การเจริญสติให้ได้ตลอดเวลาคือ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 3 กันยายน 2021.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    การเจริญสติให้ได้ตลอดเวลา
    นอกจากใช้คำบริกรรมด้วย "พุทโธ" ตลอดเวลา (เหมือนการหายใจเป็นปกติตลอดเวลา)
    ท่านมีคำอื่นใดที่จะง่ายกว่านี้
    มาแชร์ คับ
     
  2. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    21 วิธี น่ะครับ ถ้าเอาตามพระไตรปิฎก

    มีลมหายใจ
    อิริยาบทกายเคลื่อน
    อารมณ์จิต เป็นต้น
    เวทนา เป็นต้น
     
  3. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ถ้าจะจัด พวก พุทโธ

    พุทโธ ก็เป็นเจตสิก เป็นความคิด เป้นอารมณ์จิต อย่างนึง

    เป็น นามธรรม คำบริกรรมอะไรก้แล้ว แต่

    ตายแน่
    นรก
    สวรรค์
    เอาชื่อคนที่ชอบยังได้เลย

    จุดมุ่งก้เพื่อให้ จิตสงบลงมาก่อน แต่มันจะอยู่เป้น อุปจารสมาธิ
    แล้ว น้อมจิต ไปพิจารณา อาการ 32 ด้วยการมโน ขึ้นมาก่อน จิตก้จะพัฒนาไปสู่ปฐมฌานไปตามลำดับ นี่เรียกว่าเป็นการ ตั้งสมถะขึ้นมาก่อน เรียกเป็นวิธี ก็ วิธีของสมถะกรรมฐาน

    ซึ่งวิธี สมถะกรรมฐานมันก็ มี วิปัสนาด้วยกันเหมือนกัน เพียงแต่ฝึกให้ถึง
    พวกติดวิธีการ หรือไม่เข้าใจ วิธีการ ก้ไปต่อว่า สมถะกรรมฐานว่าไม่มีวิปัสนา
    พวกนี้ก้คือ พวกภาวนาไม่เป็น ไม่เข้าใจ สมถะ วิปัสนา

    ส่วนพวก ไม่รู้เรื่อง วิธี วิปัสนากรรมฐาน ก้ไปต่อ ว่าวิธี วิปัสนากรรมฐาน ว่าไม่มีสมถะ
    ไม่มีฐาน พวกนี้ก้เรียกว่าภาวนาไม่เป็น ไม่ได้รู้เรื่อง สมถะ วิปัสนาเช่นเดียวกัน
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ลุงแมวไม่กล่าวอะไร
    มาก กลัวทัวร์ลง 55
     
  5. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ก็ทำมะดาครับ ยังไม่มีอะไรยันออกมาจากตัวเองได้
    เวลาเขาแย้งมา ยันออกไม่ได้

    ธรรม มีเหตุมีผลอยู่แล้วครับ พาเที่ยว
     
  6. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    B0034695-4138-4D3B-A451-F263FC274200.jpeg
     
  7. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ลุงแมวไม่ต้องบริกรรมกำกับก็ได้
    เวลาหายใจเข้า....ก็รู้อาการที่มันไหลเข้า
    เวลาหายใจออก...ก็รู้อาการที่มันไหลเข้า
    แบบนี้จะได้ทั้ง....
    เป็นที่ให้จิตเกาะ...
    และตามเห็นลมหายใจ....
    .....ในความไม่เที่ยงด้วย

    ....เพราะ
    จะเห็นลมหายใจ....
    ....ตามลักษณะที่มันเป็นจริง
    เดี๋ยวก็สั้น.....เดี๋ยวยาว
    เดี๋ยวหายใจสุดบ้าง....ไม่สุดบ้าง
    และแบบนี้จะเป็นไปตาม
    อานาปนสติ...แบบพระพุทธเจ้า

    แต่ถ้าลุงแมวใช้คำบริกรรมอะไรก็ตาม
    ....คำบริกรรมนั้น...
    จะเป็นที่ให้จิตเกาะ...เพียงอย่างเดียว

    แต่จะไม่ลงไปที่....ลักษณะของลมหายใจ
    ซึ่งลักษณะของลม....ที่ว่านี้
    จะแสดงความไม่เที่ยงสั้นยาว...ให้เห็นได้
    แต่จะติดอยู่กับสมมุติ....ของคำบริกรรมนั้น
    ....เป็นการปรุงแต่งอีกชั้นนึง

    แต่ก็สามารถใช้คำบริกรรมนี้
    เป็นที่ละอกุศลจิต...และอาศัยเป็นที่เกาะ
    ให้จิตตั้งมั่น....ได้เพียงเท่านั้นครับ

    ลองเลือกเอาครับ
     
  8. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    บางคนเริ่มการปฎิบัติ

    ....ด้วยการปรุงแต่งจิต
    ตัวอย่าง.....
    เมื่ออยู่ในที่มืด
    มี"ความกลัว"เกิดขึ้นในจิต
    บางคนใช้...
    ...การคิดปรุงแต่งต่อไปว่า...
    อีกหน่อยเราก็ตาย...เราก็เป็นผีเช่นกัน
    ความกลัว....ในจิตบรรเทาไป
    ....ดับไป
    ...ทำแบบนี้คือการสร้างภพ....เพื่อทำลายภพ

    เป็นการปรุงแต่งจิตซ้อนขึ้นมา
    เป็นการคิดบวก...positive thinking
    คนส่วนใหญ่ในโลกทำแบบนี้
    ถ้าไม่รู้จักสติปัฎฐาน...

    ..............................

    อีกstep....ขึ้นมา

    ...ถ้ารู้จักสติปัฎฐาน...
    เมื่ออยู่ในที่มืด.....
    เกิด"ความกลัว"ขึ้นในจิต
    เขาจะเข้าไปดู......"ความกลัว"นั้น...ในจิต
    ....อารมณ์ของจิตนั้น..จะดับไป
    คนปฎิบัติอยู่เรื่อยๆแบบนี้
    จะคอยสังเกตุสิ่งที่...เกิดขึ้น..ภายในจิต
    คอยตามเห็น ....
    ...อารมณ์โกรธบ้าง
    ...เห็นความกลัวบ้าง
    ...เห็นความพอใจ...ไม่พอใจบ้าง
    ฯลฯ

    ....ผู้ปฎิบัติแบบนี้...
    เห็นอารมณ์ทั้งหลายดับไป
    แต่ยังคงไม่เห็นจิต....
    นามธรรมอื่นที่ถูกรู้...ดับหมด
    ....แต่
    จะไม่เห็น...ตัวผู้เข้าไปรู้นั้น

    และ
    คนปฎิบัติไปแบบนี้...เรื่อยนานๆ
    การวางจิตผิดไป...อาจเกิดการจดจ้อง
    อารมณ์ของจิต...จะไม่ค่อยโผล่ออกมา

    ปฎิบัติแบบนี้จะดูไปเรื่อยๆ....
    ....และจะเกิดคำถามขึ้นในใจ
    ....แล้วต้องทำยังไงต่อ?

    ซึ่ง
    สมาชิก...ในเว็บพลังจิต....
    และคนส่วนใหญ่.....ก็อยู่สเต็ปนี้กัน
    รวมถึงคุณแนน...และคุณป.ปราบด้วย

    .....

    แต่ถ้า....ผู้ปฎิบัติมีปัญญา....
    จะไม่หยุดแค่สเต็ปนี้
    กำลังจิตที่มากขึ้น....
    จะเห็น.....ขณะก่อนการเกิดของอารมณ์
    จะเห็นเลยว่า....
    เพราะเกิดความคิดปรุงแต่ง...ขึ้น
    ....จึงเกิดอารมณ์ต่างๆ....

    ปัญญานี้คือการสาวไปหาเหตุ

    ..............................

    ขึ้นมาอีกหนึ่ง step
    ผู้ปฎิบัติ....จะไปดูที่ความคิดปรุงแต่นั้น....
    ความคิดปรุงแต่ง...
    อันเป็นที่มาของ....อารมณ์ต่างๆ

    เมื่อมาถึงสเต็ปนี้....
    เมื่อเห็นความคิดปรุงแต่งเรื่อยๆ
    จิตจะแทบไม่เกิด...อารมณ์ต่างๆ..ขึ้นมาเลย
    แต่จะยิ่งเหนื่อยล้า
    .....เพราะ
    เห็นความคิดผุดขึ้นมากมาย

    เมื่อคอยดูความคิดปรุงแต่งอยู่เรื่อยๆ
    ผู้มาถึงตรงนี้
    จะเห็นว่า
    เราเผลอทีไร....ความคิดมันผุดมาทุกที
    หรือจริงๆแล้ว....มีสิ่งที่เข้าไปรู้ความคิดนั้น

    จะเกิดปัญญา....เห็นว่า

    มีผู้เข้าไปรู้.....เลยเห็นความคิดปรุงแต่งนั้น
    ความคิดปรุงแต่งนั้น....ไม่ได้เกิดมาลอยๆ
    ตรงนี้
    จะเริ่มเห็น.....วิญญาน..หรือผู้รู้

    .....................

    stepต่อมา....
    คือ....การเห็นวิญญานหรือผู้รู้เกิดดับ

    ซึ่งการจะมาเห็นผู้รู้....หรือวิญญานได้นั้น
    .....ต้องอาศัยความตั้งมั่นมาก
    การรู้ในนามธรรม....อย่างเดียว
    ไม่มีทางจะเห็นวิญญานได้
    ....เพราะวิญญาน....เกิดดับไปตามการรู้นั้นๆ
    จะเห็นวิญญานได้....
    จำต้องอาศัย"กาย"
    เพื่อให้ได้เห็น.....
    .....เดี๋ยวดับจากนาม...เกิดที่รูป
    ....เดี๋ยวดับจากรูป...เกิดที่นาม
    จึงจะเห็นวิญญาน...หรือผู้นั้นเกิดดับได้....
    .....
    นี่คือสเต็ปสุดท้าย....
    การเห็นวิญญานเกิดดับ....คือการเห็นจิต
    .....ไปสู่การเห็นว่าจิตนี้ก็ไม่เที่ยงเป็นอนัตตา
    หลุดพ้นในที่สุด.....

    ........

    การปฎิบัติขมวดมาถึงสเต็ปสุดท้าย
    มองเห็นอะไรกันไหม?
    แต่ละคนยืนกันอยู่ตรงไหน?


    สิ่งที่ผมพยายามอธิบาย
    ....มรรคของพระพุทธเจ้ามาตลอด
    เพราะผมเห็นความละเอียดในมรรค
    ....ที่พระพุทธองค์ชี้ไว้....
    เห็นเลยว่า....
    ทำน้อย...ได้ผลมาก... เป็นยังไง
    ....แสดงให้เห็นว่า
    พระศาสดา...เป็นผู้ฉลาดในมรรค

    การอยู่กับลมหายใจ....เป็นวิหารธรรม
    เป็นการขมวดการปฎิบัติ...มาสเต็ปสุดท้าย
    แยกวิญญาน.....ออกตั้งแต่แรก....
    และไม่เกิดอุปทานในรู้
    ....
    เพราะวิญญานตั้งขึ้นไม่ได้...
    ....ถูกทิ้งไปทุกขณะจิต


    ............................

    อานาปนสติ....
    คือการหมั่นระลึกถึงลมหายใจ
    อาศัยลมหายใจนี้...เป็นเครื่องอยู่ให้จิต
    เพื่อเห็นสิ่งที่ปรากฎขึ้นที่จิต....
    ...หรือแทรกมาในจิต
    ...เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฎขึ้นมาแล้ว...
    ละทิ้งจากสิ่งนั้น...
    ....ทั้งอกุศล...ทั้งความคิดต่างๆ
    จิตกลับมารู้ที่ลมหายใจ

    .....
    ....
    ..
    ทำไปอย่างนี้
    ....จนวันนึง...
    จิตเปลี่ยนวิถี...ความเคยคุ้น
    จิตนี้จะมีปกติ...วางเฉย...วิเวกภายใน...
    เป็นกลาง....ตั้งมั่น
    ....แล้ว
    สิ่งที่เห็นปรากฎขึ้นภายในใจ
    ท่ามกลางจิตที่ตั้งมั่นนี้
    ....จิตจะตัดสิน....
    เกิดการเห็นแจ้ง....และไม่สาระใดๆที่น่ายึด
    สลัดตัณหาออกจากจิต
    และ....ถึงที่สุดของทุกข์ได้


    ..............................
     
  9. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    การเดินมรรค...อานาปนสติ
    คนสับสน....และเข้าใจผิดกันมาก
    ....บางคนบอกเป็นแค่สมถะ
    ....บางคนบอกแค่กดข่ม
    ....บางคนบอกเป็นกรรมฐานเริ่มต้น
    ....บางคนบอกเป็นกรรมฐานเด็กฝึกหัด
    ....บางคนบอก"ทำเเค่นี้เองหรอ"
    ฯลฯ

    เพราะคนเหล่านั้น....ไม่รู้ว่า
    ....เพียงแต่ทำตามพระพุทธเจ้า....
    ซื่อๆไปแบบนั้น...อย่างคนไม่รู้...ก็ตาม
    ....ย่อมเกิดมรรคผลได้....ไม่ช้าเลย

    หรืออาจเป็นเพราะวิบาก...
    บดบัง...ให้เขาไม่เห็นค่า....
    ....ของอานาปานสตินี้..
    ให้เห็นเป็นเพียง....กรรมฐานของเด็กฝึกหัดไป
     
  10. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    มีแต่หมูไหม้ ละมั้ง
    ที่เที่ยวถามว่า ปฏิบัติ แล้ว ยังมาถามอีกว่า แล้วทำไงต่อ?

    คนภาวนาเป็นที่ไหน เขาเที่ยวถาม ว่าทำยังไงต่อ?
    มีแต่คนที่ภาวนายังไม่เป็นนั่นแหล่ะ มาเที่ยวถามว่า ทำยังไงต่อ?
     
  11. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142

    ทำไมคุณถึงยึดติดรูปแบบขนาดนี้ล่ะคะ

    คุณบอกว่าตัวเองไม่ยึดติด ละนั่นละนี่ได้ แต่นี่ล่ะคือการยึดติดแบบไม่รู้ตัว เป็นอัตตาความเชื่อแน่นหนาแกะไม่ออก ไม่ยืดหยุ่น แบบนี้ใช่ นอกนั้นผิดหมด

    ถอนได้ก็ถอนเถอะค่ะความคิดแบบนี้

    ฝึกในรูปแบบมันเป็นเพียงเบื้องต้น ของการฝึกจิตให้น้อมสู่ความสงบเพื่อพร้อมพัฒนาเป็นปัญญา
    สาระแท้จริงคืออะไรควรมองให้ออก แม้เขาจะเดินทางเส้นไหน แต่ถ้าเขาสามารถเห็นสาระที่แท้จริงได้เฉกเช่นเดียวกัน ลงรอยเดียวกันได้หมด นั่นคือถูกทางของมรรคแล้ว

    ส่วนตัวไม่เคยไปวุ่นวายกับการฝึกจิตของใครเลย ไม่ได้มองว่าแบบไหนดีกว่ากัน ใครอยากกระโดดชี้ขา ตีลังกาอะไร ทำไปสิคะ แต่สุดท้าย จะต้องมาเห็นที่จุดเดียวกันนี้ ถ้าทำมานานแล้วไม่เคยมาเจอจุดเดียวกันนี้ นั่นคือต้องพิจารณาแนวทางของตน

    อีกอย่างฝึกในรูปแบบ คนธรรมดามีกิจทางโลกที่ต้องทำเป็นปกติ ใครจะทำได้ตลอดทั้งวัน เต็มที่ก็วันละ ชั่วโมง …แล้วเวลาที่เหลือล่ะ จะทิ้งไปเฉยๆรึ…

    การที่เอาเวลาที่เหลือมาเห็นจิตเห็นกาย มันเกิดประโยชน์มหาศาล สามารถทำได้ตลอดเวลาไม่ต้องรอหาพื้นที่สงบ หรือเข้าห้องปิดตัวเงียบ เพียงแค่ระลึกแล้ววางๆ พอมีเวลาแล้วค่อยมาทำในรูปแบบ…

    แล้วการที่เห็นจิตได้เลย มันไม่ผิด ในเมื่อจิตมันเด่นชัดในขณะนั้น จะให้หลบไปดูอย่างอื่นทำไม ในเมื่อต้นตอมันแสดงธาตุแท้ให้เห็น ก็กำหนดรู้ไปสิ เห็นรู้ว่าเห็น รู้สึกก็ให้รู้ไปเฉยๆ จิตมันอาจจะเผลอคิดสร้างคำพูดประดิษฐ์ด้วย ก็ใหรู้ว่าเผลอ

    ไม่ต้องไปพยายามใช้ความคิดเพื่อไปบอกว่าตัวเองกำลังสาวหาต้นตอ ถ้ามันจะสาว มันทำเองรื้อเอง แต่ถ้าใช้ความคิดมันคือสร้างสัญญาใหม่ซึ่งมันมักจะบิดเบี้ยวไม่ตรงตามจริง…ถ้ามันรื้อไปหาเหตุ มันจะเห็น มันจะอ๋อ เอง มีคำตอบให้โดยไม่ต้องค้นหา สร้างคำประดิษฐ์ประดอย ถึงแม้อ๋อแล้ว ก็เพียรตามรู้ว่า”อ๋อ” แต่ถ้าไม่วาง ก้อไปติดไปปรุงแต่งกับสิ่งที่รู้ไม่จบ …

    จะยังไงระดับของพวกเรา มันต้องมีหลงมีเผลอเป็นปกติ ก็ไม่เห็นต้องไปกังวล ธรรมชาติของจิตมันเป็นเช่นนั้น รู้ไป เห็นไปเฉยๆสิ ถ้าไปกังวล กลัวกิเลสโผล่ หาทางหนีมันอยู่นั่น ไม่อยากเห็นอีก จะกลายเป็นฝืนจิต ข่มบังคับจิต ลงไปอีก จนไปเจอจิตว่างๆ แล้วหลงคิดว่านั่นคือนิพพาน…หรือแม้แต่อยากเห็นจิตมากๆ ใจจดจ่อจ้องรอดู มันก็จะพลิกเป็นสมถะไป

    แต่ถึงพูดให้ตายสุดท้ายคุณก็คิดแค่ว่าคนอื่นเอาแต่ดูจิตจ้องจิต รอจิตดับ ตอบวิธีการไป ก็วนลูปเดิม เสียงในหัวของคุณมันดังกลบเสียงคนอื่นไปหมดแล้ว ก็คงเปล่าประโยชน์ที่จะอธิบายต่อแล้วค่ะ ถือว่าแนนอธิบายคนอื่นแล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2021
  12. นาฬิเกร์

    นาฬิเกร์ อดทนชนะใจตน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2020
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +408
    เจริญสติ คือการกำหนดรู้ในสิ่งที่ทำ มีความเพียรเป็นฐาน ทั้งทางกาย(ลมหายใจเข้าออก คือกาย) ทางวาจา(วิตกวิจาร คือ วจี)และใจ(สัญญาและเวทนา คือ ใจ) ไม่หลงเพลินในอารมณ์ เมาประมาท จนขาดสติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2021
  13. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626

    ไม่เคยบอกว่า...
    ....หมดการยึดติดแล้ว
    แถมพยายาม...
    แสดงให้เห็นอีกว่า...กิเลสยังมี
    และประกาศให้คนอื่นรู้ว่า
    ยังหลงผัสสะอยู่อีกด้วย


    ....แต่ที่เห็นนี้...
    ไม่ใช่การยึดติด....มรรคอานาปนสติ
    เพราะมรรคที่ผมใช้อยู่ในปัจจุบัน
    ....ไม่ใช่อานาปานสติ....

    แต่เมื่อไหร่มีคนพูดว่า
    อานาปานสติ....
    เป็นแค่มรรคของเด็กฝึกหัด
    ......เป็นแค่มรรคเบื้องต้น
    ...อย่างคนไม่รู้....
    ความเลิศในมรรคที่พระองค์ตรัสรู้
    ผมก็จะอธิบายและแจกแจงให้....
    จะได้ไม่พากันเข้าใจผิด...
    ว่ามรรคอานาปนสตินี้
    เป็นแค่สมถะ...
    เป็นแค่เบื้องต้น...
    เป็นมรรคฝึกหัด

    ผมถึงได้สะกิดไม่รู้กี่...
    ทำไมลป. ลต. ลพ. ที่ถึงธรรมทั้งหลาย
    ต้องอาศัยวิหารธรรม
    ...ไม่มีใครวิ่งไปดูจิตเลย
    เคยเกิดคำถามในใจบ้างไหม?

    และในโพสที่ว่านี้
    ผมก็เฉลยให้ดูเลย....
    ถ้าจะเดินมรรค....อย่างที่เดินอยู่
    มัน"แค่เริ่มต้น"ของการดูอารมณ์จิต
    อย่าไปสำคัญผิดกันว่า
    ที่ทำอยู่...เป็นวิธีที่ของคนมีปัญญาทำกัน
    .....มันไม่ใช่

    มรรคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั่นล่ะ
    ของจริง.....

    การดูอารมณ์จิตของคุณแนน
    ก็ยังไปสาระวนอยู่กับการเห็นให้ละเอียด
    ....อยู่แค่นั้น

    ทั้งที่จริงแล้ว.....
    เมื่อดูไปเรื่อยๆ....
    จะเริ่มเห็นขณะก่อน..เกิดของอารมณ์
    จะเกิดความเอ๊ะใจขึ้นมาทันที

    ความก้าวหน้า....ของการปฎิบัติเป็นแบบนี้
    ไม่ใช่ดูไปเรื่อยๆ
    แล้วคิดว่า...จะไปถึงจุดเดียวกัน

    ธรรมนี้...มีความเป็นเหตุ...เป็นปัจจัย
    คนภาวนา...
    ถึงจุดหนึ่ง
    จะค่อยๆสาวไปหาเหตุ...
    ไม่ใช่การย่ำ...อยู่กับที่....
    รู้เรื่อยๆ....รู้เรื่อยๆ

    ต้องรู้อารมณ์จิตไปถึงไหน?
    ตอบตัวเองหรือยัง?
    ต้องรู้อีกแค่ไหน?

    ผมเปิดเฉลยไปแล้ว
    คุณแนนจะต้องเดินมาทางนี้

    เมื่อเห็นแล้วอารมณ์จิตแล้ว....
    วันนึง
    จะเห็นความคิดปรุงแต่ง....อันเป็นเหตุ
    เหตุของการเกิดอารมณ์จิต
    คุณแนนจะต้องเดินมรรคต่อ....

    คือไล่ดู...
    "ความคิดปรุงแต่งนั้น"
    อารมณ์จิตจะโดนตัด..เหตุเกิด....
    เพราะการไล่รู้ความปรุงแต่งนั้น

    แต่สุดแล้ว
    คุณแนนจะค่อยๆ....
    เกิดเอ๊ะใจว่า....
    ถ้าไม่เข้าหยิบความคิดนั้นขึ้นมา
    สิ่งนั้นแม้จะมีอยู่....แต่ไม่รับรู้...

    เพราะงั้น
    ต้องมีผู้ที่เข้าไปรู้
    นี่คือการเห็นตัวรู้....จากการภาวนาจริงๆ
    ไม่ไช่...
    ผู้รู้ที่พูดๆกันจากในตำรา
    ไม่ได้เห็นจากปัญญาในการภาวนาจริง

    และในการภาวนาเมื่อเห็นผู้รู้
    เห็นสิ่งที่ถูกรู้แล้ว
    ผู้รู้นี้เกิดดับ...พร้อมสิ่งที่รู้นั้น

    ไม่มีทาง
    ...ที่ใครจะเห็นการเกิดดับของผู้รู้ได้ทัน
    มีอย่างเดียว
    คือมรรคของพระพุทธเจ้า
    การที่ผู้รู้....รู้อยู่กับกาย....ดับจากรู้กาย
    มารู้ที่นามธรรม....
    รู้ที่นามธรรม.....ดับจากรู้นาม
    มารู้ที่กาย
    อยู่แบบนี้จึงเห็นผู้รู้เกิดดับ

    มรรคที่พากันด้อยค่า....
    เป็นแค่สมถะ....เป็นของฝึกเบื้องต้น
    แท้จริงมรรคนี้
    ทำลายวิญญาน(ผู้รู้)โดยตรง
    ผู้รู้ตั้งขึ้นไม่ได้....
    ตั้งแต่เริ่มเดินมรรค

    คุณแนนมองออกไหม?
    ว่าที่สุดก็ต้องเดินกลับมา....
    ....สู่มรรคของพระพุทธเจ้าอยู่ดี
    เพราะเมื่อรู้อารมณ์จิตอยู่....
    ไม่มีทาง....จะเห็น
    ตัวผู้รู้อารมณ์ได้เด็ดขาด


    ............

    ความเข้าใจผิดอย่างแรกของคุณแนน
    เห็นว่าการรู้กาย....อย่างพระศาสดานั้น
    เป็นเบื้องต้น...เป็นแค่เบสิคพื้นฐาน
    และคิดว่าการรู้จิตเลย...เป็นสุดยอด
    ทั้งที่การรู้อารมณ์จิตหรือเจตสิกแบบนั้น...
    มันแค่การเริ่มต้นภาวนา
    คุณแนนยังติดอยู่...
    ยังไม่เห็นต้นเหตุ...ของอารมณ์จิตเลยด้วยซ้ำ

    ความเข้าใจผิดอีกอย่างของคุณแนน
    อานาปานสติ....นั้น
    ไม่ใช่การทำนั่งจุ้มปุ๊กหลับตา...เท่านั้น
    ที่ผมอธิบายทั้งหมด....
    ทำตอนลืมตา....
    อยู่ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น

    อีกอย่างการภาวนาจริงๆ...
    ไม่มีใครไปพากย์ใส่ชื่อ...นั่นนี่ให้จิต
    สภาพภายในเป็นปรมัต....
    เคยอธิบายไปแล้ว...
    มันจะเห็น....แค่อาการเท่านั้น

    เชื่อหรือเปล่า?
    แม้ผมจะเฉลยเส้นทาง
    ....ที่คุณแนนเดินอยู่..ให้อ่าน
    คุณแนนก็เข้าใจไม่ได้....

    เพราะถ้าเห็นตามได้จริง....
    แทบจะยกมือท่วมหัว...ไปแล้ว
    ที่ได้รู้แนวทางไปต่อ....
    ไม่ใช่หยุดที่...ดูเรื่อยๆ....ดูเรื่อยๆอยู่แบบนี้

    ถ้ารักจะเดินทางนี้
    ก็ต้องค่อยๆสาวหาเหตุ

    ธรรมนี้ดับที่เหตุ....
    ไม่ไช่ไล่ดูที่ผลมันเกิดแล้ว
    คืออารมณ์จิตต่างๆ
    ....เพียงอย่างเดียว

    ภาวนาไป
    ...เมื่อวันนึงเมื่อสาวไปต้นตอ
    คุณแนนจะเห็นมรรคของพระพุทธองค์
    เข้าจัดการกับต้นตอของทุกข์
    ด้วยวิธีง่ายๆ....ที่ได้ผลมหาศาล

    จะเห็นตัวเองโง่...อ้อมไปตั้งไกล...
    แท้จริง....
    ก็ต้องกลับมาเดินมรรค
    ....ตามพระพุทธเจ้าอยู่ดี

    มรรคที่วันนี้พากันด้อยค่า
    ....ว่าเป็นแค่เบื้องต้น แค่พื้นฐาน
    เท่านั้น.....

    ผมจึงสรรเสริญพระศาสดา...
    ทรงเป็นผู้ฉลาดในมรรค.....
    มันมาจากการที่ผมเห็น
    ....ความละเอียดในมรรค..
    ....ความเป็นเหตุเป็นปัจจัยในมรรค
    ....เห็นความซับซ้อนบนความเรียบง่าย
    ไม่ใช่...
    การได้ยินมาจากจากคนอื่นบอก
    แต่ผมเห็นความละเอียดของมรรค
    ....ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้...ด้วยปัญญา
     
  14. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    เอาอีกละ ตอนไหนที่แนนบอกว่าพยายามดูละเอียด
    แปลงเจตนาแนนเป็นอื่นตลอด เพื่ออะไร

    เห็นก่อนเกิดอารมณ์ เห็นแบบไหนคะ …ถ้าหมายถึงการกำหนดรู้ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น แบบนั้นแนนก็เคยฝึกตอนสมัยเริ่มหัดเรียนกายเคลื่อนจิตไหว ซึ่งจะตามกำหนดเห็นสิ่งที่กระทบทันทีซึ่งถือว่าดีค่ะ แนนเริ่มรู้จักการแยกรูปแยกนามจากการฝึกตรงนี้… แต่ถามว่าจิตปรุงแต่งมั้ย แค่เรากวาดตาไปเห็นเสี้ยววินาทีจิตมันปรุงแต่งเรียบร้อยแล้วไม่มีใครทัน 100% ยกเว้นว่าจิตไร้เจตสิกทำงานเพราะข่มจนมิด ….แต่จิตปรุงแต่งแล้วมันจะเสียหายตรงไหน กลัวอะไรกันอยู่ เพราะประเด็นสำคัญคือการพาจิตเรียนรู้ความไม่เที่ยงแท้ ความไม่มีตัวตน บังคับไม่ได้ของมัน นั่นคือประสาระสำคัญของกิจนี้…ดังนั้นถึงแม้อารมณ์ไม่เกิดแต่ความปรุงแต่งก็ยังเกิดเป็นปกติ อยู่ที่สังเกตุเห็นหรือไม่ ….แล้วก็แค่สติรู้ตามไปเรื่อยๆ….แต่ถ้าประเภทเห็นอารมณ์เกิดกะตัวเองเป็นมิได้ ไม่ได้ๆต้องไม่โกรธ ทำไงจะหาย ทำไงให้ไม่มีอารมณ์ อันนี้แหล่ะปรุงแต่งไม่รู้ตัวเพราะเริ่มให้ค่าว่าอันนึงดีอีก อันนึงไม่ดี

    เรียนรู้เข้าไปเถอะแล้วเข้าใจแจ่มชัดว่า มันเป็นหน้าที่เขานั่นเอง เห็นสักพักจิตเราจะไม่กระโจนไปร่วมปรุงกับเขา เห็นเขาเหมือนเห็นกลไกเครื่องจักรทำงานไปแบบนั้น แล้วจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดเขาเลยที่เป็นเช่นนั้น เขาเพียงทำไปตามกลไกธรรมชาติ


    เหตุมันก็คือจิต ไม่มาเห็นที่จิตแล้วจะให้ไปเห็นที่ไหน
    ไม่ว่าจะไปเห็นอะไรส่วนไหนยังไง มันทวนเข้ามาที่จิตอยู่ดี

    ไล่ดูเลยหรอคะ แบบนี้ยิ่งเหมือนใช้ตัณหาไปวิ่งตามหาจิตตามหาความคิด หาเท่าไหร่ ยิ่งมืดเพราะความคิดพาหลง
    ใช้ความคิดเยอะจังเลยค่ะ อ่านแล้วเหนื่อยแทน
    คุณน่าจะเป็นประเภททิฐิจริต คิดเยอะ ซับซ้อน ตรรกะ
    ยิ่งดูจากวิธีการตอบแล้วด้วย

    สภาวะการเปลี่ยนแปลงของจิต มีเกิดขึ้นในทุกวัน
    จิตพัฒนาหรือไม่ มีแต่เราที่รู้
    สภาวะเมื่อวาน หรือวันนี้ ก็มีแต่ตัวเราที่เข้าใจ
    จิตในแต่ละวัน แสดงตัวแตกต่างกันไป กะเกณฑ์ไม่ได้
    บางวันวิจิตรมาก บางวันเหมือนเสื่อมถอย

    แต่หน้าที่เราสุดท้ายก็ “แค่รู้” ไม่จำเป็นต้องดัดแปลงพาจิตคิดเป็นอื่น

    ทำไมต้องหาคำตอบ
    ทำไมต้องไปกังวลกับปลายทางล่ะ

    ในนี้มีใครตั้งเป้าว่าจะบรรลุอรหันต์ภายใน 2 ปี แล้วบรรลุได้บ้าง…คุณพูดอย่างกับจิตมันสั่งให้ตัดสังโยชน์ทิ้งได้เหมือนเดินไปตัดต้นไม้หน้าบ้าน…

    จิตสั่งได้แบบนั้นคงเป็นจิตอัตตาแล้วล่ะ
     
  15. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626

    คุณแนนดูดีๆผมจะสื่อถึงอะไร?

    ....สรุปง่ายๆ
    พอได้ยิน....อานาปานสติ
    รู้ลม...รู้กาย...
    ก็พากันบอกว่าเบสิคๆ..พื้นๆ
    เป็นของเด็กเพิ่งเริ่มฝึก...
    แบบที่คุณป.ปราบว่าไว้
    ทั้งที่ผมยกมรรควิธีนี้
    มาจากปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

    ผมเลยอาสาชี้ให้...
    นี่เธอๆ...อย่าสำคัญผิด
    ....แท้ที่จริงตัวคุณแนนและคุณป.ปราบ
    ยังอยู่จุดสตาร์ท
    แล้วทำกล้าหาญ
    บอกว่ามรรคอานาปนสติ..เป็นแค่พื้นฐาน

    จริงๆแล้ว....อานาปานสติ
    จัดการวิญญานให้ไม่มีที่ตั้ง
    ตั้งแต่แรก...ของการเจริญอานาปานสติ
    ด้วยซ้ำ

    อีกอย่าง....แต่ก่อนคุณแนน
    ไปฝึกดูการเคลื่อนไหว...
    ....นั่นล่ะของดี
    เมื่อจิตอยู่กับการเคลื่อนไหวของกาย
    จิตนี้จะเเสดงความไม่เที่ยงให้เห็นเลย...
    ว่ามันบังคับให้จิตนี้
    อยู่กับการเคลื่อนไหวของกายตลอดไม่ได้
    ....เห็นอนัตตาทันที

    คุณแนนคิดว่า
    ครูบาอาจารย์ที่ให้รู้การเคลื่อนของกาย
    ท่านแค่ขั้นเบสิคไหม....

    เพราะท่านเห็นตามพระศาสดาแล้ว
    จิตยังไงต้องอาศัยที่เกาะ....
    คืออยู่กับการเคลื่อนไหวของกาย
    เพราะธรรมชาติจิต....
    เกาะสิ่งนี้...ปล่อยสิ่งนั้น
    เกาะสิ่งนั้น...ปล่อยสิ่งนี้
    ....ไม่ใช่อยู่ๆเข้าไปรู้นามธรรม
    ทั้งที่ไม่มีที่เกาะ
    จะโดนนามธรรม....ลากไป
    ...แบบไม่รู้ตัว

    คุณแนนไม่สงสัยหรือว่า...
    ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
    ทำไมไม่ทำแบบคุณแนน
    คือรู้อารมณ์จิตไปเลย.....
    ทั้งๆที่การรู้อารมณ์จิตแบบนี้ง่ายกว่า
    ใครก็เข้าไปดูได้....

    สร้างสัญญาให้เกิด....ตอนจิตกระเพื่อม
    พอจิตกระเพื่อม...
    สัญญาที่เคยทำไว้....มันก็ระลึกได้...
    แค่นี้เอง
    อย่าไปสำคัญว่ามันแอดว๊านเลยครับ

    มรรคแปด...ของพระพุทธเจ้านั่นต่างหาก
    ที่ต้องศึกษา....และทำตาม
    อย่าไปเข้าใจมรรคแปดนี้...
    มีแค่สติ...รู้....อย่างเดียว
    ใจยังแกว่งขึ้นลง....ด้วยอำนาจกิเลสไม่หยุด

    มรรคแปด....คือการทำให้คลื่นลมสงบลง
    แล้วดูคลื่นลมที่แทบจะหยุดนิ่งนั้น
    ไม่ใช่สติรู้....อย่างเดียว
    แบบนั้น
    คือนั่งดูพายุที่โหมกระหน่ำ....
    กลับไปดูมรรคแปดดีๆครับ
     
  16. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    เอ้าๆๆ ลุงแมวฮับ ได้ยินมั้ย อย่าไปกระโดดงับรู้ นะครับ
    มันไม่ได้เรื่อง หมูไหม้ บอกว่า ให้หาที่เกาะ ก่อน เข้าใจมั้ย ลุงแมว :rolleyes:
     
  17. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    คุณแนน แฟนต้า ก็ใช่ย่อยซะที่ไหน ล่อมายาวเลย ยาวต่อยาว มันจะยาวหรือมันจะสั้นละ 555 นี่นั่งอ่านเรื่อง คนจีบกันใช่ไหม ไม่ใช่เพราะ ธรรมมันต่างกัน หรือว่า ศีลไม่เสมอกัน หรือว่า เวลากาล มันต่างกันด้วยละ 555 ผมคิดว่าน่าจะเพราะธรรมวิจัย หรือ ความสามารถในการวินิจฉัย หรือ วิปัสสนาญาณ มันต่างกัน ซึ่งมันก็ทำให้ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ว่านะ คุณแนน ก็ถือว่า มีความพยายามสูงนะ เผื่อเขาจะเข้าใจอะนะ 555 ก็ดีคับ พากันเข้าหาทางธรรม เป็นบุญเป็นกุศลคับ ดีดี คับดี
     
  18. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    แนนไม่ได้สำคัญวิธีไหนๆสักอัน เพราะวิธีไหนๆ สุดท้ายต้องมาเห็นที่จิตนี้ แล้วผิดตรงไหน ถ้าเกิดมันเห็นจิตเด่น อารมณ์เด่น ณ ขณะนั้น เราควรกำหนดรู้ปัจจุบันขณะ มิใช่หรือคะ คุณไม่เห็นจิตจะไปดูลม ก็ดูไปสิคะ แต่คนอื่นเขาเห็น แล้วเขากำหนดรู้สิ่งที่เขาเห็นขณะนั้น

    แล้วคุณว่าแนนเลิกทำกรรมฐานเหล่านี้หรอ แนนเอามาประยุกใช้ระหว่างวันทั้งนั้นแหล่ะ เพียงแต่ช่วงหลัง หลังจากหลวงปู่แนะให้ดูจิต มันก็เห็นจิตที่มันกระเพื่อมเด่น ก็กำหนดรู้เพิ่มเข้าไป ….จิงๆของแบบนี้บางทีไม่ต้องกำหนด มันก็รู้เองเห็นเองห้ามไม่ได้หรอก เอาล่าสุดเลย เมื่อคืนขณะหลับตาจะนอน อยู่ดีๆจิตตั้งขึ้นมาเห็นกายนอน เห็นจิตวิ่งดุ๊บดั๊บๆ ปริ๊บๆไปมา …สุดท้ายหลับได้ตอนตีสี่ เพราะจิตมันตั้งอยู่อย่างนั้น ไม่มีเจตนาจะฝึก อะไรสักนิด บทมันจะมาให้เห็น อะไรก็ห้ามไม่ได้หรอกค่ะ


    แนนเคารพครูบาอาจารย์ทุกท่านที่เบิกเนตรให้แนนเห็นความจริง ไม่ว่าจะสายพองยุบ สายกายเคลื่อนไหว สายดูจิต ทุกเส้นทางที่กล่าวนี้ล้วนช่วยส่งเสริม ไม่เคยคิดว่าเส้นไหนด้อย หรือดีกว่า สิ่งเหล่านี้ค่อยๆทำให้กระจ่างถึงความจริงที่ถูกมองข้ามมานาน

    ใครๆก็โดนลากทั้งนั้นแหล่ะ ระหว่างแต่ละวัน มีสติระลึกได้กี่% โดนลาก ก็เพียรกำหนดรู้ว่าโดนลาก ระลึกได้บ่อยๆ ระยะเวลาโดนลากก็สั้นลง


    แล้วรู้ได้ไงว่าท่านเหล่านั้นไม่ทำระหว่างวัน

    แล้วคุณจะพยายามดูลมเพื่อไปเห็นจิตทำไม
    ที่เอาจิตอยู่ที่ลม ก็เพื่อไปเห็นความแปรปรวนของจิตไม่ใช่รึไง
    สุดท้ายปลายทางก็คือการไปเห็นความจริงของจิต

    แล้วมันต่างกันตรงไหนกับคนที่เห็นจิตได้เลย ทั้งที่เป้าหมายเดียวกัน เพียงแต่อันนี้แทงตรงไปที่จิตเลย
     
  19. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    เอ้ย หมูไหม้ ลุงแมวบอกว่า อย่าไปพยายามทำอะไรให้ การพยายามมันเป้นตัณหา ดิ้นรน ทุกอย่างเกิดดับตามธรรมชาติ ให้อยู่ภายในความว่างคือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ นะฮับ
     
  20. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    พอ น้องชมพูมา

    อย่าไปเข้าใจที่พี่หมูไหม้ สื่อนะครับ

    พี่หมูไหม้ เขาจะสื่อว่า การเดินมรรค 8 ตามพระศาสดา ก้คือการเจริญ สติปัฏฐาน 4 นั่นละครับ

    ผมว่า ทุกคนเข้าใจที่พี่หมูไหม้ สื่อผิดไปนะครับ ฮาาา
     

แชร์หน้านี้

Loading...