โลกหลังความตาย-จักรวาล-บิ๊กแบง-เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของนาย Mellen T. Benedict

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 29 ตุลาคม 2010.

  1. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ความเชื่อก็คือความเชื่อ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

    ไม่สำคัญว่าเราจะได้อ่าน ได้ฟัง สิ่งใดมา แล้วเราจะต้องเชื่อตาม หรือไม่เชื่อตาม ทันที
    ผมเชื่อในปัญญาญาณที่เป็นแก่นแท้ของทุกๆคน ที่สามารถแยกแยะเก็บเกี่ยวสิ่งที่เกิดประโยชน์ได้อย่างดีเยี่ยมครับ

    ทุกๆความเชื่อ ล้วนมีมาให้ต้องใช้ปัญญาในการพิสูจน์

    หากเราประสบพบเจอด้วยประสบการณ์ตนเอง เข้าใจด้วยตนเอง ความเชื่อทั้งหลายก็จะสลายไปในทันที เหลือเพียงความรู้ที่เป็นแก่นแท้ ที่เป็นสากล

    ทุกๆสิ่งที่เราอ่าน ที่เราศึกษาหาความรู้นั้น ล้วนมีสาระซ่อนอยู่เสมอครับ
    อย่างน้อย ก็จะสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด อารมณ์ ความรู้สึกของตน เมื่อได้อ่านครับ

    ขอเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ของคุณชยุตต่อไปครับ
     
  2. อาจีฟา

    อาจีฟา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +307
    ผมเพียงแค่เตือนว่าถ้าเรายังไม่ปรับทัศนคติ มีวิตกมีอกุศลจิตจากเรื่องตรงนี้
    ซึ่งเป็นเรื่องไม่ตรงใจคุณอัคนี ซึ่งในความเป็นจริงมีเรื่องตั้งเยอะบนโลกที่ไม่ตรงใจเรา แล้วเราจะดูแลจิตเราให้ไม่เป็นอกุศลอย่างไร จัดการมันอย่างไร เป็นสิ่งที่คุณอัคนีต้องหาคำตอบ จะหาจากคนอื่นหรือจากตัวเองก็พิจารณาดูนะครับ
     
  3. บุรษ18ตา

    บุรษ18ตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    "ความเชื่อ" กับ "งมงาย" กั้นกันด้วยเส้นๆเส้นเดียว

    อาจจะถูก ว่าไม่เคยเจอกับตัวเองก็คงไม่อาจทราบได้

    แต่เรื่องที่อ่านๆมา มันก็มาจากคำพูดของคนๆเดียว ซึ่งจะแต่งเสริมเติมแต่งยังไงก็ได้
     
  4. บุรษ18ตา

    บุรษ18ตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    อย่างที่ว่าไว้

    "คนเราอยุ่ด้วยการโกหกกันเสมอ"

    ขนาดคนที่ เป็นเพื่อนกัน สนิทกันยังโกหกกันได้

    นับประสาอะไรกับคนที่ไม่เคยรุ้จักกัน จริงมั้ยครับ..หึหึ
     
  5. อาจีฟา

    อาจีฟา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +307
    ความเชื่อมาจาก 1 ประสบการณ์ 2 ทัศนคติที่สอดคล้องกันกับตัวเอง
    ความงมงายมาจาก 1 การคล้อยตามกันเพื่อแสวงหาวัตถุ โดยมีโลภะเป็นตัวนำ
     
  6. บุรษ18ตา

    บุรษ18ตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    ไมผ่ิดทีเดียว แต่อยากให้แยกเป็น 2 ข้อครับ

    แบ่งเป็น 2 อัน คนที่ "งงงาย" กับคนที่ทำให้ "งงงาย"

    "คนงมงาย" คือคนที่หลับหูหลับตาเชื่อในสื่งที่ตัวเองถูกชักนำให้เชื่อ อย่างขาดสติ และตรองด้วยสติปัญญา

    "คนทำให้งมงาย" คนจำพวกนี้แลที่มีโลภะเป็นตัวนำ ชื่อเสียง ลาภยศ เงินทอง หรือเห็นจะไม่จริง ตัวอย่างในประเทศไทยก็มีมากมิใช่หรือ ไม่อยากยกตัวอย่างกลัวขัดกับ คุณๆ พี่ ผู้อาวุโสทั้งหลาย
     
  7. worrior

    worrior เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +316
    ให้กำลังใจคุณชยุตครับ ขอบคุณมากๆสำหรับบทความดีๆ ส่วนเรื่องที่แต่ละท่านจะมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร ก็ย่อมขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละท่านอยู่แล้ว เพราะบทความที่คุณชยุตเสนอนั้น ได้ย้ำอยู่เสมอว่า เป็นเพียงการแปล ผู้แปลไม่ได้รู้เองเห็นเอง และเป็นผู้ที่มีความสนใจ(ในเรื่องที่นำเสนอ)ที่จะเรียนรู้ไปพร้อมๆกับผู้ที่เข้ามาอ่าน(กระทู้) ส่วนการตัดสินใจว่าใช่ไม่ใช่? อย่างไร เป็นวิจารณญาณของผู้อ่านเอง ด้วยความปรารถนาดีครับ;39
     
  8. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    กรุณาอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์

    จะโพสอะไรก็ดู ชื่อกระทู้ด้วย อย่าเอาเสรีภาพของตนเองไปกระทบผู้อื่นเลย
     
  9. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    ข้อความข้างล่างเป็นการสัมภาษณ์ ศ.ดร.นพ. เทพนม เมืองแมน
    เก็บไว้นาน ไปค้นเจอมา

    .........................................................................................
    ทำให้ผมนึกถึงเมื่อครั้งไปร่วม
    ประชุมสัมนาเรื่อง “การพัฒนาผู้นำทางด้านจริยธรรม” ที่ประเทศอินเดีย


    ผมได้ฟัง มิสเตอร์ฟอสด้า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพระพุทธศาสนา
    ศาสตราจารย์วัย 70 ปี จากประเทศสิงคโปร์ กล่าวถึงกรณีที่มีผู้โจมตี
    พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนา เพราะไม่มีพระเจ้า ไม่มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุด

    ซึ่งศาสตราจารย์ฟอสด้า ท่านได้ออกมาปกป้องพระพุทธศาสนา ด้วยการอ้างอิง
    เหตุผลต่างๆ มากมาย ท่านกล่าวว่า ท่านได้ศึกษาเรื่องราวในพระพุทธศาสนามา
    ตั้งแต่มีอายุได้ 20 ปี และได้พบว่ามีคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเล่มหนึ่งในประเทศ
    ศรีลังกาได้จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงกล่าวถึงเรื่องของ
    “ วิญญาณสูงสุด’’ ซึ่งท่านเรียกว่า อาจินไต


    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า วิญญาณอันสูงสุดนี้ คือผู้ทีไม่เคยมาเกิด คือผู้ที่ไม่เคย
    ตายและไม่เคยมาในโลกนี้เลย จะสถิตอยู่แต่เบื้องบน และวิญญาณสูงสุดนั่นเอง
    เป็นผู้ร้องขอให้พระองค์ลงมาโปรดสัตว์โลก พระองค์จึงเสด็จมา”
    และพระพุทธเจ้า
    ได้กล่าวต่อไปว่า” ท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย แต่จะมีพระพุทธเจ้าต่อไป
    เกิดขึ้นตามมาอีก”

    เรื่องราวนี้จารึกไว้ในพม่า ศรีลังกา อินเดียและทิเบตมานานแล้ว
    จนกระทั่งมาถึง
    ยุคสมัยที่มีพระพุทธศาสนาลัทธิหินยานเกิดขึ้น คัมภีร์เหล่านี้จึงได้ถูกลบทิ้งไป

    ---------------------------------------------------------------
    คัดลอกมาจาก นิตยสาร ญาณวิเศษ ฉบับที่ 53 กันยายน 2537
    เล่าโดย ศ.ดร.นพ. เทพนม เมืองแมน
     
  10. louis18

    louis18 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอบคุณ คุณชยุต ครับ ที่เอาบทความดีๆมาลง
     
  11. vijit_j

    vijit_j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    739
    ค่าพลัง:
    +2,866
    ปกติก็จะ Save ไว้ก่อน เพิ่งจะได้อ่านเมื่อคืนนี้เอง
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ผมชอบตอนสุดท้ายนี้ครับ

    ............................


    ตอนที่ 15: จบดีกว่าครับ

    ผมเคยถามพระเจ้าว่า

    “ศาสนาใดคือศาสนาที่ดีที่สุดในโลก? ศาสนาไหนถูกต้อง?”

    แล้วพระเจ้าก็ตอบผมด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ว่า

    “ฉันไม่แคร์หรอก”


    นั่นเป็นความกรุณาที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อพระเจ้าบอกว่า “ฉันไม่แคร์หรอก” ผมจึงเข้าใจได้ในทันทีว่า
    มันเป็นพวกเราเองต่างหากหละที่เป็นกังวลกับเรื่องนี้กันนักกันหนา ที่มันเป็นสิ่งสำคัญ
    เพราะว่าพวกเราคือสิ่งมีชีวิตที่ขี้ระแวง และเพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเรา
    นั่นแหละที่ทำให้มันมีความสำคัญสำหรับพวกเรา


    สิ่งที่คุณมีอยู่ก็คือสมการทางพลังงานในโลกแห่งจิตวิญญาณ

    พระเจ้าผู้สูงสุดไม่สนใจหรอกว่าคุณจะเป็นโปรเตสแตนท์ หรือเป็นชาวพุทธ หรือเป็นใครก็ตาม
    เพราะทั้งหมดนี้ก็คือด้านหนึ่งหรือมุมหนึ่งที่กำลังผลิบานของส่วนรวมทั้งหมด

    ผมอยากให้ทุกๆศาสนาตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ และปล่อยให้ศาสนาอื่นๆดำเนินไปตามวิถีทางของพวกเขาเอง
    อยู่อย่างนั้นต่อไป

    มันไม่ใช่การสิ้นสุดของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่พวกเรากำลังพูดถึงการมีพระเจ้าองค์เดียวกัน

    จงดำเนินชีวิตของคุณต่อไป และจงปล่อยให้คุณอื่นๆ
    เขาดำเนินชีวิตของพวกเขาต่อไปด้วย

    แต่ละคนย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา
    และทุกๆคนก็คือส่วนหนึ่งของภาพรวม

    เพราะฉะนั้นทุกๆคนจึงมีความสำคัญเหมือนๆกันหมด


    .....................
     
  13. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    mamboo ขอเป็นกำลังใจให้คุณชยุตนะคะ ^^

    mamboo ติดตามอ่านทุกกระทู้ของคุณชยุต และอยากจะบอกว่า .. กระทู้ของคุณชยุต มีประโยชน์มากค่ะ อย่างน้อยๆ ก็เป็นกระทู้ที่ สำคัญ! มาก สำหรับการดำเนินชีวิตของ mamboo นะคะ ^^

    ขอเป็นกำลังใจให้นำสิ่งดีๆมาเผยแพร่สู่พวกเราอีกนะคะ ^^
     
  14. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    คุณชยุต มีแนวคิดคล้ายๆ mamboo เลยค่ะ ^^ (แค่คล้ายๆนะคะ แต่ไม่เหมือนเด๊ะ)

    mamboo รู้ว่า ถ้าเราอยากจะค้นหา "ความจริง" ของสรรพสิ่ง เราต้องมีสติ.. มีสติแทบตลอดเวลา แทบทุกเวลา .. และวิธีที่จะทำเช่นนั้นได้คือ ต้องฝึกสติตลอดเวลา

    ยกตัวอย่างเลย .. พระอรหันต์ในอดีต ..

    พระพุทธเจ้าท่านนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ คิดดูว่า ท่านไม่ได้นั่งวันละ 1-2 ชม. เหมือนคนในปัจจุบัน ท่านนั่ง ทั้งวันทั้งคืน

    mamboo แทบจินตนาการไม่ออกว่า พระองค์ท่าน ได้สติมาระดับไหน .. สมแล้วกับคำว่า "รู้แจ้งแทงตลอด" ท่านได้ สัพพัญญู(ไม่รู้เขียนถูกไหมนะคะ อิอิ ^^)

    แต่เนื่องจาก .. mamboo ยังเป็นคนธรรมดา ก็อยากจะปลีกวิเวกไปนั่งสมาธิเหมือนอย่างท่าน(ไว้จะอธิษฐานจิต ขอชาติหน้า) เพราะชาตินี้คงยังไม่ถึงเวลา ยังต้องทำงานตอบแทนคุณบิดรมารดา

    ดังนั้น .. ด้วยปัญญาอันโง่เขลา จึงได้แต่ศึกษาเรื่อง สัจธรรมของสรรพสิ่ง ตามมีตามเกิด

    mamboo มั่นใจ 100% เต็มว่า .. พระพุทธเจ้า ท่านได้สั่งสอนพวกเราไว้หมดแล้ว และทั้งหมดอยู่ในพระไตรปิฎก

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการหลุดพ้น การปฏิบัติ(ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสติ ปัญญา ศีล ภาวนา กรรมฐาน วิปัสนา และหนทางสู่การหลุดพ้น)

    แต่เนื่องจาก mamboo ยังมีกิเลส อยากรู้อยากเห็นในทางโลกอยู่ จึงยังไม่ได้เดินสายตรง แต่ขออ้อมก่อน (อิอิ ^^) อยากรู้เรื่อง โครงสร้าง และ ความเป็นจริง! ของสรรพสิ่ง ว่าทำไมต้องมี ทำไมไม่เป็นความว่างเปล่า

    เรื่องเอกภพ(และจักรวาลทั้งหลาย) mamboo ก็เชื่อด้วยว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้หมดแล้วในพระไตรปิฎก แต่...

    เรื่องการปฏิบัติ mamboo ยอมรับว่า ไม่ได้ผิดเพี้ยนแต่อย่างใด ครบถ้วน สมบูรณ์แบบ 100%

    แต่เรื่อง จักรวาล .. mamboo ว่า คนที่แปลพระไตรปิฎก ใช้ระดับความเข้าใจของตัวเอง แปลออกมา --'

    เช่น ...

    ทุกวันนี้ .. คนเราพยายามจะอธิบายว่า .. อดีตชาติเคยเกิดในสมัยรัชกาล เท่านี้ๆๆๆ (ที่เป็นโบราณๆ) ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว .. การถือกำเนิดในแต่ละภพชาติของพวกเรา เหมือนกงล้อธรรมจักร คือ.. พวกเรา กำลังถือกำเนิดและดำเนินชีวิตไปในทุกๆภพชาติ พร้อมๆกันอยู่ ณ ขณะนี้แหละ ..

    mamboo เคยเห็นใครก็ไม่รู้ ตั้งกระทู้ว่า พระสงฆ์สองรูปทำไมมีอดีตชาติเป็นคนๆเดียวกัน ..

    (เด๋วไว้หากระทู้เจอแล้ว จะเอา link มาโพสต์ใหม่นะคะ)

    เรื่องนี้ .. คนตั้งกระทู้ คงจะแอบคิดในใจว่า พระสงฆ์สองรูปนั้น คง"มั่ว" ทำไมมีอดีตชาติเป็นคนๆเดียวกัน

    จริงๆแล้ว ไม่ได้มั่วเลยค่ะ.. คุณคิดว่า พระอาจารย์ระดับนั้น จะแต่งเรื่องขึ้นมาเองหรือ ??? >< (mamboo จำไม่ได้ว่าใครบ้าง น่าจะมี หลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วยนะคะ 1 ในพระสงฆ์ 2 รูปนั้น)

    ที่เป็นเช่นนั้น เพราะที่จริงแล้ว พวกเรา .. ดวงจิต ดวงวิญญาณแต่ละดวง สามารถไปเกิดในยุคไหนสมัยไหน และดาวดวงไหน ก็ได้! และมนุษย์ 1 คน ก็มีหลายๆดวงวิญญาณมาเกิด เช่น คนที่ชื่อว่า นาย โชคชัย อุ่นดี เกิดที่ จ.นครสวรรค์ เป็นลูกของ นายบุญและนางอิ่ม

    นาย โชคชัย คนนี้.. จะมีดวงวิญญาณหลายๆดวง เคยเกิดเป็นคนๆนี้ และแต่ละครั้งของการเกิด จะทำให้เกิดเป็น จักรวาลๆใหม่ ขึ้นมา..

    ในทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์มาแล้วว่า.. (การค้นพบใหม่ ก่อนเหตุการณ์ Big Bang) ในเอกภพทั้งหมดทั้งปวง นอกจากจะไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว ในเอกภพนี้ ยังมีพลังงาน และ มวล มหาศาล และ เป็นอนันต์!

    (วิทยาศาสตร์ ก็คือ subset ของโลกความเป็นจริงหลากมิติ)

    -----

    แล้วถามว่า การศึกษาเรื่อง สัจธรรม หรือ ความเป็นจริงของสรรพสิ่ง หรือ โลกความเป็นจริงหลากมิติ .. ถือว่าเป็นการปรามาสไหม ??? ตอบ.. mamboo ว่า "ไม่"

    และ mamboo เชื่อว่า พระพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสรู้เรื่องพวกนี้มาแล้ว และท่านทรงเล่าไว้แล้ว แต่คนปัจจุบันนี้ ใช้ระดับความเข้าใจของตัวเอง(เช่น คนปัจจุบันนี้เข้าใจว่า ตายแล้ว ต้องไปเกิดในยุค hi-tech พ.ศ.ที่มากกว่า 2553)ในการแปลพระไตรปิฏก (อันนี้เฉพาะเรื่องของ จักรวาลนะคะ .. แต่ถ้าเป็นทางปฏิบัติ mamboo คิดว่า คนแปล แปลได้ถูกต้องแล้ว เพราะการปฏิบัติ หนทางสู่การหลุดพ้น ไม่เกี่ยวกับ เวลาและจักรวาล)

    -----

    อ่อ.. เกริ่นซะนาน ลืมประเด็น --'

    ประเด็นคือ .. เหตุผล ที่ mamboo (และอีกหลายๆคน) ยังไปทางอ้อม คือ ไม่ได้ไปทางตรงตามที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งสอนไว้ ... เป็นเพราะว่า .. พวกเรายังมีกิเลส(ความอยากรู้อยากเห็น) อยู่ค่ะ ^^

    แต่ละคน ก็มีเหตุผลของตัวเอง แต่สำหรับ mamboo ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ... มันยังไม่ถึงเวลา .. และได้แต่ภาวนา ให้ตัวตนในภพอื่นๆ(และภพนี้ด้วย)ถ้ามีจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม รีบปลีกวิเวกเลย อิอิ ^^
     
  15. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    สรุปว่าความรู้มีถูก มีผิด ประยุกต์ไม่ได้

    ผสมกันมั่วๆ ตามความเข้าตัวเอง คือ สิ่งที่ไม่ถูกต้อง

    ที่เขาเรียกว่า อัตตา ซินะคะ
     
  16. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ถึง คุณชยุต

    mamboo อยากลองแนะนำให้คุณชยุต ลองศึกษาเรื่องพวกนี้ ทางความฝัน ดูสิ่คะ ^^

    เคยได้ยินไหมคะ ??? พระพุทธเจ้า ไม่ฝัน..

    เพราะพระองค์มีสติ ตลอดเวลา

    คุณชยุตลองฝึกรู้ตัวในฝัน มีสติในฝัน และฝึกมีสติกับทุกๆอิริยาบถของตน(เหมือนการเดินจงกลมค่ะ) แต่เราประยุกต์มาใช้ ในการฝึกสติกับทุกๆการกระทำในชีวิตประจำวัน

    มีช่วงหนึ่ง mamboo ชอบทำแบบนี้แหละ ช่วงนั้นได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องโลกความฝันและจิตวิญญาณบ่อยมากค่ะ ^^

    ทุกครั้งที่นอน... ไม่โดนผีอำ ก็เห็นกายทิพย์ตัวเองผุบๆโผล่ๆออกมาจากกายเนื้อ บ้างก็ได้เห็นอุโมงค์ดำๆ ที่เป็นทางเชื่อมของร่างกาย กับโลกวิญญาณ

    วิธีทำ ก็ง่ายๆค่ะ ^^

    ตอนกลางวัน ก็นั่งสมาธิปกติ .. นั่งได้เท่าที่นั่ง .. ได้เท่าไหร่ เท่านั้น ..(เพราะบางคน อาจจะมีงานเยอะ ติดธุระ ไม่ว่างจริงๆ)

    แต่ตอนกลางคืน เชื่อว่า ทุกคนว่างแน่นอน!

    ตอนกลางคืน เวลาจะนอน แทนที่พวกเราจะหลับตาธรรมดาๆแล้วปล่อยให้สติหายไป แล้วกลายเป็นความฝัน .. ทำไม เราไม่ลอง หลับตา แล้วจับลมหายใจเข้าออกไปด้วย >< ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ

    หลายๆคน บอกว่า ไม่เคยรู้ ไม่เคยจำได้ว่า ตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่

    แต่ mamboo ทำได้ค่ะ ^^

    ถ้าเราหัดจับลมหายใจเข้าออก(ถ้าเพ่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วด้วย ยิ่งดี ^^) เป็นประจำทุกวัน ทั้งกลางวัน(ยามว่างๆ) และกลางคืน(ตอนจะนอน)

    ทำแบบนี้ ทุกวันๆๆๆ แล้วจะได้เจออะไรเยอะมากเลยค่ะ ^^

    ช่วงนั้น mamboo เห็นคนซ้อนอยู่ในห้องนอน 3 ครั้งค่ะ ^^ (ตอนแรก คิดว่า ฝัน หรือไม่ก็ ผี หรือไม่ก็ อุปาทาน คิดไปเอง)

    จะเรียกว่า ฝันซ้อนความเป็นจริง ดีไหมคะ ?? ^^ เพราะเราก็ลืมตา ห้องก็ห้องเรา แต่มีคนอื่นอยู่ด้วยอ่ะ อิอิ ^^

    ไปเช่าโรงแรม หรือหอพักต่างจังหวัด ก็เป็น!

    สนุกดีนะคะ ^^

    จริงๆอ่ะ ถ้ามีเวลาว่างจริงๆ ก็อยากจะนั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืนไปเลย อิอิ ^^ ก่อนนอนก็นั่ง นอนสมาธิจนหลับไปเลย กลางวันก็นั่งบ่อยๆๆๆ ทุกวันๆๆๆ

    จริงๆแล้ว ถ้าไม่ได้เน้นเรื่องการหลุดพ้นมาก ถ้าแค่อยากศึกษาเรื่อง โลกความเป็นจริงหลากมิติ mamboo ว่าไปทางการนอนสมาธิ จะเร็วมากค่ะ ^^

    เพราะว่า...

    จิตมันประสานกับกายเนื้อ .. ถ้าเรานั่งสมาธิ เวลาจิตเคลื่อนออกจากกายเนื้อ(เมื่อมันไปรวมกันที่จุดๆหนึ่ง เช่น กึ่งกลางระหว่างคิ้ว) มันจะออกจากกายเนื้อมาพร้อมสติ

    แต่ถ้า เราไปทางการนอน .. มันเป็นเพราะร่างกายมันอ่อนเพลีย และต้องการการพักผ่อน .. จิตมันจะเคลื่อนออกจากกายเนื้อ(แต่สติ ไม่มาด้วย สติหายไป จิตมันเลยสร้างเป็นโลกความฝัน)

    อย่าหาว่า ขี้โม้ เลยนะคะ --' mamboo เคยศึกษาความฝัน จนมั่นใจว่า ค่อนข้างเป็น expert ด้านนี้(เพียงแต่ไม่มีวุฒิภาวะไปบรรยายระดับโลกแค่นั้นเอง)

    ทุกครั้ง ที่เราหลับ .. ตลอดเวลา ตั้งแต่ วินาทีแรก ที่เราหลับ จิตของเรา จะสร้างโลกความฝันขึ้นมาทันที(แต่เราจำไม่ได้)

    แล้วสาเหตุที่เราจำความฝันได้เฉพาะตอนใกล้ตื่น เพราะตอนใกล้ตื่น ร่างกายมันเริ่มทำงานแล้ว สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ ก็เริ่มทำงาน เราเลยจำความฝันได้เฉพาะ ตอนใกล้จะตื่น (ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว ณ ขณะที่เราหลับ เรากำลังฝันอยู่ตลอดเวลา) เรื่องนี้ mamboo พิสูจน์มาแล้ว ..

    mamboo เคย .. ไม่หลับ .. ถึงร่างกายหลับ แต่สติไม่หลับ .. ก็เลยพิสูจน์เรื่องนี้ได้

    ทกครั้งที่ เราจะหลับ มันจะเริ่มจาก สติมันจะเริ่มหาย เริ่มสะลึมสะลือ แล้วจิตส่วนหนึ่ง จะเคลื่อนออกจากการทำงานของร่างกาย แล้วไปสร้างเป็นภาพ เหมือนเราดูภาพยนต์ อยู่ตรงหน้าเราเลย .. ทั้งๆที่เราปิดเปลือกตา แต่เรากลับมองเห็นภาพเหล่านั้น ..

    แล้วสักพัก พอผ่านไปสักพัก จิตทั้งหมด จะออกจากร่างกาย(ไม่ทำงานตอบรับประสาทสัมผัสจากทางร่างกายแล้ว) แล้วก็พุ่งออกไปทางกึ่งกลางระหว่างคิ้ว แล้วไปสร้างเป็น "โลกความฝัน" ตามที่จิตใต้สำนึกของคนๆนั้น ได้ประสบและผ่านมา

    mamboo จับภาวะนี้ได้ เพราะ mamboo ตั้งใจศึกษาอยู่นาน ..

    รู้มั้ยคะ เวลาทำสมาธิถ้าเพ่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว จะออกเร็วมาก.. เพราะเวลามันพุ่งออก"ความรู้สึก" มันจะบอกว่า ออกไปทาง กึ่งกลางระหว่างคิ้ว!

    ส่วนเรื่อง "ผีอำ" mamboo คิดว่า mamboo ได้คำตอบแล้ว .. แต่ก็แล้วแต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะ mamboo ไม่ได้จบ doctor ไม่มีวุฒิภาวะที่จะเล่าเรื่องนี้

    แต่นี่คือ .. เรื่องจริง!

    เวลาที่เราขยับตัวไม่ได้ .. มันเป็นเพราะว่า .. จิตของพวกคุณ มันเคลื่อน(มันไม่สนิทกัน)กับกายเนื้อของคุณ

    สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะว่า พวกคุณอาจจะ นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นคนที่ คิดมาก เครียด งานเยอะจนไม่มีเวลาพักผ่อน

    เมื่อร่างกาย ต้องการการพักผ่อน

    แต่ .. จิต และ สติ ไม่ต้องการ ..

    คือ จิตของเรา สติ ความคิด มันยังต้องการจะทำงาน(ต้องการตื่น) อาจเพราะ งานเยอะ หรือมีเรื่องให้คิดมาก(แล้วแต่คน)

    แต่ร่างกาย มันไม่ไหวแล้ว มันพักผ่อน มันต้องการพัก..

    ดังนั้น ร่างกายจึงหยุดทำงาน หยุดการตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว แต่สติ ยังอยู่ ==

    แล้วไม่ฝันด้วยนะ .. จิตไม่ได้ไปสร้างเป็นโลกความฝัน จิตยังอยู่กับกายเนื้อ แต่.. มันไม่ทำงานประสานกันเสียแล้ว ..

    นี่คือ สาเหตุของอาการ "ผีอำ"

    mamboo พิสูจน์เรื่องนี้มาด้วยตัวเองแล้ว .. ไม่เชื่อ พวกคุณลองไปทำแบบ mamboo ดูสิ่ .. พยายาม ทำสมาธิก่อนหลับ ... ตอนว่างๆ(กลางวัน) ก็ทำสมาธิ

    มีสติตลอดเวลา .. แล้วเวลานอน จะเหมือนเรื่อง นาเนียเลยแหละ อิอิ ^^ แบบ พอหลับตาปุ๊บ เราจะพุ่งไปสู่อีกโลกหนึ่งปั๊บเลยแหละ ^^ เหมือนหนัง fantasy เลย มันสนุกจริงๆนะ ^^

    เรื่องนี้ ทำง่าย พิสูจน์ง่าย

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยากให้คุณชยุต แล้วทดลองทำดู พอคุณมีสติในฝันแล้ว ก็เรียกแสงสว่างขาวๆมาแล้วให้เขาพูดไปดูเหมือนคุณ Mellen ^^

    (แต่ตอนนั้น ที่ mamboo ทำได้ ตอนนั้นยังไม่ได้รู้เรื่องโลกวิญญาณมากนัก ตอนทำได้เลย ไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่อง โลกความเป็นจริงหลากมิติ)

    แล้วตอนนี้ mamboo ก็มะค่อยจะว่างทำแล้วค่ะ ^^ ก็ว่าจะรื้อฟื้นใหม่อยู่

    มีสติตลอดเวลากับสิ่งรอบตัว .. เช่น ที่ทำอยู่นี้ เรากำลังพิมพ์ computer หากระทู้ของคุณ ชยุต รอบตัวนี้คือห้องพักที่ กทม. และอีก 2-3 ชั่วโมงกำลังจะไปขึ้นรถกลับขอนแก่นไปฉลองปีใหม่

    ว่างๆก็นั่งดูมือตัวเอง ทุกๆอะตอมมาจาก ควาร์ก แต่ละควาร์ก มาจาก การสั่นของ string

    และถ้าเรา สามารถมองเห็นสิ่งที่เล็กกว่าเส้น string เราจะมองเห็นว่า ... ทุกๆสิ่ง มันคือ "ความว่างเปล่า"

    ที่เราเห็นเป็น ตู้ เตียง เป็นคน ต้นไม้ .. ที่แท้ มันประกอบขึ้นมาจาก ความว่างเปล่า ดีๆนี่เอง อิอิ ^^

    มองไปเรื่อย คิดไปเรื่อย ไปแล้วนะคะ .. ต้องเดินทางกลับบ้านแระ

    เจอกันหลังปีใหม่นะคะ

    ขอให้ทุกๆท่าน โชคดีมีความสุขมากๆจ้า ^__^

    สวัสดีปีใหม่จ้า ^_^ _/|\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2010
  17. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สันโดษไม่ได้เชื่อฝรั่งเเต่สันโดษเชื่อตามสัญชาตญาณของตนเอง

    รวมทั้งนำประสบการณ์ส่วนตัวมาเทียบเคียงกับความรู้ที่มีอยู่จริงในศาสตร์ต่างๆ

    ความรู้ใดๆก็ตามไม่มีอะไรที่ตรงกับจริตเรา 100 %

    เราต้องรู้จักเเยกเเยะเเคะเเละเกลาให้พอดีกับเรา เหมือนหาเสื้อผ้าที่ใส่เเล้วเหมาะกับตัว

    สันโดษอยู่ประเทศไทยอากาศร้อนจะให้ใส่เสื้อหนาๆก็คงร้อนจนหงุดหงิดตาย

    เเต่ถ้าใส่เสื้อผ้าเล็กเกินไปก็คงอึดอัดหายใจไม่ออก

    เวลาไปเที่ยวตามห้างหากใส่ชุดนอนก็คงไม่เหมาะ

    เสื้อผ้าทุกชิ้นตั้งเเต่ชั้นในชั้นนอก จนไปถึงเข็มขัด ถุงเท้า รองเท้า หมวก เเละเเว่นตา

    ทุกชิ้นหากถูกจัดวางให้เหมาะสม เเละถูกกาละเทศะ

    เมื่อเราออกไปข้างนอกเราก็สามารถที่จะกลมกลืนไปกับสังคมมนุษย์ได้สบายๆ

    จุดประสงค์ของศาสนา เพื่อให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ มีจิตใจที่สงบ เบา สบาย เเละรักทุกสรรพสิ่งไม่ใช่หรือค่ะ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2010
  18. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472

    เอ..ดิชั้นก็ไม่ได้มีปัญญาเลิศเลออะไรนะคะ ขอออกตัวก่อน*-*
    แต่เท่าที่ดิชั้นอ่านมา มันมีเหมือนกัน ที่เป็นบทความประเภทที่คุณว่ามา

    แต่ก็มีบทความที่ข้าพเจ้าคิดว่าแสดงถึงความไม่ก้าวก่ายไปในแก่นแท้ของศาสนาหรือลัทธิใด
    และยังชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่แท้จริงจากศาสนาหรือลัทธิใดๆเหล่านั้นอีกด้วย
    และไม่ขัดกัน หรือชี้ให้เห็นประเด็นว่าศาสนาหรือลัทธิต่างๆในโลกนั้นผิดพลาดแต่อย่างใด

    อย่างมากที่สุด ก็มีเพียงชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดจากมนุษย์ผู้ดำรงอยู่ในศาสนาหรือลัทธินั้นๆเอง เท่านั้น


    ดังนั้น เมื่อดิชั้นพิจารณาบทความเหล่านี้ ดิชั้นกลับสรุปได้ว่า

    พระเจ้าที่ใช้คำว่า God จีตัวใหญ่
    (ไม่ใช่ god จีตัวเล็กที่หมายถึง เทพเจ้าต่างๆ ที่มีแขน มีขา มีตัวตนนะ
    ฝรั่งบางคนก็ใช้ผิดหรืออาจเกิดจากการพิมพ์แบบเร่งรีบ หรือความสะเพร่า)

    ไม่ใช่ ที่สุดของจักรวาล
    ไม่ใช่ นิพพานหรือภาวะนิพพาน
    ไม่ใช่ จักรวาล
    และไม่ใช่ตัว ธรรมชาติ เสียเองแต่อย่างใด

    แต่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
    เป็นส่วนหนึ่งของ ความเป็นสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวล เท่านั้น
    เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นอยู่ มีอยู่ ดำรงอยู่ ภายในธรรมชาติและความเป็นสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวล

    จุดประสงค์ของการมีอยู่นั้น ข้าพเจ้าสรุปได้โดยสังเขปเท่าที่รู้ในตอนนี้ข้อหนึ่งคือ
    เพื่อดำเนิน "กระบวนการ" สร้าง การสะสม ประสบการณ์
    ของภาวะความ "ทำได้" แห่งความเป็นสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวลเอง

    ที่ข้าพเจ้าสรุป อาจไม่ใช่ก็ได้ค่ะ *-*
    และขอบคุณคุณที่แสดงความคิดเห็นในบทความเหล่านี้ ออกมาตรงๆ
    เพราะมีประโยชน์มากแก่ผู้สนใจค่ะ
     
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอดันขึ้นมาหน่อยนะครับ
    เผื่อใครกำลังหาอ่านเนื้อหาแบบนี้อยู่

    ......................................
     
  20. ิBonNeverDie

    ิBonNeverDie สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณมากๆครับ คุณชยุต ผลงานแปลของคุณเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยพัฒนาจิตวิญญาณดวงนี้ครับ ผมซาบซึ้งในความเสียสละของคุณมากๆครับ

    คุณ Mambo ครับ ผมสงสัยมานานแล้วว่า การมีสติตอนนอน่ต้องทำยังไง ขอบคุณมากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...