กฎแห่งกรรม...กับ...คลื่นแม่เหล็กธรรมชาติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ไม้บรรทัด, 25 เมษายน 2009.

  1. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293


    [​IMG]



    โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
    หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 25 เมษายน 2552

    ได้พูดได้เขียนมาตลอดว่า ผู้เขียนเชื่อในกฎแห่งกรรมเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงเชื่อว่าหลังจากตายไปแล้ว ทุกคนต้องเกิดใหม่เพื่อใช้กรรมนั้น นั่น-ว่ากันตามศาสนาพุทธ แต่ความรู้แทบทุกสาขาที่อิงวิทยาศาสตร์ (กายภาพ) เป็นฐาน โดยเฉพาะชีววิทยานีโอ-ดาร์วินิสม ไม่ยอมรับ เพราะไม่มีหลักฐานตามวิธีที่วิทยาศาสตร์กำหนด

    ก่อนที่จะเกิดใหม่ ตั้งแต่เกิดมากระทั่งกำลังย่างเข้าอายุ ๘๐ ปีบริบูรณ์ ผู้เขียนยังไม่เคยดูหมอจริงๆ แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ใช่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีศัตรูและเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมกับการเกิดใหม่ ทั้งอยู่กับมรณานุสติจนเป็นนิสัย จึงไม่ได้คิดจะดูหมอ แท้ที่จริง เรื่องตายนี้ ผู้เขียนเคยบอกกับเพื่อนๆ หลายคนมาแต่ไหนแต่ไรว่า คิดว่าตัวเองคงตายเมื่ออายุ ๘๔ ปี เมื่อร่วม ๑๕ ปีก่อน อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ยังเคยถามผู้เขียนว่า “รู้ได้อย่างไรว่าจะตายอายุ ๘๔?” ได้ตอบไปในตอนนั้นว่า “คิดตามหลักสถิติ” เพราะพ่อแม่ย่ายายอายุยืนทุกคน ซึ่งเป็นความจริงแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

    เนื่องจากไม่มีเวลาอธิบาย เพราะกำลังจะออกรายการโทรทัศน์สดๆ ด้วยกันในคืนนั้น ที่ไม่ได้บอกคือ ตัวเลข ๘๔ จะโผล่ออกมาเสมอๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ที่เล่ามานี้เพราะเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นนักเรียนเตรียมอุดมรุ่นเดียวกัน เป็นหมอเหมือนกัน แต่จบคนละสถาบัน จึงไม่เคยได้พบกันมากว่า ๕๐ ปี เพิ่งรู้เมื่อเร็วๆ นี้เองว่าดูหมอเป็นด้วยการผูกดวง เขาเลยดูดวงให้และทำนายว่าจะตายตอนอายุ ๘๙ ปี แต่เจียนตาย ๒ ครั้ง ตอนอายุ ๘๔ กับ ๘๗ ที่สำคัญและเกี่ยวกับบทความนี้คือ เพื่อนบอกว่า ผู้เขียนสนใจในเรื่องของจิตและความลี้ลับมาก และในเร็วๆ นี้จะสามารถอธิบายเรื่องลี้ลับบางอย่างได้

    เมื่อร่วม ๒๐ ปีมาแล้ว ผู้เขียนได้รับเชิญไปพูดให้นักวิชาการกลุ่มหนึ่งฟังเรื่องพลังงานธรรมชาติ ซึ่งผู้เขียนบอกว่าที่สำคัญที่สุด คือพลังงานคลื่นที่มีความถี่คลื่นขนาดต่างๆ มีผู้ฟังที่เป็นวิศวกรได้พูดขึ้นว่า ที่เขารู้ พลังงานที่สำคัญที่สุดของธรรมชาติ คือพลังงานที่ได้จากฟอสซิลคาร์บอนหรือไซคลิคไฮโดรคาร์บอน นั่นแสดงถึงความล้มเหลวและผิดธรรมชาติของระบบการศึกษาของเรา ที่มองเห็นแต่สิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติที่แปรเป็นเงิน หรือเป็นประโยชน์ของมนุษย์เฉพาะที่สามารถทำให้เราผลิตเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพที่ดีของชีวิต (มนุษย์)
    หรือความสุขได้ พูดง่ายๆ เราคงคิดว่า ธรรมชาติของโลกของจักรวาลมีคุณค่าและราคาเทียบได้กับเงินที่ให้ความทุกข์ความสุขกับการดำรงซึ่งชีวิตของเราแต่เพียงประการเดียว

    เพราะฉะนั้น ในที่นี้ ผู้เขียนจึงใช้คำว่า “คลื่นพลังงาน” ที่หมายถึงพลังงานธรรมชาติที่มีมากที่สุด พลังงานที่เป็นธรรมชาตินั้นพบได้ในทุกสถานที่ของจักรวาลตั้งแต่ที่ซึ่งเล็กที่สุด เช่น แรงในนิวเคลียสของอะตอม ไปจนมหึมา เช่น กาแลคซี หรือดาว เช่น ดวงอาทิตย์ของเรา นั่นคือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามีลักษณะเป็นคลื่นความถี่ มีความถี่คลื่นต่อวินาที (เฮิร์ตซ์) ซึ่งเท่าที่วิทยาศาสตร์รู้ในปัจจุบัน คือมีความยาวตั้งแต่เท่าๆ กับเส้นผ่าศูนย์กลางของอะตอม เช่น รังสีแกมม่าที่ยาวสิบยกกำลังลบแปดเซนติเมตร (๑๐<SUP>-๘</SUP> ซม.)

    จนกระทั่งคลื่นวิทยุซึ่งยาวหลายร้อยเมตร จึงอาจพูดได้ว่าสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่มีหรือปรากฏอยู่ในจักรวาล ต่างอาศัยหรือถูกควบคุมโดยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งนั้น พลังงานไฟฟ้าหรือแม่เหล็กนั้นเหมือนกันทุกประการ เพียงแตกต่างกันที่ทิศทางของการสั่นสะเทือน (vibration) โดยพลังงานไฟฟ้าจะสั่นสะเทือนไปตามแนวดิ่ง (vertical) ส่วนพลังงานแม่เหล็กจะสั่นสะเทือนทำมุมฉากกับพลังงานไฟฟ้า คือจะสั่นไปตามแนวนอน (horizontal) เราจึงเรียกรวมๆ กันว่าพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า

    ตรงนี้มีข้อมูลเก่าของตันตริกพุทธศาสนาของมหายาน โดยเฉพาะวัชรยาน และข้อมูลที่มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าประสูติเสียอีกในปรัชญาโยคะจริยะของอินเดียโบราณ – ที่เชื่อกันว่าได้มาจากตันตระของลัทธิพระเวทกว่า ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว

    คัมภีร์ตันตระของพระเวทที่สำคัญที่สุด ได้ตกทอดมาถึงศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธ (โดยเฉพาะวัชรยาน) ต่างก็ว่าของตนมาก่อนเพราะเน้นที่เนื้อหาคนละตอน (Arthur Avalon: Principle of Tantra, 1914) น่าสนใจและน่าแปลกใจที่ความสำคัญของข้อมูลเก่าๆ โบราณๆ ของตันตระ (โยคะจริยะหรือโยคะ) ที่ว่านี้ได้ตกทอดมาถึงพุทธศาสนาวัชรยาน (เข้าใจว่าเพราะเขียนเป็นภาษาสันสกฤตด้วยกัน) พูดถึงการเกิด-สิ้นสุดของจักรวาลตลอด (ไม่รู้ว่ามีพูดในไตรปิฎกหรือมีในภาษาบาลี (Pali Cannon) ของเถรวาทเราบ้างหรือไม่? เพราะหาไม่พบ) แต่มีอย่างแน่นอนในหนังสือของ อีแวน-เวนซ์ (W.Y.Evan-Wentz: The Bardo Thodol, 1927) ซึ่งให้ข้อมูลที่ตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของพลังงานแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์ที่เชื่อมโยงกัน (ดูพารากราฟข้างล่าง)

    หนังสือของ อีแวน-เวนซ์ เขียนไว้ในเรื่องของมณฑล (mandala) ว่า “... (มณฑลที่เกิดจาก) ศูนย์สองศูนย์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด นั้นคือ ศูนย์สมองบางทีเรียกว่าศูนย์เหนือ กับศูนย์หัวใจหรือศูนย์ใต้ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นสิ่งแรกสุดที่เกิดขึ้นในตัวอ่อนหรือเอ็มบริโอ (embryo) ของมนุษย์ในครรภ์แม่ โดยมีพลังงานจากพื้นดินของโลกภายนอกซึ่งมีแหล่งรวมศูนย์ (central reservoir) อยู่ในดวงอาทิตย์ อันเป็นระบบสุริยะของเราทำหน้าที่บริหารจัดการรูป (มณฑลที่อยู่ในเอ็มบริโอหรือตัวอ่อนของมนุษย์ในครรภ์แม่) นั้นขึ้นมา” ซึ่งความถี่ของพลังงานธรรมชาติคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ว่านี้ จะมีความถี่คลื่นต่อวินาทีที่จำเพาะของคลื่นนั้นๆ ไปตามชนิดหรือประเภทขององค์กรนั้นๆ – ไม่ว่าองค์กรนั้นมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เล็กละเอียดหรือใหญ่โตมโหฬาร เช่น โลกหรือดวงอาทิตย์ – ไปตามกฎของการสั่นสะเทือนนั้นๆ

    ตรงนี้เช่นกัน เกิดมีข้อมูลใหม่ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาจากองค์กรนาซ่าที่ศูนย์อวกาศก็อตดาร์ด (NASA – Goddart Space Center) โดยนักฟิสิกส์ชื่อ เดวิด ซีเบค ที่บอกว่า “…เพียง ๑๐ ปีก่อนหน้านี้ ผมมั่นใจเหลือเกินว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ได้มีอยู่แน่ๆ แต่ทุกวันนี้มันมีอย่างที่ใครจะปฏิเสธไม่ได้” (David Sibeck NASA 30 Oct. 2008 www.tinyurl.com/67uvh2) นั่นคือ ช่องทางที่เปิด-ปิดติดต่อกัน – เพื่อให้อนุภาพของพลังงานแม่เหล็กที่สูงยิ่ง – ระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก (flux transfer event = FTE) เชื่อมโยงหรือแลกเปลี่ยนพลังงานกันและกัน ซึ่งช่องทางที่ว่านั้นจะเปิดเฉพาะกลางวันโดยจะเปิดทุกๆ ๘ นาที แล้วจะปิดไปเองในทุกๆ ครึ่งนาที (โดยประมาณ) ช่องทางที่ปิด-เปิด (portal) นี้ มีขึ้นเพื่อที่จะให้สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์กับสนามแม่เหล็กโลก – ที่อยู่ห่างกันถึง ๙๓ ล้านไมล์หรือกว่า ๑๕๐ ล้านกิโลเมตร – สามารถที่จะเชื่อมต่อรวมประสานกันได้ ช่องทางปิด-เปิดนี้จะมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่าๆ กับโลกทีเดียว “...แต่เราไม่รู้ว่าทำไมมันถึงต้องเปิดทุกๆ ๘ นาที และเราก็ไม่รู้ว่าสนามแม่เหล็กที่อยู่ในทรงกระบอกนั้นมันบิดหรือม้วนขดตัวของมันอย่างไร”

    หรือว่า? ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กหรือแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นพลังงานธรรมชาตินี้ จะมีความหมาย จำเพาะอย่างหนึ่งอย่างใดต่อเอ็มบริโอหรือตัวอ่อนของชีวิตที่อยู่ในครรภ์แม่นั้น? ที่ยิ่งไปกว่านั้น หรือว่า? ปรากฏการณ์ที่ คาร์ล จุง เรียกว่า “ความพ้องจองซึ่งกันและกัน” (synchronicity) คือปรากฏการณ์ที่ทำให้ข้อมูลทางศาสนามาพ้องกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ (พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าของดวงอาทิตย์ และพลังงานแม่เหล็กของโลก (geomagnetic)) ทั้งๆ ที่เวลาระหว่างข้อมูลทั้งสองห่างกันถึงกว่า ๔,๐๐๐ ปี ซึ่งถ้าหากความหมายจำเพาะและความพ้องจองซึ่งกันและกันที่ว่า มันเกิดเป็นความจริงขึ้นมาจริงๆ เราจะคิดว่าความหมายจำเพาะนั้น-เป็นอะไร? ผู้เขียนคิดว่า มันน่าจะเป็นไปได้ที่ความหมายจำเพาะนั้นจะเกี่ยวข้องกันกับเรื่องราวที่เล่ามาในสองพารากราฟข้างบนนั้น คือจะเป็นที่มาของกรรมของปัจเจกบุคคล? หรือเป็นแรงกรรมในอดีตของเอ็มบริโอหรือมนุษย์ผู้นั้นๆ ที่จะต้องได้รับในชาติใหม่นั้นๆ

    เรื่องเช่นนี้ผู้เขียนมีความรู้สึกแปลกๆ อย่างไม่มีเหตุผลว่า ในระยะหลังๆ มานี้ หรือจริงๆ ร่วมสิบปีมานี้ มีอะไรหลายๆ อย่างที่ “โผล่ปรากฏ” ออกมาเป็นข้อมูลใหม่ๆ หรือเป็นความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ การโผล่ปรากฏของข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่น่าจะเรียกว่า “เป็นการค้นพบสิ่งที่เคยค้นพบมาแล้ว” (re-discover) ในทางศาสนา เช่น การค้นพบความจริงทางแควนตัมกับความจริงทางศาสนา (พุทธหรือเต๋า) นั่น-ทำให้ผู้เขียนนึกถึง เซอร์ อาเธอร์ เอ็ดดิงตัน นักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษเจ้าของรางวัลโนเบล (๑๙๔๐) ผู้พบรอยเท้าประหลาดๆ ที่ชายหาดบนเกาะที่ไม่เคยมีสำรวจมาก่อน หลังจากที่เขาสร้างภาพจำลองรอยเท้านั้น เขาต้องตกใจอย่างสุดขีดเมื่อปรากฏว่ารอยเท้านั้นเป็นรอยเท้าของเขาเอง หรือไม่ก็นึกถึง เบอร์นาร์ด รีแมน นักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อ ซึ่งได้ค้นพบสมการทางคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน เขานึกว่าสมการที่เขาพบไม่มีประโยชน์ใดๆ หรือกับใครๆ เป็นแต่เพียงสมการประหลาดที่ไม่มีความหมาย แต่เพียงสิบกว่าปีให้หลัง ไอน์สไตน์ก็ได้ใช้สมการนั้น (เพียงสมการเดียว) ที่สามารถอธิบายกฎสัมพัทธภาพทั่วไปของเขาได้ ประวัติศาสตร์ของฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์เต็มไปด้วยความพ้องจองซึ่งกันและกันเช่นนี้เสมอๆ จน แบรนดอน คาร์เตอร์ เอามาเขียนเล่าไว้ว่า มีมากมาย (Brandon Carte: Large Number of Coincidences in the Anthropic Principle in Cosmology, 1974)

    ข้อสันนิษฐานที่เล่ามาข้างบนนั้น แปลกและไม่น่าเชื่อ ไม่มีเหตุผลว่าจะเกี่ยวกับเพื่อนที่บอกว่าผู้เขียนสนใจแต่เรื่องของจิตและความลี้ลับที่เราไม่เห็น แต่เรื่องที่เรามองไม่เห็นมาก่อนในอดีต ก่อนยุคสมัยวิทยาศาสตร์ “กายภาพ” หรือวิทยาศาสตร์คลาสสิคนานนักหนา เช่น อะตอมที่เดโมคริตัสบอกว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด – และแบ่งแยกไม่ได้อีกแล้ว – ของสสารมาตั้งแต่ร่วม ๓๐๐ ปีก่อนคริสตกาล แต่พระพุทธเจ้าได้มาจากไหน? ที่บอกว่าสสารที่เล็กที่สุดเรียกว่า อัฏฐกัลละปะหรืออะตอมนี้ก็ยังแยกต่อไปได้ นั่นคือ “อนุกัลละปะ” ซึ่งก็คืออนุภาค นั่น-ก่อนเวลาของเดโมคริตัสอีกร่วม ๓๐๐ ปี แต่จนบัดนี้เราก็ยังไม่เห็นอะตอมจริงๆ เลย แต่นักฟิสิกส์ต่างก็เห็นพ้องต้องกันทั้งหมด ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นว่ารายละเอียดของอะตอมว่าเป็นอย่างไร โดยดูจากความสัมพันธ์ของมันกับสิ่งอื่นปรากฏการณ์อื่นๆ

    เพราะฉะนั้น ที่เราเรียกว่าเหตุผลคือเป็นความจริงตามที่ตาของมนุษย์เห็น หรือไม่เราก็เชื่อนักวิจัยวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มากๆ ว่า มันเป็นความจริงเช่นที่ตาเห็น ในความเห็นของผู้เขียน ความจริงจึงเท่ากับเหตุผล หรือเท่ากับตาของมนุษย์เห็น-จบ ดังนั้น เรื่องที่พลังงานแม่เหล็กของดวงอาทิตย์กับพลังงานแม่เหล็กโลกและการเชื่อมโยงเข้าหากับช่องทางปิด-เปิดที่เปิดทุก ๘ นาที และข้อมูลทางตันตระพุทธศาสนาว่าด้วยพลังงานแม่เหล็กที่มาจากศูนย์กลางพลังงานแม่เหล็กร่วม (central reservoir) ของดวงอาทิตย์จะมองเป็นอย่างอื่นได้ยาก นอกจากคิดเช่นที่ผู้เขียนเชื่อว่า ศูนย์ดังกล่าวเป็นศูนย์รวมของพลังงานแม่เหล็กโลกที่นำกรรมของปัจเจกบุคคลจากโลก เพื่อไปแลกเปลี่ยนกับพลังงานแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ซึ่งนำกรรมแห่งปัจเจกบุคคลอันเป็นกรรมใหม่ไปยังเอ็มบริโอผ่านมณฑลที่กล่าวไปแล้ว เพื่อที่จะให้มนุษย์ที่เติบใหญ่จากตัวอ่อนนั้นได้รับกรรมที่ตัวเองได้กระทำไปแล้วในอดีตอย่างยุติธรรม


    วันศุกร์ที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2009 at ที่ 15:30 น. by knoom
    ป้ายกำกับ: บทความมติชน, ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
    (good);aa46-cool day-thx1;aa34
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2009
  2. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    กฎแห่งกรรม
    มันก็คือความจริง

    ที่เรายังอธิบายให้เข้าใจเป็นวิทยาศาสตร์ตอนนี้ไม่ได้ แต่อนาคตไม่แน่ ทฤษฎีที่เขาว่านี้ก็อาจเป็นไปได้

    สรรพสิ่งเกิดจากการสั่นสะเทือนของพลังงาน เปลี่ยนรูปไปเรื่อยๆตามแบบของมัน

    เมื่อก่อนเราคิดว่าอะตอมเล็กที่สุด แต่พอหาไปเรื่อยๆจนที่สุด ก็เจอแต่ความว่างเปล่า ไม่มีมวล มีแต่การสั่นสะเทือนของคลื่น

    ก็ว่ากันไป อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  3. Add-on

    Add-on Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2008
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +64
    กฎแห่งกรรมคือธรรมชาติอันสูงสุด
     
  4. อัสติสะ

    อัสติสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +392
    สาธุด้วยครับ
    ธรรมที่พระศาสดาตรัสไว้เยอะ
    ขึ้นอยู่กับใครจะหยิบไปพิจารณา
    และแยกแยะหาเหตุและผลที่แท้จริง

    และอย่าลืมจุดหมายปลายทางคือ ความพ้นทุกข์ก็เพียงพอครับ
     
  5. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    ความรู้ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด...
     
  6. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    "กฎทางฟิสิกส์"
    แรงกิริยา = แรงปฏิกิริยา
    มุมตก = มุมสะท้อน
    โลกดูดดวงจันทร์=ดวงจันทร์ดูดโลก
    หลักแห่งความสมดุล
    กฎพลังงานไม่มีวันสูญหาย แต่แปรเปลี่ยนรูปได้
    คลื่นพลังงานจาก คิด พูด ทำ ยังคงอยู่ ไม่สูญสลายหายไป
    หรือรวมๆกันนี้ คือ ที่มาของ
    ???"กฎแห่งกรรม"???
    :( :( :(

    กฎฯลฯ = สัญญา

    กฎฯลฯ
    กฎพลังงาน
    กฎแห่งกรรม
    กฎแห่งธรรม
    กฎแห่งธรรมชาติ
    กฎแห่งแรงดึงดูด
    กฎแห่งแรงโน้มถ่วง
    กฎแห่งสัมพันธภาพ
    กฎแห่งปฎิจจสมุทปบาท

    หรือนี่คือ
    สัจจะ ความจริง
    ความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย
    พลังงาน..ไม่มีวัน..สูญสลาย
    พลังงาน...คิด..พูด..ทำ..กรรม
    fly_pig<!-- google_ad_section_end -->​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2009
  7. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    กฎธรรมชาติ..ที่แท้จริง???..กฎแห่งกรรม

    จาก สูงสุด วัตถุ กาย จิต..กิเลส
    สู่ สามัญ จิต กาย..บริสุทธิ์

    สรรพสิ่งในมหาสากลจักรวาล คือ สิ่งเดียวกัน???

    เท่าที่มนุษย์ ค้นพบ
    ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ดวงดาว ป่าเขา แผ่นดิน ท้องฟ้า ทะเล แม่น้ำ สรรพสัตว์
    ประเทศ จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว คน สัตว์ สิ่งของ
    โมเลกุล อะตอม อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน นิวตริโน อนุภาคแสง โฟตอน แกมมา อัลฟา ฯลฯ

    สิ่งที่เล็กที่สุด คือ อะไร????ทำจากอะไร????เกิดจากอะไร????จิต???

    สรรพสิ่งในมหาสากลจักรวาล

    ยึดกันอยู่อย่างไร??? ห่างกันเท่าใด???ใกล้ชิดแค่ไหน????
    เท่าที่มนุษย์คิดได้ มีตัวชี้วัด คือ ระยะ..
    ระยะทาง ระยะห่าง ระยะเวลา
    นั่นแสดงว่ามี
    ช่องว่าง ความว่าง ระหว่างสรรพสิ่ง
    ช่องว่าง ความว่าง ระหว่างทุกสรรพสิ่ง เป็น..ผืนเดียวกัน..เชื่อมต่อกัน..คุณสมบัติ..เหมือนกัน????
    ...ย่อมเป็น..ผืนเดียว..อันเดียวกัน..จริงแท้แน่นอน...ทั่วทั้งสากลมหาจักรวาล
    ...ย่อมเป็น..ที่ตั้งอยู่ และ เปลี่ยนรูปไป..ไม่ดับ..ของ..ทุกสรรพสิ่ง..ทั่วทั้งสากลมหาจักรวาล

    ในช่องว่าง ความว่าง ระหว่างสรรพสิ่ง มีอะไร????
    สรรพสิ่งยึดกันอยู่ด้วยอะไร????
    แรง?
    แรงดึงดูด
    แรงโน้มถ่วง
    แรงยึดเหนี่ยว
    แรงเกี่ยวพัน
    แรงสัญญา
    ฯลฯ


    จึงเห็นว่า
    ทุกสรรพสิ่ง ล้วน เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กัน
    ทุกสรรพสิ่ง ประกอบด้วย วัตถุ+ช่องว่าง ซึ่ง ในช่องว่างนั้น บรรจุด้วย แรงดึงดูด ทำให้ ยึดติด สัมพันธ์กัน เฉกเช่น คน สัตว์ สิ่งของ ล้วนเกี่ยวข้อง ผูกพันกันและกัน มีผลต่อกันและกัน ต่อเนื่องกัน ไม่มีที่สิ้นสุด ดุจ ทฤษฎีปฏิจจสมุทปบาท ทฤษฎีสัมพันธภาพฯลฯ ทั้ง การกระทำ คำพูดและ ความคิด จิตใจ หรือนี่คือที่มาของคำว่า กฎแห่งกรรม

    ซึ่งเป็นไปตาม กฎธรรมชาติ เช่น
    ทฤษฎีแรงโน้มถ่วง ของนิวตัน
    ทฤษฎีแรงสัมพันธภาพ ของไอน์สไตน์
    ทฤษฎีปฏิจสมุทปบาท ของพระพุทธเจ้า
    ฯลฯ เท่าที่มนุษย์ คิดได้

    อยากถาม..มนุษย์อีกว่า
    จะแยกเขา แยกเรา แยกเผ่า แยกพันธุ์ แยกหมู่ แยกพวก แยกเชื้อ แยกชาติ แยกศาสนา แยกๆๆๆฯลฯ...ทำไม
    ..????? ในเมื่อ..เราล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน ตั้งอยู่บนช่องว่าง ความว่าง อันหนึ่งอันเดียวกัน มีแรงฯลฯยึดเหนี่ยวเกี่ยวพัน กันและกันๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เมื่อใหร่???..จะยินยอมพร้อมใจ..และกลับคืน..สู่..สามัญ
    ธรรมชาติ ..สมดุลย์
    ธรรมดา ..สบายๆ..
    ด้วย..
    ธรรม ..สายกลาง
    อันหนึ่งอันเดียวกัน คือ ความ..รัก..ดี..ที่จิต..กาย..พอดี พอเพียง..ต่อสรรพสิ่ง
    สู่..
    ความว่าง..ช่องว่าง..จิต..กาย..บริสุทธิ์..ดั่งเดิม..นิพพานัง..จิตจักรวาล..หนึ่งเดียวกัน

    วิธีการ นั้นมีอยู่แล้ว ฟรีๆ ทุกๆที่ ทุกๆเวลา ขณะจิต

    หรือ กฎต่างๆเหล่านี้ คือ???
    กฎแห่งความจริงแท้ แน่นอน ของมหาสากลจักรวาล

    fly_pig;aa1fly_pig
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,674
    ค่าพลัง:
    +51,948
    ความรู้เก่าแก่ในจีน ที่หลงเหลือ....
    มาจากศาสนาพุทธ ในยุคพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ก็มีอยู่....

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,674
    ค่าพลัง:
    +51,948
    กฎ...คือ ข้อกำหนดที่ต้องทำ
    สัจจะ ....เป็นสิ่งที่เรายังทำไม่ได้ และต้องกลับมาทำต่อให้สำเร็จ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,674
    ค่าพลัง:
    +51,948
    *** กฎแห่งกรรม ****

    กฎแห่งกรรม...ไม่ใช่สิ่งสูงสุด
    กฎแห่งกรรม....คนเรารู้มานานแล้ว นานก่อนจะมีพระพุทธเจ้า
    มนุษย์เรา...รู้ว่าทำดีได้ดี...ทำชั่วได้ชั่ว...มานานแล้ว

    แต่ไม่มีใครรู้ว่า....เพราะเหตุใด ทำดีจึงได้ดี !!!
    ไม่มีใครรู้ว่า...เพราะเหตุใด ทำชั่วจึงได้ชั่ว !!!!

    ไม่มีใครรู้เหตุผล
    ไม่มีใครรู้ถึงคำตอบ

    จนกระทั่ง...พระพุทธเจ้าค้นพบว่า
    ทุกการกระทำ ที่ได้ทำไปแล้ว… ไม่ตาย ไม่สูญสลาย
    เกิดเป็นตัวเป็นตน...แต่คนเราไม่สามารถมองเห็นได้
    พระพุทธเจ้า...จึงเรียกผลของการกระทำนี้ว่า.... “ตัวกระทำ”

    พระพุทธเจ้า...พบว่า
    ทุกตัวกระทำ... จะติดตัว ติดไปกับจิตวิญญาณของเราตลอดกาล
    และ ทุกตัวกระทำ.... มีผลตอบแทนทั้งสิ้น

    พระพุทธเจ้า...จึงพบว่า
    สิ่งนี้เองคือ.... “หลักสัจจะธรรม”
    พระองค์จึงสรุปแก่นสารของ...สัจจะธรรม ความจริงในธรรมชาติ ไว้สั้นๆ
    ……. “ ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน ” …….

    ในที่สุด
    พระพุทธเจ้า...จึงตรัสรู้ว่า
    ”หลักสัจจะธรรม”... คือ เหตุผลของ “กฎแห่งกรรม” นั่นเอง

    เพราะ... “ตัวกระทำ” จากการกระทำที่ไม่ดี เบียดเบียนผู้อื่น...
    จึงส่งผลไม่ดีกลับมา เป็นความทุกข์ เช่น โชคไม่ดี โรคร้าย อุบัติเหตุ เป็นต้น

    เพราะ... “ตัวกระทำ” จากการกระทำที่ดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์...
    จึงส่งผลดีกลับมา เป็นความสุข เช่น โชคดี รอดพ้น ปลอดภัย แคล้วคลาด เป็นต้น

    พระพุทธเจ้า จึงเป็นผู้ค้นพบความจริง
    ว่า...กฎแห่งกรรม ไม่ใช่สิ่งสูงสุด
    ”หลักสัจจะธรรม” ความจริงในธรรมชาติ...คือ สิ่งสูงสุด มีผลรอบคอบจักรวาล
    หลักสัจจะธรรม....จึงเป็นเหตุผลของ “กฎแห่งกรรม”

    พระพุทธเจ้า...จึงพบว่า
    การกระทำ...เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
    เพราะ...การกระทำ ก่อให้เกิด... “ตัวกระทำ”
    พระองค์...จึงมุ่งสั่งสอนให้มนุษย์ ปฏิบัติตนด้วย “สัจจะ”
    ทำความดีให้ได้สักหนึ่งข้อ เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป

    และ พระองค์...ทรงใช้ “สัจจะ”
    เป็นผู้นำตนเอง ในการขจัดกิเลสนิสัย...จนหมดสิ้นไปจากจิตใจของพระองค์
    พระสงฆ์และสาวก ในสมัยพระพุทธเจ้า...จึงปฏิบัติด้วย “สัจจะ” เป็นประจำ
    ผู้ที่สำเร็จเป็นอรหันต์...จึงมีมากในสมัยพุทธกาล
    เพราะ...ตั้งใจจริง และทำได้จริง....นิสัยแต่ละตัวจึงค่อยๆ หมดไปได้จริง

    - “ หนุมาน ผู้นำสาร “
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,674
    ค่าพลัง:
    +51,948
    *** หลักสัจจะธรรม ****

    ...ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน....

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. haha666

    haha666 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +1
    อย่างมงาย
     
  13. จิตการุณ

    จิตการุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +30
    แล้วอะไร ที่ควรเรียกว่า ไม่งมงาย
     
  14. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    เมื่อไหร่???ที่มนุษย์ เข้าใจว่า
    ความว่าง เป็นหนึ่งเดียว ผืนเดียว เป็นที่ตั้งอยู่ สัมผัสอยู่ ของ ทุกอณู ทุกสรรพสิ่ง ทั่วมหาสากลจักรวาล อันเอนกอนันต์(โลกคือเรา เราคือโลก จักรวาลคือเรา เราคือจักรวาล)


    เมื่อนั้น???มนุษย์ ก็จะสามารถพัฒนา จิต ให้เป็น ความว่าง เช่นนั้นได้ อันหมายถึง จิตประภัสสร จิตบริสุทธิ์ ดุจความว่าง อันปราศจากยางเหนียว แห่งกิเลสทั้งปวง นั่นเอง

    เมื่อ จิต เป็น ความว่าง บริสุทธิ์ หลุดจากความยึดมั่นจากตัวตน ก็จะสามารถ..เชื่อมเป็นหนึ่งเดียว ผืนเดียว กับ ความว่าง..อันเป็นที่ตั้งอยู่ สัมผัสอยู่ ของ ทุกอณู ทุกสรรพสิ่ง ทั่วมหาสากลจักรวาล อันเอนกอนันต์

    ภาวะนั้นคือ จิต เข้าสู่ ภาวะสัพพัญญุตา นิพพาน โลกุตตระ ตรัสรู้ จิตจักรวาล ฯลฯ แล้วแต่มนุษย์จะเรียก คือ ภาวะจิตที่สามารถรับรู้ทุกอณูสรรพสิ่ง ทั่วมหาสากลจักรวาล อันเอนกอนันต์ แล เอวัง

    และนี่คือ การบรรจบกัน ของ พุทธศาสนา กับ วิทยาศาสตร์ นั่นเอง

    (*) (*) (*)(*) (*) (*) (*) (u) (u) (u) (u) (u) (u) (u) fairy3

    หมั่นฝึกจิต ปฎิบัติ ขจัดกิเลส ให้เป็น นิสัย เถิด
    ทุกคนทำได้ ถ้าเข้าใจถูก จงมีสัมมา ลดมิจฉา เทอญ<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. evolution_e99

    evolution_e99 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +11
    ขอบคุณครับ
     
  16. สามเณรผู้เดียว

    สามเณรผู้เดียว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +16
    หลุดจาก "กรรม"
    หลุดจาก "สนามแม่เหล็ก"

    เพราะสิ้น "ตัณหา"
     
  17. Premsuda (May)

    Premsuda (May) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +646
    เมย์ได้ภาพกราฟฟิคชุดใหม่มา เรื่องภัยพิบัติล้างโลก จากองค์การ NASA ค่ะ่

    เมย์ได้ภาพกราฟฟิคชุดใหม่มาค่ะ่ น่าทึ่งมาก ทำให้เข้าใจการเกิดภัยธรรมชาติน้ำท่วมล้างโลก ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร อธิบายแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลทั้งนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นลอยๆนะคะ ลองเข้าไปชมกันนะคะ และภาพกราฟฟิคที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือ

    - ภาพสนามแม่เหล็กโลกกำลังปกป้องโลกจากรังษีของดวงอาทิตย์ (แต่วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555 โลกจะไม่มีสนามแม่เหล็กคอยปกป้องตัวเอง)
    - ภาพแกนโลกจะเอียงถึงจุดวิกฤติจนสนามแม่เหล็กหายไป โดยขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้แทน (จะเริ่มพลิกในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป โดยใช้เวลาประมาณ 49 วัน)
    - ภาพหลังแกนโลกพลิกขั้วเสร็จแล้ว ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้แทน และโลกจะสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาใหม่ คาดว่าจะใช้เวลาในการพลิกกลับขั้วประมาณ 49 วัน


    ***ช่วง 49 วันนี่แหละ ที่เป็นวันภัยพิบัติล้างโลกอย่างแท้จริง (22 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 = 49 วัน)***





    ภาพกราฟฟิคชุดใหม่จากองค์การ NASA เมย์เพิ่งได้มาใหม่ๆ แสดงการเกิด ภัยพิบัติครั้งใหญ่ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร น่าตื่นตาตื่นใจ สวยงามมากๆค่ะ
    [คลิกเลยค่ะ >>> http://palungjit.org/threads/ความตา...ร-วันสุดท้ายของมนุษย์-ที่ไม่มีศีลธรรม.186854/]






    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    .
    .
    .
     
  18. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    ”หลักสัจจะธรรม” คือ ..ความจริงแท้ในธรรมชาติ...ที่มีอยู่แล้วเป็นปกติ..
    ซึ่งแม้จะมี..พระพุทธเจ้าสักกี่องค์??? หรือ..ไม่มีเลย มันก็ยังคงมีและเป็นไปอยู่อย่างนั้น..นั่นคือ ความจริงแท้สูงสุด ที่มีอยู่ทั่วสากลจักรวาล
    แน่นอน???
    กฎต่างๆ ทั้งหลาย ที่มนุษย์เราค้นพบ จึงเป็นเพียง กฎย่อยๆๆๆภายในธรรมชาติ เท่านั้น
    และถือได้ว่า กฏย่อยๆเหล่านั้น ก็คือ กฎธรรมชาติในแต่ละเรื่องๆๆๆแยกซอยออกไป เท่านั้นเอง

    เช่น
    ..กฎพลังงาน..ก็คือ ความจริงแท้สูงสุดในธรรมชาติ..ในเรื่อง..พลังงาน..ซึ่งอาจจะใช้ภาษาบัญญัติว่า..หลักสัจจธรรม..ในเรื่อง..พลังงาน
    ..กฎแห่งกรรม..ก็คือ ความจริงแท้สูงสุดในธรรมชาติ..ในเรื่อง..กรรม..ซึ่งก็คือ หลักสัจจธรรม ในเรื่อง กรรม นั่นเอง
    เป็นต้น

    ดังนั้น จึงต้องอธิบาย ด้วย..หลักสัจจธรรม..ในแต่ละเรื่องๆๆๆย่อยซอยออกไป..ผู้คนจึงจะรู้เห็นและเข้าใจตามได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน มีสัมมาทิฐิ
    ;aa49;aa7
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2009
  19. Puiจ้า

    Puiจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +134
    กฎแห่งกรรม อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา การเวียนว่ายตายเกิด ล้วนแล้วแต่เป็นสัจธรรมที่หนีไม่พ้น ในสังสารวัฎ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2009
  20. sa_bye_dee

    sa_bye_dee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +34
    พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานแห่งธรรมชาติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...