ทำความเข้าใจกระทู้ด้านลบเกี่ยวกับพระสงฆ์

ในห้อง 'ประกาศจาก เว็บพลังจิต' ตั้งกระทู้โดย ผ่อนคลาย, 23 พฤษภาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ผ่อนคลาย

    ผ่อนคลาย Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    5,774
    ค่าพลัง:
    +12,932

    ต้องขออภัย ทางเว็บพยายามระมัดระวังข่าวคราวเกี่ยวกับพระสงฆ์สามเณรทางลบ เพื่อระมัดระวังการกระทบกระเทือนของวงการสงฆ์โดยเฉพาะข่าวเรื่องกาม ซึ่งจะพยายามไม่ให้บอบช้ำไปอีก จึงของดข่าวคราวประเภทนี้ ซึ่งเป็นข่าวล่อแหลม และเป็นจุดบอดในวงการสงฆ์ ซึ่งเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์มีเป็นส่วนน้อย หากเราโฟกัสมากอาจทำให้เกิดความคิดไม่ดี คือเสื่อมศรัทธาในส่วนรวมได้


    และอีกประการหนึ่ง ข่าวแบบนี้ทางเว็บอื่นได้นำเสนออยู่แล้ว

    ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสื่อมเสีย และสั่นคลอนทางวงการสงฆ์ที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น ความสั่นคลอนที่เกิดขึ้นแล้วให้หยุดลง

    ฉะนั้นเพื่อความเรียบร้อยและจรรโลงความศรัทธาของพวกเราชาวพุทธ จึงขอเก็บข่าวแนวนี้ หรือพบเห็นโปรดกดปุ่มแจ้ง

    จึงขออภัยในความไม่สะดวกครับ

    และขอขอบคุณอนุโมทนาในความสร้างสรรค์อื่นๆที่ผ่านมาแล้วและจะทำต่อไปครับ
     
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    โมทนาครับ เห็นด้วยครับ เรื่องละเอียดอ่อนต้องระวัง อาจเป็นกรรมสืบเนืองกันต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2009
  3. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,238
    ค่ะเห็นด้วย อาจทำให้คนอื่นล่วงเกินทางความคิด จะเป็นบาปที่ไม่ได้เจตนา อนุโมทนาค่ะ
     
  4. ต้นน้ำธรรม

    ต้นน้ำธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    681
    ค่าพลัง:
    +437
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

    เรามาคุยเรื่องดีๆของศาสนาดีกว่าครับ
     
  5. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    เห็นด้วยค่ะ เพราะอ่านข่าวประเภทนี้แล้ว รู้สึกจิตตก และเป็นการป้องกันผู้ปรามาสสงฆ์ส่วนใหญ่ด้วยค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับคุณผ่อนคลายด้วยค่ะ

    Numsai
    ;38
     
  6. ชาย2550

    ชาย2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +1,244
    อนุโมนาครับ
     
  7. ยักษ์

    ยักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +32
    ไม่ให้เสนอข่าว
    ผมคิดสุภาษิตได้บทหนึ่งครับ
    "ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิด"
    ถ้าอยากจรรโลงศาสนาอย่างที่คุณเจ้าของกระทู้พูดมา
    การนำเสนอข่าว แล้วช่วยกัน "กำจัด" อลัชชีเหลือบไรดีกว่าครับ
    การไม่นำเสนอข่าว มันก็เหมือนกับการหลอกตัวเองนั่นแหละครับ
     
  8. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ช่องทางกำจัดอลัชชีมีมากมายครับ ไม่จำเป็นต้องเอามาตีแผ่ครับ

    วันนี้เขาทำผิด แต่พรุ่งนี้ทำดี เราจะตัดสินเขาเมื่อวาน หรือ วันนี้ครับ

    องคุลีมาน (เมื่อวาน) กับ พระองคุลีมาน (หลังจากพบพระพุทธเจ้า) ก็แตกต่างกัน

    ดังนั้น อย่าซ้ำเติมคนอื่นจะดีที่สุดครับ ให้กฎแห่งกรรมสนองเขาเองดีกว่าครับ

    โมทนาครับ
     
  9. ยักษ์

    ยักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +32
    ลักษณะที่คุณว่ามากับที่คุณยกตัวอย่างมันผิดกัน คุณยกตัวอย่างองคุลิมาล ซึ่งตอนที่ทำผิดยังไม่ได้บวชไม่ใช่เหรอ จะมาเทียบกับพระสงฆ์ที่บวชมาแล้วได้ยังไง คนไม่บวชศีล5-8 ตอนองคุลิมาลไม่บวชไม่มีศีลด้วยซ้ำ แต่พระสงฆ์ศีล227
    พระสงฆ์รูปไหน องค์ไหนทำผิดก็ต้องว่าตามผิด ต้องรู้ตัวก่อนว่าอยู่เพศไหน ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย แบบนี้ต่างหากที่เป็นการทำลายทางอ้อม
    วันนี้ถ้าเสพเมถุนกับสีกา พอพรุ่งนี้เช้าไปทำวัตร สวดมนต์ ให้ทุนเด็ก คุณก็จะบอกว่าไม่มีความผิดงั้นสิ
    ถ้าไม่ตีแผ่จะรู้ได้ยังไงครับ ว่าพวกที่ใช้ผ้าเหลืองหากินบังหน้ายังมีในสังคมนี้ และเยอะด้วยถ้าไม่เสนอคนอื่นที่ทำผิดก็ยังหลงอยู่ร่ำไป
    การนำข่าวมาเสนอ ไม่ใช่การซ้ำเติมคนอื่น(คนอื่นที่คุณพูดถึงนี่ หมายถึงคนที่อีกหลายร้อยหลายพันคนอาจจะกราบไหว้เคารพนะครับ) จะปล่อยให้กฏแห่งกรรมลงโทษเหรอครับ ถึงตอนนั้นพวกนี้ทำลายวงการสงฆ์ป่นปี้ไม่รู้เท่าไหร่ละครับ
    ผมบวชเรียนจนจบเปรียญธรรม๖ เรื่องราวในวงการสงฆ์ผมก็ผ่านมาไม่ใช่น้อยครับ พระสงฆ์หลายรูปท่านก็บอกว่าดีแล้วที่นำมาเสนอข่าว เนื่องจากว่า
    อย่างน้อยก็ได้ให้สังคมได้รับทราบว่า ยังมีกลุ่มคนที่อ้างตัวเป็นพระประพฤตินอกรีต ญาติโยมจะได้ไม่เหมารวมว่าพระทำผิดทั้งหมด ถึงแม้จะมีหลายรูปที่บอกว่าการนำเสนอไม่ดีเนื่องจากเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของสงฆ์เสียหาย
    และขอถามตรงๆว่า ระหว่าง ภาพลักษณ์กับศาสนา จะเลือกอะไรก่อน
    ด้วยความเคารพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2009
  10. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    เรื่องนี้นานาจิตตังครับ

    เวลาคนด่าพระที่ประพฤติไม่ชอบ บางครั้งก็เหมารวม กลายเป็นด่าพระทั้งหมด
    บางคนเสื่อมศรัทธา ไม่ไปวัดเลยก็มี

    พระพุทธองค์สอนให้ "อภัยทาน" และเชื่อใน "กฎแห่งกรรม"

    พระที่ทำผิด เป็นเรื่องที่คณะสงฆ์จะดำเนินการ เพราะมีวินัยสงฆ์ควบคุมอยู่แล้วครับ

    สำหรับภาพลักษณ์กับศาสนา ผมเลือกทั้งสองครับ การไม่เสนอข่าวทางลบเกี่ยวกับสงฆ์รักษาได้ทั้งภาพลักษณ์และศาสนาครับ

    เวลาเราทำบุญเราทำบุญเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนา ไม่ใช่ทำนุบำรุงสมมติสงฆ์รูปนั้น (ที่ทำผิด) ดังนั้น เรารักษาภาพรวมไว้ดีกว่าครับ

    คิดง่ายๆว่า ถ้าคนในครอบครัวเราทำผิด เราจะเอาเขาไปประจาน หรือ เราจะลงโทษเขาในขอบเขตที่มีอยู่

    กรณีนี้ก็เช่นกันครับ วินัยสงฆ์มีอยู่แล้ว ถ้าเจอพระประพฤติมิชอบก็แจ้งหน่วยงานที่ดูแลดีกว่าครับ

    โมทนาครับ
     
  11. ยักษ์

    ยักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +32
    ใช่เลยครับตรงวรรคแรก ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะ "เหมารวม" ทั้งๆที่พระสงฆ์ที่ประพฤตินอกลู่นอกทางมีไม่ถึง1ใน100
    แต่ที่ผมอยากให้เสนอข่าวด้านนี้บ้างมันมีเหตุผลอยู่นะครับ ผมจะขอยกตัวอย่างพระปลอมที่ชอบออกมาเรี่ยรายชาวบ้าน ชาวบ้านบางคนไม่รู้หรอกครับว่าพระจริงพระปลอม
    เพียงแต่นำเสนอข่าวไปว่าอย่างไหนเป็นกิจที่สงฆ์ควรทำ(ที่ผมพูดไปไม่ได้เน้นหนักไปทางเรื่องกามเหมือนโพสต์แรกนะครับ) เราสามารถกระจายข่าวหรือเสนอข่าวได้ไม่ใช่เหรอครับ
    เหมือนนิ้วมือ หากนิ้วไหนเน่าจะลุกลามไปส่วนอื่น เราต้องยอมเจ็บเพื่อรักษาอวัยวะส่วนใหญ่ไว้ไม่ใช่เหรอครับ
    สุดท้ายคือผมอยากจะบอกว่า การห้ามนำเสนอข่าวด้านนี้โดยสิ้นเชิงเลยมันเป็นแค่ปลายเหตุครับ แต่หากจะเสนอก็ควรเสนอให้อยู่ในขอบเขตซึ่งทางทีมงานเป็นคนตรวจสอบข่าวหรือที่มาได้ไม่ใช่เหรอครับ เพื่อไม่ให้เป็นการกระทบกับศาสนาโดยรวมแบบนี้จะดีกว่ามั้ยครับ
     
  12. chai8383

    chai8383 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +6,348
    การตำหนิติเตียนผู้อื่น...ไม่ดีเลย<O:p</O:p
    หลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    การตำหนิติเตียนผู้อื่น <O:p></O:p>
    ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเอง.....ให้ขุ่นมัวไปด้วย

    ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่น...จนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น
    นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม...ไม่มีดีเลย

    จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนา...มาทรมานอย่างไม่คาดฝัน

    การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง
    เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์

    จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตนงดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย

    ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว <O:p></O:p>
    แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์<O:p></O:p>
    ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง

    ที่มา : คัดจากหนังสือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ<O:p></O:p>
     
  13. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    ขออนุโมทนาสาธุครับ
    การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง
    เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
     
  14. O_o'

    O_o' เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +464
    เห็นด้วยครับ อาจทำให้ผู้เสนอข่าวโดนติดสอยบาปกรรมนั้นตามไปด้วยโดยที่ผู้เสนอข่าวนั้นหาได้ติดตามนั้นไม่
     
  15. twojit

    twojit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2010
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +239
    แล้วแต่สถานการณ์ครับ แลกใช้ให้เหมาะสม อนุโมทนาสาธุ ครับ
     
  16. ยุติภพ

    ยุติภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +46
    พรหมวิหาร ๔

    เคยได้ยินมาว่า ...

    เมตตา คือ ความรัก ความรู้สึกดีต่อคนและสัตว์ทุกตัวตน เสมอเหมือนกันกับที่เรารักตัวของเราเอง

    กรุณา คือ ความสงสาร เห็นอกเห็นใจเขา เมื่อเห็นว่าสามารถช่วยเหลือให้เขามีความสุขได้โดยวิธีการไหนที่เราจะพอสงเคราะห์ได้ เราก็จะช่วยเหลือเขาตามกำลัง ตามวาระ ตามความสมควร

    มุทิตา คือ จิตใจอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาเขา เมื่อเห็นเขาได้ดี เราก็พลอยยินดีด้วย แล้วก็น้อมนำเอาความดีของท่านผู้นั้นมาปฏิบัติเพื่อได้ผลความดีเฉกเช่นเดียวกับเขาบ้าง

    อุเบกขา คือ ความวางเฉยเมื่อกฏของกรรมเข้ามาสนองเราหรือเขาก็ตาม เราจะไม่ซ้ำเติม เพราะถือว่า นั่นมันเป็นเรื่องของ "ธรรมดา" หากเราช่วนได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้เราก็ไม่ช่วย แต่จะไม่ไปซ้ำเติมเมื่อเขาเพรี้ยงพร้ำ

    เพราะเราเข้าใจได้ตามความเป็นจริง ว่า " นี่คือ เรื่องของ ความเป็นธรรมดา "

    ( ขออภัย ที่อาจจะแสดงความเห็นมาไม่ตรงกับความคิดของท่าน , เราขอให้ท่านมีความสุข ความเจริญยิ่งๆขึ้นไปนะ )
     
  17. sattra

    sattra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +51
    ผมว่าเรามาช่วยกันป้องกันดีกว่านะครับ ผมขอเล่าตอนผมบวชให้พ่อแม่ 1พรรษาผมได้เห็นทางเสื่อมเยอะแยะตัวอย่างเช่น ในตอนบวชภาคฤดูร้อนของเณรพระกับเณรพี่เลี้ยงบางคนเป็นตุ๊ดแต๋วชอบเรียกเณรหน้าตาดีผิวขาวไปทำในสิ่งที่ตอนนั้นผมคิดว่าไม่น่ามีในหมู่สงฆ์แล้วเพราะในศีลมีข้อกำหนดห้ามอยู่แล้วแต่ก็ยังมีอยู่ ผมสงสารเด็กที่พ่อแม่ส่งมาบวชเณร เด็กนะครับเขาไม่รู้หรอกสิ่งที่โดนทำอยู่เราเรียกว่าอนาจาร ตอนนั้นผมยังกลัวไม่กล้าบอกพ่อแม่เด็กเลย เพราะพวกเขาเยอะกว่า อย่างกรณีอย่างนี้เราช่วยหาทางป้องกันดีไหม
     
  18. พระปิยสีโร

    พระปิยสีโร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +59
    เจริญพร คุณโยมผู้เจริญแล้วทั้งหลาย

    ท่านรู้หรือไม่ว่า หรือ ลืมไปหรือไม่ว่า

    อาตมภาพ ขอชี้แจงอย่างนี้ว่า ปาราชิก มี 4 ข้อ อยู่ในศีล 227 ข้อ

    ปาราชิก คือ ประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบท ประเภท ครุกาบัติ ที่เรียกว่า อาบัติ

    ปาราชิก เป็นชื่อของอาบัติหนัก แปลว่า ทำผู้ต้อง ให้พ่าย คือ ผู้ที่ต้องเข้าแล้ว ต้องขาดจากความเป็นภิกษุ

    แม้ผู้นั้นจะลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์แล้ว กลับมาอุปสมบทใหม่ ก็ไม่เป็น ภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนาได้อีก

    ภิกษุที่ต้องปาราชิกแล้ว ต้องพ่ายจากหมู่สงฆ์ คือไม่มีสังวาสเสมอกับภิกษุทั้งหลาย ร่วมทำสังฆกรรมกับภิกษุทั้งหลายไม่ได้อีก ฉะนั้นจึงชื่อว่าผู้พ่าย

    คำว่า ปาราชิก สันนิษฐานว่าแปลว่า “ผู้แพ้” อาจหมายถึง “ผู้แพ้แก่วิถีชีวิตการเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา” ปาราชิกเป็นอาบัติขั้นที่ร้ายแรงที่สุด ภิกษุไม่ว่ารูปใด ถ้าหากอาบัติถึงขั้นปาราชิกแล้วจะสิ้นสภาพการเป็นภิกษุทันที แม้ว่าจะยังครองผ้าเหลืองหรือปฏิบัติตนอย่างภิกษุอื่นๆ อยู่ก็ตาม ภิกษุที่รู้ตนเองว่าอาบัติปาราชิกแล้วสามารถลาสิกขาไปใช้ชีวิตอยู่อย่างฆราวาสทั่วไปได้ แต่หากยังคงดื้อครองผ้าเหลืองหลอกให้ผู้คนกราบไหว้อยู่อีก ก็จะยิ่งเป็นบาปหนาที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ

    พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิก 4 ข้อใดข้อหนึ่ง แม้แม้จะไม่ลาสิกขาบท ดังนี้

    1. เสพเมถุน (ร่วมเพศ)
    ภิกษุ เอาองค์กำเนิดของตน สอดเข้าไปในทารทั้ง 3 คือ ทวารหนัก, ทวารเบา, ช่องปาก อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งของมนุษย์ หญิง หรือ ชาย ก็ตาม ของสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ของอมนุษย์(ศพ) ทั้งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม พอจะสำเร็จกิจได้ ต้อง ปาราชิก

    หรือแม้เพียงยินดีให้ภิกษุอื่นเสพเมถุน ตนก็ต้องปาราชิก (หมายความว่า รู้แต่ไม่ห้าม หรืออื่นๆ)

    2. ลักของผู้อื่น
    ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน ที่มีค่าเกิน5มาสก(เทียบเท่า1บาทในปัจจุบัน)
    อาการที่ถือว่าลักนั้นคือ ลัก, ตีชิง, วิ่งราว, ลักต้อน, ลักแย่ง, ลักสับ, ตู่, ฉ้อ, ยักยอก, ตระบัด, หลอกลวง, กดขี่กรรโชก, ลักซ่อนน, ปล้นภิกษุ

    3. แกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย
    หมายเอาตั้งแต่ถือปฏิสนธิในครรภ์ครั้งแรก จนถึงสิ้นชีวิต ภิกษุจะฆ่าเอง หรือสั่งให้ผู้อื่นฆ่า หรือแสวงหาอาวุธให้เขาฆ่าตัวเอง หรือพรรณาคุณความตายเพื่อให้เขาตาย เป็นปาราชิก

    4.อวดอุตตริมนุสสธรรม (อวดอ้างคุณวิเศษ)
    อวดธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ได้แก่ฌาน และ โลกุตรธรรม (ไม่เป็นอาบัติแก่ผู้ที่ บรรลุจริง และ ผู้ไม่ประสงค์จะอวด)


    อาตมภาพ ขอชี้แจ้ง แถลงไข เพียงเท่านี้ ให้พุทธศาสนิกชน ตรองดูด้วยสติปัญญาเถิด


    เจริญพร ผู้เจริญแล้ว ทั้งหลาย
     
  19. สงกะสัย

    สงกะสัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +128
    ด้วยความเคารพ เรื่องภิษุประพฤตินอกรีตหลงผิด เป็นมาแต่สมัยพระพุทธองค์ดังปรากฎพุทธวจนะตอนหนึ่งว่า เมื่อ ใกล้จะถึงวันเข้าพรรษา พระองค์ได้เสด็จไปสู่พระนครราชคฤห์ โดยมีพระวักกลิยังคงติดตามดูพระองค์อยู่ตลอดเวลา จึงตรัสเรียกให้พระวักกลิเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสประณามขับไล่เธอออกไปเสียจากสำนักของพระองค์ด้วยพระดำรัสว่า “ อเปหิ วกฺกลิ ดูก่อนวักกลิ เธอจงออกไปจากสำนักของเรา”
    เป็นธรรมดา ดีกับชั่วสว่างกับมืดของคู่กันเป็นไปตามธรรมะของพุทธองค์ หน้าที่ของพุทธมามะกะคือ ช่วยกันยกย่องเชิดชูดูแลพระพุทธศาสนา ดุจเป็นร่มโพธิไทรอันร่มเย็น ให้เป็นที่อาศัยของบรรดาเหล่านกกามากมายที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น บ้างก็แอบถ่ายมูลไว้ กลายเป็นกาฝากดูดกินกิ่งโพธิไทรใหญ่นั้น ให้เหี่ยวแห้งหักโค่น กาฝากนั้น มองไกลๆดูเขียวๆ คล้ายโพธิไทรกลมกลืน แต่หากมีดวงตาแห่งปัญญา ย่อมแยกกาฝาก ออกจากโพธิไทร พบเห็นช่วยกันตัดกาฝากนั้น นำมาเผาไฟมิให้ลุกลามทำลายโพธิไทรต่อไป นายยักษ์ก็เป็นพุทธศาสนิกคนหนึ่งที่อาศัยร่มโพธิไทรนั้น ย่อมเดือดร้อนรำคาญ สอดส่องแจ้งเตือนถึงกาฝากที่เกาะกิน ผู้มีปัญญาย่อมแยกออก ความปราถนาดีกับประสงค์ร้ายแตกต่างอย่างไร หากเราเป็นเพียงนกโง่งม หลงชมกาฝากเป็นดั่งส่วนหนึ่งของโพธิไทร ร่มโพธิร่มไทรนั้น คงต้องถึงกาลอวสานก่อนเวลาอันควร..มัวแต่วางอุเบกขา กว่าจะรู้ตัว ก็คงไม่มีร่มโพธิไทรให้อาศัยแล้วเราจะตอบลูกหลานอย่างไร เราจะมีธรรมะใดเหลือให้พวกเขาอีก...
    .......พุทธศาสนาแผ่นดินไทยไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคนที่ต้องช่วยกันดูแลรักษา....สาธุ.

    Strangler fig คือกาฝากชนิดหนึ่ง เป็นไม้เถาวัลย์อาศัยดูดซับสารอาหารจากต้นไม้อื่นและเจริญเติบโตขึ้นอย่าง ช้าๆ เหมือนกาฝาก แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก พอๆกับต้นที่มันเกาะอาศัยอยู่ทีเดียว รากของมันไม่ได้แค่เกาะไปกับต้นไม้ที่มันอาศัย แต่จะพันรัดไปรอบทั้งลำต้นเลยทีเดียว จนในที่สุดโอบรัดต้นไม้ใหญ่และสังหารต้นที่มันอาศัยเสีย เมื่อตัวมันเติบโตเต็มที่ ทำให้ได้ฉายา Strangler (สแทรงเกลอร์ฟิก) .


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1211382247.jpg
      1211382247.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.4 KB
      เปิดดู:
      85
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...