ชาติหน้ามีจริงหรือ ?

เมื่อวานนี้เป็นอดีตของวันนี้
วันนี้เป็นอนาคตของเมื่อวานนี้
วันนี้เป็นอดีตของวันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้เป็นอนาคตของวันนี้

มันเป็นอย่างนี้

 

ธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นทางออกทุกอย่าง

 

อนุโมธนาด้วยคนจ้า

 

คนที่เข้าถึงพระพุทธศาสนา จริงๆ.....ในใจของเขาไม่มีความสงสัย ในเรื่องภพ ภูมิ กฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดกันหรอกครับ.....

 

"และจนกว่าแกจะได้ เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้ "

อ่านตอนแรกก็ไม่เข้าใจ
แต่ไปหาข้อมูลเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วกลับมาอ่าน

เข้าใจแล้วครับ อนุโมทนาบุญครับ

 

ชาติหน้ามีจิงไหมหนอ? คนเค้าที่ไม่รู้ก็สงสัยเป็นธรรมดาครับ อย่าไปว่าเขาเลย ผมขอให้ธรรมมะช่วยให้เกิดแสงสว่างในจิตใจของตัวเขาด้วยครับ สาธุ

 

เบิกธรรม

อนุโมธนากับความคิดเห็นที่ดี กรรมต่างๆ

ที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ที่กระทำก็จะได้รับผลขอกรรมนั้น

จะกรรมดี กรรมชั้ว ผู้ที่กระทำไม่อาจจะหลบหนีผลกรรมนั้นได้

 

อนุโมทนาด้วยครับ..ชาตินี้ขอให้หมั่นทำความดีละเว้นความชั่วให้มากๆจะชาติหน้าชาติไหนก็ตามผลกรรมจะส่งผลให้ตามที่กระทำเองครับ

 

"ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้น จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นการหลุดพ้น...พยายามมากเกินไป แต่ขาดปัญญา เป็นการเคี่ยวเข็ญตนเองไปสู่ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น..เดินทางสายกลาง คือ สงบ วางสุข วางทุกข์

หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา...ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว ทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา...
จิตของคนตามธรรมชาตินั้นไม่มีความดีใจเสียใจ...ที่มีความดีใจ เสียใจนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง จิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว แล้วเป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์...ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงมาร

การกระทำจิตให้สงบนั้น อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามาทำวันเดียวหรือสองวันมันจะสงบได้...จะต้องพยายามทำเรื่อยๆไป ให้เห็นความสงบเกิดขึ้นมาต้องพยายามทำให้มาก ทำบ่อยๆ ยืน เดินนั่ง นอนต้องมีสติอยู่เสมอ"

(หลวงพ่อชา สุภัทโท)

 

สาธุครับ

-มหาโมทนากับกุศลจิตทุกท่าน ขอให้สำเร็จตามที่ปรารถนาครับ

สาธุ

 

ชอบคำนี้มากเลยครับ ผมเอาแชร์ใน facebook แล้ว ใส่เครดิตให้แล้วด้วยครับ.

 

ผมมีคำถาม ถามคุณโชเตโดยตรงครับ

การที่คนตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องชาติหน้ามีจริงหรือไม่ พวกเค้าจะต้องเป็นคนไม่มีศาสนา แบบนั้นเลยหรือครับ?

พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อในพระธรรมของท่าน ท่านตรัสให้ใช้กาลมสูตร 10 ในการตัดสินว่าสิ่งนั้นควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ ท่านให้ลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง จนกว่าจะพบว่าสิ่งที่ท่านกล่าวเป็นจริงแล้วนั้น "ด้วยตนเอง" แล้วจะเชื่อได้สนิทใจด้วยตัวเอง

ผมกลับมองว่าการถามคำถามนี้ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ศาสนา ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เป็นคำถามที่นำมาซึ่งประโยชน์ให้แก่คนหลายคน ได้มอบความสว่างในการตอบคำถามที่มีเหตุมีผล

คนแต่ละคนมีมาตรฐานของตนเอง การตัดสินคนอื่นโดยเอาไม้บรรทัดตัวเองไปวัด และแปะป้ายว่าพวกเค้าเป็นเช่นไรนั้น ผมมองว่าจะทำให้คนที่ทำแบบนั้นต้องทุกข์ หรือมีความคิดลบในใจไปตลอด (ก็มาตรฐานแต่ละคนมันสั้น-ยาวเท่ากันที่ไหนล่ะครับ)

ความคิดส่วนตัวผม วัตถุก็คือวัตถุ และศาสนาก็คือศาสนา การที่คนมีความลุ่มหลงในวัตถุมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าคนทุกคนที่ลุ่มหลงในวัตถุนั้นมีความเสื่อมถอยในศาสนา "ทุกคน" และในทางกลับกัน การที่คนตั้งข้อสงสัยต่าง ๆ นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ตั้งข้อสงสัยนั้นเป็นคนไม่มีศาสนาเช่นกัน ผมกลับมองว่าคนเหล่านี้ทำให้ศาสนาเจริญขึ้น เพราะคำถามหนึ่งคำถามของพวกเค้าจะนำมาซึ่งคำตอบให้คนหลายคนที่สงสัยเรื่องเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน และสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้แก่ศาสนาพุทธในระยะยาว

คนที่สงสัยนั้น ผมว่าดีกว่าคนที่หลับหูหลับตาเชื่อ หลับตาศรัทธาเหมือนคนจมน้ำที่คว้า "อะไรก็ได้" ที่ลอยมาตรงหน้า ดีกว่าพวกที่งมงายไม่ลืมหูลืมตา ดีกว่าคนที่คลั่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างสุดโต่ง พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้คนเดินทางสายกลาง ไม่เคยสอนให้คนสุดโต่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งครับ

ด้วยความเคารพ

 

อยากรู้ไปทำไมเป็นทุกข์เปล่าๆ

 

ผมคนหนึ่งที่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง เวลาจะทำอะไรไม่ดี จะได้เตือนตัวเองไว้ว่า ความเป็นเทวดาค้ำคออยู่ แบบว่าอยากเกิดเป็นเทวดาเลยพยามยามทำความดีไว้นะครับ ซึ่งไม่รู้ว่าผิดหรือถูกครับที่คิดแบบนี้นะครับ ในท่ามโลกที่หลงใหลในวัตถุนะครับ

 

ขอบุญบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่โพส ฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีผู้โพสกระทู้ ฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีผู้อ่านกระทู้ และฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ

 

ชาติหน้ามีจริงหรือ? นั้นเป็นคำถามสุดฮิตมากเลยนะครับ บางคนบอกตายไปก็จบ บางคนก็บอกว่า ตายไปยังไม่จบต้องเวียนว่ายตายเกิด บางคนก็บอกว่า ตายไปก็ได้ขึ้นสวรรค์เป็นอมตะ บางคนก็มีว่าตายไปก็ไปเข้าเฝ้าพระศิวะ

สรุปแล้วต่างคนต่างความคิดครับ

ขออนุโมทนา ให้เจ้าของประทู้ด้วยครับ

 

ก็ยังไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่การทำบุญสะสมบุญก็มิได้ผิดอะไร ทำไว้มิเสียหลาย
อนุโมทนาสาธุ บุญนี้ ขอยกให้กับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยเทอญ...
ttt2010 ศิษย์พระอาจารย์บุญยง อภิลาโส ภิกขุ
_____________________________________________________
บอกบุญแหล่งทำบุญ
ท่องวัดและศาสนสถานที่สำนักสงฆ์พรหมรังศรี
เปิดดวง พิธีกรรมแก้ดวงชะตา (สำนักสงฆ์พรหมรังศรี)
ร่วมบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดดอนพัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา
ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศูนย์วิปัสสนาศิริธรรม(นายาง)ต.นายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

 

อนุโมทนาค่ะ จะต้องพยายามทำเรื่อยๆไป ให้เห็นความสงบเกิดขึ้นมาต้องพยายามทำให้มาก

 

อันนี้ผมเอาเสียงอ่านจากหนังสือเรื่องโลกทิพย์มาให้ฟังครับ มีทั้งหมด 38 ตอน
https://www.youtube.com/watch?v=Du_Olo7XObI&feature=results_main&playnext=1&list=PL2113C707A913B46B
คนเขียนเป็นบาทหลวงที่ได้ฝึกจิตจนสามารถติดต่อกับบาทหลวงอีกท่านหนึ่งซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว
ที่น่าสนใจคือ สิ่งที่ผู้ตายได้เล่านั้น ขัดแย้งกับคัมภีร์ศาสนาของท่านอย่างมาก แต่กลับตรงกับสิ่งที่เราสอนกันในพุทธศาสนาอย่างน่าอัศจรรย์ครับ
แต่ทั้งนี้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผู้ตายอยู่ในสวรรค์ชั้นฉกามาพร หรือชัดๆ ก็น่าจะเป็นชั้นจาตุมหาราชิกา แต่เป็นในเขตของพวกฝรั่งเขา ซึ่งคนในโลกนั้นก็คงมีโบสถ์ตามศาสนาเขาอยู่ครับ
เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่าคนที่ตายไปแล้วจะรู้อะไรจริงๆ สิ่งที่เขามาเล่า ก็เป็นสิ่งที่เขาประสบมาแค่นั้น เพราะฉะนั้นท่านผู้ตายที่มาเล่า ก็อาจจะยังไม่ทราบถึง สวรรค์ชั้นพรหม และการนิพพาน
แต่ทั้งนี้สิ่งที่ท่านได้เล่ามานั้นก็ถือว่าเป็นการยืนยันได้ดีครับว่าภพอื่นมีจริงๆ
และผมก็เข้าใจท่านที่พูดถึงว่าการตายนั้นไม่ใช้ของน่ากลัวด้วย แต่ก่อน ผมก็อาจจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่ามันคือการที่จิตเราจุติไปอยู่ในภพอื่น
คือจริงๆ จิตเรามันเกิดๆ ดับๆ ตลอดเหมือนหลอดไฟอยู่แล้ว แต่ว่าถี่มากจนเราไม่รู้สึก และเราก็ยังคงอยู่ในภพมนุษย์อยู่ ที่เรากลัวกันเพราะเราจะต้องพรากจากคนที่อยู่ในภพนี้ และตัวเราก็จะต้องทิ้งร่างมนุษย์ของเราไว้ ซึ่งวิธีการทิ้งร่างของเราก็จะต่างกันไปตามวิบากของแต่ละคน ตรงนี้คงเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลัวความตายกัน

 

คิดดี ทำดี พูดดี
ศีล สมาธิ ปัญญา