สงสัยมากกับศีล8ช่วยตอบด้วยคะเพราะกำลังเตรียมตัวและใจเข้าบวชชีพรามณ์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Igiko_L, 30 พฤษภาคม 2009.

  1. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    ;aa2พรุ่งนี้ นัดเพื่อนเพื่อไปซื้อของใช้ สำหรับการบวชชีพรามณ์ วันนี้เตรียมใจ เตรียมตัว โดยค้นหาข้อมูลศีล8 พบเรื่องที่สงสัย(เพื่อนเองก็โทรมาถาม)หนูก็ไม่รู้ อยากให้ทุกๆท่านช่วยตอบด้วยนะคะ
    *ข้อ 7. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    (เว้นจากการฟ้อนรำขับร้องและการบรรเลง ตลอดจนถึงการดู การฟังสิ่งเหล่านั้น และเว้นจากการทัดทรงดอกไม้ การใช้ของหอมเครื่องประทินผิวหรือเครื่องสำอางค์ทุกชนิด) *
    หนูอยากถามว่า หนูแปรงฟัน สระผมได้ไหมคะ?ถ้าได้ อย่างนั้น หนูใช้ครีม รักษาหน้า(แพ้แดดได้ไหมคะ) การใช้ครีมบำรุงหน้า ไม่ใช่เพราะรักสวยรักงาม คือใจหนูเปรียบเทียบว่า ร่างกาย สำคัญทุกส่วน สระผมเพราะอยากให้สะอาด ทาครีมกันแดด บำรุงผิวก็เหมือนดูแลปาก และผม คือให้ออกมาดูดีตามธรรมชาติของมัน (หนูว่า น่าจะหมายถึง การแต่งหน้าทาปาก ที่ผิดธรรมชาติควรงด)
    ขอคำแนะนำด้วย ว่าหนูคิดถูกหรือผิด จะได้บอกเพื่อนว่า เอาไปได้ หรือไม่ต้องเอาไป ขอบพระคุณมากค่ะ rabbit_scary
     
  2. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    การถืออุโบสถศีล สามารถแปรงฟัน และสระผม หรือใช้สบู่ได้ค่ะ

    แต่สำหรับครีมกันแดด หรือลิปปาล์ม (ลิปมัน)ทากันปากแตก ให้พิจารณาว่า ยา ไม่ได้เน้นความสวยงาม สามารถใช้ได้ค่ะ

    ถ้าเป็นพวก night cream หรือครีมบำรุงผิวหน้า ควรงดเว้นค่ะ เนื่องจากไม่สามารถอนุโลมให้เป็นยาได้

    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    Numsai
    -Happy Smile_
     
  3. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมพึ่งรู้นะครับการบวชชีพราหมณ์ถือศีลแปด ทาครีมกันแดดได้เพราะมัน
    เป็นยา โอโห! เลี่ยงบาลีเฉยเลย[​IMG]
    . ศีลข้อนี้ท่านห้ามไว้ เพื่อไม่ให้เกิดกิเลศขึ้นในใจ เครื่องสำอางค์ที่ใช้
    กันจุดมุ่งหมายก็เพื่อ ให้หน้าตาร่างกายสวยงามเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม
    ทีนี้เรามาดูเรื่องครีมกันแดดกัน ในทางการแพทย์แสงแดดไม่เป็นอันตราย
    ต่อผิวคนไทยเลย เพียงแต่เมื่อโดนนานๆเข้าทำให้ผิวดำ ในความรู้สึก
    ของผู้หญิงความดำเป็นศัตรูกับความงาม ผมเลยเห็นว่าเครื่องสำอางค์กับ
    ครีมกันแดดมันไม่แตกต่างกันเลย อาจเป็นเพราะว่าผิวดำทำให้ขาวยาก
    ไม่เหมือนกับขี้ไคร กลับบ้านอาบน้ำก็หายแล้ว ได้ไม่คุ้มเสียเลี่ยงมันซะ
    เลยดีกว่า การบวชต้องนำใจมาบวชด้วยเป็นสำคัญ การกระทำใดคน
    อื่นอาจไม่รู้แต่ใจเรารู้ เมื่อใจยังยอมรับไม่ได้ก็อย่าพึ่งมาบวชเลยครับ
    . อยากขอแนะนำด้วยความเกรงใจเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งใดที่เราทำไม่ได้ก็ไม่
    สมควรแนะนำผู้อื่นให้กระทำตาม แล้วชี้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งถูกนะครับ[​IMG]
     
  4. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    ขอบพระคุณค่ะ ที่แนะนำ พร้อมที่จะบวชค่ะ เพราะครั้งนี้บวชนาน7วัน เป็นวัดป่า สายพระอาจารย์มั่นด้วย ไม่บวชตอนนี้ ก็หาโอกาสยากแล้ว เพราะ หนูได้เรียนมหาลัย และยังต้องเตรียมสอบเข้าแพทย์อีก อยากให้การบวชครั้งนี้ แม่ได้บุญมากที่สุด(ไม่รู้ว่าแม่จะอยู่กับหนูได้อีกนานไหม รู้สึกสังขานของท่านไม่ไหว ยังไงซะให้กรรมแม่เบาลงก่อนตายจะดีกว่า)อีกอย่างผลบุญครั้งนี้ อาจจะช่วยหนูสมหวัง ที่จะเป็นแพทย์ เคลื่อนที่ รักษาคนป่วยตามป่า ตามดอย (เผื่อได้เจออาจารย์ดีๆสักรูป)ได้ปฏิบัติธรรม เพื่อการนิพพาน ในปัจจุบัน
    ขอบอกคุณบุญพิชิตว่า หนูแพ้แดด เพราะหนูผิวขาว พอถูกแดด ทำให้หน้ามีรอย ซึ่งรักษายากจริงๆเหมือนหน้าไหม้ไปแล้ว และที่หนูดูแลผิวหน้าเพราะหนูเรียนช้า เลยอยากให้มันกลมกลืนกับเพื่อน ถ้าหน้าแก่ จะหาเพื่อนยาก เรียนมหาลัย ไม่มีเพื่อน จะมีปัญหาได้ และแสงแดดทำให้หน้าแก่ ส่วนเรื่องเพศตรงข้าม ชาตินี้คงไม่แต่งงานแล้วละคะ
    แต่ก็ขอบคุณนะคะ หนูจะปฏิบัติตาม เพื่อ ให้ได้กุศลถึงพร้อม อนุโมทนาและขอบคุณ "บุญพิชิต"เป็นอย่างมาก สาธุๆ
    บวชแน่นอนคะ
    ขอบคุณนะคะ
     
  5. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    ;aa52 หนูนอนคิด นั่งคิด สุดท้ายก็คิดว่า ถ้าไปบวชทั้งๆที่ ยังจัดการอะไรไม่เรียบร้อย คงไม่สงบแน่ อีกทั้งเพื่อนที่บอกจะไปบวชชีพรามณ์ก็โทรมาบอกว่า ติดเรื่องทางบ้าน แล้วบอกว่า ไปช้ากว่าสัก2วัน เพื่อจัดการ ทุกอย่างก่อนดีกว่า ใจหนูก็เสียดาย แต่ถ้าไม่ไปเดินเรื่องกับทางมหาลัย ไม่ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษา ไม่ไปลงทะเบียนพร้อมเพื่อน ก็กลัวจะมีปัญหา
    รู้สึกผิด ที่บอกว่าจะไปบวชชีพรามณ์ และให้คนมาอนุโมทนา (ตอนนี้หนูก็รักษาศีล5ไม่ขาด) เลยทำให้รู้สึกเหมือนทำผิดศีล มุสา ซะแล้ว หนูกราบขอโทษ ทุกๆท่านด้วยนะคะ ถ้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา และเข้าใจเรื่องลงทะเบียนแล้ว ยังบวชทัน หนูจะบวชอยู่นะคะ
    ;38
     
  6. tao64

    tao64 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมเองกลับคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอะไรเลย เราเองก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง อยากจะฟังเพลงบ้าง อยากจะดูหนังบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่เรามีเป้าหมายสุดท้ายในใจอยู่ที่นิพพาน ก็มุ่งเดินไป ไม่ต้องซีเรียส เรื่องไหนทำได้ก็ทำไป เรื่องไหนยังปล่อยวางไม่ได้ ก็ทำไปก่อน ที่คาดโทษไว้ วันหน้าต้องพยายามใหม่ให้ได้

    แต่ไปบวชชีพรามณ์เราก็ต้องพยายามตัดให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญอย่าให้มันประเจิดประเจ้อมากจนเกินไป ประเภทแต่งตัวซะสวย เขียนหน้าทาปากอย่างชัดเจน อันนี้ไม่บังควรอย่างยิ่ง ส่วนจะทาเดย์ครีมไนท์ครีม หรือทาลิปมันแบบไม่มีสีบ้างนี่ ผมว่าไม่น่าจะต้องไปยึดถือให้มันจริงจังมากจนเกินไป
    เราไม่ได้บวชพระ หรือบวชชีซักกะหน่อย อย่าซีเรียสให้มันมากนักเลย
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    โดนมารขวาง ถูกกิเลสหรอก ^-^
     
  8. avatar7

    avatar7 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +116
    อิอิ การเริ่มต้นยากเสมอ นะจ๊ะ เริ่มใหม่ได้เสมอ ถือศิลอยู่ที่ใจถือที่ใหนก็ได้ เมื่อไหร่็ก็ครับ วันนี้ไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไร ก็ฝึกถือศิลอยู่ที่บ้านก่อน คิดได้อย่างนี้แล้วใจก็จะสบาย เมือใจสบายกายก็สบายตาม และจิตก็ไม่ฟุ้งซาน แต่ผมว่าฝึกตนที่บ้านยากกว่าอีก เพราะสิ่งยั่วเยามันเยอะ 5555 มีเรื่องมาเล่าให้ฟังครับได้ฟังมาจากพระเทศฟังแล้วทำให้คิดอะไรได้แยะดี เลยเอามาฝากดังนี้:
    เรื่อง ถือศิลตกนรกทำบาปได้ขึ้นสวรรค์
    มีสองสามี-ภรยา คู่หนึ่งมีอาชีพหาปลาตามลำน้ำ ด้วยฐานะที่ยากจนสองสามีภรรยาต้องออกหาปลาทุกวันไม่เคยเกียจคล้าน ทั้งสองพอจับปลาได้มากพอจำนวนหนึ่งก็จะพายเรือกลับนำปลาไปขายทันที ซึ่งสองสามีภรรยาคู่นี้แทบจะไม่มีโอกาศเข้าวัดเลย จนกระทั้งวันหนึ่งฝนตกพรำ่ๆ ตรงกับวันพระ ซึ่งสองสามีภรรยาก็ออกหาปลาเช่นเคย จนมาถึงบริเวณวัดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดกับลำคลองที่ทั้งสองออกหาปลา เมือสองสามีภรรยามองมาที่บริเวณวัดก็เห็นเหล่าพุทธสากนิกชน แต่งกายด้วยชุดสีขาวเข้ามาทำบุญถือศิลจำนวนหนึ่ง ทั้งสองก็มองหน้ากันแล้ว ก็เกิดอิริโอตัปปะขึ้นในใจ
    ภรรยาก็พูดขึ้นว่า: นี้ถ้าเราไม่จน ต้องหาปลาประทังชีวิตไปวัน หรือ เรามีฐานะขึนมาหน่อยเราคงมีโอกาศเข้าวัดเหมือนกับคนอื่นเขานะพี่
    สามีก็ตอบภรรยาว่า: ทำไงได้ละน้องช่างนี้เราต้องใช้เงินจำนวนมาก และ อีกอย่างลูกเราก็กำลังโตด้วย แต่ก็เอาเถอะ เราขออนุโมทนาบุญกับท่านที่ถือมาทำบุญถือศิลในในนี้ด้วยละกันนะ
    เมื่อสามีพูดจบ ทั้งคู่ก็พนมมือขึ้นเหนือศรีษะแล้วพูดว่า "ขออนุโมทนาบุญกับท่านทั้งหล่ายด้วยเถิด......สาธุ"

    เมื่อกล่าวดังนี้แล้วปรากฏว่าเรือก็เกิดเอียงไปเอียงมา โครงไปโครงมา ฝูงปลาตัวใหญ่ก็พากันว่ายอยู่บริเวณเรือของทั้งคู่ ซึ่งทั้งสองก็เกิดความดีใจขึ้นมาในทันที และก็ได้เหวี่ยงแหจับปลาขึ้นมาทันที่ได้ปลาจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่โตผิดปกติธรรมดา ทั้งคู่ต่างก็ดีใจและสามีก็พูดขึ้นว่า : วันนี้เราเหวี่ยงแห่แค่ที่เดียวเราได้ปลามาจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับนำไปเป็นอาหารของเรา และแบ่งไปขายได้บางส่วน เราว่าเรากับกันเถอะนะ
    ภรรยา: ดีจะพี่เราเหวียงแค่แค่ที่เดียวได้ปลาตัวโตๆทั้งนั้นเลย ฉันว่าเรากลับกันเถอะ วันนี้วันพระ เราพอแค่นี้แหละพี่
    เมือกล่าวจบเช่นนั้นแล้วทั้งคู่ก็พายเรือกลับบ้าน

    อีกทางด้านหนึ่ง เหล่าบรรดาผู้แต่งกายด้วยผ้าขาวอันบริสุทธิที่อยู่ภายใ นบริเวณวัด เมื่อเห็นสองสามีภรรยาจับปลาอยู่บริเวณใกล้ๆกับวัด ก็รวมกลุ่มกันวิภากวิจาร การกระทำของสองสามีภรรยาต่างๆนาๆ ทั้งว่าร้าย หัวเราะเยอะ ต่างๆ นาๆ ครั้นเมือเห็นสองสามีภรรยาจับปลาได้ตัวโต ต่างก็พูดขึ้นมาว่า นี้ถ้าวันนี้ไม่เป็นวันพระนะ ข้าจะจับปลาให้เต็มลำเรือเลย ดูสิปลาเยะขนาดนั้น ตัวใหญ่ๆ้ ทั้งนั้นเลย เสียดายจริงๆ อ่าวแล้วพวกมันจะไปใหนกันนะ โหโอกาศมาทั้งที เป็นข้าหน่อยไม่ได้ จะจับให้เต็มลำเลย
    ครั้นเมือตายไปทั้งสองสามีภรรยาก็เกิดใหม่บนสวรรค์ ส่วนผู้ที่ถือศิลวันนัน กลับไปเกิดเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม
    นิทานเรื่องสอนให้รู้ว่า กายถือศิลแต่ใจไม่ได้ถือด้วยก็ไม่มีประโยชน์อะไร ในทางกลับกันกายอยู่ใหนก็ตามแต่ใจถือศิล เป็นอนิสงสูงสุด

    เป็นไงบ้างครับเมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ทำให้เราสบายใจ สบายกายขึ้นมาบ้างใช่ใหมครับ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ใหนเราก็ถือศิล ทำสมาธิได้ทุกอริยาบถ เลยครับ ให้ระลึกรู้ถึงสภาวะจิต ให้ตามจิตให้ทัน ก็จะเิกิดสมาธิ เมือเกิดสมาธิ ก็เกิดสติ เมื่อเกิดสติก็ควบคุม กาย วาจา และใจ ได้ครับ ดังนั้น ไม่ต้องกังวลไปว่าเราไม่ได้ไปทำสมธิที่นั้น ที่นี่ เดียวจะเกิดทุกข์ซะเป่าๆ ไม่ต้องเครียสนะครับ สบายๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
     
  9. yaksa

    yaksa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +80
    เมื่อก่อนผมเคยนั่งคิดเกี่ยวกับเรื่องศีลอย่างมาก ว่ามีความสำคัญขนาดไหนทำเพื่ออะไร แล้วทำไมต้องทำ มีอยู่ครั้งนึง ผมไปขึ้นเขาเพื่อฝึกวิชา ก็ได้มีโอกาสถือ ศีล8 พร้อมอุโบสถศีล ครั้งนั้นผมได้พิจารณาดูว่าศีลคืออะไร และเรารักษาเพื่ออะไร โดยพิจารณาทีละข้อๆ อย่างละเอียด จึงได้ข้อสรุปว่า จากการที่เรารักษาศีลนั้นเป็นไปเพื่อการปฏิบัติโดยแท้ ศีลไม่ใช่ข้อห้าม แต่เป็นข้อที่ควรกระทำเพื่อการปฏิบัติภาวนา ไม่ไห้ฟุ้ง ไม่ให้เฟ้อ เช่น

    ศีลข้อที่ 1 ว่าด้วยห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    ทำไมห้ามฒ่าสัตว์ ฆ่าแล้วจะเป็นไร มันจะเกิดอะไรขึ้น ผมถามตัวเอง พอถามได้อย่างนั้น ก็ตอบขึ้นมาเองไหนเราลองฆ่าสัตว์ซิ รู้สึกยังไง อือรู้สึกมีความพยาบาท มีความอาฆาตมาก อารมณ์ตรงจุดนี้มันไปขวางการภาวนา เพราะจิตมันครุกรุ่นอยู่ ไม่สงบเลย
    ส่วนศีลข้ออื่นๆ ก็ถามตัวเองเหมือนกัน ก็ได้ข้อสรุปมาคล้ายกัน แต่ละข้อมีเหตุ มีผลอยู่ในตัวอยู่แล้ว เช่น ศีลข้อ วิกาละโภชนา ทำไมต้องห้ามกิน ก็หิวทำไมจะกินไม่ได้ ถ้ากินแล้วเกิดอะไรขึ้น เหมือนเดิมถามตัวเองและลองทำดู ปรากฎว่า คืนนั้นนั่งไม่ได้เลย แน่นท้อง เดินก็เสียดๆ พอกลับมานั่งอีก ง่วงนอนมาก ไม่ได้อะไรเลย สติก็คุมยาก แต่ถ้าได้กินพออิ่ม รู้สึกมันมีพลัง มีกำลังมากก ก็เลยตรึก อ้ออ เป็นอย่างนี้นี่เอง ที่ท่านบัญญัติไว้เป็นข้อศีล เพื่อมรรคผล เป็นสิ่งที่ควรทำ
    กลับมาเรื่องข้อที่ว่า นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    นั่นก็คือห้ามดูการแสดง สมัยนี้ก็ดูทีวี ฟังเพลง ก็ลองถามตัวเองว่า ดูแล้วเป็นยัง ดูแล้วก็หลงซิครับ สติคุมยาก ไหลตามหนังตามเพลงไปเรื่อย และยังเสียเวลาอีก ส่วนข้อห้ามเรื่องของหอม ทัดดอกไม้ สมัยนี้ก็ต้องเรื่องน้ำหอม เครื่องทาผิวต่างๆ ถ้าทาแล้วมันเป็นไง ทาแล้วจะทำให้เกิดไรขึ้น ก็ต้องลองเหมือนเดิม ปรากฎว่ากลิ่นพวกนี้เอาเรื่องเหมือนกัน ฉุนมาก ฉุนตลอด ทำให้ควบคุมสติได้ยากอีก ก็ไม่ทาอะไรที่มันฉุนซะ ส่วนเรื่องที่คิดว่าเป็นยาก็ต้องดูให้เป็น เช่นออกไปเดินจงกรม ตอนกลางคืนหน้าหนาวบนเขาอุณหภูมิ ประมาณ 8 องศา จากเคยอยู่แต่ข้างล่างสบายมาก แต่พออยู่ข้างบน ผิวแตกทำไงก็ทายา ทาครีมซิครับ เพื่ออะไรเพื่อกันผิวแตก แตกแล้วเกา เกาแล้วเป็นแผล เป็นแผลแล้วกังวล
    สระผมเพื่ออะไร เพื่อทำความสะอาดเส้นผมและหนังหัว ถ้าไม่ทำมันเป็นยังไง ผมเหม็น รู้สึกไม่สะอาด ไม่โล่ง กังวล กลัวคนอื่นเหม็น ไม่สงบอีก
    ที่ผมจะบอกก็คือว่า อยากให้ลองถามตัวเองว่าที่ทำไปเพื่ออะไร เพื่อมรรคผลหรือไม่ เราสุดโต่งเกินไปรึปล่าว รึเราหย่อนยานไปรึเปล่า
    ผมเคยคิดว่าเอ๊ะนี่เรา คิดถูกทางรึเป่าหว่า รึโดนกิเลศหลอกเอา อันนี้ผมก็ไม่รู้จริงๆ เป็นสิ่งที่ผมตรึกเอาเอง ถ้าอย่างไรมีผู้รู้ ช่วยบอกทีนะครับ ข้อความเหล่านี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวครับ ควรพิจารณาอย่างละเอียดอีกทีนะครับ ผมกลัวบาปมาก
     
  10. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    ;34 ถ้าว่าง ช่วยเขียนถึงข้ออื่นๆด้วยนะคะ มีประโยชน์มากเลย อยากอ่านอีกคะ (sing) ขอบพระคุณมากนะคะ จะรออ่านโดยเฉพาะ ข้อ มุสา อยากรู้ความสำคัญเพราะสังคมทุกวันนี้ หาความจริงได้ยากมาก ขอบคุณค่ะ
     
  11. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    ;34ขอบพระคุณมากคะ นิทานสนุกแบบนี้ วันหลังเอามาเล่าอีกนะคะ สบายใจแล้วละคะ หนูเข้าใจอะไรๆมากขึ้น เหมือนพี่บัว เคยบอกว่า หนูทำให้เพื่อนมาคบไม่ได้ทุกคน แต่หนูก็เลือกเพื่อนที่อยากคบหนูก็ได้ เพื่อนดีๆสัก1 คนดีกว่ามีเพื่อนเต็มคณะ สาธุๆ
    ขอบคุณนะคะrabbit_scary
     

แชร์หน้านี้

Loading...