มีปัญหากับความคิดของตนเองครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย KamenRiderFourze, 21 พฤศจิกายน 2019.

  1. KamenRiderFourze

    KamenRiderFourze สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    คือมีใครเคยเป็นไหมครับว่า ตั้งใจฟังธรรมจากพระสงฆ์ ไม่ว่าจะจากเทป หรือ วีดีโอ คือสติรับรู้ว่ากำลังฟังอะไรอยู่ แต่มันจะมีความคิดบ้างอย่างแทรกเข้ามาเสมอๆ อย่าง "ไม่จริงหรอก" หรือ "พูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง" "พระพูดจาแบบนี้ไม่น่าฟังเลย" ซึ่งสติรับรู้นะครับว่ามีความคิดแบบนี้มาแทรกทุกครั้ง น้อยบ้างเยอะบ้าง แต่ก็มีสติพอที่จะไม่ตามความคิดแบบนั้นไปครับ แต่ที่มาโพสคือตรงนี้มันเกิดจากอะไรครับ การพล่านคิดแบบนี้มันทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่น่ะครับ

    รบกวนท่านสมาชิกช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ไหมครับ เพื่อที่จะได้เข้าใจมันมากขึ้นซะหน่อยครับ ขอบคุณครับ
     
  2. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ทุกอย่าง มันมี เหตุ

    การจะเป็น พระถือบวช กับเป็น ฆราวาส ก็เกิดจาก เหตุ

    คนที่ถือ บวชแล้ว สามารถอยู่รอด ครองผ้าได้ แปลว่า
    ตอนที่ มุ่งออกบำเพ็ญ ตบะ ทำ สมถะ ไม่เคยไป ระราน
    ใครในขณะที่ ปรากาศตัวถือบวช ( ส่วนใหญ่จะหมาย
    เอาการ ปลงเส้นผม ดึงออกเส้นเดียว ก็ พอใช้)

    ที่นี้ หาก ผู้ใดตอน ประกาศตน ทำ ตบะ ทำสมถะ แล้ว
    ไปรุกราน เพื่อน สหพรหมจรรย์ ต่อให้ เขาถือพรตผิด
    เช่น แก้ผ้า แล้วไปบริภาษเขาให้ อับอาย หรือให้ สับสน
    รวนเร ใน วิธี

    ด้วยเหตเพียงแค่นี้..... คนทำกรรมนั้นๆ
    จะเป็นได้แค่ ฆราวาส


    ดังนั้น

    จงภูมิใจเถิดที่เกิดเปนได้แค่ ฆราวาส

    เพศ ที่มี บาปตราหน้า ว่า ชั่วช้า ในทางการ
    บำเพ็ญธรรมมาก่อน

    มันจึงไม่แปลก ที่พอเจอ พระ ก็จะเกิด วิบากรรมเก่า
    หรือเศษกรรม หลังจาก ที่ตกนรกมาแล้ว มาปรากฏ
    ในจิต ตอนที่ จิตหมดเจตนาจะขึ้นวิถีจิตอื่น

    เรียกว่า เศษกรรม มาให้ผล

    เหมือน ตอน พระศาสดา ท่านกระหายน้ำ เศษ
    กรรมที่เคยทำ จะมาให้ผลก่อน คือ พระองค์
    จะต้องลำบากนิดหน่อย กว่าจะได้ น้ำมาฉัน
     
  3. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    วิธีแก้ ก็จะเห็นว่า ไม่มี

    ขนาดพระ ศาสดา เวลา เศษกรรม

    แค่เพียง เศษกรรม จะให้ผล ก็ต้อง รับผล

    จิตฆราวาส จะมี ปรกติ บริภาษ สหพรหมจรรย์
    เป็นเรื่อง ปรกติ

    ดังนั้น

    อนุปุพิกถา คาถาที่ สมควรแก่ ฆราวาส
    จึงใช้แต่ ทำทาน รักษาศีล ให้ใจ แช่มชื่น
    แค่นี้ ก็ช่วยให้ สำเร็จธรรม ได้
     
  4. KamenRiderFourze

    KamenRiderFourze สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    สำหรับผม

    ขอบคุณครับ คือไม่ได้มีปัญหากับสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ แต่รู้สึกผิดที่ความคิดแบบนี้เกิดได้ยังไง แต่ยังมีสติพอที่จะไม่ตามความคิดนั้นไปครับ คือผมอยากทราบสิ่งที่เกิดขึ้นและเข้าใจมันนี่แหละครับ เพราะ รู้สึกว่ามันจู่ๆก็แทรกขึ้นมา สติรู้มามีความคิดแบบนี้แทรกเข้ามา ทั้งๆ ที่ก็ไม่คิดด้วยซ้ำน่ะครับ
     
  5. Pngtree

    Pngtree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +1,335
    คุณเขมรลองแยกไปถามที่พันทิพดูก็ได้นะคะ อาจได้คำตอบหลากหลาย ที่นั่นคนเล่นพอสมควร เผื่อจะมีใครสักคน ให้เหตุผลดีๆ แล้วทำให้คุณสบายใจขึ้นนะคะ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ฟังหูไว้หูนะครับ ตอนนี้อ่านแล้วอาจจะยังไม่เข้าใจ
    แต่จะเขียนให้ไปลองสังเกตุดูด้วยตนเองนะครับ

    มันเกิดจากอะไร
    คือพวกนี้มันเป็นสัญญาอย่างหนึ่ง
    เป็นกระแสจรอย่างหนึ่ง ที่มันมาจากภายนอกครับ
    (ถ้าไม่เจริญสติจริงๆ จนแยกรูปแยกนามได้
    จะเข้าใจว่า มันขึ้นมาจากตัวจิตได้ครับ)
    เรียกง่ายๆว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมก็ได้ครับ
    มันเข้ามาใกล้ๆกับตัวจิตเรา แล้วจิตเราดึงมัน
    เข้ามาร่วม จึงเกิดเป็นในลักษณะความคิด
    ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั่นเองครับ
    เอกลักษณ์ของมัน คือ ขึ้นมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

    ตย. ให้พอเห็นภาพนะครับ
    เช่น ขึ้นมาว่า A มันก็จะอยู่ในแบบ A.
    ถ้าเราเฉยๆ ไปและมันหายไป อนาคต
    มันก็จะขึ้นมาว่า A อีกเหมือนเดิม
    สุดท้ายก็แล้วแต่ว่า จะขึ้นมาว่า อะไรนั่นเอง
    ถ้าขึ้น B มันก็จะอยู่ในแบบ B. พอเข้าใจนะครับ

    แต่กรณีถ้าเป็น ความคิดที่เกิดจากตัวจิต
    ถ้าขี้นมาว่า A เราจะสามารถบอกว่า เป็น B หรือ C ก็ได้
    ลองไปสังเกตุดูได้ครับ.....


    กรณีแบบนี้มักจะเกิดขึ้น สำหรับบุคคลที่มีแนวโน้ม
    การใช้งานทางจิต ไปในทางด้านภายใน
    คือ มีการรับรู้เกิดขึ้นในใจตนเอง
    แต่ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นรับรู้เหมือนตนเองได้ครับ

    วิธีแก้คือ ให้ขอขมากรรมพระรัตนตรัยบ่อยๆ
    เพื่อสร้างกระแสตรงนี้ ไปผลักพวกกระแสจร
    ที่ทำให้เกิดเป็นความคิดผุดพวกนี้ออกไปครับ

    ในช่วงแรกๆ ของการขอขมากรรม
    กระแสจรมันจะยิ่งมาถี่ขึ้นเรื่อยๆครับ
    เรียกว่า ยังไม่ยอมไปง่ายๆ
    ทำไปซักพักหนึ่งเด่ว เรื่องแบบนี้
    จะหายไปเอง หากกระแสจรเหล่านี้
    มันอ่อนกำลังลงครับ

    มีคนเคยเป็นแบบ จขกท เยอะครับ
    เครเนาะ
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กิเลสหรอก มารแทรก คับ เป็นบ่อยๆ ก็ขออโหสิกรรมพระบ่อยๆ ครับ เด่วก็หายไปเอง จะเป็นระยะนึงไม่นานหรอก ถ้ารู้ตัวว่าสิ่งที่เป็นอยู่ ครับ

    เวลามีสติรู้ทันแล้วก็ตัดอารมณ์นั้นทิ้งไป หัดบ่อยๆ ก็จะแก้ได้เอง ถามว่าเพราะอะไร เพราะจะทำให้เราจิตตกไม่ตั้งอยู่ในคุณงามความดีกุศลกรรม ครับ เมื่อเราเป็นเด่วก็จิตตก คิดฟุ้งซ่านออกไป แทนที่โน้นนี้แทน ถ้าหนักๆ เผลอๆ จะทำให้หลุดจากการปฏิบัติไปทางโลกๆ แทนไปเลยได้ ถ้ารู้ตัวแล้วก็ พยายามตัดทิ้งแล้วขออโหสิกรรมบ่อยๆ ครับ
     
  8. KamenRiderFourze

    KamenRiderFourze สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    ประมาณว่าเราความคิดตรงนี้มันเกิดขึ้นจากตัวแปรอื่น เช่นขันธ์ 5 ใช่ไหมครับ เมื่อเกิดการสัมผัสขึ้น ขันธ์ 5 จะทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น กินข้าว เกิดความรู้สึกดี เกิดความคิดว่าอร่อย ใช่ไหมครับ ซึ่งก็ไม่ใช่ความคิดจริงๆ ของเราใช่ไหมครับ
     
  9. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขออนุญาต.....

    ไม่ได้ให้ไปดู แบบนั้น

    ดูแบบนั้น ดูไม่ถึงจิต กิเลสไม่สะเทือน

    เวลากินข้าว นอกจาก สิ่งต่างๆ ที่ว่าเห็น

    ให้กำหนดรู้ เห็นว่า "ความเผลอเพลิน"

    ตามเห็น ความเผลอเผลิน ปรากฏ จดจำสภาวะ นั้นไว้
    ไม่ต้องไปดับ ไปจับ ไปอัด ไปอั้น

    จนกว่า จิตจะจดจำสภาวะได้ ความเผลอเพลิน
    เป็น "อย่างนี้ๆ" ( ไม่ต้องอธิบายศัพท์ให้ตรง
    อาการ ปัจจุบันรู้อย่างไร ย่อมเป็น ปัจจัตตัง
    ประจักษ์แจ้ง แทงตลอด อยู่แล้ว)

    พอ จิตจำสภาวะ เผลอเพลินได้ สมทัยจะยก
    ขึ้นทำการเห็น เป็น กิจในอริยสัจจ4

    นิโรธน จะปรากกฏทันที ที่ ยกเห็น สมุทัย
    หรือ จิตส่งออก จิตเคลื่อนได้

    มรรค จะเจริญไปแล้ว ขณะที่ กินข้าว
     
  10. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    พระโสณะ สมัยพุทธกาล เป็น ภิกษไม่เอาอ่าว อายุ
    เกิน60 ไม่มีสมองซ้ายสมองขวา 30cm อะไร...

    ท่านนั่งฉันอาหาร เสียกลางทาง ความที่ อายุมาก
    มาบวช คนรุ่นหนุ่มก็ ปรามาสหาว่า พวกใบลาน
    เปล่า ปลอมบวช

    ที่ไหนได้

    แค่ พิจารณาเห็น ความเผลอเพลิน ขณะ เคี้ยว
    ข้าว ใจก็นึกไปวนอยู่ในความคิด นกกระยาง
    กินปลา นกกระยางกินปลา นกกระยางกินปลา...

    ผั๊วะ

    พอกลับมาถึง วัด เหล่าภิกษุลากตัวมาต่อหน้า
    พระพักต์

    พ : ไง ปลอบบวชหรือ !?

    ส : เปล่า ข้าพเจ้า สำเร็จมรรคผล พร้อมด้วยวิโมก8 ปฏิสัมภิทา



    ปล. การที่ มีการบริกรรม เกิดวจีสังขาร "นกกระยางกินปลา"
    จัดเข้า จิตขณะนั้น เกิดเป็น อกุศลกุมจิต หรือ อกุศลมาให้
    ผลดลจิตให้เกิด วจีสังขารฝ่ายอกุศล
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ยังสับสนปนกันอยู่ระหว่าง"ความคิดที่เกิดจากจิต" กับ"ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม"ครับ

    สรุปอีกรอบนะครับ จะเขียนกระบวนการทำอ่านให้ดู แล้วพิจารณาตามอีกรอบนะครับ

    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนะครับ(สัญญา สังขาร
    วิญญาน เวทนา ไม่มีกายนะครับ)
    ย้ำว่าส่วนนามธรรม
    เป็นฝ่ายอารมย์นะครับ
    เอกลักษณ์คือ
    ๑. เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
    ไม่เลือกที่ เลือกเวลา ขึ้นมาแบบไหนก็แบบนั้น และที่สำคัญคือ เป็นเรื่องราวในอดีต
    ย้ำว่า เป็นอดีตนะครับ
    ตย. เช่น "ผุดเรื่องขโมยมะม่วงข้างบ้านมากินตอนเด็กๆ" ย้ำว่าผุดขึ้นมาเอง(นี่คือ สัญญาความจำได้) จำได้จากอะไรหละ
    การทำงานคือ เห็นมะม่วงทางตา(วิญญานการรับรู้) นึกอยากจะขโมยเอามากิน เอามาเป็นของตัวเอง(คือดึงเข้ามาที่จิตจนกลายเป็นโลภะ การดึงเข้ามาเพื่อเป็นของตัวเองจนเป็นโลภะนี้เรียกว่า กิเลส) แล้วก็ทำการขโมยมา ปลอกกิน(เป็นการกระบวนการทำงานที่มาจากกิเลส)
    ขณะที่กินรู้สึกเจอลูกที่รู้สึกว่าอร่อย(คือสังขารการปรุงแต่งว่าอร่อย)รู้สึกอีกว่าชอบ
    เพราะมันอร่อยดี(นี้คือเวทนา เป็นสุขเวทนา)
    ในขณะที่กินไปเจอลูกที่รู้สึกไม่อร่อย(สังขารปรุงว่าไม่อร่อย)รู้สึกอีกว่าไม่ชอบ(นี้เป็นเวทนาเรียกทุกข์เวทนา)
    ความคิดพวกนี้เวลามันมา มัดจะมัดรวม
    เป็นเรื่องผุดขึ้นมาให้นึกได้ว่า"ขโมยมะม่วงข้างบ้านมากิน ตอนเด็กๆ" เท่านั้นในเบื้องต้น เรียกว่า มันมัดรวมกันมา และมาในแบบ
    ที่เป็นนามธรรม เป็นฝ่ายอารมย์ ถ้าดึงมาร่วมก็จะมี ความรู้สึก
    ให้รู้สึก ไม่สบาย ขำ ตลก หงุดหงิด รำคาญ บ่นโต้นนี่นั้น หรือ ช่างมัน งงทำไมถึงนึกได้
    นึกได้ว่าไม่น่าทำเลย น่าจะขอดีๆ พลาดไปแล้วฯลฯ นั่นเอง



    ๒.ส่วนความคิดที่เกิดจากจิต
    มักเรียกว่าความคิดเฉยๆเพราะง่ายดี
    เป็นความคิด ที่เกิดได้เฉพาะหน้า
    ผ่านทางการสัมผัสต่างๆก่อนไม่ว่า
    การเห็นด้วยตา
    การได้กลิ่น ได้ยิน การได้ชิม
    เช่น กินบะหมี่ คือ เริ่มต้นเห็นด้วยตา และได้กลิ่น
    คือวิญญานรับรู้ผ่านทางตาทางจมูก
    แล้วคีบเข้าปากมาเคี้ยว คือสัมผัสที่ลิ้นเป็นกายนั่นเอง
    รู้สึกอร่อยดีเป็นสังขารการปรุงแต่ง
    รู้สึกชอบ เป็นเวทนาปรุงว่าชอบเพราะ
    มีสัญญาในจิต เลยมีการปรุงแต่งไปเปรียบเทียบ ว่ารสชาติแบบนี้คืออร่อย
    เลยชอบเป็นสุขเวทนา
    หรือ
    รู้สึกไม่อร่อยเป็นสังขาร รู้สึกไม่ชอบ เพราะไปเทียบกับสัญญาเรื่องรสชาติจากอดีตก็เลยกลายเป็นไม่ชอบเลย เป็นทุกข์เวทนา

    และยังสามารถปรุงแต่งต่อได้อีก คือรู้สึกโมโหเล็กน้อยคือโทสะ นึกว่าจะไม่มากินร้านอีก จะไปร้านอื่น
    (ตัดสินเลือกข้าง)
    หรือย้อนนึกว่า ตนเองใส่โน้นนี่นั้นมากไป
    เลยไม่อร่อย ถ้าใส่แบบนี้น่าจะอร่อยกว่า
    คิดไปอีกว่า ไม่น่ามากินเลย ไปกินข้าวขาหมูดีกว่าฯลฯ

    นึกต่อได้อีกว่า วันข้างหน้าไปกินอย่างอื่นดีกว่า ที่ร้านอื่นดีกว่า

    เห็นข้อแตกต่างของ ๑ และ ๒ ไหมครับ

    การเจริญสติจนเกิดเป็นเครื่องมือ
    ทางธรรมที่เรียกว่า สติทางธรรม
    จนจิตสามารถแยกรูปแยกนามได้
    จะเห็นได้เองว่า ทั้ง ๑ และ ๒ มันมีเอกลักษณ
    ทางกิริยาที่แตกต่างกัน และจะเห็นว่า
    จิต มันเป็นคนละส่วนกันกับ ๑ และ ๒
    ที่ไม่เห็นเพราะปกติ มันรวมกับตัวจิตแล้ว
    นั่นเอง

    ต่อมาถึงจะเข้าใจคำว่า กริยาจิตเป็นกลาง
    คือไม่ตัดสิน ชี้ชัด แยกแยะ เลือกข้าง
    ซึ่งเป็นพื้นฐานของคนที่จะเดินปัญญาได้
    แบบที่จะไม่กลายเป็น วิปัสสนึก
    ที่วิเคราะห์ แยกแยะ ชี้ชัด ตีความ
    ซึ่งมักจะเข้าตนเอง เพราะ ๑ และ ๒ มันยังรวมกับตัวจิตอยู่นั่นเองครับ


    แล้วถึงจะค่อยมาเห็นว่า
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมมันมาจากภายนอก
    ถ้ากำลังสมาธิมากพอจะเห็นได้

    หรือถ้าพอมีด้านสัมผัสบ้างก็จะรู้ว่า
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมเป็นกระแสจร
    ที่เวียนเข้ามาเรื่อยๆ
    มาแล้วก็ไปถึงเรียกว่า จร

    หรือถ้ามีใจไปทางด้านปัญญา
    ก็จะพบว่า ขัน๕ ส่วนนามธรรม
    แม้จริงมันคือวิบากกรรมนั่นเอง


    ถ้าไม่เจริญสติให้ต่อเนื่องจริงๆ
    จนแยกรูปแยกนามได้จริง
    ก็จะเอาทั้งจิต ทั้ง ๑ และ ๒
    ปนๆ งงๆ ผสมกันไปเรื่อย
    พูดเองงงเอง ไม่เข้าใจซักที
    ยิ่งทางด้านนามธรรมยิ่งงง
    ยิ่งไม่เข้าใจ แต่อยากจะรู้
    อยากจะเข้าใจ จะสนใจ
    แต่ในธรรมะสนใจธรรมระดับสูงๆได้
    ประมานนี้ครับ

    ไม่ต้องห่วงครับ ที่เล่ามา
    เป็นกันได้ทุกคนนั่นหละครับ
    เพียงแต่ใครจะรู้ตัวช้าหรือเร็วครับ

    สรุป ตัวชี้วัด
    1.ดูความเข้าใจทางด้านนามธรรมถ้าทั่วๆไป
    เช่น ฝันเห็นโน้นนี่นั่น ตอบตัวเองได้ไหม
    ว่าวัถตุปนะสงค์อะไร ทำไมไมฝันแบบนั้น
    ต้องทำอะไรบ้าง มันบอกอะไรเรา ฯลฯ
    2.กรณีผู้ฝึกกรรมฐานดูผลสำเร็จในการฝึก
    ว่าฝึกสำเร็จซักอย่างไหม ใช้งานได้จริงไหม
    หรือเป็นแค่ในนิมิต รู้คนเดียว
    3.ถ้าคนพอมีสัมผัสทางนามธรรมเป็นทุน
    ดูในเรื่องสัมผัสทางนามนามดีขึ้นไหม
    ตาพิเศษดีขึ้นไหม การรับรู้ละเอียดขึ้นไหม
    4. เรื่องนิสัยดูเรื่องการลดละกิเลส เช่น อยากดีอยากเด่นไหม อิจฉาน้อยลงไหม ยินดีกับผู้อื่นเป็นไหม อยากได้โน้นนี่นั่นน้อยลงไหม
    ฯลฯ

    ตัวชี้วัด เอาไว้ตรวจสอบตนเองได้
    ป้องกันการเกิดความประมาท
    ด้วยหมายว่า สิ่งที่ตนมี ตนรู้ ตนทำได้ ตนเข้าใจในขณะนั้น แล้วดึงมาจน
    กลายเป็นตัวตนของเราครับ
     
  12. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    การพูดตรงตามความเป็นจริงเป็นเหตุจากสัมมาทิษฐิ(เห็นตามความเป็นจริงในสภาวะธรรมที่ปรากฏ)มาเป็นสัมมาสังกัปโป(ตรึกในสภาวะธรรมที่ถูกต้องว่าต้องเฟ้นหาสภาวะธรรมที่พ้นจากตน)และต่อมาเป็นสัมมาวาจา(คำพูดที่ถูกต้องตรงตามอาการ)

    นี่แลกับดักที่ฝังไว้ที่คุณไม่รู้ตัว "พวกคุณพยายามให้ผมใช้คำสอน(บาลี)ของพระพุทธองค์ซึ่งผมใช้อยู่และแปลให้ด้วยสำหรับผู้ไม่เข้าใจสภาวะธรรม"


    ดังนั้น "พวกคุณถึงต้องยกอุปมามาใช้ซึ่งผมได้บอกแล้วว่าอุปมานั้นสำหรับผู้ติดข้องไม่รับฟัง" เพราะไม่อาจเข้าใจในความหมายของภาษาที่ถูกต้อง
    ซึ่งคุณพูดกันเองว่าเป็นการใช้ "นัยอื่น" ก็นั่นแหละ


    ตอนแรกผมกะไม่ค้านแล้วเพราะขาจอนชอบมาเป็นมารขวาง

    "ซึ่งถ้าผมไม่บอกตรงนี้" ก็ดูง่ายๆ เลยว่าคุณจะพาเขาหลงไปไหน "เห็นกันชัดๆ" ไม่ลองถามเขาก่อน (เหตุปัจจัยโย) ว่าเขาทำสมาธิถึงไหนได้หรือไม่แล้วทำยังไงถึงมาติดตรงนี้(ยกเว้นว่าคุณรู้กริยาจิตซึ่งต่อให้คุณทำได้คุณก็ต้องมาเช็คอีกว่าคนนี้มันทำได้จริงไหม)


    และจะมีคนประเภทไม่รู้มาบอกว่าไม่ได้มีวาสนาต่อกัน(คิดเอาเอง/มโนเอง)เพราะวาสนาปรากฏอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะมาตั้งกระทู้และมีคนตอบแต่โดนมารขวางไปก่อนนั่นแหละ


    "ดังนั้นพึงรู้ไว้เลยว่ามารมันทำแบบนี้แหละในการขวางทางพุทธศาสนา"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2019
  13. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ซึ่ง "วิธีแก้" มีอยู่ แต่วิบากไม่ได้หายจะมาเรื่อยๆ

    วิธีทำ
    1.เมื่อการปรามาสปรากฏให้คิดแต่พุทโธไปเลยเราต้องบังคับมันไม่ใช่มันบังคับเรา
    2.ทำสมาธิจนได้ฌานหากทำได้ขณะนั้นไม่คิดแน่
    3.พึงฟังมันพูดไปแต่เรารู้อยู่ว่า "ยังไม่ได้ลองทำเป็นการเดา" ก็แค่นั้นแหละฮับ

    สำหรับการเริ่มต้นการแก้ไข

    "อุปมาคนรถล้มจะพาไปโรงพยาบาลหรือจะไปไล่หาเหตุว่าล้มได้ยังไงก่อนละ"

    หรือเมื่อรถล้มจะต้องควรพูดว่าคุณขับแรงไปขณะขับมันเป็นแบบนี้ แบบนั้น

    และเมื่อพาไปรักษาขั้นต้นแล้วจึงค่อยสอบถามและอธิบายต่อ




    แถม

    วิคคาหิกกถาสูตร
    ว่าด้วยการพูดที่ไม่เป็นประโยชน์
    [๑๖๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าพูดถ้อยคำแก่งแย่งกันว่า
    ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้
    ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร
    ท่านปฏิบัติผิด เราปฏิบัติถูก
    สิ่งที่ควรพูดก่อน ท่านพูดเสียทีหลัง
    สิ่งที่ควรพูดทีหลัง ท่านพูดเสียก่อน
    เป็นประโยชน์แก่เรา ไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน
    ความเป็นไปอย่างอื่นที่คลาดเคลื่อน ท่านประพฤติแล้ว
    ท่านยกวาทะขึ้นแล้ว เพื่อเปลื้องวาทะของผู้อื่น
    ท่านถูกข่มขี่แล้ว ท่านจงชำแรกออก ถ้าท่านอาจ

    ข้อนั้นเพราะเหตุไร?

    เพราะถ้อยคำนี้ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
    ไม่ใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน

    ก็เมื่อเธอทั้งหลายจะพูด พึงพูดว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
    เพราะถ้อยคำนี้ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ
    เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
    จบ สูตรที่ ๙
    - พระไตรปิฎกไทย(ฉบับหลวง) ๑๙/๔๑๗/๑๖๖๒.
     
  14. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

    ปัญญาจะทราบได้ ความเข้าใจตรงนี้แหละ
     
  15. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมันแต่ธรรมเกือบทั้งมวลมีสภาวะเป็นอัตตา ต้องรู้และเห็นจึงจะเข้าใจว่ามันเป็นยังไง

    ส่วนปัญญาคือการเห็นในชั่วขณะที่เราเจออนัตตาจริงๆเช่นในพระไตรที่กล่าวถึงกำลังจะนอนและลงมือสลัดคืน/ถอนออกจากสภาวะธรรมที่เป็นอัตตา(ตน) แต่ถ้าความเข้าใจมาจากการคิดแสดงว่าไม่ถูกต้องเป็น "สมมุติฐาน"

    ดังนั้นเมื่อเห็น(รู้เห็นไม่ใช่ดูเห็น)(ใช้คำว่าเห็น)ไม่ได้คิดวิเคราะห์ตามจริงจะไต่ไปได้จนเจอสภาวะธรรมต่างๆมากขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2019
  16. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ไป พินาให้มาว์กๆ

    ปัญญา ไม่เกิดใน ภพ เด็ดขาด

    หากใคร บอกว่า ปัญญาเกิดแล้ว เอา
    อายตนะใด อายตนะหนึ่ง ไปเป็น คุณหนู รับ

    เฮีย แน่นอน !!!


    *****************************************

    พระศาสดา ตรัสว่า ให้พิจารณาให้มากๆ
    เป็น พหุลีกตา ชาครินานุโยค

    ไม่ใช่ จ๊า เข้า จ๊า ออก สองสามที
    ภาวนาแบบ นกเขาสองสลึงขัน

    หากเข้าใจ จะเห็นเลย ไม่ต้องจำ ไม่ต้องแบก
    ไม่มีเรื่องพยักหน้า ตีความ

    หากจะสอน พระศาสดา ทำ อนุศาสนีย์ปาฏิหาร์ย
    ไว้หมดแล้ว ไม่ต้องให้ สาวก หนา สันติ มาทำ
    สมะแถะ เก่งกว่าศาสดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2019
  17. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    ความเป็นภพ เป็นอย่างไร
     
  18. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +470
    [๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
    ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
    ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
    ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
    สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
    ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
    อยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้ว
    จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร
    ทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
    ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
    นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึง
    บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม
    ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ

    สัพเพธรรมาอนัตตา ติ ...

    เอวัง
     
  19. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ก็ถูกแล้วครับ

    "
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
    ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
    ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
    ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
    สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
    ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
    อยู่อย่างนั้นเอง"

    ธาตุ/สภาวะธรรมที่เอาตนไปถือมั่น

    ส่วนผมพูดเองว่า "

    ก็คือสัพเพธัมมา อนัตตา ตรงตามที่คุณแคปมาทั้งหมดแต่ธาตุภาวะคืออัตตา/ความรู้สึกเป็นตนที่ผู้ปฏิบัติเข้าไปยึด

    ดังนั้นคุณพูดถูกแต่มันก็ตรงตามที่ผมพูดเช่นกันก็ขอบคุณที่เอาพระไตรมาวางด้วยครับคนจะได้รู้ ซึ่งประโยคของคุณคือทำให้คนเข้าใจง่ายว่า(ย่นย่อจากความหมายของผมและพระพุทธองค์ว่า) "ธรรมทั้งมวลไม่ควรยึดถือมั่น"(ไม่ควรไปเป็นอัตตาในตรงนั้น)
     
  20. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    หรือถ้าคุณจงใจใส่สีฟ้า เพราะเห็นว่าผมใช้คำพูดไม่เหมือนพระพุทธองค์นั้น ใช่(ตามความเป็นจริง) แต่ความหมายของผมเหมือนพุทธองค์ คือธาตุมันเกิด/ตั้ง/ดับ ไปซึ่งการจะพ้นจากมันก็ต้องพ้นจากสภาวะของธาตุและพอพ้นจึงจะพูดได้ว่าเป็นอนัตตา(ไม่ควรยึดสภาวะธรรมนั้นเป็นตน)แต่หากยังไม่พ้นไม่ว่าจะกรณีใดคือมันเป็นตน(เรารู้สึกตามเนื้อธาตุเช่นโกรธ)

    ก็ตรงตามที่พระพุทธองค์บอกอยู่ดี

    "ดังนั้นนี่แหละคือความสำคัญของภาษา" และนี่แหละ "ใช้มุขนัยของพวกคุณที่พูดเองว่าธรรมพูดตรงๆไม่ได้" พอเจอมุขนัยเองแล้วรู้อะยังว่ามันเข้าใจยาก

    และเป็นความเห็นผิดเพราะคุณยังเข้าใจผิดเลยจากการใช้นัยอื่นที่คุณพูดกันเอาเองดังนั้นเลิกใช้นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...