แนะนำการฝึก กสิน ตั้งแต่เริ่มต้น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย gatsby_ut, 11 พฤษภาคม 2010.

  1. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    กสิน ๑๐
    โดยพระเดชพระคุณ พระราชพรหมยาน


    [​IMG]
    คือ เป็นการทำสมาธิด้วยวิธี การเพ่ง
    ( คำว่าเพ่ง ในที่นี้ คือ ลืมตามอง ภาพกสิน แล้วหลับตา นึกถึงภาพ กสิน )
    <O:p

    ๑. ปฐวีกสินเพ่งดิน
    ๒. อาโปกสิณเพ่งน้ำ
    ๓. เตโชกสิณเพ่งไฟ
    ๔. วาโยกสินเพ่งลม
    ๕. นีลกสิน เพ่งสีเขียว
    ๖. ปีตกสินเพ่งสีเหลือง
    ๗. โลหิตกสิณเพ่งสีแดง
    ๘. โอฑาตกสิณเพ่งสีขาว
    ๙. อาโลกกสิณเพ่งแสงสว่าง
    ๑๐. อากาศกสิณเพ่งอากาศ

    <O:p
    กิจก่อนการเพ่งกสิณ
    เมื่อจัดเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วท่านให้ชำระร่างกายให้สะอาดแล้วนั่งขัดสมาธิที่ตั่งสำหรับนั่งหลับตาพิจารณาโทษของกามคุณ ๕ ประการ ตามนัยที่กล่าวในอสุภกรรมฐาน ต้องการทราบละเอียดโปรดเปิดไปที่ บทว่าด้วยอสุภกรรมฐานจะทราบละเอียดเมื่อพิจารณาโทษของกามคุณจนจิตสงบจากนิวรณ์แล้วให้ลืมตาขึ้นจ้องมองภาพกสิณจดจำให้ดีจนคิดว่าจำได้ก็หลับตาใหม่
    กำหนดภาพกสิณไว้ในใจภาวนาเป็นเครื่องผูกใจไว้ว่าปฐวีกสิณเมื่อเห็นว่าภาพเลือนไปก็ลืมตาดูใหม่เมื่อจำได้แล้วก็หลับตาภาวนากำหนดจดจำภาพนั้นต่อไป ทำอย่างนี้บ่อยๆหลายร้อยหลายพันครั้งเท่าใดไม่จำกัดจนกว่าอารมณ์ของใจจะจดจำภาพกสิณไว้ได้เป็นอย่างดีจะเพ่งมองดูหรือไม่ก็ตาม ภาพกสิณนั้นก็จะติดตาติดใจนึกเห็นภาพได้ชัดเจนทุกขณะที่ปรารถนาจะเห็นติดตาติดใจตลอดเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่าอุคคหนิมิตแปลว่า นิมิตติดตา อุคคหนิมิตนี้ท่านว่ายังมีกสิณ
    โทษอยู่มากคือภาพที่เห็นเป็นภาพดินตามที่ทำไว้และขอบวงกลมของสะดึง ย่อมปรากฏริ้วรอยต่าง ๆ เมื่อเข้าถึงอุคคหนิมิตแล้วท่านให้เร่งระมัดระวังรักษาอารมณ์สมาธิและนิมิตนั้นไว้จนกว่าจะได้ปฏิภาคนิมิตปฏิภาคนิมิตนั้นรูปและสีของกสิณเปลี่ยนจากเดิมคือกสิณทำเป็นวงกลมด้วยดินแดงนั้นจะกลายเป็นเสมือนแว่นแก้วมีสีใสสะอาดผ่องใสคล้ายน้ำที่กลิ้ง อยู่ในใบบัวฉะนั้นรูปนั้นบางท่านกล่าวว่าคล้ายดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกปิดบังเอากันง่ายๆ ก็คือเหมือน
    แก้วที่สะอาดนั่นเองรูปคล้ายแว่นแก้วจะกำหนดจิตให้เล็กโตสูงต่ำได้ตามความประสงค์อย่างนี้ท่านเรียกปฏิภาคนิมิตเมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วท่านให้นักปฏิบัติเก็บตัวอย่ามั่วสุมกับนักคุยทั้งหลาย จงรักษาอารมณ์รักษาใจให้อยู่ในขอบเขตของสมาธิเป็นอันดี อย่าสนใจในอารมณ์ของนิวรณ์แม้แต่น้อยหนึ่ง เพราะแม้นิดเดียวของนิวรณ์ อาจทำอารมณ์สมาธิที่กำลังจะเข้าสู่ระดับฌานนี้ให้สลายตัวได้โดยฉับพลันขอท่านนักปฏิบัติจงระมัดระวัง อารมณ์รักษาปฏิภาคนิมิตไว้คล้ายกับระมัดระวังบุตรสุดที่รักที่เกิดในวันนั้น

    <O:p
    จิตเข้าสู่ระดับฌาน
    เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว จิตก็เข้าระดับฌาน อารมณ์ของฌานในกสิณทั้ง ๑๐อย่างนั้นมีอารมณ์ดังนี้ ฌานในกสิณนี้ท่านเรียกว่าฌาน ๔ บ้าง ฌาน ๕บ้างเพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิด ขออธิบายฌาน ๔ และ ฌาน ๕ให้เข้าใจเสียก่อน

    ฌาน ๔
    ฌาน ๔ท่านเรียกว่าจตุตถฌาน ท่านถืออารมณ์อย่างนี้
    ๑.ปฐมฌานมีองค์ ๕คือ วิตกวิจาร ปีติ สุขเอกัคคตา
    ๒. ทุติยฌานมีองค์ ๓ คือละวิตกและวิจารเสียได้ คงดำรงอยู่ในองค์ ๓คือปีติ สุข
    เอกัคคตา
    ๓. ตติยฌานมีองค์ ๒ คือ ละวิตก วิจารปีติ เสียได้ดำรงอยู่ในสุขกับเอกัคคตา
    ๔. จตุตถฌานมีองค์ ๒คือ ละวิตก วิจารปีติ สุข เสียได้ คงทรงอยู่ในเอกัคคตา
    กับเพิ่มอุเบกขาเข้ามาอีก ๑
    ฌาน ๔ หรือที่เรียกว่ากสิณทั้งหมดทรงได้ถึง ๔ ท่านจัดไว้อย่างนี้สำหรับในที่บางแห่งท่านว่ากสิณทั้งหมดทรงได้ถึงฌาน ๕ท่านจัดของท่านดังต่อไปนี้

    ฌาน ๕
    ๑.ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ วิตกวิจาร ปีติ สุขเอกัคคตา
    ๒.ทุติยฌานมีองค์ ๔ คือ ละวิตกเสียได้คงทรง วิจารปีติ สุข เอกัคคตา
    ๓. ตติยฌานมีองค์ ๓ คือ ละวิตก วิจารเสียได้ คงทรง ปีติสุขเอกัคคตา
    ๔. จตุตถฌานมีองค์ ๒คือ ละวิตก วิจาร ปีติเสียได้ คงทรงสุขกับเอกัคคตา
    ๕. ฌาน ๕ หรือที่เรียกว่าปัญจมฌานมีองค์สองเหมือนกันคือ ละวิตกวิจาร ปีติ
    สุขเสียได้ คงทรงอยู่ในเอกัคคตาและเพิ่มอุเบกขาเข้ามาอีก ๑<O:p

    เมื่อพิจารณาดูแล้ว ฌาน ๔ กับฌาน ๕ก็มีสภาพอารมณ์เหมือนกัน ผิดกันนิดหน่อยที่
    ฌาน ๒ ละองค์เดียวฌาน ๓ ละ ๒องค์ ฌาน ๔ ละ ๓ องค์ มาถึงฌาน ๕ ก็มีสภาพเหมือนาน ๔ตามนัยนั่นเองอารมณ์มีอาการเหมือนกันในตอนสุดท้าย อารมณ์อย่างนี้ท่านแยกเรียกเป็นฌาน ๔ ฌาน ๕ เพื่ออะไรไม่เข้าใจเหมือนกันกสิณนี้ถ้าท่านผู้ปฏิบัติทำให้ถึงฌาน ๔ หรือฌาน๕ซึ่งมีอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ และอุเบกขารมณ์ไม่ได้ก็เท่ากับท่านผู้นั้นไม่ได้เจริญ ในกสิณนั้นเองเมื่อได้แล้วก็ต้องฝึกการเข้าฌานออกฌานให้คล่องแคล่ว กำหนดเวลาเข้าเวลาออกให้ได้ตามกำหนด จนเกิดความชำนาญ เมื่อเข้าเมื่อไร ออกเมื่อไรได้ตามใจนึกการ เข้าฌานต้องคล่องไม่ใช่เนิ่นช้าเสียเวลาแม้ครึ่งนาทีพอคิดว่าเราจะเข้าฌานละก็เข้าได้ทันที ต้องยึดฌาน๔ หรือฌาน ๕คือเอาฌานที่สุดเป็นสำคัญ เมื่อเข้าฌานคล่องแล้วต้องฝึกนิรมิตตามอำนาจกสิณให้ได้ คล่องแคล่วว่องไว จึงจะชื่อว่าได้กสิณกองนั้น ๆถ้ายังทำไม่ได้ถึง ไม่ควรย้ายไปปฏิบัติในกสิณกองอื่นการทำอย่างนั้นแทนที่จะได้ผลเร็ว กลับเสียผล คือของเก่าไม่ทันได้ทำใหม่เก่าก็จะหาย ใหม่ก็จะไม่ปรากฏผล ถ้าชำนาญช่ำชองคล่องแคล่วในการนิรมิตอธิษฐานแล้ว เพียงกองเดียว กองอื่นทำไม่ยากเลยเพราะอารมณ์ในการฝึกเหมือนกันต่างแต่สีเท่านั้นจะเสียเวลาฝึกกองต่อๆ ไปไม่เกินกองละ ๗ วัน หรือ ๑๕ วันเป็นอย่างสูงจะนิรมิตอธิษฐานได้สมตามที่ตั้งใจของนักปฏิบัติจงอย่าใจร้อน พยายามฝึกฝนจนกว่าจะได้ผลสูงสุดเสียก่อนจึงค่อยย้ายกองต่อไป <O:p
    องค์ฌานในกสิณทั้ง ๑๐ กอง

    ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ วิตกมีอารมณ์จับอยู่ที่ปฏิภาคนิมิตกำหนดจิตจับภาพ ปฏิภาคนิมิตนั้น เป็นอารมณ์ วิจารพิจารณาปฏิภาคนิมิตนั้นคือพิจารณาว่ารูปปฏิภาคนิมิตสวยสดงดงามคล้ายแว่นแก้ว ที่มีคนชำระสิ่งเปรอะเปื้อนหมดไปเหลือไว้แต่ดวงเก่าที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากธุลีต่างๆ

    ปีติ มีประเภท ๕ คือ
    ๑. ขุททกาปีติ มีอาการขนพองสยองเกล้าและน้ำตาไหล
    ๒. ขณิกาปีติ มีแสงสว่างเข้าตาคล้ายแสงฟ้าแลบ
    ๓.โอกกันติกาปีติ มีอาการร่างกายกระเพื่อมโยกโคลง คล้ายเรือที่ถูกคลื่นซัด บางท่านก็นั่งโยกไปโยกมาอย่างนี้เรียกโอกกันติกาปีติ
    ๔. อุพเพงคาปีติมีกายลอยขึ้นเหนือพื้นบางรายก็ลอยไปได้ไกลหลายๆ กิโลก็มี
    ๕.ผรณาปีติ อาการเย็นซ่าซาบซ่านทั้งร่างกายและมีอาการคล้ายกับร่างกายใหญ่
    สูงขึ้นกว่าปกติสุขมีอารมณ์เป็นสุขเยือกเย็น ในขณะที่พิจารณาปฏิภาคนิมิต
    เอกัคคตามีจิตเป็นอารมณ์เดียวคือมีอารมณ์จับอยู่ในปฏิภาคนิมิตเป็นปกติ ไม่สอดส่ายอารมณ์ออกนอกจากปฏิภาคนิมิตทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นปฐมฌานมีอารมณ์เหมือนกับฌานในกรรมฐานอื่นๆ แปลกแต่กสิณนี้
    มีอารมณ์ยึดนิมิตเป็นอารมณ์ไม่ปล่อยอารมณ์ให้พลาดจากนิมิตจนจิตเข้าสู่จตุตถฌาน หรือปัญจมฌาน
    ทุติยฌานมีองค์ ๓ คือตอนนี้จะเว้นจากการภาวนาไปเองการกำหนดพิจารณารูปกสิณจะยุติลง คงเหลือแต่ความสดชื่นด้วยอำนาจปีติอารมณ์สงัดมาก ภาพปฏิภาคนิมิตจะสดสวยงดงามวิจิตรตระการตามากกว่าเดิมมีอารมณ์เป็นสุขประณีตกว่าเดิม อารมณ์จิตแนบสนิทเป็น สมาธิมากกว่า
    ตติยฌานมีองค์ ๒ คือตัดความสดชื่นทางกายออกเสียได้เหลือแต่ความสุขแบบเครียดๆคือมีอารมณ์ดิ่งแห่งจิตคล้ายใครเอาเชือกมามัดไว้มิให้เคลื่อนไหวลมหายใจอ่อนระรวยน้อยเต็มที่ภาพนิมิตดูงามสง่าราศีละเอียดละมุนละไมมีรัศมีผ่องใสเกินกว่าที่ประสบมาอารมณ์ของจิตไม่สนใจกับอาการทางกายเลย
    จตุตถฌาน ทรงไว้เพียง เอกัคคตากับอุเบกขาคือมีอารมณ์ดิ่งไม่มีอารมณ์รับความสุข และความทุกข์ใดๆ ไม่รู้สึกในเวทนาทั้งสิ้นมีอุเบกขาวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งมวลมีจิตสว่างโพลงคล้ายใครเอาประทีปที่สว่างมากหลายๆดวงมาตั้งไว้ในที่ใกล้ ไม่มีอารมณ์รับแม้แต่เสียงลมหายใจสงัดรูปกสิณเห็นชัดคล้ายดาวประกายพรึก ฌานที่๔เป็นฌานสำคัญชั้นยอด ควรกำหนดรู้แบบง่ายๆไว้ว่าเมื่อมีอารมณ์จิตถึงฌาน๔จะไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ ควรกำหนดไว้ง่ายๆ แบบนี้สะดวกดีท่านทำได้ถึงระดับนี้ ก็ชื่อว่าจบกิจในกสิณ ไม่ว่ากองใดก็ตามจุดจบของกสิณต้องถึงฌาน๔และนิมิตอะไรต่ออะไรตามอำนาจกสิณถ้าทำไม่ถึงกับนิมิตได้ตามอำนาจกสิณ ก็เป็นเสมือนท่าน ยังไม่ได้กสิณเลย
    [​IMG]

    <O:p
    ปฐวีกสิณ<O:p
    กสิณนี้ท่านเรียกว่าปฐวีกสิณ เพราะมีการเพ่งดินเป็นอารมณ์ รวมความแล้วได้ความว่าเพ่งดิน
    ปฐวีกสิณนี้มีดินเป็นอุปกรณ์ในการเพ่งจะเพ่งดินที่เป็นพื้นลานดินที่ทำให้เตียนสะอาดจากผงธุลี หรือจะทำเป็นสะดึงยกไปยกมาได้ก็ใช้ได้ทั้งสองอย่าง ดินที่จะเอามาทำเป็นดวงกสิณนั้นท่านให้ใช้ดินสีอรุณอย่างเดียว ห้ามเอาดินสีอื่นมาปนถ้าจำเป็นหาดินสีอรุณไม่ได้มากท่านให้เอาดินสีอื่นรองไว้ข้างล่างแล้วเอาดินสีอรุณทาทับไว้ข้างบน ดินสีอรุณนี้ท่านโบราณาจารย์ท่านว่าหาได้จากดินขุยปูเพราะปูขุดเอาดินสีอรุณขึ้นไว้ปากช่องรูที่อาศัย เมื่อหาดินได้ครบแล้วต้องทำสะดึงตาม ขนาดดังนี้ ถ้าทำเป็นลานติดพื้นดิน ก็มีขนาดเท่ากัน

    ขนาดดวงกสิณ
    วงกสิณที่ทำเป็นวงกลมสำหรับเพ่งอย่างใหญ่ท่านให้ทำไม่เกินเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ คืบ ๔นิ้วอย่างเล็กไม่เล็กกว่าขอบขัน ระยะนั่งเพ่งบริกรรม ท่านให้นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลกว่า ๒คืบ ๔ นิ้วตั่งที่รองวงกสิณ ท่านให้สูงไม่เกิน ๒ คืบ ๔ นิ้วท่านว่าเป็นระยะที่พอเหมาะพอดี เพราะจะได้ไม่มองเห็นรอยที่ปรากฏบนดวงกสิณที่ท่านจัดว่าเป็นกสิณโทษ เวลาเพ่งกำหนดจดจำ ท่านให้มุ่งจำแต่สีดินท่านไม่ให้คำนึงถึงขอบและริ้วรอยต่าง ๆ

    อาโปกสิณ
    อาโปกสิณ อาโปแปลว่าน้ำกสิณแปลว่าเพ่งอาโปกสิณแปลว่าเพ่งน้ำ
    กสิณน้ำ มีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ ท่านให้เอาน้ำที่สะอาดถ้าได้น้ำฝนยิ่งดีถ้าหาน้ำฝนไม่ได้ท่านให้เอาน้ำที่ใสแกว่งสารส้มก็ได้อย่าเอาน้ำขุ่นหรือมีสีต่างๆมาท่านให้ใส่น้ำในภาชนะเท่าที่จะหาได้ใส่ให้เต็มพอดี อย่าให้พร่องการนั่งหรือเพ่ง มีอาการอย่างเดียวกับปฐวีกสิณ จนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิตอุคคหนิมิตของอาโปกสิณนี้ปรากฏเหมือนน้ำไหวกระเพื่อมสำหรับปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือนพัดใบตาลแก้วมณีคือใสมีประกายระยิบระยับเมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วจงเจริญต่อไป ให้ถึงจตุตถฌานบทภาวนาภาวนาว่าอาโปกสิณัง

    เตโชกสิณ
    เตโชแปลว่าไฟกสิณเพ่งไฟเป็นอารมณ์ กสิณนี้ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ท่านให้จุดไฟให้ลุกโชนแล้วเอาเสื่อหรือหนังมาเจาะทำเป็นช่องกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้วแล้ววางเสื่อหรือหนังนั้นไว้ข้างหน้าให้เพ่งพิจารณาไปตามช่องนั้น การนั่งสูงหรือระยะไกลใกล้ เหมือนกับปฐวีกสิณการเพ่งอย่าเพ่งเปลวไฟที่ไหวไปมาให้เลือกเพ่งแต่ไฟที่มีแสงหนาทึบที่ปรากฏตามช่องนั้นเป็นอารมณ์ภาวนาว่าเตโชกสิณัง ๆๆๆหลาย ๆ ร้อยหลายพันครั้งจนกว่านิมิตจะเป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตอุคคหนิมิตปรากฏเป็นดวงเพลิงตามปกติสำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นมีรูป คล้ายผ้าแดงผืนหนาหรือคล้ายกับพัดใบตาลที่ทำด้วยทองหรือเสาทองคำที่ตั้งอยู่ในอากาศเมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วท่านจงพยายามทำให้ถึงจตุตถฌานเถิดผลที่ตั้งใจไว้จะได้รับสมความปรารถนา

    วาโยกสิณ
    วาโยกสิณแปลว่าเพ่งลมการถือเอาลมเป็นนิมิตนั้นท่านกล่าวว่าจะถือเอาด้วยการเห็น หรือจะถือเอาด้วยการกระทบก็ได้
    การกำหนดถือเอาด้วยการเห็นท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดถูกต้องปลายหญ้าหรือปลายไม้เป็นอารมณ์เพ่งพิจารณา
    การถือเอาด้วยการถูกต้องท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดมากระทบตัวเป็นอารมณ์สมัยนี้การถือเอาลมกระทบจะใช้พัดลมเป่าแทนพัดลมหรือถือเอาการเห็นต้นหญ้าต้นไม้ที่ไหวเพราะลมพัดจะใช้พัดลมเป่าให้ไหวแทนลมธรรมชาติก็ได้เมื่อเพ่งพิจารณาอยู่ ให้ภาวนาว่าวาโยกสิณัง ๆๆๆ อุคคหนิมิตของวาโยกสิณนี้ ปรากฏว่ามีการไหวๆคล้ายกับกระไอแห่งการหุงต้มที่มีไอปรากฏมากระทบจักษุ พูดให้ชัดเข้าก็คือมีปรากฏการณ์คล้ายตามองเห็นไอน้ำที่ต้มเดือดแล้วนั่นเองมีอาการปรากฏขึ้นอย่างนั้น สำหรับปฏิภาคนิมิตมีอาการปรากฏภาพเหมือนไอน้ำที่ลอยขึ้น แต่ไม่เคลื่อนไหวหรือคล้ายกับก้อนเมฆบางที่ลอยอยู่คงที่นั่นเอง อาการอื่นนอกจากนี้เหมือนในปฐวีกสิณ <O:p
    <O:p
    นีลกสิณ
    นีลกสิณแปลว่าเพ่งสีเขียวท่านให้ทำสะดึงขึงด้วยผ้าหรือหนัง กระดาษก็ได้แล้วเอาสีเขียวทา หรือจะเพ่งพิจารณาสีเขียวจากใบไม้ก็ได้ ทำเช่นเดียวกับปฐวีกสิณอุคคหนิมิตเมื่อเพ่งภาวนาว่านีลกสิณังๆๆๆๆอุคคหนิมิตนั้นปรากฏเป็นรูปที่เพ่งนั่นเอง

    ปีตกสิณ
    ปีตกสิณแปลว่าเพ่งสีเหลืองการปฏิบัติทุกอย่างเหมือนนีลกสิณแต่อุคคห นิมิตเป็นสีเหลืองปฏิภาคนิมิตเหมือนนีลกสิณ นอกนั้นเหมือนกันหมดบทภาวนาภาวนาว่าปีตกสิณังๆๆ

    โลหิตกสิณ
    โลหิตกสิณแปลว่าเพ่งสีแดงบทภาวนา ภาวนาว่าโลหิตกสิณังๆๆๆๆนิมิตที่จัดหามาเพ่งจะเพ่งดอกไม้สีแดงหรือเอาสีแดงมาทาทับกับสะดึงก็ได้ อุคคหนิมิตเป็นสีแดงปฏิภาคนิมิตเหมือนนีลกสิณ

    โอทาตกสิณ
    โอทาตกสิณแปลว่าเพ่งสีขาวบทภาวนา ภาวนาว่าโอทาตกสิณัง ๆๆๆๆสีขาวที่จะเอา มาเพ่งนั้น จะหาจากดอกไม้หรืออย่างอื่นก็ได้ตามแต่จะสะดวกหรือจะทำเป็นสะดึงก็ได้นิมิตทั้งอุคคหะและปฏิภาคก็เหมือนนีลกสิณเว้นไว้แต่อุคคหะเป็นสีขาวเท่านั้นเอง

    อาโลกกสิณ
    อาโลกกสิณแปลว่าเพ่งแสงสว่างท่านให้หาแสงสว่างที่ลอดมาตามช่องฝา หรือช่องหลังคาหรือเจาะเสื่อลำแพนหรือแผ่นหนังให้เป็นช่องเท่า ๑ คืบ ๔ นิ้วตามที่กล่าวในปฐวีกสิณแล้วภาวนาว่าอาโลกกสิณังๆๆอย่างนี้จนอุคคหนิมิตปรากฏอุคคหนิมิตของอาโลกกสิณมีรูปเป็นแสงสว่างที่เหมือนรูปเดิมที่เพ่งอยู่ปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเป็นแสงสว่างหนาทึบเหมือนกับเอาแสงสว่างมากองรวมกันไว้ที่นั้นแล้วต่อไปขอให้นักปฏิบัติจงพยายามทำให้เข้าถึงจตุตถฌานเพราะข้อความที่จะกล่าวต่อไปก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในปฐวีกสิณ

    อากาสกสิณ
    อากาสกสินแปลว่าเพ่งอากาศอากาสกสิณนี้ภาวนาว่าอากาสกสิณัง ๆๆท่าน
    ให้ทำเหมือนในอาโลกกสิณคือเจาะช่องเสื่อหรือหนัง หรือมองอากาศคือความว่างเปล่าที่ลอดมาตามช่องฝาหรือหลังคา หรือตามช่องเสื่อและผืนหนังโดยกำหนดว่าอากาศ ๆๆจนเกิดอุคคหนิมิตซึ่งปรากฏเป็นช่องตามรูปที่กำหนดปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏคล้ายอุคคหนิมิตแต่มีพิเศษที่บังคับให้ขยายตัวออกให้ใหญ่เล็กสูงต่ำได้ตามความประสงค์อธิบายอื่นก็เหมือนกสิณอื่นๆ
    [​IMG]<O:p
    <O:p
    อานุภาพกสิณ๑๐<O:p

    กสิณ ๑๐ ประการนี้เป็นปัจจัยให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว ในฉฬภิญโญเมื่อบำเพ็ญปฏิบัติในกสิณกองใดกองหนึ่งสำเร็จถึงจตุตถฌานแล้วก็ควรฝึกตามอำนาจที่กสิณกองนั้น ๆ มีอยู่ให้ชำนาญ ถ้าท่านปฏิบัติถึงฌาน ๔แล้วแต่มิได้ฝึกอธิษฐานต่าง ๆ ตามแบบท่านว่าผู้นั้นยังไม่จัดว่าเป็นผู้เข้าถึงกสิณ อำนาจฤทธิ์ในกสิณต่างๆ มีดังนี้<O:p

    ปฐวีกสิณมีฤทธิ์ดังนี้ เช่นนิรมิตคน ๆเดียวให้เป็นคนมากได้ ให้คนมากเป็นคน ๆ เดียวได้ ทำน้ำและอากาศให้แข็งได้

    อาโปกสิณสามารถนิรมิตของแข็งให้อ่อนได้ เช่นอธิษฐานสถานที่เป็นดินหรือหินที่
    กันดารน้ำให้เกิดบ่อน้ำอธิษฐานหินดินเหล็กให้อ่อนอธิษฐานในสถานที่ฝนแล้งให้เกิดฝนอย่างนี้เป็นต้น

    เตโชกสิณอธิษฐานให้เกิดเป็นเพลิงเผาผลาญหรือให้เกิดแสงสว่างได้ ทำแสงสว่างให้
    เกิดแก่จักษุญาณสามารถเห็นภาพต่าง ๆในที่ไกลได้คล้ายตาทิพย์ทำให้เกิดความร้อน ในทุกสถานที่ได้

    วาโยกสิณอธิษฐานจิตให้ตัวลอยตามลมหรืออธิษฐานให้ตัวเบา เหาะไปในอากาศก็ได้สถานที่ใดไม่มีลม อธิษฐานให้มีลมได้

    นีลกสิณสามารถทำให้เกิดสีเขียว หรือทำสถานที่สว่างให้มืดครึ้มได้

    ปีตกสิณสามารถนิรมิตสีเหลืองหรือสีทองให้เกิดได้

    โลหิตกสิณสามารถนิรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามความประสงค์

    โอทาตกสิณสามารถนิรมิตสีขาวให้ปรากฏ และทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้เป็น
    กรรมฐานที่อำนวยประโยชน์ในทิพยจักษุญาณ เช่นเดียวกับเตโชกสิณ

    อาโลกกสิณนิรมิตรูปให้มีรัศมีสว่างไสวได้ทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้เป็น
    กรรมฐานสร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง

    อากาสกสิณ สามารถอธิษฐานจิตให้เห็นของที่ปกปิดไว้ได้ เหมือนของนั้นวางอยู่ในที่แจ้ง สถานที่ใดเป็นที่อับด้วยอากาศ สามารถอธิษฐานให้เกิดความโปร่ง มีอากาศสมบูรณ์เพียงพอแก่ ความต้องการได้

    วิธีอธิษฐานฤทธิ์
    วิธีอธิษฐานจิตที่จะให้เกิดผลตามฤทธิ์ที่ต้องการ ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้เข้าฌาน ๔ ก่อน แล้วออกจากฌาน ๔ แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ตนต้องการจะให้เป็นอย่างนั้น แล้วกลับเข้าฌาน ๔ อีก ออกจากฌาน ๔ แล้วอธิษฐานจิตทับลงไปอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการจะปรากฏสมความปรารถนา
    <O:p

    (จบกสิณ ๑๐ แต่เพียงเท่านี้)
    [​IMG]<O:p
    แนะกสิณร่วมวิปัสสนาญาณ

    ท่านผู้ฝึกกสิณ ถ้าประสงค์จะให้ได้อภิญญาหก ก็เจริญไปจนกว่าจะชำนาญทั้ง ๑๐ กอง ถ้าท่านประสงค์ให้ได้รับผลพิเศษเพียงวิชชาสาม ก็เจริญเฉพาะอาโลกกสิณ หรือเตโชกสิณ หรือโอทาตกสิณ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วฝึกทิพยจักษุญาณ แต่ท่านที่มีความประสงค์จะเร่งรัดให้เข้าสู่ พระนิพพานเร็วๆ ไม่มีความประสงค์จะได้ญาณพิเศษเพราะเกรงจะล่าช้าหรืออัชฌาสัยไม่ ปรารถนา รู้อะไรจุกจิก ชอบลัดตัดทางเพื่อถึงจุดหมายปลายทางขอให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้<O:p
    ๑. สักกายทิฏฐิ เห็นตรงข้ามกับอารมณ์นี้ที่เห็นว่า ร่างกายคือขันธ์ ๕ เป็นเรา
    เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเราเสียได้ โดยเห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่
    ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ และขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เพราะถ้าขันธ์ ๕ มีในเรา เรามีในขันธ์ ๕ หรือขันธ์ ๕ เป็นเรา เราเป็นขันธ์ ๕ จริงแล้ว ในเมื่อเราไม่ต้องการความทุกข์อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บและการเปลี่ยนแปลง ขันธ์ ๕ ก็ต้องไม่มีการป่วยไข้และเปลี่ยนแปลง เราไม่ต้องการให้ขันธ์ ๕ สลายตัว ขันธ์ ๕ ถ้าเป็นของเราจริงก็ต้องดำรงอยู่ ไม่สลายตัว แต่นี่หาเป็น เช่นนั้นไม่ กลับเต็มไปด้วยความทุกข์ เปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องการ และ พยายามเหนี่ยวรั้งด้วยวิธีการต่างๆ ขันธ์ ๕ ก็มิได้เป็นไปตามความปรารถนา ในที่สุดก็สลายตัว จนได้ เพราะขันธ์ ๕ เป็นสมบัติของกฎธรรมดา กฎธรรมดาต้องการให้เป็นอย่างนั้น ไม่มีใคร มีอำนาจเหนือกฎธรรมดา ฝ่าฝืนกฎธรรมดาไม่ได้ เมื่อจิตยอมรับนับถือกฎธรรมดา ไม่หวั่นไหว ในเมื่อร่างกายได้รับทุกข์เพราะป่วยไข้ หรือเพราะการงานหนักและอาการเกิดขึ้นเพราะเหตุ เกินวิสัย อารมณ์ใจยอมรับนับถือว่า ธรรมดาของผู้ที่เกิดมาในโลกที่หาความแน่นอนไม่ได้ โลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขจริงจังมิได้ ที่เห็นว่าเป็นสุขจากภาวะของโลก ก็เป็น ความสุขที่มีผีสิง คือสุขไม่จริง เป็นความสุขอันเกิดจากเหยื่อล่อของความทุกข์ พอพบความสุข ความทุกข์ ก็ติดตามมาทันที เช่น มีความสุขจากการได้ทรัพย์ พร้อมกันนั้นความทุกข์เพราะ การมีทรัพย์ก็เกิด เพราะทรัพย์ที่หามาได้นั้นจะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม เมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องมีทุกข์ ทันทีด้วยการคอยระวังรักษาไม่ให้สูญหายหรือทำลาย เมื่อทรัพย์นั้นเริ่มค่อย ๆ สลายตัวหรือ สูญหายทำลายไป ทุกข์เกิดหนักขึ้นเพราะมีความ เสียดายในทรัพย์ แม้แต่ตัวเองก็แบกทุกข์ เสียบรรยายไม่ไหว จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องบำรุงความสุขได้จริงจัง ไม่ว่าอะไรก็ต้องตกอยู่ ในอำนาจของกฎธรรมดาสิ้น จิตเมื่อเห็นอย่างนี้ ความสงบระงับจากความหวั่นไหวของการ เปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น เป็นจิตที่ประกอบไปด้วยเหตุผล ไม่มีน้ำตาไหล ในเมื่อได้ข่าวญาติ หรือคนที่รักตาย ไม่หนักใจเมื่อความตายกำลัง คืบคลานมาหาตน และพร้อมเสมอที่จะรอรับ ความตายที่จะเกิดแก่ตน ตามกฎของธรรมดา รู้อยู่ คิดอยู่ถึงความตายเป็นปกติ ยิ้มต่อความทุกข์และความตายอย่างไม่มีอะไรหนักใจ จิตมีอารมณ์อย่างนี้ ท่านเรียกว่า ละสักกายทิฏฐิ
    ได้แล้ว ได้คุณสมบัติของพระโสดาบันไว้ได้หนึ่งอย่าง

    ๒. วิจิกิจฉา ละความสงสัยในมรรคผลเสียได้ โดยมีสัทธาเกิดขึ้นเที่ยงแท้มั่นคงว่าผล ของการปฏิบัตินี้มีผลที่จะพ้นจากวัฏทุกข์ได้จริง

    ๓. สีลัพพตปรามาส ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด ไม่ยอมให้ศีล บกพร่อง เมื่อมีคุณสมบัติครบสามประการดังนี้ ท่านก็เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครบอก และออกใบประกาศโฆษณา องค์ของพระโสดาบัน

    เพื่อสะดวกแก่การพิจารณาตัวเอง ขอบอกองค์ของพระโสดาบันไว้ เพราะรู้ไว้เป็น คู่มือพิจารณาตัวเอง
    ๑. รักษาศีล ๕ เป็นปกติ ไม่ทำให้ศีลขาดหรือด่างพร้อยตลอดชีวิต
    ๒. เคารพพระรัตนตรัยอย่างเคร่งครัด ไม่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย แม้แต่จะพูดเล่นๆ ก็ไม่พูด
    ๓. มีอารมณ์รักใคร่ในพระนิพพานเป็นปกติ ไม่มีความปรารถนาอย่างอื่นนอกจาก พระนิพพาน

    พระโสดาบันตามปกติมีอารมณ์สามประการดังกล่าวมานี้ ถ้าท่านได้ ท่านเป็นพระโสดา ท่านก็จะเห็นว่าอาการที่กล่าวมานี้เป็นความรู้สึกธรรมดาไม่หนัก แต่ถ้าอารมณ์ อะไรตอนใดในสามอย่างนี้ยังมีความหนักอยู่บ้าง ก็อย่าเพ่อคิดว่าท่านเป็นพระโสดาบันเสียก่อนสำเร็จ จะเป็นผลร้ายแก่ตัวท่านเอง ต้องได้จริงถึงจริง แม้ได้แล้วถึงแล้ว ก็ควรก้าวต่อไปอย่าหยุดยั้งเพียงนี้ เพราะ มรรคผลเบื้องสูงยังมีต่อไปอีก<O:p

    (จบกสิณ ๑๐)

    พระเดชพระคุณ พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    ตั้งใจฟังให้เข้าใจ นะ นีคือพื้นฐาน
    .
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.994672/[/MUSIC]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มิถุนายน 2010
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
    กราบอนุโมทนาในธรรมทานค่ะ
     
  3. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    ขอถามว่าถ้าเราไม่เกิดปิตินี่คือ เราไม่ได้สมาธิใช่ัมั้ยครับ สงสัย
     
  4. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    ขอถามอีกว่า อาโลกสิณเพ่งหลอดไฟได้ใช่ป่ะครับ
    แล้วจะเพ่งยังไง ผมอยากทราบวิธีที่ละเอียด
     
  5. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    เรื่องปิติ นี่ ถ้าสมาธิ เรามั่นคงแล้ว คือจิตมีกำลัง จะผ่านปิติ แต่ไวมาก ถ้าจิตไม่ละเอียด จะไม่รู้ ว่าผ่านนะ

    คำว่า อาโลกสิน คือกสินแสงสว่าง อะไรก็ได้ นะ ที่เป็นแสงสว่าง จะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หลอดไฟ หรือ แสงสว่าง ที่ลอดเข้ามา ก็ใช้ได้หมด
    คำว่าเพ่งในที่นี้ คือ ลืมตามองภาพ นั้น ๆ แล้วหลับตา นึกถึงภาพ ใช้ประสาทใจ อย่าใช้ประสาทตา เหมือนถึงบ้าน นึกถึงที่ทำงาน ทำนองนี้ นะ เวลาทำอย่าให้เคลียด อย่าอยาก คำภาวนา ในขั้นแรก ถ้าสับสน จะใช้หรือไม่ ก็ได้นะ อ่านวิธีจาก ต้นกระทู้ นะ เขาทำกันได้ผล มามากแล้ว นะ
    วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ
    บุคคล จะล่วงทุกข์ ไปได้ ด้วยความเพียร
    อย่าคิดว่าลุงรู้ หรือได้โน่น ได้นี่ ล่ะ เรียกว่าแนะนำกัน นะ ตามครูบาอาจารย์ ที่ท่านสั้งสอนมา นะ ลุงเองก็ยังไม่ได้อะไร จากการปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2010
  6. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ขอเน้นการเตรียมใจในส่วนนี้ไห้มากจะทำให้เจริญสมาทิได้ดี


    1ชำระร่างกายให้สะอาดแล้วนั่งขัดสมาธิ
    2หลับตาพิจารณาโทษของกามคุณ ๕
    3จนจิตสงบจากนิวรณ์แล้วให้ลืมตาขึ้นจ้องมองภาพกสิณ
    4กำหนดภาพกสิณไว้ในใจภาวนาเป็นเครื่องผูกใจ
    5ทุกขณะที่ปรารถนาจะเห็นติดตาติดใจตลอดเรียกว่าอุคคหนิมิต
    6นิมิตติดตา ยังมีกสิณโทษอยู่
    7เมื่อเข้าถึงอุคคหนิมิตรักษาอารมณ์สมาธิจนกว่าจะได้ปฏิภาคนิมิต

    สมาทิเล็กน้อยเท่านี้แต่ท่าทำถูกขั้นต่อๆไปย่อมสามารถทำได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2010
  7. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ขอตอบคุณเวลานาที ขอถามว่าถ้าเราไม่เกิดปิตินี่คือ เราไม่ได้สมาธิใช่ัมั้ยครับ สงสัย
    ปิติที่ผูกติดกับกรรมฐานใดๆก็เป็นลักษณะขั้นต้นของกรรมฐานนั้นๆ
    ปิติผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออก ก็เป็นลักษณะของอานาปานสติ
    ปิติผูกอยู่กับลม ก็เป็นลักษณะของวาโยกสิณ
    ปิติผูกอยู่กับแสงสว่าง ก็เป็นลักษณะของอาโลกกสิณ...

    สมาธิไม่จำเป็นต้องมีปิติ เช่น ตติยณาน(ปิติดับ เหลือแต่สุขล้วนๆ) จตุถณาน(สุขดับ จิตมีอาการไม่หวั่นไหวเหมือนแผ่นดิน)

    ขอถามอีกว่า อาโลกสิณเพ่งหลอดไฟได้ใช่ป่ะครับ
    แล้วจะเพ่งยังไง ผมอยากทราบวิธีที่ละเอียด


    การเพ่งอาโลกกสิณ ก็เพ่งแสงสว่างแล้วบริกรรมไปว่า สว่างหนอๆ ระวังแสบตานะครับ

    จริงๆถ้าอยู่ๆ เรามาเพ่งกรรมฐานเลยโดยไม่มีปิติสุข กายใจจะกระสับกระส่ายทรมานไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเราควรทำปิติให้เกิดขึ้นก่อนโดยชำระศีล 5 ให้บริสุทธิ์ ให้ทาน รีบละทิ้งอกุศลวิตกที่เกิดขึ้นให้รวดเร็ว และหมั่นระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศีลที่ตนรักษา จาคะที่ตนสละแล้ว ในขั้นนี้บางคนบุญมาก ปิติแรงกล้าเกิดขึ้นวันนั้นเดี๋ยวนั้นก็มี บางคนปิติเกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยบางคนเป็นปีๆ ถึงสัมผัสได้ พอขนลุกเสียวๆบ้าง ร่างกายสั่นไหวเหมือนน้ำทะเลบ้าง ตัวเบาเหมือนปุยนุ่นบ้าง หลังจากนั้นก็แสวงหากรรมฐานที่ชอบมาผูกใจไว้กับปิติ เช่นลมหายใจเข้าออก ทำอย่างนี้จะไม่ทรมานเพราะเมื่อมีปิติสุขอยู่ทุกข์ก็ไม่เกิดหรือเกิดก็ใช้ปิติสุขสู้มันกลับไปได้ เมื่อจิตมีกำลังนิมิตก็เกิดขึ้นง่าย นิมิตแน่นอนไม่หวั่นไหวเกิดขึ้นให้รู้ว่าถึงอุปจารแล้ว อุปจารเกิดทุกข์ทางกายจะไม่เกิดแทรกขึ้นเลย แต่นิวรณ์แทรกได้อยู่ทำอุปจารสมาธิเสื่อมได้ พัฒนาอุปจารสมาธิขึ้นๆไปก็ถึงปฐมณาน

    ผมเองก็งูๆปลาๆ ครึ่งบกครึ่งน้ำเหมือนกัน จะเชื่อหรือไม่ก็ควรพิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2010
  8. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,676
    ค่าพลัง:
    +2,294
    อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณลุงอริยบุตรนู๋ยังไปไม่ถึงไหนเลยค่ะ
    จะพยายามค่ะ
     
  9. พรเทวราช

    พรเทวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +426
    โมทนาสาธุ ครับ ขอบคุณ กับบทความ ของหลวงพ่อ ครับ
     
  10. ภวโลกร้อน

    ภวโลกร้อน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,272
    คุณลุงอริยบุตรคะ..รู้สึกว่าตอนนี้หนูจะถอยหลังลงคลองซะแล้วล่ะค่ะ...
     
  11. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    เฮ้อ ทำไมถึงเป็นอย่างงั้น ล่ะ ลองหาเหตุ และแก้ที่ต้นเหตุ ดูนะ การปฏิบัติ เราต้องมี อิทธิบาท ๔ เป็นปกติ ถ้าว่างก็ พีเอ็ม มาคุยกับลุง นะ
     
  12. lldreamll

    lldreamll Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +84
    ถ้าเพ่งความมืดเวลาหลับตาจะเกิดอะไรขึ้น
    ผลมันคืออะไีร เป็นผลดีผลเสียอย่างไร...

    อนุโมทนาคับ
     
  13. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ข้อความที่ถาม เข้าใจยาก นิดนะ ขอตอบตามความเข้าใจ ก่อน ผิดถูกค่อย ว่ากัน

    กสิน เป็นกรรมฐาน ที่ง่าย ต่อการปฏิบัติ ให้จิตถึง รูปฌาน นี่คือผลดี นะ ถ้าทำถูกหลัก จนเกิดผล ย่อมมีคุณสมบัติ ตาม คำสอนหลวงพ่อ ด้านบน

    การเพ่งความมืด โดยใช้ ประสาทตา อันนี้ อยู่นอกปริยัติ นะ (ตามความเข้าใจ)

    การเพ่ง กสิน(คำว่าเพ่ง ในที่นี้ หมายถึงจำ ) ต้องใช้ ประสาทใจ ถ้าใช้ประสาทตา ไม่น่าจะเกิดผล
    คิดว่า ควรคล่องในอานาปานสติก่อน ลองปฏิบัติ ดูนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2010
  14. lldreamll

    lldreamll Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +84
    ขอบคุณมากนะครับ....
    อธิบายละเอียดขึ้นหน่อย
    หมายถึงว่าตอนเราหลับตาน่ะครับ
    มันจะเป็นมืดๆใช่รึป่าวครับ
    แล้วคราวนี้ถ้าผมจะเพ่ง(จดจำ)
    ตรงความมืดน่ะครับ
     
  15. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ถ้าให้แนะนำ นะครับ คิดว่าคนที่ฝึกกสิน ในเบื้องต้น ก็เพื่อสร้างทิพย์จักขุญาณ ให้เกิดขึ้น เป็นส่วนใหญ่ เพื่อพิสูจน์ คำสอน เรื่องนรก สวรรค์ อาการของทิพย์จักขุญาน ในเบื้องต้น คือมีความรู้สึกทางใจ นะ ท่านให้จับเอา อารมณ์ สัมผัสแรก เป็นหลัก

    กสิน ที่สามารถ ทำทิพย์จักขุญาน ให้เกิดขึ้นได้โดยง่าย มีกสิน ๓ กองนะ คือ เตโชกสิน โอทากสิน และ อาโลกสิน หรือ กำหนดภาพ พระพุทธรูป นะ

    ค่อย ๆ ลองฝึกดู นะ ให้ศึกษา คำสอน ด้านบน เป็นหลัก
     
  16. lldreamll

    lldreamll Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +84
    ขอบคุณครับ
     
  17. จันทิพา

    จันทิพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +460
    ขออนุญาตสอบถามผู้รู้ทุกท่านนะคะ ดิฉันเองโดยส่วนตัวชอบกสิน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากไหนก่อนน่ะค่ะแต่การปฏิบัติของดิฉันส่วนใหญ่ศึกษาจากคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่าน แล้วนำมาปฏิบัติเอาเอง ตั้งแต่เริ่มนั่งสมาธิไม่ได้ จนเดี๋ยวนี้นั่งได้นานขึ้นใช้กำหนดแบบอานาปานสติ รู้สึกว่าสงบได้เร็วขึ้น แต่ที่ใช้ประจำทั้งหลับตาและลืมตาคือ พุทธานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เมื่อกำหนดจิตขอเห็นภาพท่านก็จะปรากฎในจิต ภาพก็แล้วแต่ท่านจะปรากฎขึ้นน่ะค่ะ บางครั้งพระองค์ท่านก็เป็นสีทอง สีขาว สีใส เป็นประกายพรึก สว่างมากบ้างน้อยบ้าง

    ดิฉันชอบเกี่ยวกับอภิญญา ฤทธิ์ อยากฝึกกสิน ไม่ทราบว่าควรใช้วิธีการแบบไหนคะขอคำแนะนำหน่อยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

    ส่วนเรื่องผี พญานาค นรก สวรรค์ นิพพาน ดิฉันไม่มีความสงสัยแล้วค่ะ ไม่ได้อยากฝึกกสินเพราะไปดูตามที่เหล่านี้ เพียงแต่อยากรู้อยากฝึกตาม เช่นหลวงปู่บางท่าน เดินแป๊บเดียวก็ถึงที่หมาย หรือทำให้น้ำกลายเป็นของแข็ง อยากลองทดสอบน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2018
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    กสิณไปได้ ๓ ทาง
    ๑ พลังงาน ไปปั้นฏิภาคนิมิตในกำลังสมาธิระดับสูงให้ได้ ปั่นวนซ้านนะครับ
    ๒ อรูปฌาน ต้องทิ้งรูป แล้วขึ้นใหม่ ๒ รอบและรู้เรื่องการวางอารมย์ไว้ก่อน
    ๓ อฐิษญานจิต(ยากสุด)
    แบบที่ครูบาร์ท่านทำ
    เรียกว่า ตัวโทสะ โมหะ โลภะ
    ในจิตแทบจะไม่มีอะไร
    มาทำให้เกิดได้เลยครับ
    ถ้าเป็นฆราวาสเรียกว่าไม่เอาใครเลย
    อยู่คนเดียวโดดๆ เดินออกจากบ้าน
    ไม่ต้องล็อคประตูเลยหละครับ
    วิธีการคล้ายอรูปฯ แต่วางอารมย์เรื่องที่จะอฐิษฐานไว้ ส่วนตัวเคยแยกขั้นตอนนี้ ได้ ๓ ถึง ๔
    อย่างมากและใช้เวลาเกือบครึ่ง ชม กว่าจะทำได้ แต่เคยอ่านเจอพบว่า
    ลพ ท่านแยกได้ ๗ ขั้นตอน(ละเอียดมาก)
    และทำได้ภายในการหายใจครั้งเดียว
    นี่มันน้องๆระดับจิตธาตุแล้วครับ
    บางทีเราอ่านตามที่ท่านแนะ
    แต่การสะสมบารมีตามเนื้อหาเดิมของจิต
    มันต่างกันราวฟ้ากับเหวลึก
    เอาที่เราพอทำได้พอ
    สนใจกสิณ ลองไปอ่าน กระทู้
    กสินอะไรฝึกง่ายสุดดูนะครับ
    ที่พูดคือแบบหยาบๆ
    แต่สุดท้ายต้องทิ้งเพื่อไป
    ปัญญาญานต่อนะครับ
    ถ้าขี้เกียจ ลองย้อนที่ จขกท
    แนะทางลัดไว้ได้ครับ

    ปล คนตั้งกระทู้นี้ เมื่อก่อนสายตาดีกว่า
    คนปกติทั่วไปนะครับ
    อือศิษย์สายตรงแบบไม่ใช่
    พวกชอบเอาคำสอนท่านมาอ้างเพื่อ
    ยกให้ตัวเองดูดีด้วย
    แต่คงไม่เข้ามา
    แล้วหละมั่งครับ
    แค่เล่าให้ฟังครับ
     
  19. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    สบายดีนะ...ไปถึงไหนแล้ว...สั่งสมและก้าวข้ามไปได้มากเพียงไหนแล้ว...ยังระลึกถึงอยู่นะ...ขอให้เจริญในธรรมตามสมควรแก่ฐานะ...อนุโมทนาสาธุการ
     
  20. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ท่านจันทิพา ฝึก เพ่งอากาศ ครับ อ่านวิธีจากตำราดู

    แต่ พุทธานุสสติ ก็ทำตลอดครับ เป็นหลักไว้ ให้คล่องแบบ แป็บเดียวเป็นประกาย

    ช่วงไหนว่างระหว่างวัน ก็ซ้อมตลอด
     

แชร์หน้านี้

Loading...