม่ได้ แต่บางท่านเมื่อตั้งความปรารถนาถึงซึ่งพระนิพพานแล้วได้บำเพ็ญบารมีอย่างดี ก็ย่อมวนเวียนในวัฏสังขารเป็นเวลาไม่นาน หลังจากที่ตั้งความปรารถนาไว้ บางท่านก็บรรลุเป็นพระอริยะเลยในชีวิตนั้น บางท่านก็บรรลุในชาติถัดๆ ไป บางท่านก็บรรลุในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ถัดๆ ไป ในเวลาอันไม่ไกลกันนัก
    ต่อไปขอยกคำตรัสของพระพุทธองค์ ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ตั้งความปรารถนานิพพานในปัจจุบัน และสามารถบรรลุนิพพานในปัจจุบันชาติดังนี้

    [๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
    อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
    พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี
    ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ...
    ๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน
    ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้
    หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่
    เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้
    ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่ง
    เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่งคือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน
    ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง
    พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด
    อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น
    พระอนาคามี ๑ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า
    สัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อ
    บรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานหนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔
    ประการ ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว ดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าว
    แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิต
    ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แลฯ

    ตัวอย่าง พระเจ้าพิมพิสาร ที่ท่านได้เป็นพระโสดาบัน ตามพระอรรถกถากล่าวไว้ว่า ท่านได้สร้างบารมีตั้งแต่เริ่ม 90 กัปมาแล้ว

    ดังนั้นจำนวนของพระอริยะปกติสาวก จึงมีมากมายมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง ในแต่ละพุทธสมัยก็จะมีจำนวนพระอริยะปกติถึงจำนวน อสงไขยๆ สัตว์ที่บรรลุนิพพาน และในยามที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน(สิ้นพระชนชีพ) ก็มีเห่ลาพระอริยะปกติสาวกนี้เหละ เป็นผู้สืบทอดต่ออายุของพระพุทธศาสนา ดำเนินต่อไปเป็นเวลายาวนานตามยุคตามสมัย

    2.พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญาก็ต้องสร้างสมบารมีมากกว่าปกติ คือต้องสร้างบารมี 10 ทัศ แล้วต้องสร้างสมสมถะจนเชี่ยวชาญ จนได้อภิญญา ซึ่งต้องสร้างสมกันเป็นเวลาหลายๆ ชาติ จนข้ามกัป หรือใช้เวลาหลายๆ กัป จากที่ทราบมา ผู้ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ต้องสร้างสมบารมีเป็นเวลาถึง หนึ่งหมื่นกัป (10,000 กัป) โดยประมาณ

    3.พระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ ก็ต้องสร้างสมบารมีมากกว่าปกติ คือต้องสร้างบารมี 10 ทัศแล้ว ยังต้องสร้างสมปฏิสัมภิทาญาณต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องสร้างสมกันเป็นเวลาหลายๆ ชาติจนข้ามกัป หรือใช้เวลาหลายกัป จากที่ทราบมา ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญานเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ต้องสร้างสมบารมีเป็นเวลาถึง หนึ่งหมื่นกัป(10,000 กัป) โดยประมาณ

    4.พระอรหันต์ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ จากที่ทราบมา พระอรหันต์ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ ที่ไม่ได้เป็นมหาสาวกหรือเป็นพระอรหันต์ในสมัยที่ พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้ว ต้องสร้างบารมีถึง หนึ่งหมื่นกัป หรือมากกว่านั้น โดยประมาณ และส่วนมากจะเป็นพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจัาในขณะที่พระองค์มีพระชนชีพอยู่

    5.พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวก พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวกส่วนมากจะทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณพร้อม และเป็นพระอรหันต์ในขณะที่พระพุทธองค์มีพระชนชีพอยู่ จากที่ทราบมาต้องสร้างบารมีถึง หนึ่งแสนกัป โดยประมาณ ดังเช่นพระอภัยอรหันต์ ผู้เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร ก็ยังมีมหาสาวกบางท่านสร้างบารมีมายาวนานมากกว่า อสงไขย ก็มี (มีข้อมูลอ่านข้างล่าง)

    6.พระอริยะผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ ได้แก่ฆารวาสอริยะที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอกหรือเอคทัคคะด้านใดด้านหนึ่ง ดังเช่น นางวิสาขา จิตตะเศรษฐี ซึ่งต้องสร้างสมสมบารมีอย่างน้อยที่สุด หนึ่งแสนกัป (100,000 กัป) หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอดีต แต่ก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกนั้นอาจจะสร้างบารมีมายาวนานแล้ว จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกได้

    7.พระอรหันต์ผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ ได้แก่พระอริยะภิกษุหรือพระอรหันต์ภิกษุและพระอรหันต์ภิกษุณี ที่ได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอกหรือเอคทัคคะด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งต้องสร้างสมบารมีถึง หนึ่งแสนกัป (100,000 กัป) หรือมากกว่านั้น จนถึงอสงไขยกัป หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอดีด แต่ก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกนั้นอาจจะสร้างบารมีมายาวนานแล้ว จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกได้เช่น พระอานนท์ พระพักกุลละเถระ พระอุบลวรรณาเถรี พระโคตมีเถรี พระอนุรุท ฯลฯ
    http://www.vichadham.com/ariyabarame.html
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ทำยังงัยฮับ
    ทำใจนี่
     
  7. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    1383603457-Tamjai-o.jpg
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ทำใจให้สักกะว่ารู้ คือ "สติปัฏฐาน" ที่ สติทรงตัว อยู่เหนือฐาน ได้แล้ว
    +++ อาการ "สักแต่ว่ารู้" จึงเกิดขึ้น ตามความเป็นจริงได้
    +++ เป็นคำถาม "พาจน" ขืนเพิ่มอะไรลงไป ก็รับประกันได้ว่า
    +++ มันจะช่วยกัน "ปกปิดสติ มากกว่าเดิม" จนไม่สามารถเป็น "สติปัฏฐาน" ได้

    +++ ลุงแมว "จงทำใจให้สักกะว่ารู้ แล้วเธอจะบรรลุนิพพาน" เอาตรงนี้ "ที่เดียวก่อน"
    +++ หลังจาก "ทำได้แล้ว" ลุงแมว "จะทำอะไรเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น" ก็ตามใจนะ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ได้อ่านตามเรื่องท่านพาหิยะคงได้ครับ
    ทำตามท่านก็ได้ แต่สภาวะทางนามนั้น
    ไม่มีทางเป็นแบบท่านได้แน่นอนครับ

    ส่วนตัวเชื่อเรื่องการสะสมบารมี
    ที่มีอยู่ในเนื้อหาเดิมแท้ของจิต
    แต่ละดวงย่อมแตกต่างกันครับ
    เช่น นาย A ฝึกอะไรก็สำเร็จง่าย ใช้งานได้
    ทั้งที่ไม่อ่านอะไร มีครูบาร์อาจารย์แนะนำนิดหน่อย

    ส่วนนาย B ทั้งมีครูบาร์อาจารย์เก่งๆสอน
    อ่านแต่คำสอนท่านเก่งๆ รู้ตำรามากมาย
    แต่ไม่เคยฝึกอะไรสำเร็จเลย ใช้งานจริงไม่เคยได้เลย นี่คือตัวอย่าง
    เรื่องบารมีตามเนื้อหาเดิมแท้ครับ

    เราคงทราบได้แค่แนวทางของท่านนั้นๆครับ

    คำว่าสักแต่ว่า พูดง่ายนะครับ
    เพราะเป็นเพียงแค่ภาษา
    เอาไปพูดให้ใครฟังก็ดูดีครับ

    แต่สภาวะที่เกิดกับจิตคงยากมากครับ
    ไม่งั้นนักปฎิบัติทั้งหลาย
    คงไม่ติดการสรรเสริญ ไปไหน
    ถึงพยายามทำตนให้คนมองว่าตนเองมีดี
    ติดอยากดี ติดอยากเด่นกว่าใคร
    คุยฟุ้งยกตัวยกตนเหนือคนอื่น
    เหมือนตนไม่ใช่คนธรรมดา
    ทั้งที่ไม่มีความสามารถทำอะไรได้

    และปัญญาทางธรรมต่างๆ
    ที่จะเป็นตัววัดระดับ
    ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    ความริษยา อาฆาต ความเมตตา
    ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งที่มองไม่เห็น
    การเอื้อเฝื้อ เสียสละกับคนและสัตว์ ที่เป็นตัวบอกนิสัย สภาพจิตใจพื้นฐาน คงดีกันหมด
    แล้วครับ ถ้า คำว่า สักแต่ว่า
    ง่ายอย่างที่พูดครับ ลุงแมว




    ๑.ถ้าสติในทางการปฎิบัติไม่ทัน
    ตัวความคิดที่ปรุ่งร่วมกับตัวจิต
    คือไม่สามารถดับมันได้ และไม่เคยเห็น
    ตอนที่มันกำลังจะขึ้นมาจากตัวจิต

    ๒.ถ้าสติไม่ทันตัวขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ที่เป็นฝ่ายอารมย์ ที่มักเป็นเรื่องราวในอดีต
    ที่จะเข้ามาปรุ่งร่วมกับจิตแล้ว
    (ข้อนี้ยกเว้นคนอายุประมาน ลุงแมว
    จะไม่เห็นเป็นเรื่องปกติครับ)

    จิตจะไม่เข้าใจ
    สภาวะ"จะพิจารณาอะไร
    ก็ปล่อยให้ว่างรับรู้อยู่ภายในอย่างนั้น"

    เพราะจะไม่ทัน ตัววิญญานที่มัน
    ส่งออกจากตัวจิตเราครับ

    มันจะยังเป็นการที่ตัวจิต ยกตัวความคิด
    ที่มาจากสัญญาขึ้นมาพิจารณาตัวมันเอง
    จะเข้าใจว่า ตัวนี้เป็นสติและปัญญา
    แล้วเผลอไปพิจารณา ซึ่งมันจะเป็น
    วิปัสสนึกได้อย่างไม่รู้ตัวครับ
    เพราะว่าจะเห็นแต่ในภาพรวม
    ในกระบวนการ ที่ตัววิญญานทำงานไปแล้ว
    คือจิตเกิดแล้ว เกิดอยู่
    แต่ไปพิจารณานั่นหละครับ

    สติปัฏฐานตามตำรา จึงไม่หนุนและส่งผล
    ต่อการพัฒนาคุณภาพทางจิต
    ไม่ว่า การรับรู้ทางด้านนามธรรม
    ที่ดีขึ้น สำหรับบุคคลที่พอมีสัมผัสมาบ้าง

    หรือตลอดจน ความสำเร็จในการฝึกกรรมฐานต่างๆ สำหรับสาย
    ที่หนักทางสมถะ หรือฝึกกรรมฐานกองต่างๆ

    รวมทั้งที่เน้นทางด้านด้านปัญญากลับพบว่า
    ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี แต่นิสัยที่เป็น เชิงอกุศล
    ต่างๆหลับไม่ได้พัฒนาขึ้นในทางที่ดีเลยครับ

    รวมๆคือ ยังติดทั้งลาภ ทั้งยศ ทั้งสุข
    ทั้งการสรรเสริญ และ ยังยึดสิ่งที่ตน
    เข้าใจ ไม่ได้สักแต่ว่า
    ทางจิตที่เป็นสภาวะธรรม
    เป็นนามธรรมครับ


    ปล มีนัยยะ ทางนามธรรม
    ซ่อนในภาษาอยู่ครับ
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
    เชื่อว่า จะค้นพบด้วย
    การปฎิบัติของเราเองได้ต่อไป
    ในอนาคตครับ


    แค่ความเห็นหนึ่ง
    เล่าให้ฟังเฉยๆครับ
     
  11. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ท่านคิดว่าถ้าเราจะทำตามพาหิยะ
    เราต้องทำอะไรเพิ่มขึ้นมากกว่านั้นบ้างฮับ ?​


    6d419cd42dc0e63ce236dd2bbbbfe106.jpg

    342298.jpg
    เพิ่มเติมเป็นการจัดส่ง ไวหรือช้า ขึ้นอยู่กับ ความเร็ว ระยะทางกับจุดสถานที่ที่มุ่งหมาย
    เรียกเก็บค่าจัดส่งพร้อม + ต้นทุนกล้วย ก็เป็นการหวังผลตอบรับ

    หากระลึกถึงที่มุ่งหมายแล้วไม่เรียกเก็บค่าอะไรๆในปลายทางนำมาเป็นข้อเพิ่มเติม
    เชื้อจากภายนอก
    ก็เป็นจาคานุสสติ ครับ

    โดยส่วนตัวมองว่า การจะสละในสิ่งรู้ สละในสิ่งที่เห็น ได้นั้น
    ต้องมีทานบารมีประจำใจครับ
     
  12. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ทำไม่ได้หรอก แต่เป็นสิ่งที่ควรรู้ว่าทุกสิ่งคือการสั่งสม วันนี้ไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้ไม่ได้ ชาตินี้ไม่ได้ก็ไม่ใช่ชาติต่อไปจะไม่ได้ แต่ต้องรู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆหรือได้มาง่ายๆ
     
  13. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    แค่ " สักแต่ว่ารู้ " เป็นกริยาทางจิต
    ที่ใช้ความพยายามที่จะรู้ กับรู้แบบไม่ได้พยายาม
    นี่ก็ยากต่อการเข้าใจ
    หรืออาจจะไม่เข้าใจตลอดชีวิตเลยฮับ(ฮา)
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ใช่ใช่ใช่ฮับ.... การวางสิ่งที่ถูกรู้ ถ้าเข้าใจว่า
    มันไม่เที่ยงเห็นมีการเกิดมีการดับ
    บังคับควบคุมไม่ได้ ก็จะปล่อยวางได้เองฮับ
     
  15. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    NEOWORLD..เฮ้อออ..กะบือลูกพ่อ ศาสนาพุทธเขาหลุดพ้นด้วยปัญญา..มีพระสูตรไหน ชี้บ่งบอก ว่าหลุดพ้นด้วยสติ..หือ หือ.. งั้นมูลมรรค-วงจรปฏิจจะสมุปบาทก็ไม่ต้องปฏิบัติ มรรคมีองค์8 ทิ้งไปเลย ฝึกสติอย่างเดียวซิ ..ขนาด3อาจารย์-3หลวงพ่อ-หน้าไมด์หลังลามก- ยังโง่ขนาดนี้..เฮ้ออ
    กรณี ท่านพาหิยะนั่น อ่านแล้วคิดมั่ง-ใช้สมองกำหนดสภาวะดูถ้าคุณรู้จริง-ไม่ใช่มีสมองไว้บรรจุแต่ในกะโหลกหรือไง- การที่ท่านฝึก เห็นสักแต่ว่า-ได้ยินสักแต่ว่าได้ยินนั้น-นี่คือการรู้แล้วละ(ละนันทิ)..ทิ้งความคิด-เหตุผล-ปัญญา-หันมาดูจิตเกิด-ดับ-ดูปรากฏการณ์ ไม่ใช้คิด-เหตุผลหรือปัญญา แทนเข้าใจไหม.(เพราะท่านพาหิยะนี่ สะสมสุตตะไว้มากแต่หาทางออกไมเจอ-นี่คือการทิ้งปัญญา-เหตุผล-ทั้งสิ้น ดูปรากฏการณ์แทนคือ เกิด-ดับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2019
  16. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    NEOWORLD..เฮ้อออ..กะบือลูกพ่อ ศาสนาพุทธเขาหลุดพ้นด้วยปัญญา..มีพระสูตรไหน ชี้บ่งบอก ว่าหลุดพ้นด้วยสติ..หือ หือ.. งั้นมูลมรรค-วงจรปฏิจจะสมุปบาทก็ไม่ต้องปฏิบัติ มรรคมีองค์8 ทิ้งไปเลย ฝึกสติอย่างเดียวซิ ..ขนาด3อาจารย์-3หลวงพ่อ-หน้าไมด์หลังลามก- ยังโง่ขนาดนี้..เฮ้ออ
    กรณี ท่านพาหิยะนั่น อ่านแล้วคิดมั่ง-ใช้สมองกำหนดสภาวะดูถ้าคุณรู้จริง-ไม่ใช่มีสมองไว้บรรจุแต่ในกะโหลกหรือไง- การที่ท่านฝึก เห็นสักแต่ว่า-ได้ยินสักแต่ว่าได้ยินนั้น-นี่คือการรู้แล้วละ(ละนันทิ)..ทิ้งความคิด-เหตุผล-ปัญญา-หันมาดูจิตเกิด-ดับ-ดูปรากฏการณ์ ไม่ใช้คิด-เหตุผลหรือปัญญา แทนเข้าใจไหม.(เพราะท่านพาหิยะนี่ สะสมสุตตะไว้มากแต่หาทางออกไมเจอ-)
     
  17. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    เฮ้ยยยศ์..อ่านแล้วเข้าใจยาก จะตอบหรือจะถามนีj3และโปรดเข้าใจให้ถูกต้องด้วย สติ กับสมาธิ เขาเกิดพร้อมกันครับ เอื้อกันเกิด ดังนั้นคำว่า สติปัฎฐานสี่นี่ สมาธิ-สติ-ต้องเกิดแล้วพิจราณาอะไร มันต้องใช้คู่กันตลอด
    ..มันไม่มีหรอก วิญญาณจะตามจิตไม่ทันอะไรของคุณนี่..วิญญาณก็คือ กริยาการรู้แจ้ง- นั่นก็คือ ตัวจิต ที่รู้แจ้งแล้วนั่นเอง ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2019
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    เดี๋ยวมีโพสต์กระมู้ว์ขอคะมำมาอีกแน่
    คนไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักตัวเอง
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ใช่ครับ ที่เขียนมา
    ไม่มีอยู่แล้วนะครับคำว่า

    วิญญานจะตามจิตไม่ทัน เห็นด้วยครับ
    และส่วนตัวก็ไม่ได้เขียนแบบนั้นนะครับ
    ลองย้อนอ่านดูได้อีกรอบครับ



    ส่วนตัวเขียนคำว่า " เพราะจะไม่ทัน
    ตัววิญญานที่มันส่งออกจากจิตเราครับ"

    ตามอ้างอิงข้างบนครับ

    อื่นๆที่คุณเขียนเห็นด้วยตามนั้นครับ ^_^
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ลุงเชื่อไหมว่า แค่คำว่า สักแต่ว่า เนี่ย
    บางท่านที่อยู่วัด(ที่บวช)มานาน
    ด้วยสมมุติที่เกี่ยวข้อง
    กับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ท่านแทบจะได้
    ต้องมาเริ่มต้นใหม่กับคำว่า
    การเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวันกันเลย
    ก็มีให้เห็นเยอะนะครับ


    ส่วนตัวมองว่า กับฆารวาสที่ยังข้องเกี่ยว
    กับสมมุติ และมีภาระต่างๆอยู่แบบเราๆ
    อาจจะต้องอาศัยหลายๆอย่าง
    เข้ามาเสริม กว่าจิตจะเข้าถึง
    สภาวะ สักแต่ว่า ได้จริงๆ

    เรื่องนี้อาจจะต้อง
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
    ตามวาระดีกว่า จนกว่าสมมุติจะคลาย
    คือไม่มีห่วงกังวลอะไรแล้วและ
    แค่อย่าประมาท อย่าห่างปฎิบัติ
    อย่าทิ้งเรื่องความเพียร
    ในขณะที่ยังอยู่กับสมมุติ

    ปล ตัวใครตัวมันนั่นเองครับ ๕๕
     

แชร์หน้านี้

Loading...