แด่ผู้หญิงที่ผมรัก (เนื่องในวันวาเลนไทน์)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Komodo, 14 กุมภาพันธ์ 2011.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    [​IMG]
    ภาพประกอบ : จากอินเทอร์เน็ต


    แด่ผู้หญิงที่ผมรัก (เนื่องในวันวาเลนไทน์) ภาค 1

    ผมเคยถามตัวเองหลายครั้งว่า " ความรัก คือ อะไร"

    จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายปี ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า

    "ความรัก คือ อะไร"

    ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนมาตลอด ทำให้ความสามารถในการคุยกับผู้หญิงของผม "อ่อนหัด" ยิ่งนัก

    จนเมื่อผมได้เรียนชั้น ม.ปลาย ทำให้ผมมีโอกาสเรียนร่วมกับผู้หญิง "ตื่นเต้นจริง ๆ" ครับ

    วันแรกที่เข้าแถวเคารพธงชาติ ผมได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

    ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร และทำไมถึงเดินไปเดินมาในแถวห้องของผม
    ผมเริ่มมองดูเธอ ตั้งแต่หัวจรดเท้า และรู้สึกแปลก ๆ ในใจ ว่าทำไมถึงสะดุดตากับเด็กผู้หญิงคนนี้

    นั่นเป็นเพราะ ภายนอกเธอไม่ได้สวยและน่ารักเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ผมรู้จัก

    แต่สิ่งที่เธอมี คือ ความร่าเริง และความแก่นแก้ว จนผมแอบขำไม่ได้ว่า

    "นี่มันเด็กผู้หญิง หรือ เด็กผู้ชายกันแน่"

    น่าแปลกที่ผมซึ่งเป็นหนุ่มน้อยขี้อาย ทำให้ผมโดนเธอแกล้งเป็นประจำ

    จนผมเริ่มสงสัยในตัวเองว่า สงสัยเธอคงจะเป็น "เด็กชาย" ส่วนผมคงจะเป็น "เด็กหญิง" แน่ ๆ
    แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเด็กผู้หญิง ก็ต้องคู่กับเด็กผู้ชาย 555

    เราเรียนห้องเดียวกัน แต่ผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับเธอเท่าไหร่ นั่นเป็นเพราะ "ผมขี้อาย"

    จนอยู่มาวันหนึ่ง เธอสอบ Mid Term วิชาสังคมไม่ผ่าน 555 อาจารย์เลยให้ทำงานมาส่ง
    และด้วยความที่ผมเก่งวิชานี้ (ขอโม้หน่อย) ผมเลยถามเธอว่า "มีอะไรให้ช่วยมั้ย"

    เธอบอกว่า "มี" แล้วเธอก็อมยิ้ม (ผมคิดในใจว่า หลงกลแล้วตรู)
    หลังจากนั้น เธอก็นัดผมไปทำงานที่บ้านเธอ

    ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของเธอ

    วันนั้นเธอแต่งตัวตามสบาย เหมือนคนอยู่บ้าน แถมยังใส่ขาสั้นมานั่งตรงข้ามผมอีกด้วย
    แต่เดี๋ยวก่อน (เหมือน TV Direct) ผมไม่ได้แอบส่องกางเกงเธอหรอกนะครับ เพราะแค่มอง
    ผมยังไม่กล้ามองเลย วันนั้นเป็นวันที่ตัวผมสั่นนิด ๆ
    เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้ใกล้ชิดผู้หญิง (ที่ไม่ใช่แม่) มากขนาดนี้
    และวันนี้เอง เป็นวันที่ผมเริ่มรู้สึกว่า เธอเป็น "เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง"
    และผมเพิ่งเข้าใจว่า ทำไมเธอจึงดู "ห้าว ๆ" เหมือนเด็กผู้ชาย
    นั่นก็เพราะเธอเป็นลูกคนโตที่ต้องดูแลน้อง ๆ อีก 2 คน

    เราทั้งสองคนเริ่มทำความรู้จักกันมากขึ้น และผมเริ่มที่จะเรียนรู้ชีวิตของเธอ

    แปลกดีเหมือนกันที่ผมเพิ่งรู้ว่า เธอเดินไปโรงเรียนทุกวัน
    และยิ่งแปลกกว่านั้น คือ เธอเดินไปโรงเรียนตั้งแต่ประถมจนถึง ม.ปลาย

    หลายครั้งที่ผมเห็นเธอวิ่งมาเข้าแถว และหลายครั้งที่ผมเห็นเธอเหนื่อย

    นั่นก็เพราะเธอมักจะเดินออกจากบ้าน เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเข้าแถวตอนเช้า
    และหลายครั้งที่เธอมาโรงเรียนสายอีกด้วย

    วันหนึ่ง ผมไปหาเธอที่บ้าน และลองเดินไปโรงเรียนเป็นเพื่อนเธอ
    เธอพาผมเดินลัดบ้านคน ทะลุแปลงผัก และสวนของหลายคน
    ซึ่งผมก็ถามเธอว่า ถ้ามาไม่ทันแล้วประตูปิด เธอจะทำอย่างไร เธอตอบสั้น ๆ ว่า
    “ก็ปีนกำแพงนะสิคะ”

    ผมอุทานในใจว่า “พระเจ้าจอร์จ (ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า พระเจ้าชื่อจอร์จ)”

    แต่เดี๋ยวก่อน ผมอุทานผิด เพราะจริง ๆ ต้องอุทานว่า “แม่เจ้าโว้ย”
    เธอต้องเป็น "หน่วยคอมมานโด" แน่ ๆ เพราะวีรกรรมเธอเยอะจริง ๆ

    ว่าแล้วเธอก็สาธิตการปีนกำแพงโรงเรียนให้ผมดูเป็นครั้งแรก
    และเธอก็เรียกให้ผมปีนตามเธอขึ้นไป และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผม “ปีนกำแพงโรงเรียน”
    และต่อจากนั้นผมก็ปีนกำแพงอีก 2-3 ครั้ง

    เด็กผู้หญิงคนนี้มีความสามารถพิเศษ นั่นคือ เธอรู้ว่าเวลานี้ ควรจะปีนกำแพงด้านข้าง หรือ ด้านหลัง ของโรงเรียน

    ผมก็อุทานในใจอีกครั้งว่า “พระเจ้าช่วย กล้วยทอด (ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า พระเจ้ากินกล้วยทอดด้วย)

    และด้วยความเป็นห่วง ผมเลยบอกเด็กหญิงคนนั้นว่า

    “เดี๋ยวเรามารับเธอไปโรงเรียนเอามั้ย จะได้ไม่ต้องปีนกำแพงอีก”

    หลังจากนั้น เราทั้งคู่ก็มาโรงเรียนด้วยกันทุกวัน และบ่อยครั้งที่เรามาถึงโรงเรียนก่อนประตูปิดนิดเดียว

    เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา และโชคดีที่เราเรียนแข่งกัน

    แปลกดีเหมือนกัน ที่เด็กผู้หญิงคนนี้จะเรียนเก่งกว่าผม เพราะดูเหมือนว่า
    เธอไม่ค่อยอ่านหนังสือเลย (มีแต่อ่านการ์ตูน) และหลายครั้งที่ผมต้องช่วยเธอทำการบ้าน

    จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมแอบไปดูสมุดเกรดของเธอ และได้รู้ว่า
    เธอเก่งกว่าผมในวิชากลุ่มวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
    ส่วนผมดันไปเก่งวิชาภาษาไทย สังคม และพระพุทธศาสนา

    หลังจากนั้นผมก็เริ่มหันมาสนใจวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
    และเธอเป็นคนทำให้ผมชอบวิชาเคมี (เพราะเป็นวิชาเดียวที่ผมสู้เธอได้)

    ส่วนวิชาฟิสิกส์ ชีววิทยา และภาษาอังกฤษ ผมยกธงขาวตั้งแต่ยังไม่รบ

    เราเป็นเพื่อนกันมาปีกว่า ๆ และอยู่มาวันหนึ่ง เราก็ถามกันและกันว่า คิดยังไงต่อกัน
    เราไม่ได้บอกกันตรง ๆ แต่ผมบอกเธอเป็นเพลง "ก็ใครจะไปรู้ล่ะ" ของเจ เจตริน

    ผมบอกว่า : (รู้ไหม ว่าใครแอบคิดถึง)
    เธอตอบว่า : อ๊ะอันนี้ ก็ไม่ทราบเป็นใครนะ
    ผมบอกว่า : (รู้ไหม ว่าใครที่คอยห่วง)
    เธอตอบว่า : อืมม..เท่าที่รู้มันคงไม่มีนะ
    ผมบอกว่า : (รู้ไหม ว่าใครที่คอยหวง)
    เธอตอบว่า : หา? หา? หา? หา?
    ผมบอกว่า : (เขาฝันถึงเธอมา ตั้งนาน)
    เธอตอบว่า : มันคงไม่มี มันคงไม่จริง มันคงไม่มีน่า
    ผมบอกว่า : (ทำไมไม่รู้ ก็ทำไมไม่เห็น ว่าใคร ที่เป็นขนาดนั้น)
    ผมบอกว่า : (รู้ไหม เขารออยู่นานแล้ว)
    เธอตอบว่า : ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้
    ผมบอกว่า : (รู้ไหมเขาคอยเธอคนเดียว)
    เธอตอบว่า : เธออย่ามาล้อเล่น ล้อเล่นน่า
    ผมบอกว่า : (รู้ไหมเขารอให้แลเหลียว)
    เธอตอบว่า : โอ้ย ไม่จริง มันคงไม่มีหรอก
    ผมบอกว่า : (เขาหลง รักเธอมาตั้งนาน)
    เธอตอบว่า : ไหนล่ะ ไหนล่ะ ไหนล่ะ คนไหนล่ะ
    ผมบอกว่า : (ทำไมไม่รู้ ก็ทำไมไม่เห็น ว่าใคร คนนั้นน่ะเป็นฉัน)

    ถึงตรงนี้ เธอก็อายหน้าแดงเป็นตำลึง แล้วเธอก็ร้องเพลงต่อว่า

    ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ ก็ใครมันจะไปเข้าใจ
    ไอ้เรามันคงไม่รู้หรอก ไม่บอกก็คงไม่รู้ใจ

    ผมบอกเธอต่อว่า : รู้ไหมกับเธอแล้วเราไม่กล้าคิด
    เธอตอบว่า : (ฮืม..ก็ลองคิด)
    ผมบอกว่า : เพราะคิดแล้ว มันคงจะเป็นไปไม่ได้
    เธอตอบว่า : (ฮืม..เป็นไปได้)
    ผมบอกว่า : รู้ก็รู้อยู่ว่าเราไม่เอาไหน
    เธอตอบว่า : (ฮืม..ไม่จริงมั๊ง ไม่เลย)
    ผมบอกว่า : ไม่คิดว่าเราจะโชคดี (ฮืม…. ลองมองก็รู้ ลองดูก็เห็นว่าใคร คนนั้นน่ะเป็นฉัน)

    แล้วเราก็ร้องพร้อมกันว่า

    แล้วเธอเองคิดอย่างไร ถ้าเธอได้รู้ว่าใครชอบเธอ
    แล้วเธอเองพูดอย่างไร ถ้าคิดจะบอกว่าใจตรงกัน

    เมื่อใดคำตอบแล้ว วันนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “รัก” ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน
    เป็นคำว่า “รัก” ที่ผมรู้แต่เพียงความหมายของมัน แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่า แก่นแท้ของความรัก คือ อะไร
    (ผมมารู้ภายหลังว่า ความรู้สึกตอนนั้นเป็นเพียงคำว่า "ชอบ")

    เรื่องราวความรักของผมก็เริ่มต้นนับตั้งแต่วันนี้ วันที่หัวใจดวงน้อย ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง
    ได้แบ่งปันไปให้เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเราก็เริ่มคบกันในฐานะแฟน
    "แฟน (Fan)" ที่แปลว่า พัด เพราะถ้าเธอร้อน ผมก็จะเอาสมุดมาพัดให้เธอ หุหุ

    เราต่างก็เรียนแข่งกัน และเธอกับผมจะติด 1 ใน 5 ของห้องมาโดยตลอด แต่ผมก็ยังเอาชนะเธอไม่ได้สักที
    บางเทอม ผมแพ้เธอเพียงแค่จุดทศนิยม บางเทอมเกรดเราเท่ากัน แต่ในที่สุด วันของผมก็มาถึง
    เมื่อผมชนะเธอไปเพียงทศนิยม ลำดับที่ 2 ซึ่งนั่นทำให้ผมเริ่มโม้ว่าเก่งกว่าเธอได้ 555
    ผมก็ไม่รู้ว่า เธอแกล้งยอมแพ้หรือเปล่า เพราะเราใกล้ที่จะเรียนจบแล้ว
    แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะ “ชนะ” ก็คือ “ชนะ” 555 (โม้ได้ 3 ชาติเลยครับ)

    ช่วงเรียนมี 2 ครั้งที่ผมเสียใจมาก

    ครั้งแรก คือ ผมขับรถล้ม และทำให้เธอล้มไปด้วย ตอนนั้นตำรวจยังไม่เข้มงวดเรื่องหมวกกันน็อคเท่าไหร่

    ผมเสียใจมาก เพราะผมขี่มอเตอร์ไซด์ไม่ระวัง และฝนเพิ่งหยุดตก ทำให้ถนนลื่น เมื่อกำเบรก รถก็เลยลื่น
    แต่น่าแปลก คือ เธอไม่ว่าผมสักคำ แม้เธอจะเจ็บ แต่เธอก็ไม่ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป
    (ผมคิดในใจว่า แฟนเราเป็นคนเหล็กปลอมตัวมาหรือเปล่าเนี่ย รถล้มยังเสย “ภาษาอีสาน แปลว่า ไม่เป็นอะไร”)

    ครั้งที่สอง คือ ผมไปแกล้งเธอ และทำให้ร้องไห้ ผมรู้ว่า จุดอ่อนของเธอ คือ เป็นคนบ้าจี้ ซึ่งวันนั้น ผมก็ไปจี้เธอ แต่ดูเหมือนเธอจะเก็บอาการอยู่ ผมเลยแอบไปข้างหลัง และดึงสายยกทรง และปล่อยให้ดีดใส่หลังเธอ (เรื่องนี้ ไม่ควรทำเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ) เสียงดัง “เปรี้ยะ” ผมรู้ทันทีว่า “ได้ผล” 555 ว่าแล้ว เธอก็วิ่งไล่เช็คบิลผมรอบห้อง แต่ด้วยความที่ผมคล่องแคล่วว่องไว ปานกามนิตย์หนุ่ม เธอจึงไม่สามารถจับผมได้ จนในที่สุดเราก็เริ่มเหนื่อย และเริ่มหามุมพัก

    ทันใดนั้น สัญชาตญาณของผมก็เตือนภัยว่า “กำลังมีอันตราย” เพราะเธอกำลังใช้ของ “ทุนแรง” นั่นก็ คือ เก้าอี้พลาสติกในห้องเรียนนั่นเอง ว่าแล้ว “เสียงพลาสติกแหวกอากาศ” ก็ดังแว่วมาที่หูผม แล้วผมก็หลบเก้าอี้ที่ลอยมาหาผมได้อย่างหวุดหวิด (คิดในใจว่า “สงสัยรอบนี้ กูตายแน่ ๆ) แล้วเก้าอี้อีกหลายตัวก็ลอยมาหาผม จนในที่สุด ผมคิดได้ว่า ต้องหา “โล่มนุษย์” ผมจึงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มเพื่อน ด้วยหวังว่า เธอคงไม่กล้าโยนเก้าอี้มาใส่ผม

    แต่...เธอก็โยนเก้าอี้เข้ามา ซึ่งเธอคงเข้าใจว่า ผมคงจะรับเก้าอี้ไว้ แต่ด้วยความ “ชั่วร้ายของผม” ผมหลบเก้าอี้นั้น และปล่อยให้เก้าอี้โดนเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เพื่อนคนนั้น “ร้องไห้” ส่วนผมก็ยังกระโดดโลดเต้น ด้วยความคึกคะนองว่า “กูนี่แหละ ยอดนักรบ”

    แต่เมื่อผมหันไปมอง “คู่ปรับของผม” หรือ “คนเหล็กของผม” กลับเห็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เคยเข้มแข็ง และแก่นกะโหลก ยืนร้องไห้ด้วยความสำนึกผิดที่ทำเพื่อนเจ็บ น้ำตาไหลออกมาจากดวงตากลมโตของเธออย่างไม่ขาดสาย ผมเองก็หน้าเสียไปทันที
    เป็นครั้งแรกที่ผมทำ "คนที่ผมรักร้องไห้) และผมเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองนี่เลวจริง ๆ วันนั้นผมตั้งใจว่า

    ผมจะไม่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้ต้องร้องไห้เพราะผมอีก

    เราก็เรียนแข่งกัน จนในที่สุดเราก็เรียนจบ ผมสอบโควตาติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
    ส่วนเธอสอบไม่ได้ และต้องเตรียมสอบเอ็นทรานซ์ แต่ผมก็ยังไปเรียนพิเศษเป็นเพื่อนเธอ
    นั่นเป็นเพราะหน้าที่ของผม ก็คือ “สารถีประจำตัว” ของเธอนั่นเอง
    และแล้วเธอก็เอ็นทรานซ์ติด แต่คนละมหาวิทยาลัยกับผม

    การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของคนสองคน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพลัดพรากของคนอีกสองคนเช่นกัน

    จบภาคแรก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  2. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    แด่ผู้หญิงที่ผมรัก (เนื่องในวันวาเลนไทน์) ภาค 2

    แม้ระยะทางจะห่างไกล แต่ใจของเราไม่เคยห่างกัน

    ในช่วงที่เราเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือเพิ่งมีในประเทศไทย ประกอบกับผมมีเงินไม่มาก ดังนั้น เราจึงเขียนจดหมายถึงกันอยู่เสมอ ต่อมาค่าโทรมือถูกลงเหลือนาทีละ 3 บาท ผมก็เริ่มโทรหาเธอมากขึ้น แต่ด้วยความเลวของผมอีกนั่นแหละครับ ผมเริ่มจีบสาว ๆ คนอื่น เพื่อทดสอบเสน่ห์ของตนเอง และน่าแปลกใจ คือ ผมดันจีบพร้อม ๆ กันหลายคนอีกด้วย (ชั่วร้ายจริง ๆ เลยนะครับ)

    ผมคิดว่า ผมควรจะให้โอกาสเธอ ผมควรจะเปิดโอกาสให้เธอได้คบกับคนอื่นบ้าง ผมจึงเขียน "จดหมายบอกเลิก" ส่งไปหาเธอ หลังจากจดหมายหล่นลงไปในตู่ไปรษณีย์ หัวใจดวงน้อย ๆ ของผมก็เริ่มหวั่นไหวอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะผมเริ่มรู้สึกตัวว่า

    “ผมรักเธอ และรักมากด้วย รักมากเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้”

    ผมนั่งคิดอยู่ 2 วันว่า จะทำยังไงดี เพราะจดหมายก็ส่งไปแล้ว ผมจะทำแบบในหนัง โดยจะรีบไปดักไปรษณีย์ก็คงจะไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจเลิกกับผู้หญิงทุก ๆ คน และโทรไปหาเธอ เพื่อไปสารภาพกับเธอ และบอกกับเธอว่า

    “ผมเสียใจในสิ่งที่ทำ และบอกกับเธอว่าผมรักเธอ”

    แต่ก็สายเกินไป เพราะจดหมายถูกส่งถึงมือเธอก่อนหน้าที่ผมจะโทรไปหาเธอไม่นาน และที่สำคัญเธอได้อ่านจดหมายฉบับนั้นแล้ว ดังนั้นเสียงแรกที่ผมได้ยินจากเธอ คือ

    “เสียงร้องไห้ของเธอจากปลายสายโทรศัพท์”

    เสียงร้องไห้ของเธอที่ดังกังวาลผ่านสายนั้น ทำให้ผมนึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองว่า จะไม่ทำให้เธอร้องไห้อีก
    ว่าแล้วน้ำตาของผมก็ไหลเป็นทางเช่นกัน ผมบอกกับเธอว่า “ผมขอโทษ และขอให้เธอให้โอกาสผม”

    โชคดีของผมที่เธอให้อภัย และเราก็คบกันต่อไป ผมไปหาเธอที่มหาวิทยาลัยบ่อยขึ้น ไปรู้จักกับเพื่อน ๆ ของเธอ
    และในวันลอยกระทง ผมก็นั่งรถไปหาเธอ 4 ชั่วโมง และไปลอยกระทงด้วยกัน (ตอนบ่าย) จากนั้น ผมก็รีบมาขึ้นรถกลับมหาวิทยาลัย

    แม้ความรักจะไม่มีปัญหา แต่ด้วยความขี้เกียจของผม ทำให้ผมมีผลการเรียนตกต่ำ ดังนั้น ผมจึงวางแผนที่จะเอ็นฯ ใหม่ และเชื่อว่า ผมเอ็น ฯ ใหม่ติดแน่นอน จากนั้นผมก็เริ่มวางแผน Drop เรียน เพื่อไปเตรียมตัวสอบที่บ้าน และในระหว่างเรียน เธอก็นั่งรถมาเยี่ยมผมบ่อย ๆ (แปลกดีที่เธอต้องมาหาผม ทั้งที่ความจริง ผมควรไปหาเธอมากกว่า คิดแล้วผมนี่มันสุภาพสตรีจริง ๆ) และผมก็สอบเอ็น ฯ ติดดังหวัง แต่คราวนี้ผมไปไกลถึง “กรุงเทพ ฯ” แดนศิวิไลที่พี่ “หรั่ง ร็อคเคสตร้า” เคยร้องให้ฟังบ่อย ๆ

    เมื่อผมมาเรียนที่กรุงเทพ ฯ ผมก็แอบปิ๊งสาวกรุงเทพ ฯ ตามสันดานของผมเหมือนเดิม แต่โชคดีมาก ๆ ที่ผมนึกถึงน้ำตาของเธอ หลังจากนั้นในช่วงที่ผมเรียน ป.ตรี ผมไม่เคยมองผู้หญิงคนไหน นอกจากเธอ

    “ผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่ผมรัก”

    ในช่วงที่เราคบกัน เราอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายโดยตลอด เราไม่เคยทำเรื่องเสียหาย และทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต้องเสื่อมเสีย จนเราเรียนจบ เราก็ต่างทำงานในสาขาที่ตนเองเรียนมา น่าแปลกที่การงานของเธอมั่นคง แต่ของผมยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ แถมเงินเดือนก็ไม่มาก จนในที่สุด ผมก็ตัดสินใจเรียนต่อ ปริญญาโท

    ในช่วงเรียนปริญญาโท เป็นช่วงที่ผมกับเธอเริ่มห่างกัน อาจเพราะเราต่างมีงานที่ต้องทำ และผมติดเรียน
    เสาร์ – อาทิตย์ตลอด ทำให้ไม่มีเวลากลับบ้าน แต่เราก็ได้เจอกัน นั่นเพราะเธอไม่สบาย ต้องมาหาหมอทุก ๆ 2-3 เดือน เราจึงมีโอกาสเจอกัน

    ช่วงนั้น ผมยอมรับว่า ผมเครียดเรื่องการเรียนมาก เลยทำให้ความรักที่มีต่อเธอลดน้อยลง และผมก็ไม่ค่อยได้โทรหาเธอเท่าไหร่ แต่เธอก็เฝ้าคอยโทรศัพท์จากผม วันแล้ว วันเล่า ผมก็ไม่ค่อยได้โทรมา (ผมช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวจริง ๆ)

    ความสัมพันธ์ของเราร่อแร่ แต่เหมือนฟ้าเป็นใจให้ผมได้รับรู้ว่า “เธอรักผมมากแค่ไหน”

    เมื่อผมประสบอุบัติเหตุ “ไหปลาร้าหัก” ตอนนั้น ผมไม่กล้าบอกที่บ้าน
    เพราะกลัวที่บ้านจะเป็นห่วง ดังนั้น ผมจึงโทรบอกเธอ

    วันต่อมาเธอ มาหาผมที่ห้องและเห็นสภาพของผมหลังจากเกิดอุบัติเหตุ
    ผมสงสัยว่า เธอมาได้ไง เธอบอกว่า "เธอนั่งเครื่องบินมาหาผม"

    ครั้งนี้น้ำตาผมไม่ไหลออกมาจากตา แต่น้ำตาของผมไหลย้อนกลับไปไหลลงบน "หัวใจของผม"

    เธอไม่พูดอะไรในสิ่งที่ผ่านมา หรือ ในสิ่งที่ผมไม่ได้ดูแลและรักเธอ เหมือนที่เธอรักผม

    และดูแลผมในช่วง 2 วันแรกที่ผมปวดไหปลาร้าที่หักมากและมีอาการไข้
    หลังจากนั้นเธอต้องกลับไปทำงาน และผมจึงโทรบอกที่บ้าน จากนั้นแม่ผมก็เดินทางมาดูแลผมต่อ

    “ความดีของเธอในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ชีวิตนี้ผมจะไม่ลืม”

    หลังจากผมเรียนจบ ผมก็หางานที่ดีทำ แต่โชคร้าย คือ ผมต้องทำงานวันเสาร์ด้วย ทำให้ผมกับเธอเริ่มห่างกันอีก ประกอบกับเธอรักษาตัวจนหายแล้ว จึงไม่ค่อยได้มากรุงเทพ ฯ อีก ความสัมพันธ์ของเราจึงกระท่อนกระแท่น และผมเริ่มรู้สึกว่า “เธอเปลี่ยนไป” แต่เธอก็ไม่ได้แสดงออกอะไร ทุกครั้งที่ผมกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ เธอก็จะแวะมาทักทายและสวัสดีคุณพ่อ คุณแม่ผมเสมอ และครอบครัวผมก็รักเธอเหมือนลูกสาว

    สิ่งหนึ่งที่ผมเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ คือ ผมไม่ได้ทุ่มเทให้กับเธอ เหมือนที่เธอให้กับผมมา

    ครั้งนั้นเราคุยกัน เธอบอกผมว่า เธอไม่ค่อยสบาย สงสัยจะเป็นหวัด ผมก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไร เพราะนึกว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา
    ตอนนั้น ผมมีหน้าที่สำคัญในการต้อนรับเชื้อพระวงศ์ ทำให้ค่อนข้างยุ่ง ประกอบกับคนที่ฝ่ายของผมมีไม่กี่คน
    ดังนั้น ทุกคนจึงได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญต่าง ๆ ในการเตรียมงาน

    และก่อนงานพิธีจะเริ่มขึ้น 2 วัน ผมโทรไปหาเธอและถามเธอว่า หายป่วยหรือยัง เธอบอกว่า "เธอเป็นไข้เลือดออก"
    ผมตกใจมาก เพราะงานพิธีก็จะเริ่มแล้ว และผมถามเธอว่า "เป็นอะไรมากมั้ย" เธอบอกว่า "ไม่เป็นไร"

    ผมก็คิดว่า เธอคงไม่เป็นไร ใจจริงผมก็อยากกลับไปดูแลเธอ ผมเข้าใจว่า งานของผมสำคัญมาก ถ้าไม่มีผม งานจะมีปัญหา
    ดังนั้น ผมจึงไม่ได้กลับไปดูแลเธอ (ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะไม่ลังเลที่จะลางานกลับมาดูแลเธอเลย)
    ผมโทรไปบอกพ่อและแม่ว่า เธอไม่สบาย และขอให้พ่อแม่ของผมไปเยี่ยมเธอแทนผมด้วย
    พ่อแม่ผมก็รับปาก แต่ในวันที่พ่อแม่ผมจะไปเยี่ยม เธอได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว

    หลังจากนั้น เราสองคนต่างก็คบกันแบบห่าง ๆ และด้วยความเลวของผมอีกนั่นแหละ ผมมัวแต่ทุ่มเทกับงาน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาให้เธอ ดังนั้นจึงทำให้ความรู้สึกที่เรามีต่อกันเปลี่ยนไป (เธอบอกกับผมว่า ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไปต้้งแต่ผมเรียน ป.โท เพราะผมไม่มีเวลาให้เธอเลย) และด้วยความดีของเธอ เธอได้บอกให้ผมปรับปรุงตัว แต่ก็ด้วยความเลวของผมเช่นกัน ผมก็ไม่ได้ปรับปรุงตัวตามที่เธอบอกทำไหร่ ผมไม่ได้พิสูจน์เลยว่า ผมทำเพื่อเธอ ดังนั้น

    “ความรัก” ที่เรามี 10 กว่าปีจึงถึงจุดที่เราต้องทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างกัน

    เราคุยกันและปรับความเข้าใจกันหลายครั้ง จนในที่สุดเราตกลงที่จะเป็น “เพื่อนที่ดีต่อกัน”
    แม้ลึก ๆ ในใจของผมจะยังคง “รักเธออยู่” แต่ผมก็ยอมรับว่า ผมยังไม่ดีพอ
    ยังไม่ดีเท่ากับครึ่งหนึ่งที่เธอเคยดีต่อผม ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะ

    “ให้โอกาสเธอได้เรียนรู้กับคนอื่น และหวังว่า คน ๆ นั้นจะดีกับเธอ”

    เราทั้งคู่ได้เรียนรู้ นิยามของความรักที่ว่า “เราต้องเคารพและให้โอกาสซึ่งกันและกัน”

    ถามว่าผมเสียใจไหม ผมตอบได้เลยว่า “เสียใจมาก” แต่เมื่อเทียบความเสียใจของผม กับความเสียใจที่เธอต้องอดทนกับความประพฤติแย่ ๆ ของผมมาหลายปี ผมบอกได้เลยว่า ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ผมทำให้เธอเสียใจ และผมอยากจะบอกกับเธออีกครั้งว่า


    “ผมขอโทษ ขอโทษทำร้ายจิตใจเธอมานับครั้งไม่ถ้วน และต่อไปผมคงจะไม่มีโอกาสที่จะทำให้เธอต้องเสียใจอีกแล้ว

    จบภาค 2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    แด่ผู้หญิงที่ผมรัก (เนื่องในวันวาเลนไทน์) ภาค 3 (จบ)

    คำ “ขอโทษ” ที่ออกมาจากปากของผมนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ผมรู้สึกละอายใจในความดีที่เธอมีใคร และ “คำขอโทษครั้งสุดท้าย” จะผมอยากจะบอกกับเธอนั้น

    “ผมไม่ได้ต้องการให้เธอให้โอกาสผม แต่อยากให้เธอให้โอกาสตนเอง”

    เธอเป็นคนที่ดีมาก เธออดทนที่จะไม่บอกผมว่า “เธอรู้สึกยังไงกับผม” นั่นเพราะเธอเกรงว่าผมและพ่อแม่ผมจะเสียใจ และทุกครั้งที่เธอเจอผมและพ่อแม่ เธอจะมีรอยยิ้มให้ทุกครั้ง

    จนวันนึง เธอบอกกับผมว่า “เธออยากจะศึกษาคนอีกคนหนึ่ง” วันนั้นหัวใจผมแทบสลาย แต่เพราะความดีของเธอ ผมจึงไม่รั้งเธอไว้ และบอกกับเธอว่า “ขอบคุณมาก ผมไม่เป็นไร ขอให้เธอโชคดีนะ”

    วินาทีที่ผมเอ่ยคำนั้นออกไป ผมเหมือนคนที่มีแต่ร่างกาย แต่ไร้วิญญาณ ผมต้องใช้เวลาหลายวัน กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ และเริ่มพิจารณาถึงเรื่องราวทั้งหมดของความรักระหว่าง “ผมกับเธอ”

    ผมทบทวนดูแล้วและเห็นว่า “การถอยห่างกันคนละก้าว” เพื่อเปิดโอกาสให้เธอได้เรียนรู้คนอื่นที่ดีกว่าผม น่าจะยุติธรรมต่อเธอ เมื่อเทียบกับความดีทั้งหมดที่เธอให้ผมมา และในฐานเพือน ผมควรจะยินดีกับเธอเมื่อเธอพบกันคนที่เธอรักและคิดจะฝากชีวิตไว้

    แม้วันนี้ ผมจะยังรักเธออยู่ แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมา "เธอ" เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ได้สอนให้ผมรู้จักความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง
    มันเป็นความรักที่ผมเริ่มสัมผัสได้ว่า “นี่คือ ความรักที่แท้จริง”

    วันนี้ (วันแห่งความรัก) ผมเข้าใจแล้วว่า ที่ผ่านมา ความรักที่ผมมีให้เธอ เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว
    ซึ่งถ้าพูดตามตรง ก็คือ “มันไม่ใช่ความรัก”

    ขณะที่ความรักที่เธอมีให้แก่ผมนั้น เธอมิได้หวังอะไร เพราะเธอมีแต่ให้ เธอให้โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน

    ผมไม่เคยให้อะไรเลย ของขวัญในวันเกิดของเธอ ก็มีแค่ sms สั้น ๆ เพียงเท่านั้น

    ผมช่างเป็นคู่รักที่แย่จริง ๆ และวันวาเลนไทน์ปีนี้ แม้ว่า เราจะเป็นแค่เพื่อนกัน
    แต่มิตรภาพของเรายังคงอยู่ บางครั้งที่เราอาจเจอกันในงานต่าง ๆ

    แม้ว่า เราเจอกันและไม่ได้คุยกัน แต่เราสื่อสารกันด้วยสายตา

    เรารู้ว่า อีกฝ่ายต้องการพูดอะไร และเรารู้ว่าอีกฝาย ต้องการให้ทำอะไร
    ดังนั้น จึงมีเพียงเราสองคนที่เข้าใจในภาษาของเรา มันเป็นภาษาที่เราสองคนร่วมกันพัฒนาด้วยกันมา

    “ภาษานั้น คือ ความรักที่แท้จริง ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว เพราะความรักครั้งนี้ คือ

    ความรักที่ต้องการเห็นคนที่เรารักมีความสุข”

    จริงอยู่ แม้วันนี้เธอจะบอกผมว่า "เธอรักผมแบบเพื่อน"
    แต่ผมก็รับรู้ว่า ความรักที่เธอบอกเป็นเช่นไร
    เช่นเดียวกัน เธอก็รู้ว่า "ผมยังรักเธอ"
    และเธอก็รู้ว่า "ผมจะรักเธอเช่นไร"


    นิยามคำว่า “รัก” สำหรับเราสองคน มิใช่ความรักในวัยเรียน มิใช่ความรักแบบหนุ่มสาว และมิใช่ความรักแบบเพื่อน


    แต่ความรักของเราสองคน คือ ความปรารถนาดีที่มีให้กัน ความปรารถนาที่จะให้อีกฝ่ายเป็นสุข


    แม้ว่าเราสองคนจะมิได้ลงเอยกัน หรือ มิได้แต่งงานกัน แต่สำหรับผมแล้ว ความรักที่เธอเคยให้มานั้น
    จะยังคงอยู่ในใจของผมตลอดไป และไม่ว่านับแต่นี้เธอจะรักใคร หรือ จะแต่งงานกับใครก็ตาม


    ความรักที่ผมมีให้แก่เธอ "จะไม่มีวันทำร้ายเธอ และจะไม่มีวันที่จะทำร้ายคนที่เธอรักเป็นอันขาด..."

    บางครั้งการจากลา...ของคน ๆ หนึ่ง อาจเป็นจุดเริ่มต้น...ของคนอีกคนหนึ่ง
    วันนี้ผมเข้าใจดีว่า สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด คือ "การได้เห็นคนที่ผมรักมีความสุข"

    มันไม่สำคัญว่า ใครจะทำให้เธอยิ้ม
    มันไม่สำคัญว่า ใครทำให้เธอหัวเราะ
    มันไม่สำคัญว่า ใครจะทำให้เธอมีความสุข
    แต่สำคัญที่ ผมปรารถนาให้เธอมีความสุข

    ผมจะไม่เอ่ยคำว่า "ลาก่อน" กับเธอ เพราะคงจะเป็นการโกหกเธอและตัวผมเองเป็นแน่
    นั่นเพราะการจากไปของผมในครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การ "จากกาย" แต่ "ใจของผมยังรักและปรารถนาดีกับเธอเสมอ"

    สำหรับผู้ชายที่เธอรัก

    หากคุณได้มาอ่านเรื่องราวทั้ง 3 ภาคนี้ ก็ขอให้คุณภูมิใจว่า
    คุณได้ครอบครองหัวใจของผู้หญิงที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ผมขอให้คุณมั่นใจว่า
    คุณได้ผู้หญิงที่ดีพร้อมแล้ว และขอให้คุณดูแลเธอให้ดี

    ขอให้คุณรักเธอมากกว่าที่ผมรัก แต่อย่าดูแลเธอเหมือนที่ผมทำ
    และเมื่อใดก็ตามที่คุณทำให้เธอเสียใจ วันนั้นผมรับประกันได้ว่า
    ผมจะกลับมาทวงหัวใจของผมคืน

    แต่เมื่อก็ตามที่คุณดูแลเธอเป็นอย่างดี
    ผมจะคอยเป็นกำลังใจให้คุณและเธอครองคู่กันอย่างมีความสุข
    ผมก็ขออวยพรให้คุณและเธอโชคดี
    ผมหวังว่า คุณและผม จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้

    สำหรับตัวผมนั้น

    สิ่งเดียวที่ผมนั้น สิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการมอบให้กับเธอ ก็คือ ธรรม

    เพราะผมเชื่อว่า ธรรมะ เท่านั้น ที่จะช่วยพวกเรา (รวมทั้งคุณ) ให้พ้นจากความทุกข์ได้
    ดังนั้น หากคุณรักเธอจริง คุณต้องไม่ลิมที่จะพาเธอเข้าทางธรรมให้ได้
    ธรรมะ ไม่ใช่การออกบวช แต่ธรรมะ คือ การใช้ชีวิตให้ถูกต้องตามธรรมชาติ

    ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากจะบอกทุกคนว่า

    “ความรักไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ความพลัดพรากต่างหากที่ทำให้เป็นทุกข์”

    ดังนั้น ถ้าเราทุกคนรักให้เป็น และรักในแบบที่คำนึงถึงความรักของคนที่เรารักมากกว่าความสุขของเรา
    วันนั้น เราจะไม่ทุกข์ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราหวัง หากสิ่งที่หวังไว้ มิได้ดังหวัง เราก็จะเกิดทุกข์
    ทุกคนเกิดมามี เกิด แก่ เจ็บ และตาย ยังไงวันหนึ่งเราก็ต้องพลัดพราก เพราะไม่มีใคร “ไม่ตาย”
    ดังนั้น หากคุณพบคนที่คุณรักแล้ว

    ผมไม่ได้ขอให้คุณรักเธอให้มาก ๆ แต่ขอให้คุณรักเธอให้เป็น แล้วทุก ๆ ท่านจะมีความสุขครับ

    ขอให้ทุกท่านโชคดีวันวาเลนไทน์ และขอให้ทุกท่านดูบทเรียนในเรื่องนี้สอนใจนะครับ
    และอย่าปล่อยให้เพชรในมือของทุกท่านหลุดมือไปนะครับ

    ผู้ชายทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง
    ผู้หญิงทุกคนก็มีคุณค่าในตนเองเช่นกัน
    ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณมีคุณค่าในตนเองทั้งนั้น

    สำหรับคนที่อกหัก ก็ขอให้คุณได้พบเจอคนที่เหมาะสมกับคุณ
    สำหรับคนที่พบรัก ก็ขอให้คุณได้เจอคู่ที่คู่ควรกับคุณ
    สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว ก็ขอให้คุณรักษาความรักของคุณให้เหมือนวันที่รักกันใหม่ ๆ นะครับ
    ความรักต้องหมั่นเติมเต็มให้กันนะครับ

    ซิมมือถือก็มีวันหมด น้ำมันก็มีวันระเหย
    ก้อนหินก็มีวันกร่อน น้ำแข็งก็มีวันละลาย
    ดังนั้นความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันทุกเวลานะครับ

    ก็ขอให้ทุกท่าน สุข สมหวังในความรักกันนะครับ
    ท้ายที่สุดนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หากคุณได้มีโอกาสอ่านบทความนี้
    ก็ถือว่า เรามีวาสนาต่อกัน และขอให้ทุกท่านไปให้ถึงซึ่งพระนิพพานนะครับ

    สำหรับตัวผมเอง ผมก็พยายามแนะนำคนที่ผมรัก แม้ว่าเขาจะยังรักผมหรือไม่ก็ตาม
    ผมเชื่อว่า ที่สุดของความรักที่ผมให้เธอ คือ การชักจูงเธอไปในเส้นทางอันหลุดพ้น
    ซึ่งก็คือ พระนิพพาน

    ผมอยากจะบอกเธอว่า

    "มันไม่ใช่เรื่องสำคัญว่า เธอยังรักผมหรือไม่ แต่สำคัญที่ผมยังรักและห่วงใยเธอเหมือนเดิมก็พอ"


    ทั้งหมดนี้ คือ ความรักที่ผมมีให้เธอ และไม่ต้องถามว่า เธอคนนั้นเป็นใคร
    หรือใครคนนั้นเป็นเธอ เพราะชื่อของเธอ คือ

    “ผู้หญิงที่ผมรัก และจะรักเธอตลอดไป”

    จบบริบูรณ์

    ******************************************************************************************************8

    บทความทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ขึ้นเท่านั้น ผู้เขียนได้นำเรื่องราวของคนหลายคนมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวทั้งหมด และขอขอบคุณเจ้าของเรื่องทุกคนครับ

    ที่มา : เรื่องของชายคนหนึ่งใน Facebook
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  4. i dreamed a dream

    i dreamed a dream สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +2
    วันวาเลนไทน์ ไร้สาระมากเลยอ่ะ
     
  5. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ไม่หรอกครับ ความรักดี ๆ ยังมีอยู่ครับ
    อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนในเว็บพลังจิตที่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ครับ

    โมทนา
     
  6. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขอบคุณค่ะ กระทู้นี้ ทำให้ได้รู้ว่า ผู้ชายดีๆ ยังมีหลงเหลืออยู่ในโลก แต่เราเองต่างหากที่ไม่พบเขา เลยคิดโทษไปว่าผู้ชายเป็นเหมือนกันทุกคน แต่เปล่าเลย มันไม่จริงนะ ผู้ชายดีๆ มี แต่เรายังไม่เจอเขาเท่านั้นเอง
     
  7. หนูแอ้

    หนูแอ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +627
    หนูแอ้อ่านจบแค่ ตอน1
    กำลังอ่านตอน 2 คะ
    แต่ ..​เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อนะคะ .. ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆ นะคะพี่คม
     
  8. เนตรนที

    เนตรนที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    457
    ค่าพลัง:
    +4,122
  9. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เรามีวาสนาต่อกัน ขอบคุณโชคชะตา ที่นำพาให้เรามาพบกัน ขอให้ทุกคนมีความสุข และไปให้ถึงซึ้งพระนิพพาน นะคะ
     
  10. Tom_Om

    Tom_Om เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +411
    อยากเจอชายดีๆ ที่มีความรัก ความเข้าใจ บ้างจังเลย เสียดายท่ีตัวเรา ไม่เคยมองใครเลย
     
  11. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    เพลงของอ๊อฟ ปองศักดิ์เป็นอะไรที่เพราะมากถึง มากที่สุดค่ะ เพลงนี้ขอให้เป็นตัวแทนของฝ่ายหญิง มอบให้แด่ชายที่เธอรักค่ะ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=F6hTLgW18tw]YouTube - [Ost.365 วันฯ]ไม่มีใครรักฉันได้เหมือนเธอ[/ame]
     
  12. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    เคยได้ยินเค้าว่ากันว่า รักนิรันดรคือรักที่ไม่มีวันได้คู่กันนี่ละ
    เรื่องนี้มีแต่คนดี ไม่มีตัวอิจฉาเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  13. กรวี

    กรวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +263
    "ไม่มีตัวอิจฉา" มันเลยขาดอรรถรสไปบางส่วนชิมิส์
    กินอาหารต้องมีทั้งเปรี้ยว หวาน มันส์ เค็ม เผ็ด (นิดๆก๊ะดั๊ย)
    แต่..บางคนเค้ากลัวเสาะท้องอ่าส์
    หรือบางคนก๊ะท้องไส้มะดีไงอ่ะ
    หรืออาหารบางชนิดก้อไม่จำเป็นต้องครบรส
    มันเป็นเพราะหน้าที่ของอาหารไง(หน้าที่ที่ทำให้ผู้ลิ้มรสมีความสุข)

    มันจึงอยู่ที่ว่าผู้ปรุงรสชอบรสไหนอ่าส์?..
    มันจะได้อาหารรสชาติดีที่สุดสำหรับผู้ปรุงเนอะ
    แต่..สำหรับบางอย่างการฟังเสียงติชมจากผู้ที่ได้ชิมอาหาร
    ว่าควรเพิ่มอะไร ลดอะไร? อาหารก๊ะจะมีรสชาติดีสำหรับคนอื่นๆมากขึ้นเนอะ
    ทุกๆอย่างเลยมิได้กำหนดตายตัว ว่าต้องเป็นเช่นไร

    ทุกอย่างอยู่ที่เหตุ ผลจึงตามมา
    และเหตุบางครั้งเราก้อไม่สามารถกำหนดได้เอง
    เพราะมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างเนอะ^_^

    ....
     
  14. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    พระเอกไง ตัวไม่ดีครับ
     
  15. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ไม่เชิงไม่ดี หรอก ก็แค่บ้างานไปตามประสา
    ชะรอยจะเป็นเรื่องบุรพกรรมบันดาลมาแต่เบื้องบรรพ์ด้วย

    คล้ายดังเพลงที่ประพันธ์ว่า

    ได้เด็ดดอกไม้ร่วมต้น(มาแต่ปางก่อน)
    แต่ว่าเรา(เธอทั้งคู่)สองคนไม่สนใจใส่บาตรร่วมขัน


    แถวบ้านข้าพเจ้าละถือนัก ไอ้พี่สาวมันสั่งห้ามไปมือบอนเด็ดดอกไม้ร่วมต้น ไรไรกะใครง่ายๆนี่ล่ะ

    เฮ่อ..
    ไหนจะหญิงชายมิควรนวลชิดกันเกิน 1 เมตร อีก(จากพ่อ)

    วันวาเลนไทน์ หรือวันเสียตัวแห่งชาติ ข้าพเจ้า(หญิงระเบียงวัด)ให้หมั่นใส้เป็นนัก เฟ้ย(ปนอิจฉานิดหน่อย)
     
  16. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขอตบตัวอิจฉาได้ไหมคะ (ถ้ามี) วันนี้คันไม้คันมือเหลือเกิน
     
  17. pearl8

    pearl8 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +154
    Happy Valentines to all of you.....

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  18. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    อย่านะ......................................................

     
  19. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    อย่าห้ามใช่ไหม
     
  20. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,756
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ชอบคำนี้จังเลยครับ:cool::cool::cool:
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...