ให้จำไว้ว่าไม่ว่ากายหรือจิตก็ไม่ใช่ของเรา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 7 กรกฎาคม 2009.

  1. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ผมก้เห็นแบบคุนนั่นหล่ะไปบอ ธรรมภูติสิเค้าเข้าใจว่าเราหมายถึงจิตที่เที่ยงของเค้านู่น
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    พูดออกมาบ้างก็ดีนะ จะได้เห็นความคิดตัวเอง
    เผื่อจะได้รู้ทัน ความคิดของตัวเองบ้าง ได้เห็นความยึดในความคิด
    ได้เห็นความไม่พอใจ ได้เห็นความไม่ชอบใจ ได้เห็นปริยัตินอก ได้เห็นปริยัติใน
    ถ้าโชคดีนะ ก็จะได้ไม่ยึดในความคิด
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านจินที่รักครับ ท่านต้องเปิดใจ อ่านเส้นทางปฏิบัติของครูบาอาจารย์
    สายพระป่าดูบ้างสิครับ เมื่อนำมาเทียบเคียงแล้วลงกับพระสูตร และพระวินัย

    เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่น่าที่จะต้องสงสัยอะไรแล้วนะครับ
    ผมเองก็ไม่ใช่เชื่ออะไรง่ายๆครับ ถ้าไม่ผ่านการพิสูจน์จากตนเอง ให้เห็นประจักษ์
    ท่านลองลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา ครั้งละ๑ช.มเป็นอย่างน้อย

    จะเห็นว่าจิตของข้าพเจ้า(เรา)ผู้รู้อยู่เห็นอยู่ว่าไม่ได้เกิดดับไปตามอารมณ์สักหน่อย
    รู้เห็นชัดๆแบบมีสติเต็มๆว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ดับไปจากจิต ไม่ใช่จิตดับ
    เมื่อพิสูจน์ถึงขั้นนี้ ยังจะต้องสงสัยคำสอนของจอมศาสดาและครูบาอาจารย์อีกเหรอครับ

    อ่านพระสูตรให้เข้าใจ ชีวาจะสดใส ไม่ใช่เชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
    อะไรๆก็ไม่มี ผมถามสั้นๆว่า แล้วมหาบุรุษออกค้นหาอมตะธรรมเพื่ออะไร
    ถ้าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริงแล้วอมตะธรรมตั้งอยู่กับอะไร?

    อย่าบอกนะว่า หาที่ตั้งมิได้ ในที่นี้หมายถึงภพที่จะต้องเข้าไปตั้งเท่านั้น
    อย่าลืมว่าพระนิพพานเป็นคุณลักษณะของอะไร?
    ต้องบอกได้สิว่าเป็นคุณลักษณะของอะไร?

    ผมจำได้ว่าเคยบอกไปแล้วว่า ถ้าผมสมาทานอะไรแล้ว ต้องเต็มที่
    อภิธรรมก็ผ่านมาแล้ว เมื่อ๒๐ปีที่แล้ว ท่านโพธิรักษ์ยังไปเลย
    และผ่านการดูจิต โดยมีฐานที่ตั้งมาไม่น้อยกว่า๑๕ปี

    ผมมีวิธ๊พิสูจน์ได้ว่าจิตไม่ได้เกิด-ดับ แต่กลอกกลิ้งรวดเร็วมากเท่านั้น
    เหมือนคนที่ขับรถด้วยความเร็วจนมองข้างทางไม่ทันว่าผ่านอะไรมาบ้าง
    ลองสิครับ ขับแบบช้าๆ ท่านก็จะรู้เห็นข้างทางตามความเป็นจริงครับ

    ร้อนมีเย็นแก้ เร็วมีช้าแก้ มืดมีสว่างแก้ฯลฯ....

    ;aa24
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    สะสมที่ไหนก็ช่างมันก่อนเถอะ
    ให้พากันเดินออกจากภพที่ตนหลงยึดหลงถือนั้นให้ได้เป็นดีที่สุดนะ
    เมื่อไหร่จะเอาจริงสักที มัวแต่ให้อาหารกิเลสอยู่นี่แหละ

    ลองฝืนไม่ทำตามความอยากดูซิ เห็นความอยากในใจตนเองมั้ย
    เห็นแล้วทำไมไม่จัดการกับมัน มัวหล่อเลี้ยงให้อาหารมันอยู่ทำไม
    รักมันมาก เสียดายมันมากหรือ

    ความเสียสละ ความรู้จักให้อภัย
    อภัยทานทำไมไม่สร้าง แล้วเมื่อไหร่จะเอาชนะกิเลสในใจตนเองได้ล่ะ

    กุศลธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับอกุศลธรรมทำไมไม่เอามาใช้แก้กิเลส สร้างกำลังจิต
    ถึงเราจะชนะคนอื่นได้เป็นหมื่นแสน หากเราไม่สามารถเอาชนะใจตนเองได้เลย จะมีประโยชน์อะไร...จริงมั้ย
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เหมือนเรียนหนังสือมา อ่านมามาก มันก็ร้อนใน ร้อนวิชาอยู่ข้างใน
    ก็ต้องปล่อยให้มันเรียนรู้เองว่า ที่มันรู้มันเห็นจากการอ่าน กับของจริงมันคนละเรื่องกัน
    มันต้องรู้สึกเอง วิธีหนึ่งที่เราใช้คือ พูดมันออกมา รู้อะไรแค่ไหนก็พูดออกมา
    ไม่ต้องกลัวผิด เพราะยังไม่บรรลุธรรมยังไงมันก็ผิดอยู่แล้ว แต่ว่าเราไม่เคยรู้ว่า
    มันผิดอย่างไร มันผิดที่ตรงไหน เพราะความคิดกับคำสอนมันอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน
    ไม่ได้หล่นสู่ใจ มันก็พูดออกมาจากใจไม่ได้ สิ่งที่พูดจากใจไม่ใช่กูเกิล ก็คือของจริงของเรา
    อยู่ในตุ่มในไหของใจเรา และถ้าพูดจากตุ่มในใจได้ ขั้นต่อไปมันจะพัฒนาไปถึงการพูด
    ถึงสิ่งที่อยู่นอกตุ่มจากใจได้ ถ้าปัญญามันเกิดเองจริง ก็เป็นทางหนึ่งที่ทำเพื่อเรียนรู้และ
    พัฒนาตนเองได้ แต่ถ้าไม่ชอบ ก็อย่าไปคิดทำ อยู่สงบๆ เรียนรู้จากคำสอนอย่างเดียว
    แล้วก็ทำอย่างเดียวเงียบๆในใจ กรรมก็จะได้น้อยๆ ปลอดภัยกับตัวเองและผู้อื่นด้วย
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อย่าหวังว่าใครเขาจะผิดหรือจะถูกเลยเพราะความคิดนั้นไม่มีประโยชน์ใดกับตนเลย แม้เราจะชนะผู้อื่นได้ด้วยกำลังสติปัญญาได้ก็ตาม เมื่อชนะแล้วจะได้อะไร ได้ความภูมิใจ หรือความสุขยังงั้นหรือ เป็นกรณีศึกษาทั้งนั้น บางคนคิดดีทำดีก็มี บางคนคิดไม่ดีแต่ทำดีก็มี บางคนคิดดีแต่ทำไม่ดี ก็มี แล้วคนที่คิดไม่ดีทำก็ไม่ดีก็มีด้วย ผลสุดท้ายสิ่งที่เกิดก็คงเกิดกับ ผู้คิดและกระทำสิ่งต่างๆนั่นแหละ ผมแค่แนะนำนะ เห็นว่าสิ่งใดจริงก็อย่าลังเลเลยเห็นยังไงรู้สึกยังไงกับกายจิตของตนก็เป็นอย่างนั้นแหละ อย่าไปสนใจเลยเมื่อตายไปมันก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่อยากจะบอกว่าอีกจิตหนึ่งหรอกเพราะไม่อยากให้สนใจ ปัจจุบันสำคัญที่สุด จะมองเห็นหรือเปล่าเท่านั้น
     
  8. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    [​IMG]



    จิตผ่องใสเศร้าหมองได้ หลุดพ้นได้

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองเพราะอุปกิเลส ที่จรมา"

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล หลุดพ้นได้จากอุปกิเลส ที่จรมา."



    เอกนิบาต อุงคุตตรนิกาย ๒๐/๑๑











    อุปกิเลส 16

    ๑. อภิชฌมวิสมโลภะ คือความละโมภ อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว

    ๒. พยาบาท คือความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มี บางครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเอง จนฆ่าตัวตายก็มีซึ่งเป็นเพราะอำนาจพยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    ๓. โกธะ คือความโกรธ มีอะไรมากระทบก็โกรธ เป็นลักษณะโกรธง่าย แต่เมื่อหายแล้วก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือไม่ผูกใจเจ็บ ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    ๔. อุปนาหะ คือการผูกโกรธ ใครพูดอะไร ทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้วจะผูกใจเจ็บ เก็บไว้ ไม่ปล่อย ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น กระทบอารมณ์เมื่อไร ก็เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกันคิดทวนเรื่องในอดีตว่าเขาเคยทำไม่ดีกับเราขนาดไหน เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    ๕. มักขะ คือการลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่น เช่น เขาให้ของแก่เรา แทนที่จะขอบคุณกลับนึกตำหนิเขาว่า เอาของไม่ดีมาให้ หรือเมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบ จึงยกเรื่องที่ไม่ดีของเขามาพูด เพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น
    ๖. ปลาสะ คือการตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน แต่ชอบยกตัวเองดีกว่าเขา มักแสดงให้เขาเห็นว่าเราคิดเก่งกว่า รู้ดีกว่า ถ้าให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้

    ๗. อิสสา คือความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้ เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเรา เขาได้รับความรักความเอาใจใส่มากกว่าเรา เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขา ความจริงเราอาจจะมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว หรือเรากับเขาต่างก็ได้รับเท่ากัน แต่เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ ทนไม่ได้ก็มี

    ๘. มัจฉริยะ คือความตระหนี่ ขี้เหนียว เสียดายของ ยึดในสิ่งของที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่น อยากแต่จะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้ใคร

    ๙.มายา คือเจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเองเกินความจริง หรือจริงๆ แล้วเรามีน้อยแต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมี เช่น ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหรา หรือบางกรณี ใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออกด้วยการพูดชื่นชมอย่างมาก หรือบางทีเราไม่ได้มีความรู้มาก แต่ของคุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้น

    ๑๐. สาเถยยะ คือการโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุข

    ๑๑. ถัมภะ คือความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ใครแนะนำอะไรให้ก็ไม่ยอมรับฟัง

    ๑๒. สารัมภะ คือการแข่งดี มุ่งแต่จะเองชนะเขาอยู่ตลอด จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าเขาตลอด เช่นเมื่อพูดเถียงกันก็อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อเอาชนะให้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้วตัวเองผิด ก็ไม่ยอมแพ้

    ๑๓. มานะ คือความถือตัว ทะนงตน

    ๑๔. อติมานะ คือการดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น

    ๑๕. มทะ คือความัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจ หลงในตำแหน่ง คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปแล้วทำอะไรเกินเหตุ

    ๑๖. ปมาทะ คือความประมาท เลินเล่อ ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เมตตาคนอื่นมากๆ ก็อย่าลืม มีสติสัมปชัญญะ จะได้มีอุเบกขา ไม่กลายเป็นโทสะ
    โทสะเกิดแล้วไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าไม่โกรธ ไม่ถือ ไม่แบก รู้ที่ไหนก็ไม่รู้
    แต่โทสะมันเกิดตลอดแล้วไม่รู้ นี่น่าสงสัยตัวเองอยู่นะ
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    อ้าว ก็ที่สะสมสติ สะสมปัญญาที่จิต ก็เพื่อให้จิตสละความอยากจากจิตไม่ใช่เหรอ??? งง!!!


    ;aa24
     
  12. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    พี่ขวัญพูดถูกแล้วเราเห็นด้วยกับพี่ขวัญ ....ทางนี้ก็เป็นวิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งมองให้ออกด้วยเจตตนาที่ดี
    เฉพาะฉนั้น อย่าสร้างภาพให้ตัวเองดูดี มันซ้ำซากนะ
     
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    มัวแต่กลัวเสียเปรียบ เสียที เสียฟอร์มกันอยู่นี่แหละ อัตตาทั้งนั้น

    เพียงแค่ เมตตา อภัยทาน อโหสิกรรม ยังไม่มี จะไปโพสต์กันทำไม ธรรมะสูง ๆ

    ของง่าย ๆ แค่นี้ยังดูไม่ออก เสียเวลาเปล่า ๆ นะ

    อันนี้ท่านจะโกรธ ก็ขอโทษด้วย จงกลับไปสำเหนียกตัวตนหาอัตตาในใจตนเองให้เจอเถิด

    ท่านจะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
     
  14. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    อืมพี่ขวัญพูดถุก เก่งเคนนี่ ก้พูดถูก ธรรมภูติ พูดผิด
     
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    รู้ไหมทำไมถึงต้องโกรธ อันเป็นคำถาม นะครับ แล้วรู้ไหมว่าทำไมไม่โกรธ
    ถ้ารู้คำตอบแล้วก็ไม่ต้องสงสัยคนอื่นเขาหรอกครับ และก็ไม่ต้องสงสัยตัวเองด้วย จริงๆ ไม่โกหกหรอกครับ ผมพึ่งปฏบัติได้ไม่นานหรอกครับไม่เท่ากับท่านทั้งหลายหรอก ไม่ต้องเชื่อผมหรอกถ้าถามผมเรื่องนี้ผมก็จะไม่ตอบ เพราะไม่ใช่คำตอบของผม
     
  16. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    จะหนีไปไหนครับ มีขันธ์ อยู่ก้ต้องมีการกระทบ มีการกระทบก้ต้องมีเวทนามีอุปทานมี.....และมี เราแค่รู้ก้พอและเข้าใจ จะกลัวเป็นอัตตาจะกลัวเป็นบาปไปทำไมกันเรารู้อยู่ที่เจตนา
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ก็ไม่ได้หวังว่า ใครจะรู้ผิด รู้ถูกนะ
    ความคิดที่โพสท์ มีประโยชน์ต่อตัวเรามากกว่า มีประโยชน์ต่อคนอื่นน้อยกว่า
    และอาจไม่มีประโยชน์ต่อคนอื่นเลยก็ได้
    เราอาศัยเหตุกระทบจากคนอื่น ดูความคิดของตัวเอง
    แต่ก็พยายามระวัง จะไปกระทบคนที่เป็นเหตุอีกที แต่บางทีก็ดูไม่ทัน
    ก็รับกรรมไปด้วยตัวเอง เท่านั้น ก็ยอมรับสภาพตามกรรม
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    แค่รู้ก็พอและเข้าใจ ดีครับ

    แต่เข้าใจขนาดไหน เข้าใจยังไงนี้สำคัญนะ

    ก่อนจะไปเข้าใจอะไร เราเข้าใจกระบวนการคิดของเราดีหรือยัง
    ก่อนจะเอาคิดไปใช้เป็นเครื่องมือในการหาคำตอบพวกนั้น
    เราเข้าใจกระบวนการหลงความคิดของเราบ้างแล้วหรือยัง น่าสนใจนะครับ
     
  19. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    อืมๆน่าสนใจ เพราะตรงนี้แหละที่แตกต่าง
     
  20. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +3,130
    อย่าไปภูมิใจ เมื่อกล่าวตำหนิผู้อื่นได้
    เอาเก็บมาสอนใจเรา ปรับปรุงใจเรา หากเผลอไป
    จิตธรรมมันจะสูงขึ้นเรื่อย โดยไม่ต้องไปข่ม ...

    ........................
    เกิดมาเป็นมนุษย์ ทำตัวให้เป็นพระโสดาบันยังไม่ได้ เผลอตายก่อน นับว่าเสียชาติ
    เกิดแท้ นะ คำกล่าวของอาจารย์ลี
     

แชร์หน้านี้

Loading...